ยุคทมิฬและเรื่องสั้นอื่นๆ
ของอิสรา อมันตกุล
พิมพ์รวมในหนังสือรวมเรื่องสั้นหลายเล่ม
(พ.ศ.๒๔๙๕ - ๒๕๑๘)

อิศรา อมันตกุล
(พ.ศ.๒๔๖๓ - ๒๕๑๒)



		เรื่องสั้นและนิยาย ของอิศรา อมันตกุลมีแก่นเรื่องเชิดชูระบอบ
	ประชาธิปไตย เชิดชูศักดิ์ศรีของคนจน และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เป็นสากล
	นิยม เชิดชูการใช้แรงงาน เชิดชูความถูกต้อง คัดค้านระบอบเผด็จการคัดค้านการ
	คอร์รัปชั่น คัดค้านนักการเมืองโกงกิน และคัดค้านการเข้าครอบครองของต่างชาติ

	เรื่อง เขาตะโกนหานายกรัฐมนตรี
		ผู้เขียนได้เขียนไว้ว่า
		
		            "ทุกคนเกิดมาเพื่อเสพย์สิทธิ์แห่งมนุษยภาพดุจเดียวกันทั้งสิ้น 
		และสิทธิเสรีภาพนี้ เป็นของทุกคนเสมอกัน ไม่ใช่จะสงวนไว้ให้กับชน
		ชั้นปกครองแต่เพียงกลุ่มเดียว"
	
	นี่คือ ปรัชญาพื้นฐานที่ผู้เขียนมีความเชื่อ และสะท้อนออกมา
	
	เรื่อง ยุคทมิฬ
		ผู้เขียนเขียนไว้ว่า
		
		        "มีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ลูกผู้ชายเราจะยื่นให้แก่คนอื่นไปไม่ได้
		เด็ดขาด  ฉันหมายถึงความนับถือตัวเอง"	

	เรื่อง เหว่...ใครใช้มึงคิดกบฏ
		เป็นเรื่องสั้นที่เด่นที่สุด และมีความสมบูรณ์ที่สุดทั้งด้านวรรณศิลป์และ
	ด้านเนื้อหา 
		
		        "ที่ใดที่เคยถูกกดขี่ ที่ใดที่เคยถูกทำลายล้างด้วยความไม่เป็นธรรม 
		ที่นั่นแรงดันย่อมเกิดขึ้นเป็นพลังซึ่งจะกระตุ้นรุนเร้าให้เกิดการสร้างตัวเอง
		ขึ้นใหม่อย่างเข้มแข็ง เพราะว่าที่ใดที่ประชาชนตกเป็นขี้ข้า ที่นั่นความ
		ดิ้นรนที่จะได้เป็นตัวของตัวเองย่อมปะทุขึ้นมาอย่างมุมานะ..."	
			
	เรื่อง รอยเลือดที่พระแม่มาเรีย
		ผู้เขียนได้ชี้ออกมาว่า เอกราชและอิสรภาพนั้นจะได้มาก็ด้วยการต่อสู้และ
	ต้องแลกด้วยความเสียสละ และชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เพราะเมื่อใครมาเป็นเจ้าเข้า
	ครองที่จะบังคับขับไส อย่างโหดร้ายทารุณ  ผู้เขียนเขียนไว้ว่า
		
		      "หล่อนยืนตัวตรง ใช้ฟันกระชากสลักนิรภัย ชูแขนไปสูงสุดแล้วขว้าง...
		ทีละลูก...ทีละลูก...ทีละลูกอย่างใจเย็น กระสุนปืนกลรัวพรู ตอบมาทันที 
		หล่อนร้องเป็นคำสุดท้ายว่า "อิสรภาพ" รับมฤตยูที่ปลิวมาในอากาศด้วย
		เสียงอันกึกก้อง"

		      "และลิ้นอันแห้งของปถพี ก็ได้ดื่มเลือดสดๆ ของหล่อน เพื่อที่จะกลาย
		เป็นปุ๋ยอันวิเศษเพาะพืชแห่งการต่อสู้ให้เติบกล้าแกร่งไกรยิ่งๆ ขึ้นไป"
		

	เรื่อง ศตวรรษแห่งภราดรภาพ
		เป็นเรื่องสั้นที่สะท้อนกระบวนความคิดในการมองภาพสังคมโดยรวมที่
	ไร้ความยุติธรรม  และอุดมการณ์ของอิศรา ที่สมบูรณ์ที่สุด  

		ผู้เขียนได้เขียนไว้ดังนี้
					
		          "โอ, เจ้าผู้เป็นทายาทของชนกรรมาชีพ ! โอ, เจ้าผู้เป็นพลชาติของ
		อนาคต, ลูกหลานแห่งวันเวลาซึ่งจักต้องมาถึง!  เจ้าจะต้องสู้ และเมื่อความ
		พ่ายแพ้ทำให้เจ้าเริ่มไม่แน่ใจในสัมฤทธิผลแห่งอุดมการณ์ของเจ้า  เจ้าก็
		จะองอาจขึ้นอีก และพูดว่า แพ้ครั้งนี้แต่ไม่ใช่แพ้ตลอดไป เราได้เรียนรู้
		อะไรหลายๆ อย่างจากการแพ้ พรุ่งนี้อุดมการณ์ของเราจะลุกขึ้นอีก, โดย
		เข้มแข็งยิ่งขึ้นทั้งในวุฒิและวินัย"
		
		ผู้เขียนได้เขียนต่อว่า
		
		          "เมืองไทยไม่ต้องการนักปฏิวัติ ไม่ต้องการนักปฏิรูป ถ้าใครขืนไป
		ทำเข้า เขาก็ลากคอเข้าคุกฐานกบฏบ้าง ฐานจลาจลบ้าง  เมืองไทยเวลานี้
		ต้องการคนไม่มีปาก ไม่มีตา ไม่มีหู มีได้แต่จิตใจ  แต่ก็ต้องระงับเงียบไว้
		เหมือนบ้าใบ้ เปล่าดอก เพื่อนเอ๋ย  นี่ไม่ใช่อวสานอันน่าอนาถของคนในเย
		เนเรชั่นนี้เท่านั้น  เรายุคนี้จะจมลงกลางพายุ เหมือนตลาดสุไหงโกลกที่จม
		อยู่ในห่าฝนนั่น  แต่เมืองไทยจักต้องไม่อวสาน... เมืองไทยจะต้องมีคนยุค
		หน้าและยุคต่อๆ ไป จรรโลงให้ออกไปสู่แสงสว่างอันแจ่มจำรูญได้ เราจะ
		เรียกยุคนั้นว่า "ศตวรรษแห่งภราดรภาพ !"


กลับไปหนังสือประเภทเรื่องสั้น