พระประวัติตรัสเล่า
พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๗๖

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

(พ.ศ. ๒๔๐๓ - ๒๔๖๔)


		
		พระประวัติตรัสเล่า พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา 
	วชิรญาณวโรรส เป็นพระนิพนธ์ที่ทรงมุ่งหมายประทานโอวาทแก่ศิษย์ของพระองค์ โดยใช้
	ประสบการณ์ชีวิตและข้อคิดส่วนพระองค์  สำหรับอบรมสั่งสอนเตือนใจ  งานพระนิพนธ์
	นี้มุ่งให้พิมพ์เผยแพร่ภายหลังสิ้นพระชนม์แล้ว ดังนั้นหลังจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ 
	สิ้นพระชนม์  วัดบวรนิเวศวิหาร กับคณะศิษยานุศิษย์  พร้อมใจกันจัดสร้างโรงเรียนมนุษย
	นาควิทยาทาน เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ถายแด่พระองค์ท่าน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า
	อยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เสด็จทรงเป็นประธานในพิธีเปิดโรงเรียน เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๔๖๗ 
	วัดบวรนิเวศวิหาร ดำริจะจัดพิมพ์หนังสือที่ระลึกขึ้น  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 
	ทรงเสนอให้จัดพิมพ์พระนิพนธ์เรื่องนี้  ด้วยเห็นว่าไม่มีหนังสือเล่มอื่นที่สมควร จึงเป็น
	ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๖๗  หลังจากนั้นพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้ง 
	
		ลักษณะและเนื้อหา พระประวัติตรัสเล่า เป็นพระนิพนธ์ความเรียงที่บันทึก
	ความทรงจำประเภทอัตชีวประวัติ ดำเนินเรื่องตามช่วงวัยของชีวิตและการเกิดสถานะทาง
	สังคม ความมุ่งหมายเพื่อใช้ประสบการณ์สั่งสอนอบรมศิษย์เป็นสำคัญ และขอบเขตเนื้อ
	หาพระนิพนธ์ตามลำดับกาลเวลาแห่งพระประวัติ จัดแบ่งออกเป็น ๗ หัวข้อ คือ คราว
	ประสูติ คราวเป็นทารก  คราวเป็นพระกุมาร  คราวเป็นพระดรุณ  คราวทรงพระเจริญ  
	สมัยทรงผนวชพระ  และสมัยทรงรับสมณศักดิ์

		การที่เนื้อหาพระนิพนธ์มิได้ครอบคลุมพระประวัติชีวิต  จวบจนถึงพระปัจฉิม
	วัยก็เพราะทรงมีพระปรารถนาว่า  ศิษยานุศิษย์ของพระองค์รู้จักและทราบพระประวัติเมื่อ
	คราวทรงพระยศสูง  แต่ไม่ทราบพระประวัติชั้นเดิมอันเคยประสบทุกข์อย่างไร ความ
	พยายามเลี้ยงพระองค์มาอย่างไร จึงมีพระประสงค์ประทานความรู้ไว้ให้เป็นนิทัศน์อุทาหรณ์  
	การอ่านพระนิพนธ์นี้แม้จะรับความรู้ตามที่ทรงจากเนื้อเรื่องหรือข้อความระหว่างบรรทัด 
	กระนั้น ด้วยพระเมตตาที่ต้องการสั่งสอนให้ได้ผลเชิงย้ำความคิด จึงพระนิพนธ์ด้วยวิธีเน้น
	กำชับ เช่น เมื่อต้องอบรมเรื่องผู้หญิงแก่ศิษย์ที่ลาสิกขาแล้ว ประทานโอวาทโดยตรงว่า 
	"ศิษย์ของเรา ผู้แก่วัด สึกออกไป ไม่เคยในทางนี้ จงประหยัดให้มากจากผู้หญิงเสเพล แม้
	จะหาคู่จงอย่าด่วน จงค่อยเลือกให้ได้คนดี ถูกนักเลงเข้าอาจพาฉิบหาย ตั้งตัวไม่ติด" หรือ
	พระโอวาทเรื่องการประหยัดก็ประทานตักเตือนว่า "ความเป็นหนี้เป็นดุจหล่มอันลึก ตกลง
	แล้วถอนตัวได้ยากนัก ขอพวกศิษย์ของเราจงระวังให้มาก"

		คุณค่าพระนิพนธ์ พระประวัติตรัสเล่า วัตถุประสงค์ในการทรงพระนิพนธ์ขึ้น
	เพื่อสั่งสอนศิษย์ เป็นที่คาดหมายได้ว่า วรรณกรรมนี้บรรลุวัตถุประสงค์ของผู้นิพนธ์ ส่วน
	ผู้อ่านที่อยู่ต่างสมัยจะรับประโยชน์ประการใดหรือไม่นั้น บรรทัดฐานข้อนี้น่าจะเป็นคำตอบ
	ว่าพระนิพนธ์ดังกล่าวทรงคุณค่ามากน้อยเพียงใด แน่นอนว่าพระประวัติตรัสเล่า แม้เป็น
	เพียงพระนิพนธ์ขนาดสั้น  เนื้อหาไม่ครอบคลุมตลอดพระชนมชีพก็ตาม หากโดยฐานอัต
	ชีวประวัติในยุคแรกของวรรณกรรมไทยย่อมมีค่ายิ่ง และมากไปกว่าคุณค่าประการนั้น 
	เนื่องจากภาษาสำนวนที่ปรากฏในพระนิพนธ์ ถึงจะเป็นภาษาเมื่อเกือบร้อยปีก่อน หากมิได้
	ทรงใช้ภาษายากเกินไป เช่น ถ้อยคำเชิงอารามิกโวหาร หรือใช้คำสแลง เป็นต้น ภาษาที่ง่าย
	เป็นธรรมดาจึงสื่อคุณค่าทางความคิดและเหตุการณ์เรื่องราว ไม่เป็นอุปสรรคแก่ผู้อยู่ต่าง
	สมัย เช่น คนรุ่นปัจจุบัน  การใช้คำในเนื้อความบางตอนก่อให้เกิดภาพพจน์ที่เข้าใจง่าย อาทิ
	"จวนออกพรรษาก็อยากสึก จะได้เที่ยวไปไหนๆ เหมือนปลาต้องการออกไปหาน้ำลึก"

		คุณค่าอีกประการหนึ่งเกิดจากเนื้อหาสาระของพระนิพนธ์ เป็นพระประวัติของ
	สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ  ผู้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของชาติ ได้ทรงพระกรณียกิจอย่าง
	สำคัญทั้งต่อการวางรากฐานการศึกษาสมัยใหม่ของไทย  ทรงปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์
	ไทยและในฐานะพระภิกษุที่ทรงเป็นนักปกครองและบริหารการคณะสงฆ์ ซึ่งแม้ในบัดนี้ก็ยัง
	มิอาจแสวงหาพระภิกษุรูปใดที่ทรงคุณสมบัติดังกล่าว โดยรวมอยู่ในบุคคลนั้นเยี่ยงพระองค์
	ท่าน พระประวัติตรัสเล่าจึงเป็นหนังสืออัตชีวประวัติสำคัญของชาติไทยที่ควรศึกษา

		ขณะเดียวกัน พระประวัติตรัสเล่า ยังเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า 
	แม้ความมุ่งหมายจะเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ส่วนบุคคล  แต่ฉากเหตุการณ์ทางสังคม 
	ที่เกี่ยวข้อง  ส่วนหนึ่งคือสังคมของชนชั้นนำของสังคมไทยทั้งเป็นสังคมไทยในระยะหัว
	เลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของการเมืองในประเทศ และหัวเลี้ยวหัวต่อของไทยกับการเมืองระหว่าง
	ประเทศ ทั้งนี้  สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นพระราชโอรส
	ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ มีพระฐานันดรศักดิ์เป็นพระองค์เจ้า 
	ทรงกำพร้าเจ้าจอมมารดาตั้งแต่พระองค์ยังเป็นพระทารก  และอีก ๘ ปีต่อมาหลังจากพระ
	ประสูติพระบรมมหาชนกนาถ รัชกาลที่ ๔ เสด็จสวรรคต  แม้รัชการที่ ๕ จะเสด็จขึ้นครอง
	ราชย์และทรงพระบรมราชูปถัมภ์เจ้านายพี่น้อง  แต่ทว่ารัชกาลที่ ๕ ทรงครองราชย์โดยมี
	ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน  อำนาจส่วนสำคัญอยู่ที่ขุนนางตระกูลบุนนาค พระนิพนธ์อัตชีว
	ประวัตินี้สะท้อนอารมณ์เมื่อคราวสิ้นรัชกาลที่ ๔ ว่า  "เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงแห่ง
	ความเป็นไปของพวกเราเป็นครั้งแรก คนผู้เคยฝากตัวก็จืดจางไป คนที่เราไม่เคยเกรง ก็
	ต้องเกรง" กระทั่งทรงสรุปว่า "ช่างเป็นคราวที่เจ้านายตกต่ำเสียนี่กระไร"

		กระนั้น จากพระประวัติตรัสเล่า ยังสะท้อนสังคม  สะท้อนพระปรีชาสามารถ
	ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระปิยมหาราชที่ทรงดูแลเจ้านายพี่น้อง 
	ทรงใส่พระทัยเรื่องการศึกษา  ดังการศึกษาของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า นอกจากเรียน
	อย่างไทยแล้ว  ผลจากการเรียนภาษาอังกฤษขณะพระชนม์ ๑๒ พรรษากับครูฝรั่ง ได้รู้
	พงศาวดารอังกฤษ รวมถึงรู้เรื่องราชาธิปไตย ฝรั่งเศสล่ม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ สันนิษฐานได้
	ว่า ชนชั้นนำของไทยเรียนรู้สังคมโลก และตระเตรียมได้ดี  จึงสามารถรักษาเอกราชและ
	อธิปไตยไว้ได้สำเร็จ  ขณะเดียวกัน อิทธิพลฝรั่งที่สะท้อนผ่านพระประวัติตรัสเล่า ด้าน
	หนึ่งต่อปัจเจกชนย่อมแสดงผลทางค่านิยม เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ครั้งยังมิได้
	ทรงผนวช มีความนิยมฝึกขี่ม้าและขับรถยนต์  แม้พระนิสัยส่วนพระองค์ที่เคยติดการ
	พนัน  เมื่อคบกับฝรั่งที่ดีและสำคัญผิดว่าฝรั่งโดยทั่วไปก็ไม่เล่นการพนัน จึงทรงแก้ไข
	พระนิสัยของพระองค์  ดังทรงกล่าวว่า "เราตื่นเอาอย่างฝรั่งหนักเข้า ฝรั่งครั้งนั้นที่เรา
	รู้จักเขาไม่ฝักใฝ่ในการพนัน เล่น จะไม่เหมือนฝรั่ง จึงจืดจางเลิกไปเอง"  ลักษณะร่วม
	สมัยของการคิดชื่นชมฝรั่งนั้น  ทำให้การแบ่งกลุ่มเป็นเจ้านายขุนนางรุ่นใหม่เรียกว่า
	สยามหนุ่ม  ส่วนเจ้านายขุนนางรุ่นเก่าเป็นพวกสยามเก่า  พระนิพนธ์เรื่องเดียวกัน สะ
	ท้อนสังคมบางตอนว่า "เสียงพวกสยามหนุ่มข้อนพระสงฆ์ว่าบวชอยู่ไม่ได้ทำประโยชน์
	อย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่แผ่นดิน ขี้เกียจ กินแล้วนอนรับบำรุงของแผ่นดินเสียเปล่า"

		แม้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ ๕ จะทรงนำในกลุ่มสยามหนุ่มหากพระ
	องค์ท่านมิได้คิดเช่นนั้น ทรงเห็นความสำคัญของสถาบันสงฆ์ เมื่อทราบว่า พระเจ้าน้องยา
	เธอฯ คือ  สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  ทรงสนพระทัยศาสนาเมื่อก่อนจะทรงผนวช จึงทรง
	เกลี้ยกล่อมให้ทรงพระผนวชเป็นหลักในสถาบันสงฆ์  โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรับ
	ราชการเช่นกัน  และทรงพระผนวชในพรรษาแรก มีพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ ๕ ที่
	ส่งผลต่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้าตัดสินพระทัย ครองสมณเพศตลอดพระชนมชีพ ทั้ง
	นี้นับเนื่องจากพระราชจรรยาที่เสด็จประเคนพุ่มเมื่อเข้าพรรษา  และทรงกราบอย่างเป็น
	พระ แปลกจากพระองค์อื่นที่เพียงทรงประคองอัญชลี ภาษาที่ถ่ายทอดจากพระอารมณ์
	สะเทือนใจนี้ปรากฏในพระประวัติตรัสเล่าว่า  "เรานึกสลดใจว่า โดยฐานเป็นพระเจ้าแผ่น
	ดินท่านก็เป็นเจ้าของเรา โดยฐานเนื่องในพระราชวงศ์เดียวกัน ท่านก็เป็นพระเชษฐาของ
	เรา โดยฐานเป็นผู้แนะราชการพระราชทาน ท่านก็เป็นครูของเรา เห็นท่านทรงกราบ  แม้
	จะนึกว่าท่านทรงแสดงเคารพแก่ธงชัยพระอรหันต์ต่างหาก ก็ยังวางใจไม่ลง ไม่ปรารถนา
	ให้เสียความไว้วางพระราชหฤทัยของท่าน ไม่ปรารถนาให้ท่านทอดพระเนตรเรา  ผู้ที่ท่าน
	ทรงกราบแล้วถือเพศเป็นคฤหัสถ์อีก ตรงคำที่เขาพูดกันว่ากลัวจัญไรกิน เราตกลงใจว่า
	จะไม่สึกในเวลานั้น"


กลับไปหนังสือประเภทศาสนา, ปรัชญา