พัทยา เป็นนวนิยาย ที่แต่งขึ้นในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๘๐ และได้รับตี
พิมพ์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๔-๒๔๙๕ เป็นหนังสือที่หายาก เนื่องจากพิมพ์แค่ครั้งเดียว
เนื้อหาของนวนิยายเรื่องนี้กล่าวถึง พระไมตรีราชรักษา ทูตไทยในญี่ปุ่นซึ่ง
เป็นคนโสด ถึงวัยเกษียณอายุราชการและเตรียมตัวกลับมาใช้ชีวิตที่พัทยาอันเป็นบ้าน
เกิด ขณะเดินทางไปเที่ยวที่มอสโคว์ ก็ได้พบกับอวงเจ็งยี่ เพื่อนทูตชาวจีนซึ่งลี้ภัยไป
เป็นกรรมกรอยู่ที่โซเวียตรุสเซีย เพื่อนเก่าแก่คนนี้ได้ขอยืมเงินเพื่อเป็นทุนเดินทางใน
การแอบกลับไปเอาทรัพย์สมบัติที่ซ่อนไว้ในเมืองจีน และได้ฝากลูกสาวให้กลับมาอยู่ที่
เมืองไทยด้วย เพราะไม่อยากทิ้งลูกสาวไว้ตามลำพังในโซเวียตรุสเซีย
เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นฉากในพัทยา ตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งในชลบุรีเมื่อ
ประมาณ ๖๐ ปีที่แล้ว ตัวละครที่สำคัญมี พระไมตรีราชรักษา ข้าราชการ (ทูต) เกษียณ
ที่มีความคิดทางการเมืองแบบเสรีนิยม ผู้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสังคมเล็กๆ
แห่งนี้ โดยใช้ข้าพเจ้าเป็นคำแทนตัวเอง หลวงพี่อู๋ เจ้าอาวาสของวัด พระหนุ่มซึ่งมี
แนวคิดแบบสังคมนิยม มาลี (ชื่อเดิมคือ อวง เจ็งท้อ) เด็กสาวสวยชาวจีนที่อวงเจ็งยี่
เพื่อนทูตชาวจีนฝากมากับพระไมตรีราชรักษาให้มาอยู่ที่พัทยาด้วย และได้กลายเป็น
บุตรบุญธรรมของพระไมตรีราชรักษา มีแนวคิดแบบต้านระบบสังคมนิยม และแม่
หนู น้องสาวโสดของพระไมตรีราชรักษาเป็นผู้คอยเลี้ยงดูมาลี เป็นผู้หญิงแบบชาว
บ้านๆ ทั่วไป ที่ไม่ได้สนใจเรื่องการเมือง อีกทั้งไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ในสังคมที่ตัวเองอยู่
เหตุการณ์ที่พัทยาสงบราบรื่นมาด้วยดี จนกระทั่งพระมหากลึงได้เข้ามาอยู่
ที่วัดพัทยาของหลวงพี่อู๋ ขณะที่มาลีได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าในการจัดตั้งกลุ่ม
"คณะลูกหมี" หรือในลักษณะขององค์กรยุวชนทหาร เพื่อฝึกระเบียบวินัยให้แก่บรรดา
เด็กๆ หรือเยาวชนที่อยู่ในชุมชน ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวต้านความคิดแบบสังคมนิยมที่พระ
มหากลึง นำมาเผยแพร่ในพัทยา จึงทำให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้น เพราะอุดมการณ์ที่
ต่างกัน
ผู้เขียนเขียนเรื่องนี้แบบเสียดสีทางการเมือง พร้อมแทรกอารมณ์ขันไป
ด้วยในด้านแนวการเขียนนั้น ผู้เขียนจะค่อยๆ สอดแทรกความคิดของตนเองไปเรื่อยๆ
กว่าจะวกกลัยมาเล่าเรื่องต่อ และเป็นการแสดงแนวความคิดแบบเสรีนิยม
นวนิยายเรื่อง พัทยา เล่มนี้ สะท้อนให้เห็นสภาพการเมือง สังคมไทย ใน
สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้หลายด้าน ทั้งการหวาดกลัวลัทธิคอมมิวนิสต์และ
การที่รัฐบาลใช้วิธีการจัดตั้งยุวชนทหารตามแบบฟาสซิสม์ การพัฒนาเศรษฐกิจแบบ
สมัยใหม่ ซึ่งปะทะกับวิถีชีวิตดั้งเดิม และวิถีชีวิตแบบชาวพุทธ
|