แพทยศาสตร์สงเคราะห์ เป็นตำราแพทย์แผนโบราณ ฉบับหลวง
มีที่มาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเห็นว่า
บรรดาคัมภีร์แพทย์แผนโบราณและตำรายาพื้นบ้านของไทย มีคุณประโยชน์ยวดยิ่ง
และได้มีการศึกษาเล่าเรียนคัดลอกต่อกันมาด้วยความเพียรพยายามในหมู่แพทย์และ
ผู้ที่นิยมสนใจ แต่ต้นฉบับพระตำราหลวงที่ได้สร้างขึ้นและได้ใช้สืบสายกันมายาว
นาน ก็สูยหายไปบ้าง ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องทำนุบำรุง ให้พระคัมภีร์แพทย์
ปรากฏไว้เป็นหลักฐานเผยแพร่ต่อไปในกาลภายหน้า จึงได้ทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าฯ ให้ประชุมแพทย์หลวงเริ่มแต่ปี พ.ศ.๒๔๑๓ นำคัมภีร์แพทย์ในที่ต่างๆ มา
ตรวจสอบชำระให้ตรงกันกับฉบับดั้งเดิม ในการนี้ได้ทรงแต่งตั้งคณะกรรมการแพทย์
หลวงขึ้นมาชุดหนึ่ง ประกอบด้วย พระเจ้าราชวงศ์เธอกรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย จาง
วางกรมแพทย์ ร่วมกับพระยาอมรศาสตร์ประสิทธิ์ศิลป์ หลวงกุมารเพชร หลวงกุ
มารแพทย์ ขุนกุมารประเสริฐ ขุนกุมารประสิทธิ์ ขุนเทพกุมาร
ให้แพทย์หลวงคณะนี้ จัดการตรวจสอบชำระพระคัมภีร์แพทย์ทั้งมวล
ให้ถูกต้องมีหลักฐานจดบันทึกไว้ในหอสมุดหลวง เพื่อให้ใช้บำบัดโรคภัยไข้เจ็บแก่
มหาชน คณะกรรมการชุดนี้ได้ชำระตรวจสอบกับคัมภีร์ต้นแบบ คือ "คัมภีร์ประถม
จินดา" เห็นถูกถ้วนแล้ว จึงส่งมอบให้กรมพระอาลักษณ์ ในการนี้ พระเจ้าราชวงศ์
เธอ กรมหมื่นอักษณสาสนโสภณ จางวางกรมพระอาลักษณ์ และขุนหมื่นกรมราช
บัณฑิต เขียนอักษรขอบเส้นทอง กรมพระอาลักษณ์ ชุบอักษรไทยลายเส้นหรดาล
นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อเป็นส่วนพระราชกุศลเป็นที่เฉลิมพระเกียรติยศ และเป็น
สมบัติของแผ่นดินสืบไป
ความเป็นมาดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ภูมิปัญญาไทยมีที่มาหลากหลาย
เฉพาะทางด้านแพทยศาสตร์นั้น ได้มีการสั่งสมสืบทอดภูมิปัญญาจากคัมภีร์ต้นแบบ
คือ "คัมภีร์ประถมจินดา" ของอินเดีย อันจัดเป็นภูมิปัญญาตะวันออกโดยแท้จริง
แต่เดิมนั้น ตำรายาและการแพทย์แผนโบราณ ได้จารเป็นอักขระขอมภาษามคธใช้
อ่านและจดจำกันมาเช่นเดียวกับคัมภีร์เทศน์ธรรมะต่างๆ ในใบลานสำหรับในราช
สำนักสยามแต่โบราณนั้น ขึ้นชื่อว่า "พระคัมภีร์แพทย์" หรือ "พระตำราหลวง" ก็คือ
ตำราแพทย์นั้นเอง ตำราแพทย์หลวงเหล่านี้ ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์เจ้านายก็เป็นแพทย์
กันแทบทุกพระองค์ พระมหากษัตริย์ไทยจึงทรงมีพระคลังยาและคลังพระตำรา ซึ่ง
เรียกว่า "คลังพระตำราข้างพระที่" เป็นแหล่งศึกษาค้นหว้าระดับราชสำนัก แม้ในสมัย
รัชกาลที่ ๖ ซึ่งเป็นสมัยที่รับเอาการแพทย์แผนตะวันตกมาใช้ในราชสำนักแล้ว ร่อง
รอยของการที่เจ้านายระดับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ยังคงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณและ
ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ราษฎร เช่นกรณีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขต
อุดมศักดิ์ "พระบิดาแห่งกองทัพเรือ" ซึ่งได้รับการศึกษาแบบตะวันตกเป็นอย่างดี ณ
ประเทศอังกฤษ เมื่อทรวงว่างจากพระภารกิจ ก็ยังทรงศึกษาการแพทย์แผนโบราณ
ประสานกับแผนตะวันตก ทรงแต่งตำราแพทย์ชื่อ "คัมภีร์อติสาระ" เพื่อใช้ป้องกัน
และรักษาอหิวาตกโรคและทรงออกไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ประชาราษฎร โดยไม่
คิดมูลค่าใดๆ จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่ราษฎรแถบนางเลิ้งว่า "หมอพร"
เป็นต้น
การศึกษาวิชาแพทย์ในสมัยก่อนนั้น สานุศิษย์ผู้ประสงค์จะได้วิชาแพทย์
จะต้องใช้วิธีต่อปากต่คำจากท่านอาจารย์โดยตรง แล้วก็นำมาท่องบ่นจนขึ้นใจ ทั้ง
ยังต้องปรนนิบัติรับใช้ติดหน้าตามหลัง คอยช่วยปฏิบัติหัดงานนวดเฟ้นให้อาจารย์
จึงจะได้วิชา การชำระเรียบเรียงคัมภีร์แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ จึงนับเป็นคุณูปการ
สำคัญยิ่งต่อวงวิชาการแพทย์ไทย ในยุคต้นแห่งการปฎิรูปการศึกษาให้เป็นแบบ
แผนใหม่ในรัชสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังปรากฎว่า ในปี พ.ศ.๒๔๓๒
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้ง โรงเรียนราชแพทยาลัยขึ้น ในโอกาสนี้ก็ได้มีการ
จัดพิมพ์ตำราแพทย์หลวงสำหรับโรงเรียนขึ้นใช้เป็นครั้งแรก ตำราแพทย์เล่มแรกนี้
ก็คือ แพทยศาสตร์สงเคราะห์ นั่นเอง โดยจัดพิมพ์เป็นตอนๆ เริ่มเมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๓๘
ทรงมีพระราชปรารภในการจัดพิมพ์ครั้งแรกว่า
"มนุษย์สามัญชนทั้งหลาย ย่อมมีความรักในชีวิตและสังขารร่างกาย
ยิ่งกว่าสิ่งทั้งปวง...ในการนี้จำเป็นต้องอาศัยตำราที่มีหลัก ถูกแบบแผน
รวมกับความเข้าใจใคร่ครวญหาเหตุของผู้อ่าน...ทั้งสองอย่างนี้จะทำ
ประโยชน์แก่ผู้นั้นพร้อมทั้งครอบครัว ในเมื่อประสบกับโรคไข้ภัยเจ็บจะ
ได้หายารับประทานได้ทันท่วงที มิให้โรคกำเริบเรื้อรังต่อไป"
จะเห็นได้ว่า จุดมุ่งหมายของตำรา แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เมื่อพิจารณา
จากพระราชปรารภนั้น มิได้มีบทบาทเป็นตำราแพทย์ เฉพาะให้แพทย์ใช้ และก็มิได้เป็น
เพียงตำราแพทย์ที่ใช้เรียนในราชแพทยาลัยเท่านั้น หากยังเป็นตำราแพทย์ประจำบ้าน
สำหรับสามัญชนทั่วไป ไว้ใช้ช่วยตนเองและครอบครัวด้วย แต่เนื่องจากตำรานี้ รวบ
รวมไว้อย่างกว้างขวาง การจัดพิมพ์ครั้งแรกนี้จึงพิมพ์ได้เพียง ๓ เล่มเล็กๆ แล้วก็
หยุดชะงักไป เมื่อบรรดาแพทย์ประกาศนียบัตร ซึ่งสอบสำเร็จวิชาแพทย์จากโรง
เรียนราชแพทยาลัยได้แล้ว ได้ร่วมกันจัดตั้ง "เวชสโมสร" ขึ้น สโมสรนี้ขึ้นอยู่กับ
กรมสัมปาทิกสภา กระทรวจศึกษาธิการ ได้ร่วมกันพิมพ์ตำราแพทย์ขึ้นอีกในปี พ.ศ.
๒๔๔๗ ให้ชื่อว่า แพทยศาสตร์สังเคราะห์ตามฉบับแรก แต่ได้กล่าวถึงวิธีการรักษา
และตำราแพทย์แผนฝรั่งเป็นหลัก ผสานกับการใช้ยาไทยในส่วนที่ยังหายาฝรั่งแทนไม่
ได้ ในครั้งนี้ แพทยศาสตร์สงเคราะห์ ได้รับการจัดพิมพ์ในรูปแบบวารสารรายเดือน
ปีละ ๑๒ ฉบับ แต่ออกได้เพียง ๔ เล่ม ก็ต้องล้มเลิกไปอีกเพราะหมดทุน
กว่า แพทยศาสตร์สงเคราะห์ จะได้รับการจัดพิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์ได้ก็
เมื่อ เจ้าคุณพิษณุประศาสตร์เวช (ท่านอาจารย์คง) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์แผน
ไทยในคณาจารย์ของโรงเรียนราชแพทยาลัย ต่อมาคือโรงเรียนเวชสโมสรได้เห็นความ
จำเป็นว่า บรรดาราษฎรไทยที่ป่วยไข้ ต้องรู้จักวิธีการรักษาตนเอง การจะเสาะแสวงหา
ตำราแพทย์ซึ่งมีอยู่น้อย มาคัดลอกเพื่อไปใช้เยียวยา ก็เป็นการล่าช้าไม่ทันการพระ
คัมภีร์ของหลวงที่ตรวจสอบถูกต้องมีอยู่แล้วก็จริงแต่ก็ใช้กันในหมู่แพทย์หลวงเท่า
นั้น ประชาชนทั่วไปมีโอกาสใช้น้อย อีกทั้งท่านมีความประสงค์จะเทิดทูนความศักดิ์
สิทธิ์ของพระคัมภีร์แพทย์ไทยไว้ ให้เป็นสมบัติสาธารณะแก่ลูกหลานเหลนไทยทั้งมวล
จึงนำความคิดเห็นนี้กราบทูลขอประทานอนุญาตพิมพ์คัมภีร์ แพทยศาสตร์สงเคราะห์
ฉบับหลวง สองเล่มจบ ให้เป็นตำราแพทยแผนของไทยเราเอง สมเด็จฯ กรมพระยา
ดำรงราชานุภาพ ฉันทานุมัติให้จัดพิมพ์เป็นครั้งแรกอย่างสมบูรณ์ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม
พ.ศ.๒๔๕๐ นอกจากนี้ ยังได้จัดพิมพ์ฉบับย่อให้เป็นคู่มือราษฎรสามัญใช้ได้ทั่วไป ชื่อ
ว่า "เวชศีกษา" หรือ "แพทยศาสตร์สังเขป" ในปีต่อมา หนังสือทั้งสองชุดนี้คือ แพทย
ศาสตร์สงเคราะห์ฉบับหลวง เล่ม ๑-๒ และ เวชศึกษา เล่ม ๑-๒-๓ ของพระยาพิษณุ
ประศาสตร์เวชรวม ๕ เล่ม ทางราชการกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศระบุให้เป็น
ตำราหลวง แทพย์เภสัชกรโบราณ มีสิทธิ์ใช้ปรุงยาโดยมิต้องใช้ตำรายาในตำราเล่มนี้
ไปจดทะเบียนตำรายาไทย
นับแต่นั้นมา แพทยศาสตร์สงเคราะห์ ได้รับการจัดพิมพ์อีกหลายครั้ง
อาทิ ในปี พ.ศ.๒๔๖๖ โดยโรงพิมพ์พาณิชศุภผล และเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๔ โรงเรียน
แพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
ก็ได้จัดพิมพ์ฉบับสมบูรณ์ ครบถ้วนทั้งเล่ม ๑ และเล่ม ๒ อีกครั้งหนึ่ง โดยนายวีร
ตันติวีรกุล เปรียญ (ทนายความ) ผู้เป็นเจ้าของผู้จัดการ และอาจารย์ใหญ่โรงเรียน
แพทย์แผนโบราณ โดยได้รับอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นจากเจ้าคุณพระวิเชียร
ธรรมคุณราช รองเจ้าอาวาส เป็นผู้อุปการะ โรงเรียนนี้ได้ใช้หนังสือตำรา แพทย
ศาสตร์สงเคราะห์ ฉบับพระยาพิษณุประศาสตร์เวชเป็นหลักสูตรการสอนสืบมาจน
กระทั่งทุกวันนี้
ตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์ มี คัมภีร์ประถมจินดา เป็นตำราหลักว่าด้วย
พรหมปุโรหิต (ต้นเหตุที่มนุษย์เกิด), โลหิตระดูสตรี, ครรภทวารกำเนิด, ขีวกโกมารภัจ
แพทย์, ครรภรักษา, ครรภวิปลาส, ครรภปริมณฑล, ครรภประสูติ และตำรายาสำหรับ
กุมาร รวมไปถึงเรื่องว่าด้วยกุมารคลอด วิธีฝังรก กุมารอยู่ในเรือนเพลิง (มารดาอยู่
ไฟ), ลักษณะซางต่างๆ สำหรับเด็กเกิดในแต่ละวัน และตำราแก้ซาง, ว่าด้วยกิมิชาติ
(พยาธิ) และตานต่างๆ พร้อมทั้งตำราแก้โรคต่างๆ ข้างท้ายลักษณะอาการโรคทุกโรค
ที่ระบุไว้อย่างละเอียด
นอกจากนี้ ก็มีคัมภีร์ประกอบ เช่น คัมภีร์ธาตุวิภังค์ ว่าด้วยธาตุพิการตาม
ฤดู ลักษณะธาตุทั้งสี่ที่พิการ, "คัมภีร์สรรพคุณและมหาพิกัติ" ว่าด้วยส่วนเครื่องยา
และสมุฎฐานแห่งโรค ซึ่งรวมไปถึงสรรพคุณยาแก้ไข้ทรพิษ
แพทยศาสตร์สงเคราะห์ นอกจากจะอุดมสมบูรณ์ด้วยองค์ความรู้อันเป็น
ภูมิปัญญาตะวันออกและภูมิปัญญาไทยด้านเวชศาสตร์และสมุนไทรไทยแล้ว ยังเป็น
หนังสือที่แฝงฝังไว้ด้วยปรัชญาที่มีคุณค่า โดยเฉพาะภาคนำว่าด้วย ฉันทศาสตร์ ซึ่ง
เรียบเรียงขึ้นจากคัมภีร์ฉันทศาสตร์โบราณ โดย พระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) ผู้ว่า
ราชการเมืองจันทบุรีนั้น ได้สะท้อนให้เห็นโลกทัศน์ วิถีชีวิตคนไทยและมรรคปฏิบัติ
อันควรของผู้ได้ชื่อว่าแพทย์ อย่างน่าสนใจยิ่ง
อ่านต่อ ไปหน้าที่ 2
|