รวมเรื่องสั้นบางเรื่องของ
ฮิวเมอร์ริสต์
พิมพ์ครั้งแรก องค์การค้าคุรุสภา, ๒๕๑๖

ฮิวเมอร์ริสต์ (อบ ไชยวสุ)
(พ.ศ.๒๔๔๔ - ๒๕๔๐)


	
		รวมเรื่องสั้น ของฮิวเมอร์ริสต์ เป็นหนังสือที่คัดเลือกเรื่องสั้นของ 
	ฮิวเมอร์ริสต์ (อบ ไชยวสุ) ทั้งหมด ๗ เรื่อง นำมารวมไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้เขียนได้
	แสดงทัศนะที่เฉียบแหลม ด้วยสายตาที่สังเกตการณ์สังคมอย่างใกล้ชิด

	ตัวอย่างเรื่องสั้นบางเรื่อง จากหนังสือรวมเรื่องสั้น	

	เรื่อง สุนทรพจน์เปิดส้วมสาธารณะ
		เป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงมาก เป็นตำนานขบขันที่เล่าขานต่อกันมา ผู้เขียนได้
	ความคิดมาจากการ ทำพิธีการเปิดป้ายอาคารสถานก่อสร้างใหม่ๆ ซึ่งมีคนอ่านรายงาน 
	และกล่าวสุนทรพจน์  ดังนั้นผู้เขียนจึงเสนอ มุขตลกของ "พิธีการ" ชนิดนี้  โดยการ
	ทำพิธีเปิดส้วมโดยสุนทรพจน์ที่อ่านแล้วก็ "ฮา" ได้จนสะใจ
		
	         	"ท่านผู้เป็นประธานในที่นี้
		         ข้าพเจ้าได้รับมองฉันทะ จากคณะกรรมการจัดสร้างและดูแลบำรุง
		รักษาส้วมสาธารณะ ในอันที่จะกราบเรียนให้ทราบถึงประวัติความเป็นมา
		และจะเป็นไปของส้วมสาธารณะ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ณ ที่นี้ ด้วยได้ปรารภ
		และได้เห็นจริงกันอยู่แล้วว่า ความจำเป็นของการดำรงชีวิตแห่งคนเราทุก
		วันนี้ มีอยู่เจ็ดประการ คือข้อหนึ่ง การกิน ข้อสอง การนอน ข้อสาม การตื่น
		นอน  ข้อสี่ การนอนแล้วก็กินอีก ข้อห้า การดูหนัง ข้อหก ถ้าไม่มีสตางค์ก็
		ต้อทำงานบ้างตามสมควร ข้อเจ็ด การถ่าย  ในบรรดาเจ็ดประการที่กล่าว
		แล้วนั้น ประการหลังที่สุด คือการถ่ายนั้น เป็นประการที่สำคัญที่สุด ที่จริง
		น่าจะค้านได้ว่า ก็สำคัญที่สุดทำไมไม่จัดไว้เป็นลำดับที่ต้นเล่า ข้าพเจ้า
		ขอกราบเรียนว่า การถ่ายเป็นผลของการกิน ถ้าไม่กินแล้ว ก็หามีอะไรจะ
		ถ่ายได้ไม่ ครั้นจะจัดไว้เป็นลำดับต่อจากการกิน ก็ดูไม่สมกับความสำคัญ
		ที่กราบเรียนว่าสำคัญนั้น หาได้ตกแต่งคำพูดให้สละสลวยเพื่อจะลวงให้
		ใต้เท้าตายใจ จะได้ไม่นึกยินร้ายไปในทางไม่เป็นมงคล  ในการมาเป็น
		ประธานเปิดส้วมนั้น หามิได้ แต่ความจริงนั้น การถ่ายได้สำคัญที่สุดอยู่
		แต่เดิมแล้ว ใต้เท้าคงจะได้เคยเห็นคนกำลังกิน เกิดต้องพักการกินไว้ชั่ว
		ครู่เพื่อไปถ่ายเสียก่อน แล้วจึงกลับมากินใหม่ นั่นแสดงว่าการถ่ายสำคัญ
		กว่าการกิน เห็นได้ชัดอยู่แล้ว"
		
		ในตอนจบของสุนทรพจน์กล่าวเปิด ผู้เขียนกล่าวสรุปด้วยข้อความอัน
	เป็น 'สิริมงคล' ประชดประชันไว้ว่าอย่างนี้
		
		         "บัดนี้ได้ศุภฤกษ์อันดีงาม จึงขอเชิญใต้เท้าเปิดกระดาษฟางคลุม
		ป้าย แล้วเข้าไปนั่งถ่ายเป็นปฐมฤกษ์  โดยมิต้องหยอดสตางค์ เพื่อเป็น
		สวัสดิมงคลเจริญรุ่งเรืองวัฒนาถาวรเป็นศรีพระนครสืบไป" (หน้า ๙)	
	
	เรื่อง ออกป่าล่าสัตว์ 
		ในเรื่อง ผู้เขียนเล่าว่านายอำเภอผู้หนึ่งชือ 'เพชรมาก'  เขารวยขึ้นอย่าง
	ผิดสังเกต "แต่ไม่มีใครกล้าสังเกต เพราะกล้ากับคนขนาดนายอำเภอ ที่มีพรรคพวก
	เพื่อนฝูงที่เต็มใจช่วยอยู่มากมาย ซึ่งเขาเรียกกันว่า มีอิทธิพลนั้น ไม่ใช่ความกล้าที่
	ประกอบด้วยความฉลาด" (หน้า ๒๒)  วันหนึ่ง เขาเชิญเพื่อนพ้องมาร่วมกันออกล่า
	สัตว์ในเขตอำเภอมุกดาบูรณ์ และคุณฮูกของเราได้รับเชิญด้วยผู้หนึ่ง  คำถามแรก
	ของคุณฮูกที่ถามนายอำเภอด้วยถือวิสาสะว่าเป็นเพื่อนก็คือว่า ทำไมจึงต้องล่าสัตว์
	ด้วยเล่า ไปเป็นศัตรูกันมาแต่ครั้งไหนหรือ ฮิวเมอร์ริสต์ (ผู้เขียน) ในนามนายฮูก
	ตามท้องเรื่องถามว่า  "นี่นายอำเภอ หน้าตาของอั๊วะนี่นะ มีลักษณะหรือร่องรอยมี
	เส้นลายหรือมีไฝที่แสดงว่าเป็นผู้ชอบยิงเสือยิงช้างหรือ? .... อั๊วะไม่ได้เกลียดมัน
	เลยนี่นา"  นายอำเภอตอบในใจความสำคัญว่า "ลื้อมันช่างไม่ทันสมัย ไม่รู้จักโลกเสีย
	เลย ก็คนเราที่ยิงกันกลุ้มกลุ้มน่ะ เขาเกลียดกันหรือ?  เพียงแต่ประโยชน์ขัดกันเขา
	ก็ยิงกันได้  ทั้งๆ ที่ถ้าพบหน้ากันก่อนยิง  อาจจะกอดคอกินเหล้ากันก็ได้  หรือเพียง
	แต่หวังความชอบที่ได้ปฏิบัติตามสั่ง เขาก็ยิงกันได้" (หน้า ๑๕)

		ในขบวนการล่าสัตว์นี้ นายอำเภอได้แสดงให้เห็นว่า ปีกอำนาจของเขา
	สยายออกไปครอบคลุมอิทธิพลอันกว้างขวาง เขาเป็นแบบแผนของข้าราชการยุค
	ใหม่ผู้กำลังเติบโตมีอำาจในบ้านป่ายุคประชาธิปไตย ที่ออกไปครอบงำหมู่บ้าน และ
	ต้องมีท่านข้าราชการไปทำหน้าที่กลไกอันสำคัญ ผู้เขียนเยาะเย้ยเอาว่า ทุกๆ คนที่มา
	ร่วมขบวนล่าสัตว์นี้ ล้วนแต่เป็นผู้มีตำแหน่งการงานอันน่านับถือ  เช่น "ผู้จัดการ
	(ซึ่งยุ่งแต่การที่ใครใครก็จัดได้) - บรรณาธิการ (หุ่น) - พันเอกทหารม้า (ซึ่งขี่ม้าไม่
	เป็น) - คุณหมอ (ดู) - อาเสี่ย (ซึ่งพกแต่เศษสตางค์) - ครู (ซึ่งสอนได้แต่ทำไม่ได้)
	- นายห้าง (ซึ่งไม่มีห้างจะเป็นนาย) - ท่านเทศมนตรี (ซึ่งเอาใจใส่ความเจริญของ
	ท้องถิ่นเฉพาะในเขตรั้วบ้านของตน) - ท่านผู้แทน (ของจังหวัดอื่น ซึ่งมาหมกแต่
	จังหวัดนี้ ส่วนผู้แทนจังหวัดนี้ ไม่รู้หัวและตัวไปหมกอยู่จังหวัดไหน) - ท่านอัยการ
	(ซึ่งไม่เอาสินบนใคร ถ้าเขาไม่ให้)" (หน้า ๒๔-๒๕)

	เรื่อง ศิลปินกลองยี่เก
		ผู้เขียน เล่าเรื่องชีวิตห้องแถวของสามี-ภรรยา ซึ่งยากจนข้นแค้น คู่
	หนึ่ง เขาบรรยายสภาพห้องแถว และชีวิตครองห้องแถว (ไม่ใช่ครองเรือน) ได้
	เหมือนความจริงราวกับเคยอยู่มาเอง  พ่อโกสินทร์ศิลปินวงลิเกของเราและสาว
	เฮียะภรรยาของเขา  เป็นตัวแทนชายหญิงไทยผู้ซึ่งไม่ว่าจะยากจนเหลือเข็ญ
	อย่างไร ก็ไม่จำเป็นต้องกระตือรืนร้นหรือไม่มีช่องทางจะกระตือรือร้น เพราะแม้
	จะกระตือรือร้นอย่างไรก็ดูไม่มีช่องทางที่ชีวิตจะดีขึ้นมาได้  ชีวิตห้องแถวดำเนิน
	ไปทั้งแบบโลดโผดและครึกครื้นตามแบบไทยๆ  "ความรักก็กลิ้งเกลือกขลุกขลัก
	อยู่ในความไม่มีสตางค์จนแตกสลายไป  เหลืออยู่แต่ความใคร่เป็นบางครั้งบาง
	คราวเท่านั้น  แล้วเสียงด่าก็ปรากฏขึ้น"  ยิ่งตอกย้ำให้ชีวิตห้องแถวของพวกเขา
	ทรุดโทรมลงไปอีกอย่างช่วยไม่ได้
		
		         "พ่อโกสินทร์ ด่ากระทบกระเทียบเปรียบเปรยเอาคนข้างห้องว่า 
		เป็นอะไรอะไรหลายอย่าง และเป็นทุกอย่างนอกจากคน และโดยที่พ่อ
		โกสินทร์เป็นศิลปินที่ไม่มีบทร้อง จึงไม่สู้ถนัดในการสรรหาคำแปลก
		แปลกออกไปในความหมายเดียว จึงได้แต่ด่าซ้ำด่าซากสำนวนเดียวกัน
		อยู่นั่นแล้ว เพียงแต่เปลี่ยนระดับเสียงเท่านั้น วนไปก็เวียนมาน่าเบื่อ ไม่
		ทำให้เกิดสติปัญญาแก่ผู้ได้ยินเลย คนข้างห้องเงียบกริบ ทั้งผัวทั้งเมีย
		ไม่เอ่ยปากเลย  เสียงปึงปังใกล้บ้างไกลบ้าง  ก็ยังดำเนินประชันกับ
		เสียงด่า เสียงขว้างปาทรัพย์สมบัติส่วนตัวและส่วนเมียอยู่เรื่อยไป ปิ๊บ
		มีน้ำยกขึ้นขว้างไม่ไหว พ่อโกสินทร์ก็ฉลาดพอที่จะเทน้ำทิ้งหมดเสียก่อน
		จึงขว้าง  และโดยเสียงมันกระทบฝา	ดังกึกก้องดี  จึงฉายซ้ำรายการปิ๊บ
		บ่อย บางทีเตะมันเป็นฟุตบอลบ้าง โดยขึ้นไปให้มันตกลงบนพื้นบ้าง 
		แต่ถึงจะทำมันยังไง มันก็คงใช้เป็นปิ๊บตักน้ำได้สืบได้ ไม่พังง่ายเหมือน
		ถ้วยชาม" (หน้า ๗๙-๘๐)
		
		ตั้งแต่ห้าทุ่มจนตีสอง พ่อโกสินทร์ด่าและขว้างปาไม่ขาดระยะสลับกัน
	เรื่อยไป จนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง  ก็ปิดฉากหยุดเงียบไปเฉยเฉยโดยไม่ประกาศบอก
	ล่วงหน้า

		ฝ่ายคนข้างห้อง ซึ่งนั่งฟังนอนฟังอย่าแสรำคาญอยู่ตลอดเวลา ครั้นเห็น
	พ่อโกสินทร์เงียบไป ก็ขึ้นบ้างทีเดียว ให้ติดต่อกันไปไม่เว้นระยะ
		
		"เอาละนะ กูทนฟังมาสามชั่วโมงเต็มเต็มแล้ว  ถึงทีกูแสดงบ้างละ" 
	(หน้า ๘๐)
		
		ผู้เขียนแสดงความรู้สึกต่อตลกร้ายแบบนี้ว่า "จะเป็นแฟชั่น - ความ
	นิยมชั่วกาล หรือประเพณี - ความนิยมตลอดกาลอย่างใดแน่ก็ไม่รู้ ที่ผู้อยู่ในห้อง
	แถวจะต้องมีสำนวนด่ากันอย่างซอกแซกเป็นพิเศษ และนำมาใช้ด่ากันวันละสาม
	เวลาก่อนอาหาร มื้อละนานเกินทน" (หน้า ๖๔)


กลับไปหนังสือประเภทเรื่องสั้น