แลไปข้างหน้า ภาคปฐมวัย
และภาคมัชฌิมวัย
(เขียนในช่วงปี ๒๔๙๕ - ๒๕๐๐)
ภาคปฐมวัย พิมพ์ครั้งแรกใน ปี ๒๔๙๘
ภาคมัชฌิมวัย พิมพ์ลงเป็นตอนๆ ในนิตยสารปิยมิตร
ปี ๒๕๐๐ และรวมเล่ม ปี ๒๕๑๘ โดยชมรมหนังสืออุดมธรรม

ศรีบูรพา
(พ.ศ.๒๔๔๘ - ๒๕๑๗)



		แลไปข้างหน้า (ภาคปฐมวัยและภาคมัชฌิมวัย) เป็นนวนิยายที่
	เขียนขึ้นระหว่างปี ๒๔๙๕ - ๒๕๐๐) ซึ่งผู้แต่งเขียนนิยายเรื่องนี้ไม่จบ เนื่องจากมีภารกิจ

	เนื้อหาของเรื่อง
		แลไปข้างหน้า ภาคปฐมวัย เป็นเรื่องสมัยเด็กของจันทา โนนดินแดงเด็กบ้าน
	นอกซึ่งมีโอกาสเข้ามาเรียนหนังสือชั้นมัธยมในโรงเรียนผู้ดีในกรุงเทพฯ  เพราะการฝาก
	ฝังของเข้าอาวาส และเพื่อจะได้เป็น "องครักษ์" ของลูกชายของขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง 

		บทแรกๆ เป็นการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องเมืองกับบ้านนอกระหว่าง
	จันทากับนิทัศน์ ซึ่งเป็นคนที่มาจากครอบครัวฐานะปานกลางค่อนข้างยากจนในเมือง และ
	เป็นคนที่มีทัศนะเป็นนักประชาธิปไตยมากกว่าใครในชั้น 
	
		ตอนแรกคือ ตอนที่จันทาป่วยอยู่ที่บ้าน คุณลมัยแม่บ้าน ซึ่งความจริงเลื่อนชั้น
	ไปจากคนรับใช้ธรรมดา แต่กลับถูกหลอมให้มีทัศนคติแบบเจ้าขุนมูลนายโกรธที่เด็กของ
	ตนให้ยาฝรั่งแก่จันทาไปกิน โดยพูดว่า
	
		"พวกคนบ้านนอกน่ะ เวลาเจ็บป่วยเขาก็ใช้รากไม้ฝนกินฝนทากันทั้งนั้น เขา
	อยู่มากันอย่างนี้ตั้งบรมกัลป์มาแล้ว ชีวิตเขาไม่เหมือนกับพวกเรา"

		และ
		"มันไม่มีธรรมเนียม แม่สายที่บ่าวจะใช้นายแพทย์ร่วมกับนาย ฉันรู้สึก
	ว่าการที่จะไปเอานายแพทย์ของคุณวัชรินทร์มารักษาอ้ายจันนั้น จะเป็นการทำผิดที่
	ร้ายแรงเสียยิ่งกว่าจะปล่อยให้อ้ายจันมันตายไป"
	
		อีกตอนหนึ่งของฉากโรงเรียน ตอนที่เซ้ง เด็กลูกจีนฐานะยากจนผู้ศรัทธาใน
	ศาสนาและเห็นแก่มนุษยธรรม  ถูกลงโทษอย่างรุนแรงจากอาจารย์ใหญ่ฐานปัสสาวะริมรั้ว 
	โดยไม่สอบถามความจริงที่ว่า มันเป็นเพราะเขาต้องอธิบายการบ้านให้เพื่อนจนระฆังตี
	เวลาเข้าเรียนและเขาปวดปัสสาวะเต็มที่ กลัวว่าถ้าวิ่งไปห้องน้ำจะเข้าเรียนสายถูกลงโทษ  
	แต่อาจารย์ใหญ่ก็ลงโทษเขาหนักเนื่องจากอาจารย์มีอคติต่อเขาล่วงหน้าแล้วว่า ลูกจีน 
	เป็นพวกไพร่ เป็นคนอีกวรรณะหนึ่งซึ่งมีแนวโน้มจะทำลายชื่อเสียงของโรงเรียนผู้ดี 

		ภาคปฐมวัย นอกจากผู้เขียน จะเขียนถึงความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบท
	การแบ่งแยกชนชั้น ทัศนคติ ค่านิยมที่ล้าหลังต่างๆ ไว้อย่างกว้างขวางได้อย่างคมคายหลาย
	ตอน เช่นตอนที่หลังจากถูกอาจารย์ใหญ่ลงโทษแล้ว เซ้งพูดกับจันทาซึ่งมาปลอบใจเขาว่า
	
		"เธอกับฉันมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ข้อหนึ่งคือ มาจากครอบครัวที่ยากจน  มันอาจ
	จะเป็นเจ้าความยากจนนี่เอง ที่ทำให้เรากลายเป็นคนเลวร้ายไป"
	
		หรืออย่างตอนที่นิทัศน์แสดงความเห็นกรณีที่เซ้งถูกลงโทษว่า ถ้าเป็น
	เขาเขาจะเถียง เพราะเขาไม่เชื่อว่าพวกผู้ดีเป็นญาติกับเทวดา
	
		"พระเจ้าแผ่นดินหรือขุนนางท่านก็มาจากคนธรรมดาเหมือนอย่างเราๆ ทั้งนี้
	ท่านอาจารย์ เจ้าคุณเองแต่เดิมท่านก็ชื่อแป้ง"
	
		แลไปข้างหน้า ภาคมัชฌิมวัย เป็นเรื่องสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 
	๒๔๗๕ เรื่อยมาจนถึงสงครามโลกครั้งที่ ๒  ตัวละครสมัยเด็กต่างก็โตเป็นผู้หลักผู้ใหญ่
	และแยกย้ายกันไปประกอบอาชีพ  เค้าโครงเรื่องมีลักษณะสะท้อนภาพของสังคมการเมือง
	ที่มีผลกระทบต่อตัวละครต่างๆ กันมากกว่าภาคแรก 

		นิยายเรื่องนี้จบ ลงตรงที่เซ้งซึ่งเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่รักความเป็นธรรมรัก
	ประชาธิปไตย ถูกรัฐบาลจอมพล ป. สมัยร่วมมือกับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ ๒ จับตัว
	ไป ขณะที่นิทัศน์เริ่มไปเรียนต่อที่อังกฤษ  และจันทาเพิ่งออกไปเป็นอัยการในต่างจังหวัด
	ได้ไม่นาน  


กลับไปหนังสือประเภทนิยาย