Why "Ultraman"?
นับตั้งแต่จำความได้ ยักษ์สีเงินที่ชื่อ อุลตร้าแมน ได้เข้าเยี่ยมเยือนผมถึงที่บ้านบนจอโทรทัศน์ตั้งแต่ยังวัยเยาว์ ซึ่งก็คงจะราวๆปี พ.ศ.สองพันห้าร้อยสิบ ในยุคนั้นพวกผู้ใหญ่มักจะกล่าวค่อนแคะทุกครั้งที่เห็นอุลตร้าแมนปรากฏบนจอโทรทัศน์ในทำนองว่าเป็นหนังประเภท หลอกเด็ก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความแปลกใหม่ ในรูปแบบที่หนังไทยไม่เคยมีมาก่อน และดูสนุกตรงที่ได้ลุ้นว่า วันนี้จะมีสัตว์ประหลาด หรือมนุษย์ต่างดาวอะไรมาบุกโลก พระเอกของเรื่องจะต้องเจออุปสรรคอะไรบ้าง กว่าจะมีโอกาสได้ใช้ เบต้าแคปซูล (Beta Capsule) แปลงกายเป็นอุลตร้าแมน และสุดท้ายพระเอกจะใช้ไม้ตายทีเด็ดอะไรในการปราบเหล่าร้ายจากต่างดาว ซึ่งแม้ว่าร้อยละเก้าสิบเก้า พระเอกจะต้องปล้ำกับสัตว์ประหลาดอยู่พักใหญ่ๆจนสัตว์ประหลาดอ่อนแรง ก็จะตั้งท่าปล่อยแสง สเปเซี่ยม(Specium) เพื่อระเบิดสัตว์ประหลาดเป็นจุลไป สมใจอยากของบรรดาเด็กๆที่เฝ้ารออุลตร้าแมนมาตลอดสัปดาห์ (สมัยก่อนฉายสัปดาห์ละตอนเดียวครับ ยาวประมาณครึ่งชั่วโมง) แต่ทุกคนก็สนุกสนานไปกับเนื้อเรื่องได้โดยไม่ต้องมานั่งคำนึงถึงเหตุและผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ผมเองก็เป็นแฟนที่เหนียวแน่นของอุลตร้าแมนคนหนึ่ง ไม่กล้าจะบอกว่าเป็น แฟนพันธุ์แท้ เหมือนกับที่เขาแข่งขันกันตอบปัญหาในโทรทัศน์ เพราะยังมีหลายเรื่องเกี่ยวกับอุลตร้าแมนที่ผมยังไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่ถ่องแท้ เอาเป็นว่าผมเป็นผู้สนใจในอุลตร้าแมนอย่างเหนียวแน่นคนหนึ่งมาตั้งแต่เด็กที่เพิ่งจำความได้ก็แล้วกัน แตกต่างกันที่ว่า ในสมัยเป็นเด็กผมจะสนใจในฐานะที่เป็นพระเอกในดวงใจ รอคอยอุลตร้าแมนอย่างที่เด็กคนหนึ่งจะรอดูรายการโทรทัศน์ที่ตนเองชอบ หากวันใดโทรทัศน์เสีย หรือไฟฟ้าดับ (สมัยก่อนถือเป็นเรื่องปกติ)ก็จะเกิดอาการหงุดหงิด เพราะจะไม่มีเรื่องสนุกๆไปคุยกับเพื่อนที่โรงเรียนในวันรุ่งขึ้น ถือว่าค่อนข้างเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง สังคมหนังญี่ปุ่นของเด็กไทยเมื่อประมาณปี พ.ศ.2510 มีเพียง 2 เรื่องใหญ่ๆ เท่านั้น คือ อุลตร้าแมน และ ไอ้มดแดงอาละวาด ซึ่งไอ้มดแดงนี้เพิ่งจะตามมาทีหลัง ดังนั้น อุลตร้าแมน จึงเป็นหนังญี่ปุ่นประเภทฮีโร่แปลงกายได้ที่เป็นตัวนำร่องอย่างแท้จริง แม้ว่าในภายหลังจะมีขบวนการแปลงร่างที่สร้างเลียนรูปแบบคล้ายคลึงกันออกมาอีกนับสิบๆชุด แต่ก็ไม่ได้ติดตาตรึงใจผู้ชมเยาว์วัย หรือสร้างผูกพันอย่างแท้จริงเหมือนที่เกิดกับยักษ์สีเงินที่ชื่ออุลตร้าแมนนี้ โดยสรุป ในวัยเด็กของผม นอกจากการติดตามชมอุลตร้าแมนในฐานะรายการทีวีที่ชื่นชอบและเอาไว้สนทนาในกลุ่มเพื่อนแล้ว ก็ไม่ได้มีความสนใจในเชิงนามธรรมที่ลึกล้ำไปกว่านั้น เมื่อเริ่มโตขึ้นพอจะรู้ความและเข้าใจความหมายของคุณค่าในเชิงนามธรรมเพิ่มขึ้น สำหรับผมเอง อุลตร้าแมนจึงปรากฏกายขึ้นในความหมายใหม่ มีความเป็นฮีโร่เชิงนามธรรมมากขึ้น เป็นตัวแทนของความถูกต้อง ความยุติธรรม และเป็นความหวังของฝ่ายธรรมะที่จะต้องชนะฝ่ายอธรรม ความรู้สึกนามธรรมเหล่านั้นซึมแทรกเข้าสู่จิตใจวัยเยาว์โดยไม่รู้ตัว การรับชม อุลตร้าแมน ทางโทรทัศน์เริ่มมีการใช้อารมย์ร่วมมากขึ้น รู้สึกกังวลเมื่อเห็นพระเอกอยู่ในภาวะกดดันหรืออยู่ในอันตราย บางครั้งเริ่มสงสารสัตว์ประหลาดที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวผู้ชั่วร้ายในการยึดครองโลก ผมยอมรับว่าเคยเสียน้ำตาให้กับสัตว์ประหลาดบางตัวที่ต้องสังเวยชีวิตแก่แสงสเปเซี่ยมของอุลตร้าแมน เพียงเพราะมันดันตื่นขึ้นจากการหลับใหลอันยาวนานอย่าง ผิดที่ผิดทางผิดยุคผิดสมัย ทั้งๆที่ตนเองไม่ใช่ดุร้ายแต่บังเอิญคุ้มคลั่งเนื่องจากปรับตัวเข้ากับบ้านเมืองและสภาพแวดล้อมที่ตนบังเอิญตื่นขึ้นมาพบไม่ได้ พอฟาดงวงฟาดงาไปสักพัก บ้านเมืองพังทลาย สังคมก็ประนามว่ากระทำผิด ร้อนถึงอุลตร้าแมนต้องโดดออกมาปราบ ใช้ไม้นวมอย่างไรก็จัดการไม่ได้ ผลสุดท้ายก็เลยต้องตัดสินใจปล่อยแสงใส่เข้าให้ ส่งไปสู่สุคติเสียอีก 1 ตัว ผมได้แต่สงสารสัตว์ประหลาดตัวนั้น แต่อย่างไรก็ดี ในวัย 10 ขวบต้นๆของผมนั้น ความรู้สึกต่อกฎเกณฑ์ของสังคมยังอยู่ในมิติที่ค่อนข้างแบบราบ มองอะไรยังไม่ลึกซึ้ง มีความรู้สึกร่วมแต่สิ่งเฉพาะหน้า ดังนั้น ไม่ว่าอุลตร้าแมนจะตัดสินใจจัดการอย่างไร เหมาะสมหรือสมควรหรือไม่ เขาก็ยังคงเป็นฮีโร่ในใจผมเสมอ (โธ่..จะให้เด็กสิบขวบคิดอะไรเชิงนามธรรมได้มากกว่านี้ล่ะครับ) ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เมื่อโตขึ้นมา ภาพของอุลตร้าแมนก็เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับสังคมมีการพัฒนาขึ้น ได้เห็นสิ่งแปลกๆใหม่ๆ มีโอกาสเรียนรู้กฎเกณฑ์และปรากฏการณ์ทางสังคมมากขึ้น ทัศนคติของผมต่ออุลตร้าแมนจึงเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นฮีโร่ที่สมจริงในจินตนาการของเด็ก ก็กลับกลายไปเป็น สัญลักษณ์ (Symbol)ในเชิงนามธรรมบางสิ่งมากกว่า ประกอบกับมีอุลตร้าแมนตัวใหม่ๆ โผล่มาทักทายทางจอโทรทัศน์ทุกปี รูปแบบการต่อสู้เปลี่ยนไป สภาพปัญหาของเรื่องเปลี่ยนแปลงไป แนวทางการแก้ไขปัญหาของพระเอกก็เริ่มพัฒนาไปในทางสัจนิยม (Realistic) มากขึ้น ในขณะที่แต่เดิม อุลตร้าแมนเป็นตัวอย่างของพระเอกในอุดมคติ (Idealistic) จะเป็นคนดี ช่วยเหลือคนอื่น และทุ่มเทให้กับการปราบปรามเหล่าร้ายอย่างเดียว แทบจะไม่เคยมีชีวิตส่วนตัว รูปแบบการแก้ไขปัญหาไม่เคยเปลี่ยนแปลง เช่น สัตว์ประหลาดออกมาพังบ้านเมือง พระเอกขับเครื่องบินเข้าต่อสู้ เครื่องบินถูกสัตว์ประหลาดพ่นไฟใส่ หรือเอามือปัดตก พระเอกก็เลยใช้อุปกรณ์พิเศษแปลงกายออกมาสู้ ปล้ำกันพักใหญ่ สุดท้ายก็ปล่อยแสง ระเบิดสัตว์ประหลาดจนเป็นจุล ฯลฯ แต่สำหรับอุลตร้าแมนในยุคถัดๆมา มีความเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดามากขึ้น มีความรัก ความเกลียด ความสมหวัง ผิดหวัง บรรดาเหล่าร้ายก็มีเหตุผล เชิงลึก ในการมารุกราญชาวโลกมากขึ้น อาทิเช่น ดาวตัวเองถูกทำลายเลยจะมาหาดาวใหม่อยู่ หรือเป็นสัตว์ประหลาดที่โผล่ขึ้นมาเพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือมนุษย์ไปรังควาญถิ่นที่อยู่ของมันเข้า แต่อย่างไรก็ดี สุดท้ายร้อยละเก้าสิบเก้า อุลตร้าแมนก็ต้องมาปล่อยแสงจัดการตามเคย มีบางคนให้ความเห็นว่า บรรดาซูเปอร์ฮีโร่ (ไม่เฉพาะอุลตร้าแมนนะครับ รวมไปถึงบรรดาซูเปอร์แมน มนุษย์ค้างคาว หรือรวมไปถึงซูเปอร์ฮีโร่ของชาติอื่นๆด้วย) เป็นสาเหตุแห่งความสิ้นหวังของมวลมนุษยชาติ มนุษย์จะหมดความพยายามที่จะต่อสู้กับปัญหา โดยให้เหตุผลว่า ทุกครั้งที่เกิดเภทภัย ผู้คนก็จะคอยแหงนมองบนฟ้า รอว่าเมื่อใด ซูเปอร์ฮีโร่ของเขาจะเหาะมาช่วยเหลือคลี่คลายสถานการณ์ ในขณะที่บางเรื่องหากมีความพยายาม พวกเขาก็สามารถรวมตัวกันแก้ไขได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว ปัญหาทางปรัชญานี้เกิดขึ้นมากในภาพยนต์ซูเปอร์ฮีโร่ยุคกลางเก่ากลางใหม่ (ในยุคเก่า ผู้ชมยังคงชื่นชมซูเปอร์ฮีโร่แบบไม่ต้องการเหตุผล) อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเพียงมุมมองของฝ่ายที่แอนตี้ซูเปอร์ฮีโร่ (รวมไปถึงฝ่ายผู้ร้ายบางคนด้วย) ในขณะที่ผมเห็นว่า การมีอุลตร้าแมนในจินตนาการ อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ยังมีความหวัง เมื่อใดที่เกิดทุกข์ภัย มนุษย์จะพยายามแก้ไขปัญหาด้วยตนเองก่อน และเมื่อพบว่าปัญหานั้นสุดแสนสาหัส ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองแล้ว มนุษย์ก็จะยังไม่ท้อแท้เสียทีเดียว แต่ยังมีความหวังว่าจะมี คนดี มาแก้ไขสถานการณ์ได้ คนดี ที่ผมพูดถึงอาจไม่ได้หมายถึงซูเปอร์ฮีโร่ เพราะในความเป็นจริงยังห่างไกลที่จะคิดเช่นนั้น แต่ คนดี ดังกล่าว อาจเป็นคนธรรมดาด้วยกันที่มีมุมมอง มีความคิด หรือมีวิธีที่จะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้มากกว่า หรือเข้าทำนองภาษิตไทยที่ว่า เส้นผมบังภูเขา บางทีคนที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์บีบคั้นเข้าตาจนอย่างเรา อาจมองเห็นทางแก้ไขที่เรานึกไม่ถึงก็ได้ และอุลตร้าแมนก็เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อให้เห็นถึง คนดี เหล่านี้ มีอุลตร้าแมนหลายตอนที่แสดงให้เห็นถึงแนวคิดดังกล่าว เช่น ในอุลตร้าแมนยุคเริ่มแรก เมื่อหนึ่งในสมาชิกของหน่วย วิทยะ ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องโลกเช่นเดียวกัน เกิดท้อแท้ในความสามารถในการประดิษฐ์อาวุธใหม่ๆของตนเอง ด้วยเห็นว่า ไม่ว่าตนเองจะสร้างสิ่งใหม่ๆอะไรขึ้นมาต่อกรกับเหล่าสัตว์ประหลาด แต่สุดท้ายก็ต้องให้อุลตร้าแมนออกมาปราบทุกครั้ง แต่ในตอนจบของเรื่อง อุลตร้าแมน(ที่บังเอิญทราบความคิดของเจ้าหน้าที่หน่วยวิทยะคนนี้เข้า) ก็ช่วยสร้างความมั่นใจของเขาให้กลับคืนมา โดยทำเป็นว่าสู้สัตว์ประหลาดไม่ได้เนื่องจากพลังหมด ได้แต่จับสัตว์ประหลาดนั้นไว้ ให้เจ้าหน้าที่หน่วยวิทยะใช้อาวุธพิเศษจัดการได้สำเร็จ ความมั่นใจและกำลังใจจึงกลับคืนมา จึงเห็นได้ว่าอุลตร้าแมนเองก็ไม่ได้อยากให้มนุษย์เกิดความสิ้นหวังหรือไม่พึ่งตนเองแต่อย่างใด ส่วนที่ออกมาปล่อยแสงทุกครั้งเพราะ เห็นว่า ขืนปล่อยให้สู้ต่อไปคงจะไม่ไหว เพราะมนุษย์จะพากันตายกันหมด เลยต้องแปลงกายออกมาช่วยต่างหาก อธิบายไปยืดยาวอย่างนี้ เหล่าสาวกลัทธิ แอนตี้ซูเปอร์ฮีโร่ คงจะค่อนขอดว่าผมนั้นถือหางฝ่ายอุลตร้าแมนจนไม่ลืมหูลืมตา ก็แล้วแต่จะว่ากันไปนะครับ เรื่องของเหตุผลความเชื่อต้องมีความเป็นอิสระ ตัวอย่างดังกล่าวในความเป็นจริงเห็นได้จากการเกิดภาพยนต์ซูเปอร์ฮีโร่ต่างๆ มักจะมีขึ้นในช่วงที่สังคมเกิดวิกฤติ และประชาชนในสังคมรู้สึกอยากมีใครสักคนที่จะแบ่งเบาความทุกข์นั้น และทำให้มนุษย์อดทนอย่างมีความหวัง (มิฉะนั้นคงฆ่าตัวตายกันไปหมดแล้ว) ตัวอย่างเช่น กัปตันอเมริกา สาวน้อยมหัศจรรย์ หรือซูเปอร์แมน ก็เกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกาเกิดวิกฤติการณ์จากสงคราม เพื่อให้เกิดความรักชาติและมีความหวัง มนุษย์ค้างคาว ก็เกิดขึ้นในช่วงที่สังคมอเมริกันมีแต่อาชญากรรม ชาวอเมริกันต้องการใครสักคน แม้จะในอุดมคติ ที่จะสามารถกำราบเหล่าร้ายได้ มนุษย์ค้างคาวในยุคแรกจึงดูเป็นพระเอกแบบอุดมคติ วันๆไม่ต้องทำกินอะไรเพราะรวยอยู่แล้ว เลยหันมาปราบอธรรม พอมาถึงมนุษย์ค้างคาวยุคหลังๆ จึงค่อยๆพัฒนาไปสู่ความสมจริงแนว Realistic มากขึ้น มีบุคลิกดำมืดมาเพิ่มเติมให้เห็นว่าเขาก็เป็นปุถุชนคนธรรมดา มีร้อนมีหนาว มีทุกข์ มีสุข และมีภูมิหลังเจ็บปวดในอดีตที่ทำให้ต้องหันมาปราบปรามเหล่าร้าย ไม่เหมือนกับยุคแรกๆที่ไม่ได้อธิบายอะไรให้ผู้ชมเข้าใจ เพราะผู้ชมเองก็ไม่ได้ต้องการคำอธิบายที่ชัดเจนแต่อย่างใด ต้องการเพียงให้มีใครมาปราบคนเลวเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น แม้ว่าจะตอบสนองได้เฉพาะในจินตนาการก็ยังดี อุลตร้าแมนเองก็เกิดมาในช่วงที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก บ้านเมืองวิกฤตสุดขีด คนญี่ปุ่นต้องการซูเปอร์ฮีโร่ที่แท้จริงมาปราบยุคเข็ญนี้ ในรูปแบบของสัญลักษณ์ เมื่อสัตว์ประหลาดหรือมนุษย์ต่างดาวเป็นตัวแทนของความวิกฤติต่างๆและความไม่รู้ ซูเปอร์ฮีโร่จึงปรากฏตัวออกมาเพื่อเป็นคำตอบของโจทย์นั้น และอุลตร้าแมนน่าจะเป็นตัวแทนของความเป็นชาตินิยมของญี่ปุ่น เพราะมาจากนครแห่งแสงสว่างในเนบิวล่า M-78 (ญี่ปุ่นถือว่าตนเองสืบเชื้อสายจากดวงอาทิตย์) รูปแบบการต่อสู้ก็เป็นไปตามปรัชญาตะวันออก หรือตามแนวทางของญี่ปุ่นโดยแท้ แนวคิดดังกล่าวปรากฏในอุลตร้าแมนทุกภาค แม้ในช่วงหลังๆ อุลตร้าแมนจะไม่ได้มาจาก M-78 แล้ว แต่ก็มีความเกี่ยวพันกับแสง หรือบางทีก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพื้นฐานเป็น แสง ด้วยซ้ำไป เช่น อุลตร้าแมน ติก้า และอุลตร้าแมน ไดน่า เป็นต้น หลังจากที่อุลตร้าแมนในยุคเริ่มแรกได้ปิดฉากอวสานลง Tsuburaya production ก็คิดหาทางสร้างอุลตร้าฮีโร่คนใหม่ขึ้นมาสืบทอดภารกิจปกป้องโลกคนต่อไป จึงเกิดเป็นอุลตร้าเซเว่น(Ultra Seven) ขึ้น ในยุคแรกๆนั้น คำว่าอุลตร้าแมนยังไม่ฮิตแพร่หลาย ตอนที่เป็นหนังทีวีมาฉาย ก็ถูกตั้งชื่อว่า ยอดมนุษย์ โดยคงจะถอดแปลมาตรงๆจากคำว่า Ultraman นั่นเอง พอมีอุลตร้าแมนเซเว่น หรืออุลตร้าเซเว่น ก็เลยตั้งชื่อเป็นไทยว่า ยอดมนุษย์หมายเลข 7 เท่ไปอีกแบบ ยุคนั้นคนไทยเรากำลังนิยมเลข 7 ว่าเป็นเลขของบรรดาฮีโร่ ก็เลยเข้าล๊อค ส่งผลให้อุลตร้าเซเว่นฮิตติดตลาดไม่น้อยในเมืองไทย กลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของเด็กๆ ประกอบกับการดีไซน์รูปแบบที่ดูเป็นจักรกล (Mechanic) เข้ากับยุคสมัยที่เทคโนโลยีเริ่มมีความสำคัญ อะไรที่ใช้เครื่องจักรกลทุ่นแรงได้จะถือว่าทันสมัยมากและเป็นที่นิยม พอมียอดมนุษย์ตัวใหม่ที่ออกแนว mechanic จึงฮือฮาไม่เลิก ในขณะที่ฝ่ายวิจัยตลาดทางญี่ปุ่นพบว่า Rating ของอุลตร้าเซเว่นยังไม่ดีเท่าที่ควร น้อยกว่าอุลตร้าแมนตัวแรกมากโขอยู่ จึงต้องมีการวางกลยุทธทางการตลาดใหม่ จะเห็นได้จากอุลตร้าแมนตัวถัดไปที่ Tsuburaya ส่งมาพิทักษ์โลกคือ อุลตร้าแมนแจ๊ค (Ultraman Jack) จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับอุลตร้าแมนตัวแรก ด้วยคงคาดหวังว่าจะสามารถใช้ความคล้ายคลึงนี้ดึง rating กลับคืนมา และคงจะใช้กลยุทธ์อื่นๆทางการตลาดช่วยเหลือด้วย ซึ่งก็คงได้ผลบ้าง เพราะหลังจากนั้นบรรดาฮีโร่จากดาว M-78 ก็ทยอยสับเปลี่ยนกันมาพิทักษ์โลกอีกนับสิบตัว ช่วงวัยสิบกว่าขวบของผม มีหลายครั้งที่บรรดาพี่น้องอุลตร้าจากดาว M-78 ได้เข้ามาเกี่ยวข้องชิดใกล้มากขึ้น เมื่อ Tsuburaya Production ร่วมกับบริษัท ไชโยภาพยนต์ ของไทย สร้างภาพยนต์ที่ถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ของอุลตร้าแมนเลยทีเดียว เพราะไม่เคยพบว่ามีปรากฏแบบนี้ที่ไหนมาก่อน นั่นก็คือภาพยนต์เรื่อง หนุมาน พบ เจ็ดยอดมนุษย์ (รายละเอียดจะกล่าวถึงในภายหลังต่อไป) เป็นการนำเอาซูปเอร์ฮีโร่ของวรรณกรรมอินเดียที่ไทยรับมาประยุกต์เข้ากับวิถีไทย คือ รามเกียรติ์ มาร่วมมือกับซูเปอร์ฮีโร่จากดาว M-78 ปราบเหล่าสัตว์ประหลาดที่ออกอาละวาดสร้างความเดือดร้อนบนโลก รู้สึกว่าภาพยนต์เรื่องนี้จะทำรายได้ถล่มทลาย เพราะเด็กๆล้วนอยากดูหนุมาน ออกมาฟาดฟันกับเหล่าสัตว์ประหลาด พร้อมๆกับพี่น้องอุลตร้าทั้งสิ้น (คงต้องยอมรับว่า ผู้ชมในวัยนั้นคงอยากดูพี่น้องอุลตร้ามากกว่าเพราะคุ้นเคยกับเหล่าอุลตร้าแมนอยู่แล้ว ในขณะที่ไชโยภาพยนต์ อาศัยเหตุนี้เป็นกุศโลบายในการนำเสนอพระเอกของฝ่ายไทยให้ซึมซับเข้าสู่จิตใจของเด็กไทยด้วย เพราะคงเข้าใจดีว่า หากทำภาพยนต์ที่มีแต่หนุมานตัวเดียวออกมาปราบเหล่าร้าย อาจไม่ดึงดูดใจเด็กไทยได้เท่ากับมีพี่น้องอุลตร้าเหาะลงมาร่วมวงด้วย ซึ่งในความเห็นของผมเอง ไชโยภาพยนต์ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับประเด็นนี้ในระดับหนึ่งที่ค่อนข้างมากทีเดียว ยุคนั้นเด็กรุ่นผม ใครไม่รู้จักหนุมานพบ 7 ยอดมนุษย์เป็นเชยแหลก ผมเองยังร้องจะไปดูภาพยนต์เรื่องนี้เลย จำได้ว่าตอนพี่น้องอุลตร้าเหาะมาปรากฎตัวครั้งแรกในเรื่อง เด็กๆเฮกันจนโรงภาพยนต์แทบถล่มทลาย ดังกว่าตอนหนุมานแปลงกายออกมาหลายเท่าทีเดียว แต่อย่างว่าล่ะครับ จะเอาสาระอะไรกันมากกับเด็กอายุสิบขวบแบบนั้น ขอเพียงดูสนุกก็พอใจแล้ว กลับมาเรื่องปฐมเหตุอุลตร้าของเราต่อ (รายละเอียดของอุลตร้าแมนทั้งหมดจะปรากฎในตอนต่อๆไปครับ) หลังจากที่ผมเข้าสู่วัยทำงาน ก็ดูเหมือนจะห่างๆจากบรรดายักษ์ที่เงินพวกนี้ไปพักใหญ่ๆ เพราะทุกท่านคงเข้าใจว่า ในวัยทำงานเป็นวัยที่ตั้งเนื้อตั้งตัว แค่เอาเวลาไปคิดเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวจิปาถะ ก็แทบจะไม่มีเวลาไปนึกถึงเรื่องอื่นใดแล้ว อุลตร้าแมนจึงค่อนข้างห่างหายไปจากชีวิตผม อีกเหตุผลหนึ่งคือ รัฐบาลในยุคนั้นมีนโยบายในการต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น อุลตร้าแมนก็เลยถูกแบนไปด้วย ดังนั้นหลังจากอุลตร้าเซเว่น จึงไม่มีอุลตร้าแมนคนใดได้มาเยี่ยมเยือนจอโทรทัศน์เมืองไทยอีกเลยด้วยเหตุผลทางการเมือง ผ่านมาอีกนานหลายปีสถานการณ์จึงคลี่คลาย มีการเปิดประเทศเพื่อรับกระแสวัฒนธรรมญี่ปุ่นอีกครั้ง บรรดาพี่น้องอุลตร้าจึงได้มีโอกาสกลับมาทักทายเด็กไทย โดยกลับมาทักทายแบบย้อนหลัง คือนำมาฉายหลังจากที่สร้างและฉายในญี่ปุ่นแล้วหลายปี อุลตร้าแมนที่ถูกนำเข้ามาฉายอีกครั้งหลังสถานการณ์ทางการเมืองดังกล่าว ได้แก่ อุลตร้าแมน(คนแรก รายนี้นำมาฉายใหม่เพื่อเรียกน้ำย่อยและรื้อฝืนความหลัง) , อุลตร้าเซเว่น , อุลตร้าแมนแจ๊ค บ้านเราเรียกอุลตร้าแมน 2 หรือ นิวอุลตร้าแมน เพราะรูปร่างหน้าตาคล้ายกับอุลตร้าแมนตัวแรก ชื่อ แจ๊ค เพิ่งมาปรากฏในช่วงหลังๆ , อุลตร้าแมน เอซ (ACE) หรือบ้านเราเรียก อุลตร้าแมน เอ ผมเข้าใจว่าคงเป็นนโยบายรัฐบาลเช่นกันในการปรับเปลี่ยนชื่อดังกล่าว เพราะช่วงหลังมีทั้ง อุลตร้าแมนคิง อุลตร้าแมนแจ๊ค และอุลตร้าแมน เอซ แล้วก็บังเอิญคำว่า King , Jack และ Ace เป็นคำในภาษาของวงไพ่ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองคงคิดมาก กลัวว่าจะเกิดเป็นการมอมเมาเด็กขึ้นมาอีก เลยให้เปลี่ยนชื่อ เป็น อุลตร้าแมน 2 และ อุลตร้าแมน เอ แล้วเด็กไทยก็รู้จักอุลตร้าแมนทั้ง 2 ตัวในชื่อ อุลตร้าแมน 2 และ อุลตร้าแมน เอ มาโดยตลอด ผมเองก็เพิ่งจะมารู้ตอนโตแล้วว่าที่แท้ อุลตร้าแมน 2 มีชื่อจริงว่า อุลตร้าแมน แจ๊ค และอุลตร้าแมนเอ มีชื่อจริงว่าอุลตร้าแมนเอซ อุลตร้าแมนยุคแรก ตัวสุดท้ายที่ได้เข้ามาฉายในเมืองไทย ดูเหมือนจะเป็นอุลตร้าแมนทาโร่ ซึ่งเป็นน้องคนสุดท้องของเหล่าพี่น้องอุลตร้า เป็นตัวที่เด็กๆชอบมากตัวหนึ่ง เพราะมีเขา ดูสวยสง่ากว่าตัวอื่น (แต่ถ้าเป็นคนถูกสวมเขา กลับบอกว่าไม่ดี..) หลังจากนั้นอุลตร้าแมนก็ห่างหายไปจากจอโทรทัศน์เมืองไทยไปอีกพักใหญ่ๆ เพราะหลังจากอุลตร้าแมนทาโร่ ก็มีอุลตร้าแมนเลโอ , อุลตร้าแมน 80 ฯลฯ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้มาฉายในโทรทัศน์ของไทย เด็กไทยอย่างผมจึงได้รู้จักอุลตร้าแมนดังกล่าวจากในหนังสือการ์ตูนหรือหนังสือแมกกาซีนเท่านั้น ทางญี่ปุ่นเองก็เว้นช่วงการสร้างอุลตร้าแมนยาวพอสมควร โดยหันไปสร้างภาพยนต์แนวเดียวกันนี้โดยฮีโร่คนอื่นแทน คงกลัวว่าลูกค้าจะเบื่อฮีโรที่มาจากดาว M-78 ช่วงนั้นจึงไม่ปรากฏยักษ์สีเงิน เหาะลงมาจากฟากฟ้าเพื่อปกป้องโลกอีกนานหลายปี มีคำกล่าวที่ว่า ชีวิตมีทางออกของมันเสมอ อุลตร้าแมนก็เช่นกัน หลังจากที่ไม่มีการสร้างบรรดาอุลตร้าฮีโร่จากเกาะญี่ปุ่นมานานหลายปี อุลตร้าแมนก็มีทางออกของตัวเอง แนวคิดแบบปรัชญาตะวันออกเริ่มเป็นที่นิยมของชาวตะวันตก รวมไปถึงแนวคิดและความนิยมในอุลตร้าแมนก็เช่นกัน ส่งให้เกิดอุลตร้าแมนสายพันธุ์ใหม่ที่ผสมผสานระหว่างตะวันตกและตะวันออก เช่น อุลตร้าแมน เกรท (Ultraman Great) ซึ่ง Tsuburaya ร่วมทุนกับออสเตรเลียสร้างขึ้นมา เป็นอุลตร้าแมนที่มีกลิ่นนมเนยเจือปนอยู่ไม่น้อย จนดูแล้วแปลกๆ ดีไซน์มีการปรับแต่งให้ออกแนว realistic มากขึ้น การผลิตหุ่นและ effect ต่างๆ รวมไปถึงฉากดูสมจริง ตระการตา แต่พระเอกก็ยังเป็นคนญี่ปุ่น แต่พูดภาษาอังกฤษกันทั้งเรื่อง ตามมาด้วยอุลตร้าแมนเพาเวอร์ด (Ultraman Powered) สร้างโดย Tsuburaya ร่วมทุนกับอเมริกัน ตัวนี้ออกฝรั่งเต็มตัว ทั้งรูปร่างหน้าตา เครื่องแต่งกาย โครงเรื่อง และแนวคิด แทบจะออกแนวตะวันตกทั้งหมด มากกว่า อุลตร้าแมนเกรทหลายเท่า อุลตร้าแมนเกรท ดูเหมือนจะได้ฉายในเมืองไทยทางช่อง 9 อสมท. ส่วนอุลตร้าแมนเพาเวอร์ด เพิ่งเห็นเป็น VCD เมื่อไม่นานมานี้ ผมเคยซื้อมาดูแล้ว ไม่ค่อยประทับใจเท่าใดนัก รู้สึกบรรยากาศความเป็นอุลตร้าแมนแบบตะวันออกที่คลาสสิคได้สูญหายไปมากทีเดียว อุลตร้าแมนได้กลับมาหาผมอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้
ซึ่งมีผลทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับยักษ์สีเงินผู้ปกป้องโลกในอดีตได้กลับคืนมา
การกลับมาของอุลตร้าแมนในครั้งนี้
ดูแตกต่างออกไปจากยุคก่อน
ได้แก่ หลังจากนี้มีเหล่าบรรดาอุลตร้าแมนสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นมาอีกหลายตัว ทั้งสายพันธุ์การ์ตูนจากอเมริกา และสายพันธุ์ใหม่จากญี่ปุ่น เช่น อุลตร้าแมนไดน่า (Ultraman Dyna) อุลตร้าแมนไกอา (Ultraman Gaia) อุลตร้าแมนอากุล (Ultraman Agul) อุลตร้าแมนคอสมอส (Ultraman Cosmos)ฯลฯ ยังไม่รวมถึงการกลับมาของอุลตร้าแมนยุคคลาสสิคในยุคใหม่ เช่น อุลตร้าแมนเซเว่น ที่กลับมาปกป้องโลกอีกครั้งโดยใช้ร่างมนุษย์คนใหม่ (เพราะร่างเดิมเริ่มอายุมากเต็มที ชักต่อสู้ไม่ไหว แหม ก็มันตั้ง 20 กว่าปีแล้วนี่ครับ คนแสดงกับคนดูต่างก็แก่ไปตามๆกัน) ที่ผมสาธยายมาทั้งหมดนี้ เพื่อเป็นการปูพื้นให้ท่านได้ทราบถึงภูมิหลังอันแสนสุขระหว่างผมกับบรรดาพี่น้องอุลตร้าทุกสายพันธ์ ที่แต่เดิมเป็นเพียงภาพยนต์โทรทัศน์ แต่บัดนี้มันกลายเป็นเหมือนความทรงจำในตัวของเพื่อนสนิท ผู้ที่ในอดีตเคยสอนให้เด็กคนหนึ่งได้ซึมซับความยุติธรรม การต่อสู้ ความหวัง และการไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ให้กับเด็กชายคนหนึ่ง โดยใช้สัญลักษณ์เป็นสื่อให้เกิดการเรียนรู้โดยไม่รู้ตัว และเพื่อนคนนั้นซึ่งได้ห่างหายไปนานแสนนาน บัดนี้ได้กลับมาเยี่ยมเยือน ทำให้ความทรงจำเก่าๆ กลับมาพองฟูในหัวใจขึ้นมาอีกครั้ง ณ บัดนี้ อุลตร้าแมนจึงไม่ใช่เป็นเพียงฮีโร่ส่วนตัวของใครแต่เพียงผู้เดียว แต่เขาได้พัฒนาตามแนวทางของตนเองไปสู่การเป็นที่รัก เป็นแบบอย่าง และเป็นความหวังของคนกว่าครึ่งค่อนโลก เกินกว่าซูปเอร์ฮีโร่คนใดจะสามารถทำได้ในประวัติศาสตร์ภาพยนต์ของโลกเลยทีเดียว ผมตั้งใจจะศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอุลตร้าแมนมานานพอสมควรแล้ว แต่ยังไม่ค่อยว่างและยังขาดแรงบันดาลใจ จนกระทั่งได้เห็นพัฒนาการของอุลตร้าแมนในยุคหลังๆที่แสดงให้เห็นถึงบุคลิกในมุมลึกของเหล่าบรรดาอุลตร้าแมนทั้งจากยุคคลาสสิค และยุคใหม่ที่อยู่คนละ Time-lime กันกับยุคคลาสสิค ทำให้เริ่มเกิดความสนใจขึ้นอีกครั้ง ประกอบกับเริ่มสะสมโมเดลของบรรดาอุลตร้าแมน โดยตั้งต้นที่อุลตร้าแมนตัวที่ชื่นชอบก่อน คืออุลตร้าเซเว่น เรื่อยไปถึงอุลตร้าแมน ติก้า(Ultraman Tiga) , อุลตร้าแมนเอกุล (Ultraman Agul) ,อุลตร้าแมนไกอา (Ultraman Gaia), อุลตร้าแมนไดน่า (Ultraman Dyna)ฯลฯ ซึ่งตอนมีสะสมอยู่แล้วรวมทั้งสิ้นร่วมๆ เกือบครึ่งร้อยชิ้น ประกอบกับผมชอบ search เรื่องราวเกี่ยวกับอุลตร้าแมนในอินเตอร์เน็ต ทำให้พบเว็บไซต์ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับอุลตร้าแมนที่น่าสนใจมากมาย จึงเกิดไอเดียว่า ถ้านำข้อมูลเหล่านั้นมารวบรวม แปลเป็นภาษาไทย มีบทวิเคราะห์และความคิดเห็นตลอดจนประสบการณ์ส่วนตัว จัดให้เป็นหมวดหมู่ ก็จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจและผู้ศึกษามิใช่น้อย ในที่นี้
ผมจึงขอแบ่งการนำเสนอข้อมูลออกเป็น
6 ส่วน ดังนี้ คือ อย่างไรก็ดี ในการศึกษาและนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับอุลตร้าแมนในครั้งนี้ คงไม่อาจลุล่วงลงได้หากขาดแหล่งสนับสนุนข้อมูลที่ยอดเยี่ยมจากบรรดาเว็บไซต์ หนังสือ บุคคล และแหล่งข้อมูลต่างๆที่จะได้กล่าวอ้างถึงต่อไปเมื่อเนื้อหาตอนใดกล่าวอ้างอิงไปถึง ซึ่งผมขอขอบคุณทุกฝ่ายทุกคนมา ณ โอกาสนี้ กมลธรรม วาสบุญมา |