นิทานโบราณคดี พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๘๗
พระนิพนธ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ |
เนื้อหาที่ ๓ เนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างความเป็น "ชาติ" การจัดระบอบ การปกครองเพื่อรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง การสร้างความ "ทันสมัย" ในยุคสมัย ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมไทยก้าวเข้า "ยุคสมัยใหม่" ที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองและสังคม การที่ทรงเป็นพระอนุชา ในรัชกาลที่ ๕ และความที่ทรงพระปรีชาสามารถทำให้พระองค์ทรงรับภาระต่างๆ อย่างหนัก เพื่อสนองพระบรมราชโองการในการสร้างชาติและรัฐใหม่ ในนิทาน ต่างๆ ที่ทรงเล่า สิ่งหนึ่งที่สะท้อนประเด็นหนึ่งที่ชัดเจนที่สุด คือ การแสวงหา บุคลากรที่มีความสามารถเพื่อเข้ามาทำงานในโครงสร้างใหม่ หลังการปฏิรูปทาง การเมือง ในพ.ศ.๒๔๔๕ นิทานเรื่องที่ ๘ - เจ้าพระยาอภัยราชา เป็นเรื่องที่สะท้อนจาก การแสวงหาบุคลากรที่มีความสามารถเพื่อเข้ามา ทำงานในโครงสร้างใหม่ หลังการปฏิรูปทางการเมือง ในพ.ศ.๒๔๔๕ นิทานเรื่องที่ ๑๔ - โรงเรียนมหาดเล็กหลวง เป็นโรงเรียนที่ตั้งขึ้นโดยการฝึกอบรม "ลูกผู้ดี" โดยเฉพาะให้เป็นมหาด เล็กตั้งแต่หนุ่ม โดยให้รับราชการอยู่ในราชสำนักก่อนที่จะส่งตัวไปรับราชการ ใน กระทรวง ทบวง กรม ตามหัวเมือง เพื่อให้บุคลากรเหล่านี้มีความจงรักภักดีต่อ พระมหากษัตริย์และรู้จักการปฏิบัติตนตามมารยาทของสังคมชั้นสูง นิทานเรื่องที่ ๑๒ และ ๑๓ - เกี่ยวกับสุขภาพอนามัย และ การตั้งโรงพยาบาล นิทานทั้งสองเรื่อง สะท้อนภาพความห่วงใยของรัฐบาลที่มีต่อสุขภาพ ของประชาชน โดยการนำการแพทย์สมัยใหม่ มาใช้ในสังคมไทยเป็นครั้งแรก ทรง เล่าเบื้องหลังและพัฒนาการของการตั้งศิริราชพยาบาลที่เป็นไปอย่างทุลักทุเลใน ระยะแรก รวมทั้งเล่าถึงวิธีการแพทย์สมัยโบราณเปรียบเทียบกับสมัยใหม่ เช่น การคลอดลูก การใช้ยาสมัยใหม่ ความพยายามของหลวงในการผลิตนายแพทย์ และตั้งหน่วยงาน เช่น แพทย์ประจำเมือง โอสถศาลา ความพยายามที่จะขยาย การแพทย์สมัยใหม่และยับยั้งโรคระบาดเช่น ฝีดาษ พิษสุนัขบ้า ด้วยการรณรงค์ ให้มีการปลูกฝี ฉีดยาทั่วประเทศ ที่เป็นมุมกลับในนิทานเรื่องนี้ คือ ผู้อ่านจะได้เห็น ภาพของสังคมไทยสมัยก่อนหน้าที่จะมีโรงพยาบาลว่า ชาวบ้านรักษาตัวกันอย่าง ตามยถากรรมจริงๆ และล้มตายจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย ไม่เว้นแม้แต่ในหมู่เจ้า นายเองที่ต้องสิ้นพระชนม์ เพราะขาดการรักษาทางการแพทย์สมัยใหม่หลาย พระองค์ นิทานเรื่องที่ ๒๒ - เทศาภิบาล เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการอธิบายเหตุผลและขั้นตอน ของการจัดการปกครองหัวเมืองด้วยระบบเทศาภิบาล (โดยเปลี่ยนจากรูปแบบเดิม ที่เป็นระบบกินเมือง) ซึ่งองค์ผู้นิพนธ์เป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ในการวางรากฐาน ระบบเทศาภิบาล ในฐานะที่ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีมหาดไทยขณะนั้น ดังนั้นข้อ มูลที่ทรงเขียนไว้จจึงมีความสำคัญ นิทานเรื่องนี้จึงมีคุณค่าอย่างยิ่ง สำหรับประวัติ ศาสตร์การบริหารราชการแผ่นดินในยุคหัวเลี้ยวหัวต่อที่สังคมไทยต้องเผชิญกับ ภัยของมหาอำนาจตะวันตก การปรับตัวให้ทันต่อการณ์ด้วยวิธีการสร้างระบบ บริหารราชการที่มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมหัวเมือง จึงเป็นเรื่องจำเป็นและเร่งด่วน ทรงอธิบายรูปแบบการปกครองหัวเมืองแบบเก่าอย่างละเอียด และยกตัวอย่าง เป็นกรณีๆ ไปให้เห็นถึงจุดบกพร่องของการปกครองแบบเทศาภิบาลอย่างไร ใน เรื่องนี้ยังได้สะท้อนให้เห็นความไม่สบพระทัยของรัชกาลที่ ๕ ที่มีต่อข้าราชการที่ไม่ มีประสิทธิภาพ ทรงแสดงพระประสงค์ที่ต้องการหาบุคลากรที่มีคุณภาพมารับ ราชการ เนื้อหาเบ็ดเตล็ด มีนิทานที่มีลักษณะเนื้อหาเบ็ดเตล็ด ดังนี้ นิทานเรื่องที่ ๑๘ - ค้นเมืองโบราณ ที่สำคัญของเรื่องนี้ คือการที่ทรงตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับที่ตั้งของ เมืองอู่ทอง ก่อให้เกิดการถกเถียงคัดค้านในหมู่นักประวัติศาสตร์และนักโบราณ คดีสมัยใหม่ต่อมา แต่จากวิธีการที่ทรงแสดงพระอัจฉริยะทางวิชาการด้วยการ แสดงให้เห็นว่าก่อนที่จะนำมาสู่ข้อสรุปทางประวัติศาสตร์ ต้องผ่านการถกเถียง เปรียบเทียบกับข้อมูลซึ่งวิธีการของพระองค์เป็นต้นแบบของวิธีการทางประ วัติศาสตร์สมัยใหม่ นิทานเรื่องที่ ๑๕ - อั้งยี่ เป็นเรื่องที่สะท้อนในแง่ของปรัชญาการปกครองไทยโบราณ นอก จากจะให้ความรู้รอบด้านที่กว้างขวางเกี่ยวกับ "อั้งยี่" แล้วยังเป็นการสะท้อน รัฐประศาสนโยบายของรัฐไทยในขณะนั้นที่ใช้วิธีการ อะลุ้มอล่วย ยืดหยุ่น อย่างแยบยลเข้าควบคุมสถานกาณ์ได้ในที่สุด นิทานเรื่องที่ ๙ - หนังสือหอหลวง สะท้อนให้เห็นว่ารัฐไทยสมัยก่อน มีลักษณะควบคุมความรู้ของ สามัญชน กศร.กุหลาบเป็นผู้ที่พยายามลักลอบนำความรู้ออกมาแก้ไขแต่ง เติม จำหน่าย ทรงอธิบายว่า กศร.กุหลาบ เป็นที่มาของคำว่า "กุ" ซึ่งหมาย ถึงสร้างเรื่องไม่จริงและมีพฤติกรรมที่โอ้อวดภูมิปัญญาอย่างผิดๆ อีก ด้วย |