ศาลไทยในอดีต เป็นหนังสือที่ให้สาระความรู้เกี่ยวกับ
พระราชอำนาจในการตัดสินคดีความ กฎระเบียบแบบแผน หรือวิธีการบังคับ
ใช้กฎหมายในสมัยสุโขทัย อยุธยา มาจนถึงรัตนโกสินทร์ก่อนเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองปี พ.ศ.๒๔๗๕
ความดีเด่นของเนื้อหาสาระ ได้แก่ การรวบรวมเอาประวัติศาสตร์
บันทึกเหตุการณ์ จดหมายเหตุ และกฎหมายเก่าเกี่ยวกับการพิจารณาคดีความ
หรือปัญหาคดีความที่เกิดขึ้น รวมตลอดไปจนคำประกาศและการใช้พระราช
อำนาจของพระมหากษัตริย์ทางตรง (ทรงกระทำ) และทางอ้อม (ผ่านขุนนาง
และตุลาการ) ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายที่บุคคลใดจะขัดขืนมิได้ มาอธิบายง่ายๆ
อย่างกะทัดรัด เพื่อชี้ให้เห็นภาพรวมของระบบศาลสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
หรือความสำคัญของแต่ละคดีความที่ยกมาอ้างไว้อย่างชัดเจน
คุณค่าของหนังสือ ศาลไทยในอดีต มีการแสดงถึงความสัมพันธ์
ระหว่างระบบการปกครองสมัยโบราณกับระบบศาลที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
โดยพระมหากษัตริย์ ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดในการปกครอง ดังเช่น ใน
สมัยอยุธยาได้แบ่งราชการออกเป็น ๔ กรมหรือที่เรียกว่า "จตุสดมภ์" ได้แก่
เวียง วัง คลัง นา พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจตุลาการผ่านกรมต่างๆ นั่นคือ
มีเสนาบดีกรมวังว่าการในราชสำนัก และการยุติธรรมต่างพระเนตรพระกรรณ
คดีที่ขึ้นศาลกรมวังนี้เป็นคดีบางส่วนและโดยมาเป็นคดีที่ราษฏรฟ้องร้องกัน
เอง พระองค์จะทรงรับอุทธรณ์ในกรณีมีผู้เอาคดีไปกราบทูลว่า ขุนศาลตุลา
การบังคับคดีไม่เป็นธรรม
ส่วนคดีอุกฉกรรจ์มหันตโทษ เช่น กบฏ เสี้ยนหนามแผ่นดิน คดีโจร
ผู้ร้าย จะต้องขึ้นศาลกรมเมือง (เวียง) หรือที่เรียกว่า ศาลกรมพระนครบาล ซึ่ง
มีหน้าที่บังคับกองตระเวน ขุนแขวง อำเภอ และกำนันในเขตกรุง
นอกจากนี้ คดีที่เกิดขึ้นในหน้าที่ราชการกรมใด ก็ให้มีศาลกรมนั้น
พิจารณาพิพากษา เช่น ศษลกรมนา พิจารณาความที่เกี่ยวข้องกับที่นาและโคกระ
บือ ศาลกรมคลังบังคับคดีเกี่ยวกับพระราชทรัพย์ของหลวง เมื่อมีการค้าขาย
กับต่างประเทศเกิดขึ้น ก็มีศาลกรมท่าขึ้นอยู่ในกรมคลัง ทำหน้าที่บังคับคดีเกี่ยว
กับคนต่างชาติ อีกแผนกหนึ่งด้วย
ในหนังสือ ศาลไทยในอดีต นี้ ยังให้ภาพรูปธรรมที่แตกต่างกันของ
สังคมชนชั้นอย่างกระจ่างชัด ว่ามีลักษณะเช่นใด มีวิธีชีวิต จารีตประเพณี
ระเบียบ กฎเกณฑ์และฐานะความเป็นอยู่ที่ต่างกัน ซึ่งสามารถจำแนกภาพสังคม
ชนชั้นออกเป็น
๑. เจ้านายหรือศักดินา แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะทรงมีพระราชอำนาจ
สูงสุดในการปกครองประเทศ ทรงมีประกาศ พระราชปรารภ พระบรมราชวินิจฉัย
หรือพระบรมราชโองการอย่างไรก็ได้ แต่จะต้องยึดหลักการปกครองโดยธรรม
และปฏิบัติตามกฎมณเฑียรบาลที่กำหนดไว้เป็นบรรทัดฐาน
ในกฎมณเฑียรบาล หรือขัอบัญญัติพิเศษเกี่ยวกับพระราชฐาน และพระ
ราชวงศ์นั้นมีอยู่ในกฎหมายตราสามดวง ซึ่งบังคับใช้เพื่อธำรงพระเกียรติยศ
พระราชอำนาจ ฐานันดรศักดิ์ แบบแผนปฏิบัติ การพิทักษ์รักษาภยันตราย ความ
มั่นคงในราชอาณาจักร และข้อห้ามมิให้ปฏิบัติต่างๆ มากมาย
ถึงที่สุดแล้ว พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจตราหรือกำหนด
กฎหมายอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ขุนนางและไพร่ทาสปฏิบัติตาม ดังจะเห็นได้จาก
ประกาศต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ ศาลไทยในอดีต มีเรื่องราวส่วนพระองค์
การบริหารจัดการในราชสำนัก เรื่องเจ้าจอมหม่อมห้าม ธรรมเนียมในวัง รวม
ไปถึงโลกทัศน์และการจัดการปัญหาความขัดแย้งในหมู่เจ้านาย เรื่องชู้สาวในหมู่
ชนชั้นสูง บางเรื่องอาจเห็นเป็นเรื่องแปลกในยุคสมัยปัจจุบัน แต่สมัยสมบูรณาญา
สิทธิราชย์ต้องยึดถือเป็นกฎหมาย เช่น "โทษการทักว่าอ้วนผอม" คดีพระนางเรือ
ล่ม การจับหญิงถวายในหลวง พันปากพล่อย หรือคดีความมากมายที่เกิดขึ้นใน
กำแพงวัง
๒. ชนชั้นขุนนาง จะมีแบบแผนประเพณีปฏิบัติ ฐานะ และบทบาท
หน้าที่อย่างไร เนื้อหาสาระของหนังสือ ศาลไทยในอดีต จะสะท้อนภาพรวมของ
ขุนนางที่ต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ พระราชดำริ ประกาศ และกฎหมาย
อื่นๆ อย่างเด่นชัดว่า ขุนนางนั้นได้เป็นข้าฝ่าละอองธุลีพระบาทของพระมหา
กษัตริย์ อย่างจงรักภักดี แม้ว่าจะมีเนื้อหาบางส่วน จะได้กล่าวถึงคดีความที่ขุนนาง
สมัยพระนารายณ์จะยึดอำนาจบ้างก็ตาม แต่ในที่สุดก็ปรากฏความจริงว่า ผู้กุม
อำนาจได้อย่างแท้จริง คือ ผู้อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง
การลงโทษขุนนางชั้นผู้ใหญ่ หรือผู้สร้างคุณูปการแก่ชาติบ้านเมืองนั้น
พระมหากษัตริย์มิได้ทรงใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคเช่นเดียวกับราษฎรทั่วไป ดัง
กรณีที่สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงลงพระราชอาญาเจ้าพระยาจักรี เรื่องเครื่อง
ประดับพระเมรุมาศพระราชชนนีหลุดร่วงลงมา หลักจากโบยตีแล้วก็โปรดเกล้าฯ
ให้ดำรงตำแหน่งราชการตามเดิม หรือกรณีการลงโทษพันท้ายนรสิงห์ ในสมัยพระ
เจ้าเสือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "คดีพระยอดเมืองขวาง" ต้องรับโทษมหันต์ใน
ร.ศ.๑๑๒ (สมัยรัชกาลที่ ๕) เนื่องจากเป็นผู้นำทหารไทยรบกับทหารฝรั่งเศสที่
บ้านแก่งเจ๊ก แขวงเมืองคำม่วน ในปีเดียวกันนั้น สะท้อนให้เห็นปัญหาคดีความ
ระหว่างประเทศที่ฝรั่งเศสชาติมหาอำนาจ ใชอำนาจศาลแบบสากลเอาชนะศาล
ไทยสมัยสมบูรณญาสิทธิราชย์ ลดทอนพระราชอำนาจสูงสุดของสถาบันกษัตริย์
ลงไป
๓. พระภิกษุสงฆ์หรือนักบวช ศาลไทยในอดีต ได้สะท้อนภาพทาง
สังคมที่เกี่ยวข้องกับบทบาทพระสงฆ์ รวมไปถึงคดีความของพระสงฆ์ ที่เกิดขึ้น
จนทำให้เกิดโลกวัชชะ เนื่องจากมีปัญหาในด้านสตรีเพศ อบายมุข หรือการกระ
ทำอนาจารอื่นใด รวมไปถึงการตั้งตนเป็นผู้วิเศษ นอกจากนี้จังมีกฎหมายเกี่ยว
กับพฤติกรรมแปลกๆ ทางศาสนา เช่น การตัดศีรษะบูชาพระ หรือลัทธิบูชายัญ
เป็นต้น
๔. ไพร่ ทาส หรือราษฎร ศาลไทยในอดีต สามารถสะท้อนภาพและ
รวบรวมเรื่องราวต่างๆ คนส่วนใหญ่ของประเทศในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
จะมีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร ทำไมจึงให้ความสำคัญของสิทธิชายมากกว่าหญิง
ดังคำกล่าวที่ว่า "หญิงเป็นควาย ชายเป็นคน" นั้นจะเห็นได้ชัดใน พระอัยการ
ลักษณะผัวเมีย ปัญหาคดีความที่เกิดขึ้นในหมู่ราษฎรกับราษฎร ปัญหาการออก
ประกาศคุ้มครองความปลอดภัยของเด็ก ปัญหาการปกครองที่เกิดขึ้นระหว่าง
ขุนนางและสถาบันกษัตริย์เป็นเช่นไร มีกฎหมายลักษณะใดที่ใช้บังคับบ้าง เช่น
กฎหมายตราสามดวง หรือพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่เป็นกฎหมายสูง
สุด การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคมที่เกิดขึ้นโดยการออกประกาศหรือพระ
ราชโองการที่เป็นกฎหมาย การกำหนดเขตให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิ
สมภารตั้งบ้านเรือนอาศัยในขอบเขตราชสีมาเป็นเช่นไร มีกฎหมายชาวเรือในยุค
ที่ชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายทางน้ำ ภาพความสัมพันธ์ทางสังคมกับอำนาจการปก
ครองหลากมุมอง
ศาลไทยในอดีต ยังสามารถทำให้คนรุ่นหลังรู้ว่า ศาลพลเรือนสมัย
ก่อน มีองค์ประกอบของกระบวนการ หรือวิธีการพิจารณาพิพากษาคดีกันอย่าง
ไร เช่น ระบบศาลแพ่งและศาลอาญา ทั่วราชอาณาจักร มีผู้พิพากษาที่ประเพณี
และกฎหมายแต่โบราณกำหนดให้เป็นผู้นั่งพิพากษาคดี
เฉพาะในกรุงศรีอยุธยานั้น นอกจากศาลต่างๆ และผู้พิพากษาตาม
ธรรมดาแล้ว ยังมีคณะลูกขุนอีก ๑๒ คน ประกอบด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ๑
ท่านเป็นประธาน ตั้งขึ้นไว้ประดุจศาลสูงของอารยประเทศ
สำหรับศาลสูงนี้ ผู้ไม่พอใจในคำตัดสินของศาลชั้นต้น ย่อมอุทธรณ์
ขึ้นมาให้ศาลสูงพิจารณาใหม่ได้ แต่โดยมาก ศาลสูงมักจะพิพากษาตามมติของ
ศาลชั้นต้น การตัดสินของศาลสูงถือเป็นเด็ดขาด
ในด้านการพิจารณาคดี นอกจากการพยายามหาหลักฐานหรือพยาน
ต่างๆ มาเป็นประกอบแล้ว ยังอาศัยขนบธรรมเนียมความเชื่อทางศาสนา ซึ่งมีอยู่
ในสำนึกของคนไทย และเป็นจิตวิทยาสังคม มาใช้ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์
เช่น วิธีการดำน้ำ ลุยไฟ เอามือจุ่มในกระทะน้ำมันกำลังเดือดๆ การกลืนข้าวศักดิ์
สิทธิ์ ล้วงตะกั่ว (เหลวร้อน) การคาบเทียน เป็นต้น
|