![]() |
กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๐๓ (ฉบับที่ใช้ในการแนะนำ คือ ฉบับที่พิมพ์ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๑๙) |
หนังสือกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ เป็นเสมือนเอกสารทางประวัติศาสตร์ ชั้นต้น เพราะเป็นบันทึกของผู้ที่สร้างประวัติศาสตร์ คือ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ เอง แม้จะมาเขียนภายหลังจากความทรงจำ ซึ่งอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่ก็เป็นงานที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของนายทหารหนุ่มกลุ่มหนึ่ง ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้อย่างดี "ทำแล้วอย่ากลัวจะชั่วหรือดี" คำขวัญของผู้ก่อการ ร.ศ. ๑๓๐ กบฎ ร.ศ. ๑๓๐ คือความพยายามของนายทหารรุ่นหนุ่มกลุ่มหนึ่ง ในปี พ.ศ.๒๔๕๔ (ซึ่งถ้านับเป็นรัตนโกสินทร์ศกหรือ ร.ศ. คือ ๑๓๐) ที่จะคบ คิดกันยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินจากสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นประชาธิปไตย นอกจากอุดมการณ์ทางความคิดที่ต้องการให้ประเทศไทย เจริญก้าวหน้าแล้ว ยังมีสาเหตุเสริมมาจากความรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมและ ความรู้สึกว่าสถาบันทหารถูกทำลายเกียรติภูมิ จากการที่พระบาทสมเด็จพระมง กุฎเกล้าฯ เมื่อครั้งที่ยังทรงเป็นพระยุพราช ได้ทรงสั่งโบยทหารผู้หนึ่งคือ ร.อ.โสม ที่มีเรื่องกับ "มหาดเล็กสมเด็จพระบรมฯ" และการที่ทรงตั้งกองเสือ ป่าขึ้นมามีลักษณะซ้ำซ้อนกับทหารและยังแสดงความโปรดปรานกองเสือป่า เป็นพิเศษ ทำให้เกิดเป็นชนวนสำคัญ "กลายเป็นไฟลามทุ่งแห่งความรู้สึกของ พวกมันสมองปฏิวัติขึ้นบ้าง" (หน้า ๘) การที่นายทหารหนุ่มในยุคนี้เป็นผลผลิตของสังคมที่ก้าวสู่สมัยใหม่ มีสำนึกรับรู้ มีแบบอย่างของ "ความมีอารยะ" "ความทันสมัย" จึงมีความรู้สึกต่อ ต้านการที่รัชกาลที่ ๖ ทรงสั่งลงโทษนายทหาร คือ ร.อ.โสม ที่มีกรณีวิวาทกับ มหาดเล็กของพระองค์ด้วยการ "เฆี่ยนตี" หรือ "การโบย" นายทหารหนุ่มถือว่า เป็นวิธีการลงโทษที่ "ป่าเถื่อน" โดยเห็นว่าน่าจะใช้วิธีการทางกฎหมายซึ่งมีอยู่แล้ว ในขณะนั้นมากกว่า สำนึกดังกล่าวนี้ไม่ปรากฎเพียงเฉพาะกรณีโบย ร.อ.โสม เท่า นั้น แต่ยังปรากฏในกรณีของ ร.ท.แม้น สังขวิจิตร ผู้ก่อการ ร.ศ.๑๓๐ ผู้หนึ่ง ที่เมื่อทราบข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงพระพิโรธที่ตนเป็นหนึ่งใน คณะผู้ก่อการกบฏเพราะเป็น "ศิษย์แท้ๆ" (หน้า ๑๐๗) ของพระองค์ ดังนั้น "ก็ ต้องเฆี่ยนหลังมันเสีย" (หน้า ๑๐๗) ร.ท.แม้น กลัดกลุ้มใจมาก พยายามให้บิดา ของตนวิ่งเต้นไม่ให้ถูกเฆี่ยน เพราะเขารู้สึกว่า "...การเฆี่ยนหลังเป็นการเสื่อมเสียเกียรติของชาติชายนักรบ ตลอดทั้งวงศ์ตระกูลด้วย...แม้แต่จะลงพระอาญาประหารชีวิต เขาก็ ไม่ทุกข์เท่ากับถูกเฆี่ยนหลังเลย..." (หน้า ๑๐๗) ผู้ก่อการ ร.ศ.๑๓๐ เป็นกลุ่มนายทหารหนุ่มผู้ที่มีความรักชาติ พวกเขา เห็นว่า ระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทำให้สังคมไทยกลายเป็น สังคมที่ล้าหลัง ชาวชนบทยากจน มีชีวิตที่แร้นแค้น การได้รับรู้ข่าวสารการปฏิรูป ของประเทศในแถบเอเชีย มีส่วนปลุกให้พวกเขาเกิดความเร่าร้อนต้องการเปลี่ยน แปลงสังคม เพราะเขาเห็นโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศญี่ปุ่นแล้ว ปรากฏ ว่า ญี่ปุ่นมีความเจริญรุดหน้าประเทศไทยไปอย่างมากทั้งๆ ที่ "เคยเดินเคียงคู่มากันแท้ๆ กับประเทศไทย...แต่ครั้นญี่ปุ่นเปลี่ยน ระบอบปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ใต้กฎหมาย แล้วมิช้ามินานเท่าใดนัก ความเจริญก้าวหน้าก็วิ่งเข้ามาหา ประชาชาติของเขาอย่างรวดเร็ว จนเกินหน้าประเทศไทย อย่างไกลลิบ.." (หน้า ๑๑) ดังนั้น กลุ่มทหารหนุ่มจึงคิดว่าการแก้ปัญหาประเทศอยู่ที่ต้องแก้ที่การ เมือง คือ การล้มระบอบราชาธิปไตยให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างที่ ปรากฏในญี่ปุ่นและจีน จึงจะทำให้สังคมไทยก้าวหน้า ร.ต.เหรียญ ศรีจันทร์ ร.ต. จรูญ ษตะเมษ ร.ต.เนตร พูนวิวัฒน์ จึงเริ่มคิดเรื่อง "คอขาดบาดตาย" คือ การ ก่อการกบฏยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ซึ่งพวกเขาเห็นว่าบริหาร ราชการแผ่นดิน ดุจเอาประเทศเป็นของเล่น "ตุ๊กตา" (หน้า ๑๑๗) คณะก่อการถือ ว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพราะ "หากไม่ช่วยกันทำขึ้นก็ใครคนมือเปล่าจะทำได้อย่างไร" (หน้า ๒๖) ในหนังสือ กบฏ ร.ศ.๑๓๐ บรรยายถึงการเริ่มต้นก่อกระแสความคิด และ วิธีการขยายสมาชิกของผู้ก่อการ จนได้สมาชิกหลายสิบคน โดยเฉพาะนายทหาร หนุ่มๆ ที่ "ใจร้อนที่ใคร่จะได้เห็นชาติภูมิของตนเจริญก้าวหน้าเทียบทันอารยประเทศ" แต่กระบวนการขยายสมาชิกและวางแผนการก็ดำเนินไปไม่ได้นาน เนื่องจากมีสมาชิก ผู้หนึ่งเกิดหักหลังกลุ่มผู้ก่อการด้วยการกราบทูลรายงานแผนการและชื่อผู้ก่อการ แก่ผู้บังคับบัญชาและความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในหนังสือเล่ม นี้ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้อย่างระทึกใจ โดยเฉพาะความพยายามของฝ่ายผู้ก่อ การเมื่อรู้ว่าความลับของตนถูกเปิดเผย และอยู่ในภาวะคับขัน พวกผู้ก่อการส่วน หนึ่งคิดที่จะต่อสู้ด้วยการวางแผนปฏิบัติการยึดอำนาจทันที แต่ "เสียงปืนใหญ่" ที่ ใช้เป็นสัญญาณในการระดมพลรุกฮือขึ้นยึดอำนาจไม่อาจดังขึ้นมาได้ เพราะฝ่าย รัฐบาลได้ทำการจับกุมผู้ก่อการระดับหัวหน้าไว้ได้ก่อนอย่างชนิดคลาดกันแค่ "สาย ฟ้าแลบ" (หน้า ๖๖) เนื้อหาของหนังสือต่อจากนั้น เป็นเรื่องราวของการจับกุม การสอบ สวนและการถูกลงโทษ ชีวิตในคุกของผู้ก่อการและเรื่องราวของนักโทษบางคน ที่น่าสนใจก็คือ การที่คณะผู้ก่อการกบฏ ร.ศ.๑๓๐ หลายคนได้ใช้เวลาในคุกเขียน บทความเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ โดยใช้นามแฝง จนถึงภาคปกิณกะ ที่ลงท้ายว่าผู้ที่เคย "ทรยศ" หักหลังกลุ่มผู้ก่อการนั้น ในที่สุดก็ได้รับชะตากรรม จากการกระทำของตน |