จดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวโรม
    [01] [02] [03] [04] [05] [06] [07] [08] [09] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16]

      รม 1:1-7 คำขึ้นต้น
      (1) จากเปาโล ผู้รับใช้ของพระคริสตเยซู ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกมาเป็นอัครสาวก
      (2) และทรงมอบหมายให้ประกาศข่าวดีซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาไว้ทางประกาศกในพระคัมภีร์
      (3) ข่าวดีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ซึ่งโดยธรรมชาติมนุษย์
      (4) ทรงบังเกิดในเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด และโดยทางพระจิตเจ้าผู้บันดาลความศักดิ์สิทธิ์ ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระบุตรผู้ทรงอำนาจของพระเจ้าโดยการกลับคืนพระ ชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย พระองค์คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
      (5) ด้วยเดชะพระเยซู คริสตเจ้านี้ เราได้รับพระหรรษทาน และภารกิจการเป็นอัครสาวกเพื่อนำประชาชาติทั้งหลายให้มาปฏิบัติตามความเชื่อ ทั้งนี้เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระองค์
      (6) และท่านทั้งหลายก็อยู่ในบรรดาบุคคลเหล่านี้ ท่านเป็นของพระเยซู คริสตเจ้าแล้วเพราะพระองค์ทรงเรียก
      (7) ถึงทุกท่านในกรุงโรมผู้ที่พระเจ้าทรงรัก และทรงเรียกให้เป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ขอพระหรรษทานและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา สถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด

      รม 1:8-15 การขอบพระคุณและคำอธิษฐาน
      (8) ด้วยเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าสำหรับท่านทุกคน เพราะความเชื่อของท่านเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก
      (9) พระเจ้า ผู้ซึ่งข้าพเจ้าถวายพระเกียรติรับใช้ด้วยจิตใจของข้าพเจ้าด้วยการเทศน์ประกาศข่าวดีเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์นั้น ทรงเป็นพยานได้ว่า ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านทั้งหลายในคำภาวนาอยู่เสมอ
      (10) และอธิษฐานอยู่เสมอให้ข้าพเจ้ามาเยี่ยมเยียนท่านได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งหากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
      (11) เพราะข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งที่จะพบท่านเพื่อนำพระพรพิเศษบางประการของพระจิตเจ้าไปมอบให้ ซึ่งจะทำให้ท่านเข้มแข็งมั่นคงยิ่งขึ้น
      (12) คือเราจะได้รับกำลังใจร่วมกันจากความเชื่อเดียวกัน คือความเชื่อของท่านทั้งหลายและความเชื่อของข้าพเจ้า
      (13) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านรู้ว่า ข้าพเจ้าวางแผนมาเยี่ยมท่านหลายครั้งแล้ว เพื่อจะทำงานกับท่านให้ได้ผลดีอย่างที่เคยได้รับจากคนต่างชาติในที่อื่น ๆ แต่ก็มีอุปสรรคมาจนถึงบัดนี้
      (14) ข้าพเจ้ามีภารกิจต่อชาวกรีกเช่นเดียวกับที่มีต่ออนารยชน
      (15) ต่อผู้มีปัญญาและต่อผู้ไม่มีปัญญา ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงพร้อมที่จะเทศน์ประกาศข่าวดีแก่ท่านที่กรุงโรมเช่นกัน ความรอดพ้นโดยอาศัยความเชื่อ การบันดาลให้เป็นผู้ชอบธรรม

      รม 1:16-17 เนื้อเรื่องของจดหมาย
      (16) ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องละอายต่อข่าวดี เพราะนี่คืออานุภาพของพระเจ้าซึ่งนำความรอดพ้นให้แก่ทุกคน ที่มีความเชื่อ ให้แก่ชาวยิวก่อน และให้แก่คนต่างชาติด้วยเช่นกัน
      (17) เพราะความเที่ยงธรรมที่พระเจ้าช่วยให้รอดพ้นถูกเปิดเผยในข่าวดีนี้ ความเที่ยงธรรมดังกล่าวขึ้นอยู่กับความเชื่อ และนำไปสู่ความเชื่อดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ผู้ชอบธรรมจะมีชีวิตโดยอาศัยความเชื่อ

      ก. พระเจ้าทรงลงโทษคนต่างชาติและชาวยิว

      รม 1:18-32 การลงโทษคนต่างชาติ
      (18) พระเจ้าจากสวรรค์ทรงแสดงให้มนุษย์เห็นการลงโทษ ความไม่เคารพนับถือพระเจ้า และความอธรรมทุกชนิดของพวกเขาที่ปิดบังความจริงในความอธรรมของตน
      (19) ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าทรงทำให้สิ่งที่รู้ได้เกี่ยวกับพระองค์ปรากฏชัดอยู่แล้ว
      (20) กล่าวคือ ตั้งแต่เมื่อทรงสร้างโลก คุณลักษณะที่ไม่อาจแลเห็นได้ของพระเจ้า คือพระอานุภาพนิรันดรและเทวภาพของพระองค์ปรากฏอย่างชัดเจนแก่ปัญญามนุษย์ในสิ่งที่ทรงสร้าง ดังนั้น คนเหล่านี้จึงไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ
      (21) พวกเขารู้จักพระเจ้า แต่ไม่ได้เคารพบูชาพระองค์เป็นพระเจ้าหรือขอบพระคุณพระองค์ ความคิดหาเหตุผลของพวกเขากลับใช้การไม่ได้ และจิตใจที่ไม่ยอมเข้าใจกลับมืดบอดลง
      (22) พวกเขาคิดว่าตนเป็นคนฉลาด แต่ในความเป็นจริง พวกเขากลับโง่จนถึงกับ
      (23) นำพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับภาพเลียนแบบ คือภาพมนุษย์ที่ไม่เป็นอมตะ ภาพสัตว์ปีก ภาพสัตว์สี่เท้า หรือภาพสัตว์เลื้อยคลาน
      (24) ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงทอดทิ้งพวกเขาให้ตกอยู่ในความปรารถนาฝ่ายต่ำที่จะประพฤติชั่ว ล่วงเกินร่างกายของกันและกัน
      (25) เนื่องจากพวกเขาแลกความจริงของพระเจ้ากับความเท็จ หันไปนมัสการสิ่งสร้างแทนพระผู้สร้างผู้สมควรได้รับการถวายพระพรตลอดนิรันดร อาเมน
      (26) ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงทอดทิ้งพวกเขาให้จมลงในราคะตัณหาที่เสื่อมทราม
      (27) พวกผู้หญิงแทนที่จะมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ กลับมีเพศสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติ พวกผู้ชายก็เช่นกัน เลิกมีเพศสัมพันธ์ตามปกติกับผู้หญิง กลับเผาผลาญตนเองด้วยความใคร่กับผู้ชายด้วยกัน ผู้ชายทำอนาจารกับผู้ชาย และได้รับผลกรรมชั่วที่สาสมกับความวิปริตของตน
      (28) ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากพวกเขาไม่ยอมรับรู้พระเจ้า พระองค์จึงทรงทอดทิ้งพวกเขาให้หลงผิดและประพฤติชั่ว
      (29) ดังนั้น พวกเขาจึงจมอยู่ในความอธรรมทุกชนิด ความเลวทราม ความโลภและความชั่ว มีแต่ความอิจฉาริษยา การฆาตกรรม การทะเลาะวิวาท การทรยศและการอาฆาต
      (30) การใส่ร้าย การนินทา การเป็นศัตรูกับพระเจ้า การเป็นคนหยาบคาย ความหยิ่งยโสและโอหัง การทำความชั่วอยู่เสมอ การไม่เชื่อฟังบิดามารดา
      (31) ความไม่มีสติ ไม่มีเกียรติ ไม่มีความรัก ไม่มีความสงสาร
      (32) พวกเขาต่างรู้ตัวดีถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ว่า ผู้ประพฤติตนเช่นนี้สมควรจะต้องตาย พวกเขาไม่เพียงแต่จะประพฤติตนเช่นนี้เท่านั้น ยังยกย่องคนที่ทำเช่นเดียวกันอีกด้วย   
      [Go Top]

      รม 2:1-11 ชาวยิวประพฤติผิด
      (1) ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นใครก็ตามที่กล่าวคำพิพากษาผู้อื่น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ เช่นกัน ท่านเองนั่นแหละที่กล่าวโทษตนเองเมื่อตัดสินผู้อื่น เพราะท่านเองที่พิพากษาก็ประพฤติตนในทำนองเดียวกัน
      (2) เราตระหนักดีว่า คนที่ประพฤติตนเช่นนี้จะถูกพิพากษาลงโทษจากพระเจ้าตามความเป็นจริง
      (3) แต่เมื่อท่านตัดสินคนที่ประพฤติผิดขณะที่ตนก็ทำเช่นเดียวกัน ท่านคิดหรือว่าจะรอดพ้นจากการพิพากษาลงโทษของพระเจ้าไปได้
      (4) หรือว่าท่านไม่คำนึงถึงความดี ความอดกลั้นและความพากเพียรอันล้นเหลือของพระเจ้า ไม่ยอมรับรู้ว่าพระทัยดีของพระเจ้าทรงมีเพื่อนำท่านให้สำนึกผิดและกลับใจ
      (5) ความดื้อดึงไม่ยอมกลับใจของท่านมีแต่จะสะสมโทษสำหรับตนในวันพิพากษาลงโทษ เมื่อพระเจ้าทรงประกาศคำตัดสินเที่ยงธรรมของพระองค์
      (6) พระองค์จะทรงตอบสนองทุกคนตามสมควรแก่การกระทำของพวกเขา
      (7) ผู้ที่มุ่งหาสิริรุ่งโรจน์ เกียรติยศ และความเป็นอมตะ โดยยืนหยัดกระทำความดี จะได้รับชีวิตนิรันดร
      (8) ส่วนผู้ที่เห็นแก่ตัวไม่ปฏิบัติตามความจริงแต่กลับปฏิบัติตามความอธรรม จะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก
      (9) ความทุกข์โศกจะมาถึงมนุษย์ทุกคนที่กระทำความชั่ว ถึงชาวยิวเป็นอันดับแรก แล้วจึงถึงคนต่างชาติด้วย
      (10) ส่วนความรุ่งโรจน์ เกียรติยศและสันติ จะมาถึงทุกคนที่กระทำความดี ถึงชาวยิวเป็นอันดับแรก แล้วจึงถึงคนต่างชาติด้วย
      (11) พระเจ้าไม่ทรงลำเอียงแต่ประการใด

      รม 2:12-24 ธรรมบัญญัติไม่ช่วยให้รอดพ้น
      (12) ทุกคนที่ทำบาปโดยไม่รู้จักธรรมบัญญัติจะพินาศไปโดยไม่มีธรรมบัญญัติ แต่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติและกระทำบาป จะถูกพิพากษาตามธรรมบัญญัติ
      (13) เพราะผู้ที่พระเจ้าจะทรงบันดาลความชอบธรรมนั้น ไม่ใช่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติด้วย
      (14) ดังนั้น เมื่อคนต่างชาติซึ่งไม่รู้จักธรรมบัญญัติ และประพฤติตามข้อกำหนดของธรรมบัญญัติจากสามัญสำนึก แม้พวกเขาจะไม่รู้จักธรรมบัญญัติ พวกเขาก็เป็นธรรมบัญญัติสำหรับตนเอง
      (15) พวกเขาแสดงให้เห็นสิ่งที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ในใจตามมโนธรรมและบางครั้งความคิดตามเหตุผลที่กล่าวโทษก็ป้องกันพวกเขา
      (16) ในวันที่พระเจ้าทรงตัดสินพิพากษาความคิดที่เร้นลับของมนุษย์ทุกคนด้วยเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไว้
      (17) ถ้าท่านเรียกตนเองว่าเป็นยิว วางใจในบทบัญญัติ ภูมิใจในพระเจ้า
      (18) รู้จักพระประสงค์ของพระองค์ แยกถูกแยกผิดได้เพราะท่านได้รับการสอนจากธรรมบัญญัติ
      (19) ถ้าท่านมั่นใจว่าท่านเป็นผู้นำทางคนตาบอดและเป็นแสงสว่างให้ผู้อยู่ในความมืด
      (20) เป็นครูสอนคนโง่สั่งสอนคนที่ไม่มีความรู้ได้ เพราะท่านมีธรรมบัญญัติที่ท่านคิดว่าบรรจุความรู้และความจริงทั้งหมดไว้
      (21) เมื่อสอนผู้อื่น ท่านกำลังสอนตนเองอยู่ด้วยหรือเปล่า ท่านสอนว่าจะต้องไม่ลักขโมย แต่ท่านลักขโมยหรือไม่
      (22) ท่านพูดว่าการผิดประเวณีทำไม่ได้ แต่ท่านทำผิดประเวณีหรือไม่ ท่านเกลียดรูปเคารพ แต่ปล้นพระวิหารหรือไม่
      (23) ถ้าขณะที่ท่านภูมิใจที่รู้ธรรมบัญญัติ แต่ไม่ปฎิบัติตาม ท่านก็ดูหมิ่นพระเจ้า
      (24) ดังที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า เป็นเพราะความผิดของพวกท่านที่พระนามของพระเจ้าถูกดูหมิ่นในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย

      รม 2:25-29 การเข้าสุหนัตช่วยให้รอดพ้นไม่ได้
      (25) การเข้าสุหนัตมีความหมายเมื่อท่านปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แต่ถ้าท่านยังคงละเมิดธรรมบัญญัติ ท่านก็ไม่ได้เข้าสุหนัตมากไปกว่าผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตแต่อย่างใด
      (26) และถ้าผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตปฏิบัติตามข้อกำหนดของธรรมบัญญัติ สถานะของการไม่ได้เข้าสุหนัตของเขาจะไม่เท่ากับการได้เข้าสุหนัตหรือ
      (27) นอกจากนั้น คนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตทางกาย แต่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติก็พิพากษาโทษท่าน ซึ่งได้รับธรรมบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรและเข้าสุหนัตแล้ว แต่กลับละเมิดธรรมบัญญัติเสียเอง
      (28) การเป็นยิวนั้นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏเพียงภายนอก และการเข้าสุหนัตก็ไม่ใช่เพียงการขลิบเนื้อหนังส่วนหนึ่งออกไป
      (29) ชาวยิวที่แท้จริงคือคนที่เป็นยิวจากภายใน และการเข้าสุหนัตที่แท้จริงก็คือการเข้าสุหนัตในใจ ไม่ใช่เรื่องการปฏิบัติตามตัวอักษร แต่เป็นเรื่องของจิตใจ เขาอาจจะไม่ได้รับการยกย่องจากมนุษย์ แต่เขาจะได้รับการยกย่องจากพระเจ้า   
      [Go Top]

      รม 3:1-8 พระสัญญาของพระเจ้าจะไม่ช่วยให้รอดพ้น
      (1) ดังนั้น มีประโยชน์ใดหรือไม่ที่เป็นชาวยิว มีข้อได้เปรียบหรือไม่ที่ได้เข้าสุหนัต
      (2) มีมากทุกด้าน ประการแรก คำสัญญาของพระเจ้านั้นทรงมอบให้ชาวยิว
      (3) ถ้าชาวยิวบางคนไม่ซื่อสัตย์ต่อพระสัญญา ท่านคิดว่าการไม่ซื่อสัตย์นี้จะลบล้างความซื่อสัตย์ของพระเจ้ากระนั้นหรือ
      (4) เป็นไปไม่ได้ พระเจ้านั้นทรงสัตย์จริงเสมอ แม้มนุษย์ทุกคนจะกล่าวเท็จ ดังที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า เพื่อพระองค์จะทรงแสดงความเที่ยงธรรมที่ช่วยให้รอดพ้นเมื่อทรงพิพากษา และชัยชนะจะได้ปรากฏเมื่อทรงไต่สวน
      (5) แต่ถ้าความอธรรมของเราทำให้ความเที่ยงธรรมของพระเจ้าปรากฏเด่นชัดขึ้น เราจะพูดได้หรือว่า พระเจ้าไม่เที่ยงธรรมเมื่อทรงลงโทษเรา
      (6) เปล่าเลย ถ้าเป็นเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงเป็นผู้พิพากษาโลกได้อย่างไร ข้าพเจ้าพูดตามวิสัยมนุษย์
      (7) บางคนอาจถามว่า“ถ้าความไม่สัตย์จริงของข้าพเจ้าทำให้พระเจ้าทรงแสดงความเที่ยงธรรมของพระองค์ และทรงแสดงพระสิริรุ่งโรจน์ได้มากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่น่าจะถูกพิพากษาลงโทษว่าเป็นคนบาป”
      (8) ทำไมเขาไม่พูดตรง ๆ ว่าจงทำความชั่ว เพื่อความดีจะได้ปรากฏ เหมือนที่บางคนใส่ร้ายกล่าวหาว่าเราพูดเช่นนั้น สาสมแล้ว ที่เขาจะถูกพระเจ้าลงโทษ

      รม 3:9-20 มนุษย์ทุกคนกระทำผิด
      (9) เราอยู่ในสถานะที่ดีกว่าคนอื่นหรือ เปล่าเลย เราได้กล่าวโทษชาวยิวและคนต่างชาติว่าทุกคนล้วนถูกบาปครอบงำไว้เช่นเดียวกัน
      (10) ดังที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ไม่มีสักคนที่เที่ยงตรง ไม่มีแม้แต่คนเดียว
      (11) ไม่มีสักคนที่ฉลาด ไม่มีสักคนที่แสวงหาพระเจ้า
      (12) ทุกคนหลงผิด ทุกคนไม่มีประโยชน์เหมือนกันหมด ไม่มีสักคนที่ทำความดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว
      (13) ปากของเขาเป็นหลุมศพที่เปิดกว้าง ลิ้นของเขายั่วยวนให้ทำความชั่ว พิษงูร้ายอยู่หลังริมฝีปาก
      (14) คำพูดของเขามีแต่คำสาปแช่ง และนำมาแต่ความขมขื่น
      (15) เท้าของเขามีความแคล่วคล่องว่องไวไปหลั่งเลือดผู้บริสุทธิ์
      (16) เขาไปไหนก็ทิ้งร่องรอยความเสียหายและซากปรักหักพัง
      (17) เขาไม่รู้จักวิถีทางสันติภาพ
      (18) ในจิตสำนึกของเขา ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าอยู่เลย
      (19) เราตระหนักดีว่า ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในธรรมบัญญัติ เขียนไว้สำหรับผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อทุกคนจะได้สงบปากคำและโลกทั้งโลกจะถูกนำมาให้พระเจ้าทรงพิพากษา
      (20) เมื่อนั้น ไม่มีผู้ใดเป็นผู้ชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้โดยการปฎิบัติตามธรรมบัญญัติ สิ่งเดียวที่ธรรมบัญญัติทำได้ก็คือ บอกเราว่าอะไรเป็นบาป

      ข. ความเชื่อและการพิพากษาของพระเจ้า

      รม 3:21-26 การเปิดเผยถึงการพิพากษาของพระเจ้า
      (21) แต่บัดนี้ ความเที่ยงธรรมที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดพ้นตามที่หนังสือ ธรรมบัญญัติและประกาศกเป็นพยานถึงนั้น ปรากฏให้เห็นแล้วนอกเหนือธรรมบัญญัติ

      (22) ความเที่ยงธรรมที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดพ้นซึ่งพระองค์ประทานให้ทุกคนที่มีความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า
      (23) ไม่มีความแตกต่างใด ๆ อีก ทุกคนกระทำบาปและขาดพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า
      (24) แล้วทุกคนก็ได้รับความชอบธรรมเป็นของประทานโดยทางพระหรรษทานอาศัยการไถ่กู้เราให้เป็นอิสระในพระคริสตเยซู
      (25) พระเจ้าทรงสถาปนาพระเยซูเจ้าเป็นเครื่องบูชาชดเชยบาปโดยอาศัยความเชื่อและโดยอาศัยการหลั่งโลหิต เพื่อจะได้สำแดงความเที่ยงธรรมของพระองค์ โดยอดกลั้นไม่ลงโทษบาปในอดีต
      (26) ในเวลาแห่งความพากเพียรของพระองค์ พระองค์ทรงสำแดงความเที่ยงธรรมในปัจจุบันเพื่อทรงเป็นผู้ที่เที่ยงธรรม และเพื่อทรงบันดาลให้ผู้มีความเชื่อในพระเยซูเจ้ากลับเป็นผู้ชอบธรรม

      รม 3:27-31 ผลแห่งความเชื่อ
      (27) ดังนั้น คำโอ้อวดของเราอยู่ที่ไหนเล่า ไม่มีที่สำหรับจะโอ้อวดอะไรอีกแล้ว ด้วยกฎเกณฑ์อะไรหรือ ด้วยกฎเกณฑ์ของการกระทำหรือไม่ใช่ ด้วยกฎเกณฑ์ของความเชื่อ
      (28) เนื่องจากเราถือว่ามนุษย์ได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยปฏิบัติตามสิ่งที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้
      (29) พระเจ้าเป็นพระเจ้าของชาวยิวเท่านั้นหรือ ไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนต่างชาติด้วยหรือ แน่นอน ยังเป็นพระเจ้าของคนต่างชาติด้วย
      (30) เพราะพระเจ้ามีเพียงพระองค์เดียว พระองค์จะทรงบันดาลให้ผู้เข้าสุหนัตเป็นผู้ชอบธรรมโดยอาศัยความเชื่อ และจะทรงบันดาลให้ผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตเป็นผู้ชอบธรรมโดยอาศัยความเชื่อเช่นเดียวกัน
      (31) เราใช้ความเชื่อมาทำลายธรรมบัญญัติกระนั้นหรือ ไม่เลย เรากลับสนับสนุนธรรมบัญญัติด้วย0020806ค. แบบอย่างของอับราฮัม   
      [Go Top]

      รม 4:1-8 อับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมด้วยความเชื่อ
      (1) มีสิ่งใดที่เราจะพูดได้เกี่ยวกับอับราฮัม บรรพบุรุษผู้ซึ่งเราสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ
      (2) ถ้าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมเพราะกิจการที่เขากระทำ เขาย่อมมีเหตุผลที่จะภูมิใจได้ แต่ไม่ใช่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
      (3) พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวไว้หรือว่า อับราฮัมมีความเชื่อในพระเจ้า และนี่ก็นับได้ว่าเป็นความชอบธรรมสำหรับเขา
      (4) เมื่อคนหนึ่งทำงาน ค่าจ้างที่ได้รับจากงานนั้นก็ไม่นับเป็นบุญคุณ แต่เป็นสิทธิที่พึงได้
      (5) เมื่อไม่ได้มองที่ความประพฤติคนที่มีความเชื่อในผู้ที่บันดาลให้คนชั่วกลับเป็นผู้ชอบธรรม ความเชื่อนี้เองนับว่าเป็นความชอบธรรม
      (6) กษัตริย์ดาวิดก็ตรัสไว้เช่นเดียวกันนี้ พระองค์ทรงเรียกบางคนว่าเป็นผู้มีความสุข ถ้าพระเจ้าประทานความชอบธรรมให้ผู้นั้นโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เขาได้กระทำ โดยตรัสว่า
      (7) เป็นความสุขของผู้ที่ได้รับการอภัยความผิดผู้ซึ่งบาปของเขาถูกลบล้าง
      (8) เป็นความสุขของผู้ที่พระเจ้าไม่ทรงถือโทษ

      รม 4:9-12 อับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมก่อนเข้าสุหนัต
      (9) ความสุขที่ว่านี้เป็นความสุขของผู้ที่เข้าสุหนัตเท่านั้นหรือ หรือรวมไปถึงผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตด้วย เราพูดถึงอับราฮัมว่า ความเชื่อของเขานับได้ว่าเป็นความชอบธรรม
      (10) ความเชื่อของเขานับเป็นความชอบธรรมได้อย่างไร เมื่ออับราฮัมเข้าสุหนัตแล้วหรือยังไม่ได้เข้าสุหนัต มิใช่เมื่อเข้าสุหนัตแล้วแน่ ๆ แต่เมื่อยังไม่ได้เข้าสุหนัต
      (11) พิธีสุหนัตตามมาภายหลังเป็นเครื่องหมายและเป็นประกันว่า ความเชื่อซึ่งเขามีขณะยังไม่ได้เข้าสุหนัตนับว่าเป็นความชอบธรรม ด้วยเหตุนี้ อับราฮัมจึงเป็นบิดาของผู้มีความเชื่อทุกคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อจะนับได้ว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม
      (12) อับราฮัมเป็นบิดาของผู้เข้าสุหนัต ผู้เข้าสุหนัตเหล่านี้ไม่เพียงแต่เข้าพิธีเท่านั้น แต่ยังได้ดำเนินชีวิตตามอับราฮัมบิดาของเรา ไปตามทางความเชื่อที่เขาได้ดำเนินไปก่อนที่จะเข้าสุหนัต

      รม 4:13-17 การปฏิบัติตามธรรมบัญญัติไม่ทำให้อับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรม
      (13) พระสัญญาที่ประทานให้อับราฮัมและลูกหลานที่ว่าเขาจะได้ครอบครองโลกเป็นมรดกนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมบัญญัติ แต่เกิดขึ้นโดยความชอบธรรมอันเนื่องมาจากความเชื่อ
      (14) ถ้าผู้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติจะได้รับมรดก ความเชื่อก็ไม่มีค่าและพระสัญญาก็ไม่มีความหมาย
      (15) เพราะธรรมบัญญัติไม่ให้ผลสิ่งใดนอกจากการลงโทษของพระเจ้า เมื่อไม่มีธรรมบัญญัติการละเมิดก็ไม่มี
      (16) เพราะเหตุนี้ การรับมรดกโดยอาศัยพระสัญญาจึงมาจากความเชื่อ เพื่อให้พระสัญญาเป็นของประทานที่ให้เปล่า และประทานให้เชื้อสายทั้งหมดของอับราฮัม มิใช่เพียงให้ผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติเท่านั้น แต่รวมถึงเชื้อสายทุกคนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมซึ่งเป็นบิดาของเราทุกคนด้วย
      (17) ดังที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า เราได้ตั้งเจ้าให้เป็นบิดาของประชาชาติจำนวนมากอับราฮัมเป็นบิดาของเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าที่อับราฮัมเชื่อ และทรงเป็นผู้นำคนตายให้คืนชีพ และทรงทำให้สิ่งที่ยังไม่มีภาวะความเป็นอยู่ได้มีภาวะความเป็นอยู่

      รม 4:18-25 ความเชื่อของอับราฮัมเป็นแบบฉบับความเชื่อของคริสตชน
      (18) แม้ดูเหมือนจะไม่มีความหวัง แต่อับราฮัมก็หวังและเชื่อว่า เขาจะเป็นบิดาของประชาชาติจำนวนมากสมจริงตามพระสัญญาที่ว่า ลูกหลานของเจ้าจะมีจำนวนมากเช่นนั้น
      (19) แม้เมื่ออับราฮัมคิดว่าร่างกายของตนดูเหมือนตายไปแล้ว ขณะนั้นเขามีอายุหนึ่งร้อยปี และครรภ์ของนางซาราห์ก็นับว่าตายไปแล้วเช่นกัน แต่ความเชื่อของเขาก็ไม่หวั่นไหว
      (20) เขาไม่สงสัยเพราะความไม่เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า แต่กลับได้รับพละกำลังจากความเชื่อ และถวายเกียรติแด่พระองค์
      (21) โดยเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า สิ่งใดที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ พระองค์ย่อมมีพระอำนาจที่จะทำสิ่งนั้นให้เป็นจริงตามพระสัญญาได้
      (22) นี่คือความเชื่อซึ่งนับได้ว่าเป็นความชอบธรรมสำหรับเขา
      (23) ประโยคนี้มิได้เขียนขึ้นโดยหมายถึงอับราฮัมเท่านั้น แต่หมายถึงเราทุกคนด้วย
      (24) ความเชื่อจะนับได้ว่าเป็นความชอบธรรมสำหรับเราเช่นกัน เพราะเราเชื่อในพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพจากบรรดาผู้ตาย
      (25) พระเยซูคริสตเจ้าทรงยอมสละพระชนมชีพเพราะบาปของเรา และทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม   
      [Go Top]

      ความรอดพ้น

      รม 5:1-11 ความเชื่อประกันความรอดพ้น
      (1) ดังนั้น เมื่อได้เป็นผู้ชอบธรรมด้วยความเชื่อแล้ว เราย่อมมีสันติกับพระเจ้า เดชะพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
      (2) โดยทางพระองค์ เราจึงเข้าถึงพระหรรษทานและกำลังดำรงอยู่ในพระหรรษทานนี้เราภูมิใจในความหวังที่จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า
      (3) ยิ่งกว่านั้น เรายังภูมิใจในความทุกข์ เพราะรู้ว่า ความทุกข์ก่อให้เกิดความพากเพียร
      (4) ความพากเพียรก่อให้เกิดคุณธรรมที่แท้จริง คุณธรรมที่แท้จริงก่อให้เกิดความหวัง
      (5) ความหวังนี้ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานให้เราได้หลั่งความรักของพระเจ้าลงในดวงใจของเรา
      (6) ขณะที่เรายังอ่อนแอ พระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อคนบาปตามเวลาที่กำหนด
      (7) ยากที่จะหาคนที่ยอมตายเพื่อคนชอบธรรมบางครั้งอาจจะมีคนยอมตายแทนคนดีจริง ๆ ได้
      (8) แต่พระเจ้าทรงพิสูจน์ว่าทรงรักเรา เพราะพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเราขณะที่เรายังเป็นคนบาป
      (9) บัดนี้ เมื่อเราได้รับความชอบธรรมโดยอาศัยพระโลหิตของพระองค์แล้ว เดชะพระองค์ เราก็ยิ่งจะได้รับความรอดพ้นจากการถูกพระเจ้าลงโทษ
      (10) ถ้าเรากลับคืนดีกับพระเจ้าเดชะการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรขณะที่เรายังเป็นศัตรูอยู่ ยิ่งกว่านั้นเมื่อกลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดพ้นเดชะพระชนมชีพของพระองค์ด้วย
      (11) มิใช่เพียงเท่านั้น เรายังภูมิใจในพระเจ้า เดชะพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เดชะพระองค์ บัดนี้พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว

      ก. การปลดปล่อยให้พ้นจากบาป จากความตาย และจากบทบัญญัติ

      รม 5:12-21 อาดัมและพระเยซูคริสตเจ้า
      (12) บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปฉันนั้น
      (13) ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่นับว่าเป็นบาป
      (14) ถึงกระนั้น ความตายก็มีอานุภาพเหนือมนุษยชาติตั้งแต่อาดัมมาจนถึงโมเสส มีอานุภาพเหนือแม้คนที่ไม่ได้ทำบาปเหมือนกับอาดัมที่ได้ล่วงละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้าของผู้ที่จะมาในภายหลัง
      (15) แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่าถ้ามวลมนุษย์ ต้องตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระหรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า ก็ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นสำหรับมวลมนุษย์
      (16) ของประทานต่างกับการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวที่ทำบาป บาปของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษยชาติถูกพระเจ้าลงโทษ แต่เมื่อมนุษย์ทำบาปมากแล้ว ของประทานที่ให้เปล่านั้นกลับนำความชอบธรรมมาให้
      (17) ถ้ามนุษย์คนเดียวล่วงละเมิด ทำให้ความตายมีอำนาจปกครองเหนือมนุษยชาติเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวนั้น เดชะพระเยซูคริสตเจ้าพระองค์เดียว ทุกคนที่ได้รับพระหรรษทานอย่างสมบูรณ์และความชอบธรรมเป็นของประทาน ก็ยิ่งจะมีชีวิตและมีอำนาจปกครองมากขึ้น
      (18) ด้วยเหตุนี้ การล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษย์ทุกคนถูกลงโทษฉันใด กิจการชอบธรรมของมนุษย์คนเดียวก็นำความชอบธรรมที่บันดาลชีวิตมาให้มนุษย์ทุกคนฉันนั้น
      (19) มวลมนุษย์กลายเป็นคนบาปเพราะความไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันใด มวลมนุษย์ก็จะเป็นผู้ชอบธรรมเพราะความเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันนั้น
      (20) ธรรมบัญญัติเข้ามา เพื่อการล่วงละเมิดจะได้ทวีขึ้น ที่ใดบาปทวีขึ้น ที่นั่นพระหรรษทานก็ยิ่งทวีขึ้นมากกว่า
      (21) ดังนี้ บาปเข้ามามีอำนาจปกครองนำความตายมาให้ฉันใด พระหรรษทานก็จะมีอำนาจปกครองโดยอาศัยความชอบธรรมนำไปสู่ชีวิตนิรันดร เดชะพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราฉันนั้น   
      [Go Top]

      รม 6:1-11 ศีลล้างบาป
      (1) แล้วเราจะว่าอย่างไรเราควรจะทำบาปต่อไปเพื่อพระหรรษทานจะได้มากขึ้นกระนั้นหรือ
      (2) หามิได้ เราตายจากบาปแล้ว เรายังจะมีชีวิตอยู่ในบาปต่อไปได้อย่างไรเล่า
      (3) ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปเดชะพระคริสตเยซู ก็ได้รับศีลล้างบาปเข้าร่วมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย
      (4) ดังนั้น เราถูกฝังไว้ในความตายพร้อมกับพระองค์อาศัยศีลล้างบาป เพื่อว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายเดชะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาฉันใด เราก็จะดำเนินชีวิตแบบใหม่ด้วยฉันนั้น
      (5) ถ้าเรารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการสิ้นพระชนม์เราก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นกัน
      (6) เรารู้ว่า สภาพเดิมของความเป็นมนุษย์ของเราถูกตรึงกางเขนไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อว่าร่างกายที่ใช้ทำบาปของเราจะถูกทำลาย และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป
      (7) เพราะคนที่ตายแล้ว ก็ย่อมพ้นจากบาป
      (8) แต่เราเชื่อว่า ถ้าเราตายพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว เราก็จะมีชีวิตพร้อมกับพระองค์ด้วย
      (9) เรารู้ว่าพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้วจะไม่สิ้นพระชนม์อีก ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป
      (10) เพราะเมื่อสิ้นพระชนม์ พระองค์ก็ทรงตายครั้งเดียวจากบาป ตลอดไป เมื่อมีพระชนมชีพก็มีพระ ชนมชีพเพื่อพระเจ้า
      (11) ดังนี้ ท่านทั้งหลายก็เช่นกันต้องถือว่า ท่านตายจากบาปแล้ว แต่มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระคริสตเยซู

      รม 6:12-14 บาปต้องไม่เป็นนาย
      (12) ดังนั้น อย่าให้บาปครอบงำร่างกายที่ตายได้ของท่าน จนท่านต้องยอมตามราคะตัณหาของร่างกาย
      (13) อย่ามอบร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดให้แก่บาปเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำความชั่ว แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้าดุจดังคนที่กลับคืนชีพจากความตายมามีชีวิตใหม่ จงถวายทุกส่วนของร่างกายแด่พระเจ้าเป็นเครื่องมือในการประกอบความชอบธรรม
      (14) บาปจะไม่เป็นนายเหนือท่านอีก เพราะท่านไม่อยู่ใต้อำนาจธรรมบัญญัติอีกแล้ว แต่อยู่ใต้อำนาจพระหรรษทาน

      รม 6:15-19 คริสตชนเป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป
      (15) จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาปได้เพราะเราไม่อยู่ใต้อำนาจบทบัญญัติ แต่อยู่ใต้อำนาจพระหรรษทานกระนั้นหรือ หามิได้
      (16) ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เมื่อท่านมอบตัวเป็นทาสเชื่อฟังนายคนหนึ่ง ท่านก็เป็นทาสของนายคนที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่านายคนนั้นจะเป็นบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือจะเป็นความเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม
      (17) ขอบพระคุณพระเจ้าที่ท่านเคยเป็นทาสของบาป แต่ท่านเต็มใจเชื่อฟังพระธรรมคำสอนที่ท่านได้รับมา
      (18) และเมื่อเป็นไทยพ้นจากบาปแล้ว ท่านก็มาเป็นทาสรับใช้ความชอบธรรม
      (19) ข้าพเจ้าขอพูดตามวิสัยมนุษย์เพราะท่านยังเป็นคนอ่อนแอ แต่เมื่อก่อนนี้ ท่านได้มอบร่างกายเป็นทาสของความโสมมและความอธรรมซ้ำแล้วซ้ำอีกฉันใด บัดนี้ ท่านจงมอบร่างกายให้เป็นทาสของความชอบธรรม เพื่อจะได้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ฉันนั้นเถิด

      รม 6:20-23 ผลของบาปและผลของความชอบธรรม
      (20) เมื่อท่านยังเป็นทาสของบาปอยู่ ท่านมิได้อยู่ในอำนาจของความชอบธรรมเลย
      (21) และเวลานั้น ท่านได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการทำความชั่วเช่นนั้น ซึ่งบัดนี้ทำให้ท่านต้องอับอาย จุดจบของกิจการเหล่านั้นคือความตาย
      (22) แต่บัดนี้ท่านได้รับอิสระจากบาปมาเป็นทาสรับใช้พระเจ้าแล้ว ท่านได้รับประโยชน์อันนำไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ผลสุดท้ายก็คือชีวิตนิรันดร
      (23) เพราะ ค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือ ความตาย ส่วนของประทานที่พระเจ้าประทานให้เปล่า คือชีวิตนิรันดรในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา   
      [Go Top]

      รม 7:1-6 คริสตชนเป็นอิสระจากธรรมบัญญัติ
      (1) พี่น้องทั้งหลาย ในฐานะที่ท่านรู้จักธรรมบัญญัติ ท่านไม่รู้หรือว่า ธรรมบัญญัติมีอำนาจเหนือมนุษย์ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่
      (2) ตัวอย่างเช่น หญิงที่แต่งงานแล้วก็มีพันธะทางกฎหมายต่อสามีตราบที่สามียังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อสามีถึงแก่กรรม นางก็พ้นพันธะทางกฎหมายต่อสามีนั้น
      (3) ถ้านางมีสัมพันธ์กับชายอื่น ขณะสามียังมีชีวิตอยู่ นางจะได้ชื่อว่ามีชู้ แต่ถ้าสามีถึงแก่กรรมแล้ว นางก็พ้นจากพันธะทางกฎหมาย และไม่เป็นหญิงมีชู้ถ้านางมีสัมพันธ์กับชายอื่น
      (4) ในทำนองเดียวกัน พี่น้องทั้งหลาย ท่านตายจากธรรมบัญญัติแล้วโดยพระกายของพระคริสตเจ้า ท่านจึงเป็นของคนอื่นได้ นั่นคือเป็นของพระองค์ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เพื่อชีวิตของเราจะเกิดผลดีถวายแด่พระเจ้าได้
      (5) ขณะที่ยังดำเนินชีวิตตามธรรมชาติมนุษย์ ราคตัณหาที่ชวนให้ทำบาปก็แสดงพลังอยู่ในทุกส่วนของร่างกายของเราอาศัยธรรมบัญญัติ เพื่อส่งผลสู่ความตาย
      (6) บัดนี้ เราพ้นจากธรรมบัญญัติแล้ว เพราะตายจากสิ่งที่พันธนาการเราไว้ เพื่อเราจะได้รับใช้ในแบบใหม่ตามพระจิตเจ้า ไม่ใช่ในแบบเก่าตามตัวอักษรของบทบัญญัติ

      รม 7:7-13 บทบาทของธรรมบัญญัติ
      (7) แล้วเราจะพูดอะไรอีก จะพูดว่าธรรมบัญญัติเป็นบาปหรือ ไม่ใช่แน่นอน ถ้าไม่มีธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้จักบาป ตัวอย่างเช่น ถ้าธรรมบัญญัติไม่ได้บอกว่า อย่าโลภ ข้าพเจ้าคงไม่รู้ว่าความโลภคืออะไร
      (8) แต่เมื่อธรรมบัญญัติเปิดโอกาสให้บาปจึงถือโอกาสทำให้ความโลภทุกชนิดกำเริบขึ้นในตัวข้าพเจ้า เพราะถ้าไม่มีธรรมบัญญัติ บาปก็เหมือนยังตายอยู่
      (9) ในอดีต เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ แต่เมื่อมีธรรมบัญญัติ บาปกลับฟื้นคืนชีพ
      (10) และข้าพเจ้าก็ตาย ข้าพเจ้าพบว่าธรรมบัญญัติซึ่งมีไว้เพื่อนำชีวิตนั้น กลับนำความตายมาให้
      (11) เพราะบาปซึ่งฉวยโอกาสจากธรรมบัญญัติ หลอกลวงข้าพเจ้าและใช้ธรรมบัญญัตินั่นเองฆ่าข้าพเจ้า
      (12) ดังนั้น ธรรมบัญญัติย่อมศักดิ์สิทธิ์ และพระบัญญัติก็ย่อมดีศักดิ์สิทธิ์และยุติธรรม
      (13) เพราะฉะนั้น สิ่งดีกลายเป็นความตายสำหรับข้าพเจ้าหรือ หามิได้ บาปนั่นแหละ ที่อาศัยสิ่งดีเป็นสื่อนำความตายมาให้ข้าพเจ้าเพื่อแสดงความเป็นบาปมากขึ้น ดังนั้น เมื่อบาปอาศัยพระบัญญัติ บาปก็ยิ่งแสดงตนเป็นสิ่งชั่วร้ายหาขอบเขตมิได้

      รม 7:14-25 การต่อสู้ภายใน
      (14) เรารู้ว่า ธรรมบัญญัติเป็นเรื่องของฝ่ายจิต แต่ข้าพเจ้ามีธรรมชาติมนุษย์ที่ถูกขายเป็นทาสของบาป
      (15) ข้าพเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำข้าพเจ้ากลับไม่ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำข้าพเจ้ากลับทำ
      (16) ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำข้าพเจ้าก็ยอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี
      (17) ดังนั้น จึงไม่ใช่ข้าพเจ้าที่กระทำกิจการนั้น แต่เป็นบาปซึ่งอาศัยในตัวข้าพเจ้า
      (18) เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าในตัวข้าพเจ้านั้น ธรรมชาติมนุษย์ของข้าพเจ้าไม่มีความดีอยู่เลย เพราะความปรารถนานั้นมีอยู่แล้ว แต่ขาดพลังที่จะกระทำ
      (19) เพราะ ข้าพเจ้าไม่ทำความดีที่ข้าพเจ้าปรารถนา กลับทำความชั่วที่ไม่ปรารถนาจะทำ
      (20) ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ การกระทำนั้นก็มิใช่การกระทำที่แท้จริงของข้าพเจ้า แต่เป็นการกระทำของบาปซึ่งแฝงอยู่ในตัวข้าพเจ้า
      (21) ข้าพเจ้าจึงพบกฎนี้ว่า เมื่อใดที่ข้าพเจ้าอยากทำดี เมื่อนั้นความชั่วก็มาอยู่ใกล้ข้าพเจ้าเสมอ
      (22) ในส่วนลึกของจิตใจ ข้าพเจ้านิยมชมชอบธรรมบัญญัติของพระเจ้า
      (23) แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า มีกฎอีกข้อหนึ่งในร่างกายของข้าพเจ้า ซึ่งสู้รบกับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และล่ามข้าพเจ้าไว้กับกฎของบาปซึ่งอยู่ในร่างกายของข้าพเจ้า
      (24) ข้าพเจ้าช่างเป็นคนน่าสมเพชจริงๆ ใครจะช่วยดึงข้าพเจ้าออกมาให้พ้นจากร่างกายที่จะต้องตายนี้เล่า
      (25) ขอขอบพระคุณพระเจ้า เดชะพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราดังนั้น ในส่วนลึกของจิตใจ ข้าพเจ้ารับใช้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ในธรรมชาติที่บกพร่อง ข้าพเจ้ากลับรับใช้กฎของบาป   
      [Go Top]

      ข. ชีวิตฝ่ายจิตของคริสตชน

      รม 8:1-13 ชีวิตฝ่ายจิต
      (1) ดังนั้น ไม่มีการตัดสินลงโทษผู้ที่อยู่ในพระคริสตเยซูอีกต่อไป
      (2) กฎของพระจิตเจ้าซึ่งประทานชีวิตในพระคริสตเยซูนั้นช่วยท่านให้พ้นจากกฎของบาปและกฎของความตาย
      (3) เนื่องจากสิ่งที่ธรรมบัญญัติทำไม่ได้เพราะธรรมชาติมนุษย์เป็นเหตุให้อ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าทรงกระทำแล้วโดยทรงส่งพระบุตรของพระองค์มา ให้มีธรรมชาติเหมือนกับธรรมชาติมนุษย์ที่มีบาป เพื่อขจัดบาป พระเจ้าทรงตัดสินลงโทษบาปในธรรมชาติมนุษย์
      (4) เพื่อให้ข้อเรียกร้องอันชอบธรรมของธรรมบัญญัติสำเร็จไปในตัวเรา ซึ่งดำเนินชีวิตที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติที่บกพร่องอีกแล้ว แต่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า
      (5) ผู้ที่ยังดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ ย่อมสนใจสิ่งที่เป็นของธรรมชาติ ส่วนผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า ก็สนใจสิ่งที่เป็นของพระจิตเจ้า
      (6) ความต้องการตามธรรมชาติมนุษย์นำไปสู่ความตาย แต่ความปรารถนาของพระจิตเจ้านำไปสู่ชีวิตและสันติ
      (7) ความต้องการตามธรรมชาติมนุษย์นำไปสู่เป็นศัตรูกับพระเจ้า เพราะไม่ยอมเชื่อฟังธรรมบัญญัติของพระองค์ และไม่อาจอ่อนน้อมยอมรับด้วย
      (8) ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติไม่อาจเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้
      (9) ส่วนท่านทั้งหลาย ท่านไม่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า เพราะพระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่ในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของพระคริสตเจ้าผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์
      (10) ถ้าพระคริสตเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว แม้ร่างกายของท่านตายเพราะบาป จิตของท่านก็มีชีวิตเพราะความชอบธรรม
      (11) และถ้าพระจิตของพระผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นสถิตอยู่ในท่าน พระผู้ทรงบันดาลให้พระคริสตเยซูทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายก็จะทรงบันดาลให้ร่างกายที่ตายได้ของท่านกลับมีชีวิต เดชะพระจิตของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่านด้วย
      (12) ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราไม่มีภารกิจใด ๆ ที่จะต้องดำเนินชีวิตตามธรรมชาติฝ่ายต่ำ
      (13) ถ้าท่านดำเนินชีวิตตามธรรมชาติฝ่ายต่ำ ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านกำจัดกิจการตามธรรมชาติฝ่ายต่ำ ด้วยเดชะพระจิตเจ้า ท่านก็จะมีชีวิต

      รม 8:14-17 บุตรของพระเจ้า
      (14) ทุกคนที่มีพระจิตของพระเจ้าเป็นผู้นำ ย่อมเป็นบุตรของพระเจ้า
      (15) ท่านทั้งหลายไม่ได้รับจิตการเป็นทาสซึ่งมีแต่ความหวาดกลัวอีก แต่ได้รับจิตการเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งทำให้เราร้องออกมาว่า “อับบา พ่อจ๋า”
      (16) พระจิตเจ้าทรงเป็นพยานยืนยันร่วมกับจิตของเราว่า เราเป็นบุตรของพระเจ้า
      (17) เมื่อเราเป็นบุตร เราก็เป็นทายาทด้วย เป็นทายาทของพระเจ้าและเป็นทายาทร่วมกับพระคริสตเจ้า ถ้าเรารับการทรมานร่วมกับพระองค์ เราก็จะรับพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระองค์ด้วย

      รม 8:18-27 จุดหมายของเราคือสิริรุ่งโรจน์
      (18) ข้าพเจ้าคิดว่า ความทุกข์ทรมานในปัจจุบันเปรียบไม่ได้เลยกับพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะทรงบันดาลให้ปรากฏแก่เรา
      (19) เพราะสรรพสิ่งต่างกำลังรอคอยอย่างกระวนกระวาย เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงบันดาลให้บรรดาบุตรของพระองค์ปรากฏในพระสิริรุ่งโรจน์
      (20) สรรพสิ่งต้องอยู่ใต้อำนาจของอนิจจังมิใช่โดยสมัครใจ แต่ตามความประสงค์ของผู้ที่บังคับให้สรรพสิ่งต้องอยู่ในสภาพดังกล่าว
      (21) ถึงกระนั้น สรรพสิ่งยังมีความหวังว่า จะได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสของความเสื่อมสลายเพื่อไปรับอิสรภาพอันรุ่งเรืองของบรรดาบุตรของพระเจ้า
      (22) เรารู้ดีว่าจนถึงเวลานี้ สรรพสิ่งกำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร
      (23) มิใช่เพียงแต่สรรพสิ่งเท่านั้น แม้แต่เราเองซึ่งได้รับผลิตผลครั้งแรกของพระจิตเจ้าแล้ว ก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ในเมื่อเรามีความกระตือรือร้นรอคอยให้พระเจ้าทรงรับเราเป็นบุตรบุญธรรม ให้ร่างกายของเราได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ
      (24) เพราะ เราได้รอดพ้นเพียงในความหวัง แต่ความหวังที่มองเห็นได้ก็ไม่ใช่ความหวัง เพราะสิ่งที่มองเห็นแล้ว เขาจะหวังไปทำไมอีกเล่า
      (25) แต่ถ้าเราหวังสิ่งที่เรามองไม่เห็น เราก็ย่อมมีความมานะพากเพียรรอคอยสิ่งนั้น
      (26) ในทำนองเดียวกัน พระจิตเจ้าเสด็จมาช่วยเหลือเราผู้อ่อนแอ เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องอธิษฐานภาวนาขอสิ่งใดที่เหมาะสม แต่พระจิตเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาวอนขอแทนเราด้วยคำที่ไม่อาจบรรยาย
      (27) และพระผู้ทรงสำรวจจิตใจ ทรงทราบความปรารถนาของพระจิตเจ้า เพราะว่าพระจิตเจ้าทรงอธิษฐานเพื่อบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า

      รม 8:28-30 พระเจ้าทรงเรียกเราให้ร่วมรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์
      (28) เรารู้ว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่ทรงเรียกมาตามพระประสงค์ของพระองค์
      (29) เพราะผู้ที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้านั้น พระองค์ทรงกำหนดจะให้เป็นภาพลักษณ์ของพระบุตรของพระองค์ด้วย เพื่อพระบุตรจะได้เป็นบุตรคนแรกในบรรดาพี่น้องจำนวนมาก
      (30) ผู้ที่ทรงกำหนดไว้แล้วนั้นพระองค์ทรงเรียก ผู้ที่ทรงเรียกนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้เป็นผู้ชอบธรรม ผู้ที่ทรงบันดาลให้ชอบธรรมนั้น พระองค์ประทานพระสิริรุ่งโรจน์ให้ด้วย

      รม 8:31-39 บทเพลงสรรเสริญความรักของพระเจ้า
      (31) แล้วเราจะพูดอะไรอีกในเรื่องนี้ ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ข้างเรา ใครจะสู้เราได้ พระองค์มิได้ทรงหวงแหนพระบุตรของพระองค์
      (32) แต่ทรงมอบพระบุตรเพื่อเราทุกคน แล้วพระองค์จะไม่ประทานทุกสิ่งให้เราพร้อมกับองค์พระบุตรหรือ
      (33) ใครเล่าจะฟ้องร้องผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้แล้วได้ พระเจ้าประทานความชอบธรรม
      (34) ใครเล่าจะตัดสินลงโทษ พระคริสตเยซูสิ้นพระชนม์ ทั้งยังทรงกลับคืนพระชนมชีพ ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า ทรงวอนขอแทนเราอีกด้วย
      (35) ใครจะพรากเราจากความรักของพระคริสตเจ้าได้ ความทุกข์ลำเค็ญหรือ ความคับแค้นใจหรือ การเบียดเบียนข่มเหงหรือ การขาดอาหารและเครื่องนุ่งห่มหรือ ภยันตรายและคมดาบหรือ
      (36) ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เพราะพระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงถูกประหารตลอดเวลา เขาจัดว่าข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นเหมือนแกะสำหรับนำไปฆ่า”
      (37) แต่ในการทดลองทั้งหมดนี้ เราชนะได้ง่ายอาศัยพระผู้ทรงรักเรา
      (38) เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือผู้มีอำนาจปกครอง ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต
      (39) ไม่ว่าฤทธิ์อำนาจใดหรือความสูง ความลึก ไม่มีสรรพสิ่งใด ๆจะพรากเราได้จากความรักของพระเจ้า ซึ่งปรากฏในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา   
      [Go Top]

      ค. บทบาทของชาวอิสราเอล

      รม 9:1-5 สิทธิพิเศษของชาวอิสราเอล
      (1) ข้าพเจ้าพูดความจริงในพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าไม่มุสา มโนธรรมของข้าพเจ้าและพระจิตเจ้าร่วมเป็นพยานได้ว่า
      (2) ข้าพเจ้ามีความเศร้าโศกใหญ่หลวง และมีความทุกข์ใจอยู่ตลอดเวลา
      (3) ข้าพเจ้ายินดีถูกสาปแช่ง ถูกตัดขาดจากพระคริสตเจ้า ถ้าหากจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องของข้าพเจ้าซึ่งมีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน
      (4) พี่น้องเหล่านี้คือชาวอิสราเอล ที่ได้เป็นบุตรบุญธรรม ได้รับเกียรติ พันธสัญญา ธรรมบัญญัติ รวมทั้งศาสนพิธีและพระสัญญาต่าง ๆ
      (5) พวกเขามีบรรพบุรุษเป็นต้นตระกูลของพระ คริสตเจ้าตามธรรมชาติมนุษย์ พระองค์ทรงอยู่เหนือสรรพสิ่ง เป็นพระเจ้าและทรงได้รับการถวายสดุดีตลอดนิรันดร อาเมน

      รม 9:6-13 พระเจ้าทรงรักษาพระสัญญา
      (6) พระวาจาของพระเจ้ามิได้สูญเปล่าอย่างแน่นอน คนที่สืบเชื้อสายจากอิสราเอลมิใช่เป็นชาวอิสราเอลเสมอไป
      (7) และคนที่เป็นเชื้อสายของอับราฮัม ก็มิใช่บุตรของอับราฮัมเสมอไป ดังที่พระเจ้าตรัสแก่อับราฮัมว่า “แต่อิสอัคคือผู้ที่จะสืบเชื้อสายของเจ้า”
      (8) นั่นคือ บุตรตามธรรมชาติมิได้นับว่าเป็นบุตรของพระเจ้า แต่บุตรตามพระสัญญาเท่านั้นที่นับว่าเป็นเชื้อสาย
      (9) ถ้อยคำของพระสัญญาเป็นดังนี้ ปีหน้าในเวลานี้ เราจะกลับมาหาและนางซาราห์จะมีบุตร
      (10) ยิ่งกว่านั้น นางเรเบคคาได้ตั้งครรภ์มีบุตรจากอิสอัค บิดาของเราแต่ผู้เดียว
      (11) เพื่อพระประสงค์ของพระเจ้าจะได้เป็นพระประสงค์จากการเลือกโดยอิสระเสรี คือไม่ใช่จากกิจการที่ดีของมนุษย์ แต่จากพระเจ้าผู้ทรงเรียกก่อนที่บุตรจะเกิดมา และก่อนที่เขาจะทำอะไรดีหรือไม่ดีได้
      (12) นางได้รับการบอกกล่าวว่า คนพี่จะรับใช้คนน้อง
      (13) ดังที่มีเขียนไว้ว่า “เรารักยาโคบ มากกว่าเอซาว”

      รม 9:14-24 พระเจ้าทรงเที่ยงธรรม
      (14) แล้วเราจะพูดอะไรอีกเล่า พระเจ้าทรงอยุติธรรมกระนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้
      (15) เพราะพระองค์ตรัสกับโมเสสว่า เราเมตตาต่อผู้ที่เราเมตตา และสงสารผู้ที่เราสงสาร
      (16) ดังนั้น ทุกสิ่งจึงขึ้นกับพระเมตตาของพระเจ้า ไม่ขึ้นกับความตั้งใจหรือความอุตสาหะของมนุษย์
      (17) ในพระคัมภีร์พระเจ้าตรัสกับฟาโรห์ว่า เราแต่งตั้งท่านให้มีอำนาจเพื่อแสดงอำนาจของเราในตัวท่าน และเพื่อนามของเราจะได้รับการประกาศไปทั่วโลก
      (18)ดังนั้น พระเจ้ามีพระประสงค์จะเมตตาผู้ใด ก็ทรงเมตตาผู้นั้น และทรงประสงค์จะทำให้ผู้ใดมีจิตใจแข็งกระด้าง พระองค์ก็ทรงทำเช่นนั้นได้
      (19) แล้วท่านจะถามว่า “ทำไมพระองค์ยังทรงเอาผิดเราอีก ในเมื่อไม่มีใครต่อต้านพระประสงค์ของพระองค์ได้”
      (20) มนุษย์เอ๋ย เจ้าเป็นใครกัน จึงบังอาจมาเถียงกับพระเจ้า รูปปั้นจะพูดกับผู้ปั้นได้หรือว่า “ทำไมจึงทำฉันอย่างนี้”
      (21) ช่างปั้นย่อมมีอำนาจเหนือก้อนดินเหนียวมิใช่หรือ ช่างปั้นย่อมใช้ดินก้อนเดียวกันปั้นให้เป็นภาชนะที่มีเกียรติ หรือภาชนะธรรมดาก็ได้
      (22) ดังนั้น แม้พระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะแสดงพระฤทธานุภาพ และแจ้งการลงโทษแก่ผู้ที่สมควรถูกลงโทษและถูกทำลาย พระองค์ก็ยังทรงอดกลั้นอย่างยิ่งที่จะไม่ทำเช่นนั้น
      (23) และทรงแสดงพระสิริรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อผู้ที่สมควรจะได้รับพระกรุณาธิคุณ ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดไว้แล้ว เพื่อรับพระสิริรุ่งโรจน์
      (24) คือพวกเราซึ่งพระองค์ทรงเรียกมา ทั้งจากชาวยิว และจากคนต่างชาติ

      รม 9:25-33 ทุกคำมีพยากรณ์ในพันธสัญญาเดิม
      (25) ดังที่พระองค์ตรัสไว้ในหนังสือประกาศกโฮเชยาว่า เราจะเลือกผู้ที่ไม่ใช่ประชากรของเราว่า “เป็นประชากรของเรา” และเรียกผู้ที่ไม่เป็นที่รักว่า “เป็นที่รัก”
      (26) และในสถานที่ซึ่งได้มีคำกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายไม่ใช่ประชากรของเรา” ที่นั่นเขาจะถูกเรียกเป็น “บุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต”
      (27) ประกาศกอิสยาห์ยังประกาศถึงอิสราเอลอีกว่า แม้บุตรอิสราเอลจะมีมากเท่ากับเม็ดทรายในทะเล เฉพาะแต่กลุ่มชนที่เหลือเท่านั้นจะได้รับความรอดพ้น
      (28) เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้พระวาจาสัมฤทธิผลบนแผ่นดินโดยสมบูรณ์และโดยรวดเร็ว
      (29) ดังที่อิสยาห์ยังกล่าวไว้ล่วงหน้าอีกว่า ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาไม่ทรงทิ้งเชื้อสายไว้ให้เราแล้ว เราคงเป็นเหมือนกับเมืองโสดมและเหมือนกับเมืองโกโมราห์ไปแล้ว
      (30) แล้วเราจะพูดอะไรอีกเล่า จะพูดว่าคนต่างชาติ ซึ่งไม่ได้แสวงหาความชอบธรรม ได้บรรลุถึงความชอบธรรม เป็นความชอบธรรมที่มาจากความเชื่อ
      (31) แต่อิสราเอลซึ่งแสวงหาธรรมบัญญัติที่จะนำความชอบธรรมมาให้ตน กลับไม่บรรลุถึงธรรมบัญญัตินั้น
      (32) เพราะเหตุใดหรือ เพราะเหตุว่า พวกเขามิได้แสวงหาความชอบธรรมจากความเชื่อ แต่แสวงหาความชอบธรรมจากกิจการ พวกเขาจึงสะดุดหินหกล้ม
      (33) ดังที่มีเขียนไว้ว่า ดูซิ เราวางหินที่ทำให้สะดุดไว้ในศิโยน หินที่ทำให้หกล้ม แต่ผู้ที่มีความเชื่อในพระองค์ จะไม่ได้รับความอับอาย   
      [Go Top]

      อิสราเอลมองข้ามความจริงที่ว่า

      รม 10:1-4 “พระเจ้าเท่านั้นทรงบันดาลความศักดิ์สิทธิ์”
      (1) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีความปรารถนาสูงสุดและภาวนาต่อพระเจ้า เพื่อชาวอิสราเอลจะได้รอดพ้น
      (2) ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าพวกเขามีความกระตือรือร้นเพื่อพระเจ้า แต่เป็นความกระตือรือร้นที่ขาดความรู้
      (3) พวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ประทานความชอบธรรม จึงพยายามสร้างความชอบธรรมของตนเอง ไม่ยอมรับความชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้
      (4) จุดหมายของธรรมบัญญัติก็คือองค์พระคริสตเจ้า ดังนั้น ทุกคนที่มีความเชื่อจะได้รับความชอบธรรม

      รม 10:5-13 โมเสสเป็นสักขีพยาน
      (5) โมเสสเขียนถึงความชอบธรรมซึ่งมาจากธรรมบัญญัติว่า คนที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติจะมีชีวิตเพราะธรรมบัญญัติ
      (6) แต่ความชอบธรรมจากความเชื่อกล่าวไว้ดังนี้ อย่าคิดว่าใครจะขึ้นสวรรค์
      (7) ซึ่งหมายความว่า เพื่ออัญเชิญพระคริสตเจ้าลงมา หรือคิดว่าใครจะลงไปในเหวลึก ซึ่งหมายความว่าลงไปอัญเชิญพระคริสตเจ้าขึ้นมาจากบรรดาผู้ตาย
      (8) พระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไร พระคัมภีร์กล่าวว่า พระวาจาอยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากและในใจของท่าน คือพระวาจาที่นำความเชื่อ ที่เราประกาศไว้
      (9) เพราะถ้าท่านประกาศด้วยปากว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และมีความเชื่อในใจว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ท่านก็จะรอดพ้น
      (10) การเชื่อด้วยใจจะบันดาลความชอบธรรม การประกาศด้วยปากจะบันดาลความรอดพ้น
      (11) เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า ทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย
      (12) เพราะไม่มีความแตกต่างกันระหว่างชาวยิวกับผู้ที่ไม่ใช่ชาวยิว พระองค์เท่านั้นทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับมนุษย์ทุกคน ประทานพระพรมากมายให้กับทุกคนที่เรียกขานพระองค์
      (13) เพราะทุกคนที่เรียกขานพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จะรอดพ้น

      รม 10:14-21 อิสราเอลไม่อาจแก้ตัวได้
      (14) ฉะนั้น ชาวอิสราเอลจะเรียกขานพระองค์ได้อย่างไรถ้าพวกเขาไม่เชื่อ จะเชื่อได้อย่างไรถ้าไม่เคยได้ยิน จะได้ยินได้อย่างไรถ้าไม่มีใครประกาศสอน
      (15) จะมีผู้ประกาศสอนได้อย่างไรถ้าไม่มีใครส่งไป ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เท้าของผู้ประกาศข่าวดีช่างงดงามจริงหนอ

      (16) บางคนเท่านั้นได้เชื่อฟังข่าวดี ดังที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้า ใครเล่าได้เชื่อคำประกาศของเรา
      (17) ดังนั้น ความเชื่อจึงมาจากการฟัง สิ่งที่ได้ฟังก็มาจากพระวาจาของพระคริสตเจ้า
      (18) ข้าพเจ้าขอถามว่า เป็นไปได้หรือที่เขาไม่ได้ยิน เขาได้ยินแน่นอน เพราะเสียง ของผู้ประกาศข่าวดีกระจายไปทั่วแผ่นดิน และวาจาของเขาแพร่ไปจนสุดปลายพิภพ
      (19) ข้าพเจ้าขอถามอีกว่า “เป็นไปได้หรือที่อิสราเอลไม่เข้าใจ” ก่อนอื่นโมเสสเคยพูดว่า เราจะยั่วยุท่านทั้งหลายให้อิจฉาคนต่างชาติ เราจะยั่วยุให้ท่านโกรธชนชาติที่โง่เขลา
      (20) และอิสยาห์ก็กล้าพูดว่า คนที่ไม่เสาะแสวงหาเรา เราก็จะให้พบ คนที่ไม่ถามถึงเรา เราก็จะแสดงตนให้รู้
      (21) แต่เกี่ยวกับอิสราเอล ประกาศกอิสยาห์พูดว่า ตลอดวัน เราได้ยื่นมือออกไปหาประชากรที่ไม่เชื่อฟังและดื้อรั้น   
      [Go Top]

      รม 11:1-10 ความรอดพ้นของประชากรอิสราเอลส่วนที่เหลือ
      (1)ดังนั้น ข้าพเจ้าขอถามว่า “จริงหรือที่ว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งประชากรของพระองค์” เป็นไปไม่ได้ ข้าพเจ้าเป็นชาวอิสราเอลเชื้อสายของอับราฮัมจากตระกูลเบนยามิน
      (2) พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งประชากรที่ทรงเลือกสรรไว้ก่อนแล้ว พวกท่านไม่รู้หรือว่า ข้อความในพระคัมภีร์กล่าวถึงประกาศกเอลียาห์ เมื่ออ้อนวอนพระเจ้าโดยกล่าวโทษชาวอิสราเอลว่า
      (3) ข้าแต่พระเจ้า พวกเขาประหารประกาศกของพระองค์ ทำลายแท่นบูชาของพระองค์ ข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่และพวกเขายังพยายามเอาชีวิตของข้าพเจ้าด้วย
      (4)และพระเจ้าตรัสตอบท่านว่าอย่างไร“เราสงวนคนเจ็ดพันคนไว้สำหรับเราผู้ไม่คุกเข่าให้พระบาอัล”
      (5) เช่นเดียวกัน ปัจจุบันนี้มีประชาชนที่เหลือกลุ่มหนึ่ง ได้รับการเลือกสรรด้วยเดชะพระหรรษทาน
      (6) ถ้าการเลือกสรรนี้เป็นไปด้วยพระหรรษทาน การเลือกสรรนี้ก็มิได้เป็นไปเพราะกิจการ มิฉะนั้น พระหรรษทานก็ไม่ใช่พระหรรษทานอีกต่อไป
      (7)แล้วเป็นอย่างไรชาวอิสราเอลไม่ได้รับสิ่งที่ตนแสวงหาเว้นแต่ผู้ที่ได้รับการเลือกสรร ส่วนคนอื่นกลับมีจิตใจกระด้าง
      (8) ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าประทานจิตใจที่มึนชาให้กับเขา ให้มีตาที่มองไม่เห็น มีหูที่ไม่อาจได้ยิน จนถึงทุกวันนี้
      (9) กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า ขอให้โต๊ะอาหารของพวกเขากลายเป็นกับดัก เป็นบ่วงแร้ว เป็นที่สะดุด เป็นการลงโทษพวกเขา
      (10) ขอให้ตาของพวกเขามืดมัวไปจนมองไม่เห็น และขอให้หลังของพวกเขาค้อมลงตลอดไป

      รม 11:11-15 ชาวยิวจะได้รับการฟื้นฟูในอนาคต
      (11) ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่า “จริงหรือที่ชาวอิสราเอลสะดุดล้มอยู่เช่นนั้นตลอดไป ไม่ใช่เลย แต่เพราะพวกเขาสะดุดล้ม ความรอดพ้นจึงมาถึงชนต่างชาติ เพื่อให้ชาวอิสราเอลเกิดความอิจฉา
      (12) ถ้าการสะดุดล้มของพวกเขาทำให้โลกได้รับความไพบูลย์และความเสียหายของพวกเขาเป็นความไพบูลย์ของชนต่างชาติแล้ว ความไพบูลย์จะมีมากเพียงใด ถ้าชาวอิสราเอลทุกคนมีความเชื่อ
      (13) ข้าพเจ้าขอพูดกับพวกท่านที่เป็นคนต่างชาติว่า ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นธรรมทูตมายังชนต่างชาติ ข้าพเจ้ามีความภาคภูมิใจในศาสนบริการนี้
      (14) โดยหวังจะยั่วยุพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าให้เกิดความอิจฉา และดังนี้ก็จะช่วยพวกเขาบางคนให้รอดพ้นได้
      (15) เพราะการที่พระเจ้าทรงทอดทิ้งพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าเป็นเหตุให้มนุษยโลกกลับคืนดีกับพระองค์ การที่พระองค์ทรงรับพวกเขากลับมาอีกเป็นสิ่งใดเล่า ถ้าไม่ใช่เป็นชีวิตที่คืนมาจากบรรดาผู้ตาย

      รม 11:16-24 ชาวยิวยังคงเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร
      (16) ถ้าขนมปังก้อนที่ถวายพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ แป้งที่เหลือทั้งหมดก็ศักดิ์สิทธิ์ด้วย และถ้ารากศักดิ์สิทธิ์ กิ่งก้านก็ศักดิ์สิทธิ์ด้วย
      (17) ถ้ากิ่งบางกิ่งถูกตัดออกไป และท่านซึ่งเป็นต้นมะกอกป่าถูกนำมาทาบเข้ากับกิ่งที่ยังไม่ถูกตัดของต้นมะกอกบ้าน ท่านก็มีส่วนรับน้ำเลี้ยงที่อุดมของต้นมะกอกบ้านด้วย
      (18) ดังนั้นท่านอย่าโอ้อวดข่มกิ่งที่ถูกตัดทิ้งไป ถ้าท่านโอ้อวดก็จงรู้เถิดว่า ไม่ใช่ท่านที่พยุงราก แต่เป็นรากที่พยุงท่านไว้
      (19) ท่านอาจจะพูดว่า “กิ่งถูกตัดเพื่อให้ข้าพเจ้าถูกนำมาทาบ”
      (20) จริงอยู่ ชาวอิสราเอลถูกตัดทิ้งเพราะไม่มีความเชื่อ ส่วนท่านยืนอยู่ได้เพราะมีความเชื่อ ดังนั้น อย่าหยิ่ง ลำพองแต่จงมีความยำเกรง
      (21) เพราะถ้าพระเจ้าไม่ทรงผ่อนปรนให้กิ่งมะกอกบ้าน พระองค์ก็จะไม่ทรงผ่อนปรนให้ท่านด้วยเช่นเดียวกัน
      (22) ฉะนั้น จงพิจารณาน้ำพระทัยดีงามและความเคร่งครัดของพระเจ้า พระองค์ทรงแสดงความเคร่งครัดต่อผู้ที่ไม่มีความเชื่อ แต่ทรงแสดงน้ำพระทัยดีงามนั้นต่อท่านหากท่านยังถือซื่อสัตย์ต่อน้ำพระทัยดีงามนั้น ถ้าท่านไม่ถือซื่อสัตย์ท่านก็จะถูกตัดทิ้งเช่นกัน
      (23) แต่ถ้าชาวอิสราเอลเลิกดื้อรั้นแล้วหันมาเชื่อ พวกเขาจะถูกนำมาทาบกิ่งอีกเพราะพระเจ้าทรงพระอานุภาพที่จะทรงทำเช่นนั้นได้
      (24) ท่านที่เป็นมะกอกป่าตามธรรมชาติ ยังถูกนำมาทาบเข้ากับต้นมะกอกบ้านอย่างฝืนธรรมชาติได้ พวกเขาที่เป็นมะกอกบ้านอยู่แล้วตามธรรมชาติ ก็ย่อมจะถูกนำมาทาบกับต้นมะกอกพันธุ์เดียวกันได้ง่ายขึ้น

      รม 11:25-32 ชาวยิวกลับใจ
      (25) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านรู้ธรรมล้ำลึกประการนี้ เพื่อมิให้ท่านทะนงว่าตนฉลาด นั่นคือ การที่ชาวอิสราเอลส่วนหนึ่งมีจิตใจกระด้าง จนกระทั่งคนต่างชาติเข้ามามีความเชื่อครบจำนวนเสียก่อน
      (26) ต่อจากนั้นชาวอิสราเอลทั้งหมดก็จะรอดพ้น ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระผู้ไถ่จะเสด็จมาจากศิโยน จะทรงขจัดความอธรรมออกไปจากยาโคบ
      (27) และนี่จะเป็นพันธสัญญาของเรากับพวกเขา เมื่อเราจะขจัดบาปของพวกเขาให้สิ้นไป
      (28) ชาวอิสราเอลยังคงเป็นปฏิปักษ์ต่อข่าวดี ซึ่งเป็นผลดีต่อท่านทั้งหลาย แต่พวกเขาได้รับการเลือกสรร พวกเขาจึงยังคงเป็นที่รักของพระเจ้าตามพระสัญญาที่ทรงให้ไว้แก่บรรพบุรุษ
      (29) ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนพระทัยเพิกถอนของประทานที่ส่งให้เปล่าและพระกระแสเรียกของพระองค์
      (30) ท่านทั้งหลายเคยไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่บัดนี้ได้รับพระกรุณาเพราะชาวอิสราเอลมิได้เชื่อฟังฉันใด
      (31) บัดนี้ชาวอิสราเอลไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่ในที่สุดพวกเขาก็จะได้รับพระกรุณา ดังที่ได้ทรงแสดงพระกรุณาต่อท่านฉันนั้น
      (32) เพราะพระเจ้าทรงปล่อยให้มนุษย์ทุกคนไม่เชื่อฟังพระองค์ เพื่อจะได้แสดงพระกรุณา

      รม 11:33-36 บทเพลงสรรเสริญพระกรุณาธิคุณและพระปรีชาญาณของพระเจ้า
      (33) พระเจ้าทรงพระปรีชาและทรงรอบรู้ลึกล้ำเพียงใด คำตัดสินของพระองค์สุดที่จะหยั่งรู้ได้ และมรรคาของพระองค์สุดที่จะเข้าใจได้
      (34) ใครเล่าจะล่วงรู้พระดำริของพระเจ้า ใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์
      (35) ใครเล่าเคยถวายสิ่งใดแด่พระองค์ พระองค์จึงจะต้องประทานตอบแทนเขา
      (36) เพราะทุกสิ่งล้วนมาจากพระองค์ โดยทางพระองค์และเพื่อพระองค์ ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดร อาเมน   
      [Go Top]

      คำเตือนใจ
      รม 12:1-2 คารวกิจด้วยจิตใจ

      (1) พี่น้อง เพราะเห็นแก่พระกรุณาธิคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าอ้อนวอนท่านทั้งหลายให้ถวายร่างกายของท่านเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า นี่เป็นคารวกิจด้วยจิตใจของท่าน
      (2) อย่าคล้อยตามความประพฤติของโลกนี้ แต่จงเปลี่ยนแปลงตนเองโดยการฟื้นฟูความคิดขึ้นใหม่ เพื่อจะได้รู้จักวินิจฉัยว่าสิ่งใดเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งใดดี และสิ่งใดเป็นที่พอพระทัยอันสมบูรณ์พร้อมของพระองค์

      รม 12:3-13 ความถ่อมตนและความรัก
      (3) เดชะพระหรรษทานที่ข้าพเจ้าได้รับ ข้าพเจ้าขอกล่าวกับท่านแต่ละคนว่า อย่าคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น แต่จงคิดให้ถูกต้องว่าพระเจ้าประทานความเชื่อ ให้แต่ละบุคคลมากน้อยต่างกัน
      (4) เพราะร่างกายของเรามีองค์ประกอบหลายส่วน และส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ไม่มีหน้าที่เดียวกันฉันใด
      (5) แม้เราจะมีจำนวนมาก เราก็รวมเป็นร่างกายเดียวในพระคริสตเจ้าฉันนั้น โดยแต่ละคนต่างเป็นส่วนร่างกายของกันและกัน
      (6) เรามีพระพรพิเศษแตกต่างกันตามพระหรรษทานที่พระองค์ประทานให้ ผู้ได้รับพระพรที่จะประกาศพระวาจา ก็จงใช้พระพรนั้นมากน้อยตามส่วนความเชื่อของตน
      (7) ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะรับใช้ ก็จงรับใช้ ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะสอน ก็จงสอน
      (8) ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะตักเตือน ก็จงตักเตือน ผู้ที่บริจาค ก็จงบริจาคด้วยความเอื้อเฟื้ออย่างจริงใจ ผู้ที่เป็นผู้นำ ก็จงทำหน้าที่ผู้นำด้วยความเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตากรุณา ก็จงแสดงความเมตตากรุณาด้วยใจยินดี
      (9) จงรักด้วยใจจริง จงหลีกหนีความชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี
      (10) จงรักกันฉันพี่น้อง จงคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน
      (11) อย่าเฉื่อยชา จงมีจิตใจกระตือรือร้นในการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า
      (12) จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงมีความอดทนต่อความทุกข์ยาก จงพากเพียรในการภาวนา
      (13) จงเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือพี่น้องคริสตชนในยามขัดสน จงต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี

      รม 12:14-21 จงรักทุกคน รวมทั้งศัตรู
      (14) จงอวยพรผู้ที่เบียดเบียนท่าน จงอวยพรเขา อย่าสาปแช่ง
      (15) จงร่วมยินดีกับผู้ที่ยินดี จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้
      (16) จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่ามักใหญ่ใฝ่สูง แต่จงยอมทำสิ่งต่ำต้อยเถิด อย่าทะนงว่าตนฉลาด
      (17) อย่าตอบแทนความชั่วด้วยความชั่วจงพยายามทำดีต่อมนุษย์ทุกคน
      (18) ในส่วนของท่าน จงอยู่อย่างสันติกับทุกคนถ้าเป็นไปได้
      (19) พี่น้องที่รักยิ่ง อย่าแก้แค้นเลยแต่จงให้พระเจ้าทรงตัดสินลงโทษเถิด ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า การแก้แค้นเป็นของเรา เราจะตอบแทนการกระทำของทุกคน พระเจ้าตรัสดังนี้
      (20) ตรงกันข้าม ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารกับเขา ถ้าเขากระหาย จงให้เขาดื่ม เพราะเมื่อทำเช่นนี้ ท่านจะทำให้เขาสำนึกและละอายใจ
      (21) อย่าให้ความชั่วเอาชนะท่าน แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี   
      [Go Top]

      รม 13:1-7 ความนอบน้อมต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
      (1) ทุกคนจงนอบน้อมต่อผู้มีอำนาจปกครอง เพราะไม่มีอำนาจใดที่ไม่มาจากพระเจ้า และอำนาจทั้งหลายที่มีอยู่ก็ได้รับจากพระเจ้าทั้งสิ้น
      (2) ดังนั้น ผู้ที่ต่อต้านอำนาจก็ต่อต้านพระบัญชาของพระเจ้า และผู้ที่ต่อต้านก็จะถูกตัดสินลงโทษ
      (3) ผู้กระทำความดีไม่ต้องเกรงกลัวผู้มีอำนาจปกครอง แต่ผู้กระทำความชั่วต้องเกรงกลัว ท่านไม่ประสงค์จะกลัวผู้มีอำนาจปกครองหรือ จงทำดีเถิด และท่านจะได้รับคำชมจากผู้มีอำนาจปกครอง
      (4) เพราะผู้มีอำนาจปกครองเป็นผู้รับใช้พระเจ้าเพื่อความดีของท่าน ถ้าท่านทำผิด จงเกรงกลัวเถิด เพราะผู้มีอำนาจปกครอง จะไม่เพียงถือดาบไว้เท่านั้น แต่มีดาบไว้เพื่อลงโทษผู้กระทำชั่วเพราะเขาคือผู้รับใช้พระเจ้า
      (5) ดังนั้น ท่านจำเป็นต้องนอบน้อมไม่เพียงเพราะกลัวการลงโทษ แต่นอบน้อมเพราะมโนธรรมด้วย
      (6) ดังนั้น ท่านจงเสียภาษี เพราะผู้ทำหน้าที่นี้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า
      (7) จงให้ทุกคนตามสิทธิของเขา จงเสียภาษีแก่ผู้มีสิทธิรับภาษี จงเสียค่าธรรมเนียมแก่ผู้มีสิทธิเก็บค่าธรรมเนียม จงเกรงกลัวผู้ที่ควรเกรงกลัว จงให้เกียรติแก่ผู้สมควรจะได้รับเกียรติ

      รม 13:8-10 ความรักและบทบัญญัติ
      (8) อย่าเป็นหนี้ผู้ใด นอกจากเป็นหนี้ความรักซึ่งกันและกัน ผู้ที่รักเพื่อนมนุษย์ก็ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว
      (9) พระบัญญัติกล่าวว่า อย่าผิดประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าโลภ และถ้ามีบทบัญญัติอื่นอีกก็สรุปได้ในข้อความนี้ว่า จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง10ความรักไม่ทำความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์ ความรักเป็นการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน

      รม 13:11-14 บุตรแห่งความสว่าง
      (11) ท่านทั้งหลายจงรู้เถิดว่า เวลาที่จะประพฤติปฏิบัติเช่นนี้มาถึงแล้ว บัดนี้ถึงเวลาที่จะต้องตื่นขึ้นจากความหลับ ขณะนี้ความรอดพ้นอยู่ใกล้เรามากกว่าเมื่อเราเริ่มมีความเชื่อ
      (12) กลางคืนล่วงไปมากแล้ว กลางวันก็ใกล้จะมาถึง ดังนั้น เราจงละทิ้งกิจการของความมืดมนเสีย แล้วสวมเกราะของความสว่าง
      (13) เราจงดำเนินชีวิตอย่างมีเกียรติเหมือนกับเวลากลางวัน มิใช่กินเลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่ปล่อยตัวเสพกามอย่างผิดศีลธรรม มิใช่วิวาทริษยา
      (14) แต่จงดำเนินชีวิตโดยสวมพระเยซูคริสตเจ้าเป็นอาภรณ์ อย่าทำตามความต้องการของเนื้อหนัง   
      [Go Top]

      รม 14:1-23 จงเคารพมโนธรรมของพี่น้อง
      (1) จงยอมรับผู้ที่ความเชื่อยังไม่มั่นคง อย่าตัดสินเขา เพราะความลังเลใจของเขา
      (2) คนหนึ่งเชื่อว่ากินทุกอย่างได้ แต่อีกคนหนึ่งยังมีความเชื่อไม่มั่นคง กินแต่ผักเท่านั้น
      (3) ผู้ที่กินทุกอย่าง อย่าดูถูกผู้ที่ไม่กิน และผู้ที่ไม่กินก็อย่าตัดสินประณามผู้ที่กิน เพราะพระเจ้าทรงยอมรับเขาแล้ว
      (4) ท่านเป็นใครกันที่จะตัดสินคนรับใช้ของผู้อื่น เขาจะยืนอยู่หรือล้มลงก็เป็นเรื่องของนายของเขา แต่เขาจะยืนอยู่ได้เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้เขายืนอยู่ได้
      (5) คนหนึ่งคิดว่าวันหนึ่งสำคัญกว่าอีกวันหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งคิดว่าทุกวันมีความสำคัญเท่ากัน แต่ละคนจงปฏิบัติตามความเชื่อมั่นของตน
      (6) ผู้ที่ถือวันสำคัญ ก็ถือเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่กิน ก็กินเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาขอบพระคุณพระองค์ ผู้ที่ไม่กิน ก็งดกินเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และขอบพระคุณพระองค์เช่นกัน
      (7) เพราะไม่มีพวกเราคนใดที่มีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง และไม่มีผู้ใดตายเพื่อตนเองเช่นเดียวกัน
      (8) ถ้าเรามีชีวิตอยู่ ก็มีชีวิตอยู่เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเราตาย เราก็ตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น ไม่ว่าเรามีชีวิตอยู่หรือตาย เราก็เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
      (9) เพราะเหตุนี้เอง พระคริสตเจ้าจึงสิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนมชีพ เพื่อจะเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งของผู้ตายและของผู้เป็น10แล้วท่านเล่า ทำไมจึงตัดสินพี่น้องของท่าน หรือท่านเล่า ทำไมท่านจึงดูหมิ่นพี่น้องของท่าน ในเมื่อเราทุกคนจะต้องไปยืนอยู่หน้าพระบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า
      (11) เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “พระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่นอนฉันใด ก็เป็นที่แน่นอนฉันนั้นว่า ทุกคนจะคุกเข่าลงกราบเรา และทุกคนจะกล่าวสรรเสริญพระเจ้า”
      (12) ดังนั้น เราแต่ละคนต่างจะต้องทูลรายงานเกี่ยวกับตนเองต่อพระเจ้า
      (13) ดังนั้น เราจงเลิกตัดสินกันเถิด และจงเลิกคิดที่จะเป็นอุปสรรคให้พี่น้องสะดุดล้ม
      (14) ข้าพเจ้ารู้และแน่ใจในองค์พระเยซูเจ้าว่า ไม่มีสิ่งใดเป็นมลทินในตัวเอง แต่ถ้าใครคิดว่าเป็นมลทินก็เป็นมลทินสำหรับเขา
      (15) ถ้าอาหารที่ท่านกิน เป็นเหตุให้พี่น้องไม่สบายใจ ท่านก็ไม่ได้ประพฤติตนตามความรัก อย่าใช้เรื่องอาหารมาทำลายพี่น้องคนนั้นที่พระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเขา
      (16) อย่าให้สิทธิของท่านถูกตำหนิได้
      (17) เพราะอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องการกินการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรม สันติและความชื่นชมยินดีในพระจิตเจ้า
      (18) ผู้ที่รับใช้พระคริสตเจ้าดังนี้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าและเป็นที่เคารพนับถือของมนุษย์
      (19) ฉะนั้น เราจงพยายามทำกิจการที่นำไปสู่สันติและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่กันและกัน
      (20) อย่าทำลายงานของพระเจ้าด้วยเรื่องอาหาร อาหารทุกชนิดบริสุทธิ์อย่างแน่นอน แต่การกินอาหารโดยทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจเป็นความผิด
      (21) เป็นการดีที่จะงดกินเนื้อ งดดื่มเหล้าองุ่นและงดทุกสิ่งที่เป็นเหตุทำให้พี่น้องของท่านไม่สบายใจ
      (22) จงเก็บความเชื่อมั่นของท่านไว้สำหรับตนเองเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าเถิด ผู้ที่ไม่ตัดสินลงโทษตนเองในสิ่งที่ตนเห็นชอบแล้วก็มีสุข
      (23) แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่ ถ้ากิน ก็ตัดสินลงโทษตนเอง เพราะกระทำโดยไม่เชื่อมั่น ทุกสิ่งที่ไม่ได้มาจากความเชื่อมั่น ย่อมเป็นบาป   
      [Go Top]

      รม 15:1-13
      (1) พวกเราที่เข้มเข็งต้องอดทนต่อความพลาดพลั้งของคนที่อ่อนแอ และไม่ทำตามใจชอบของเราเอง
      (2) พวกเราแต่ละคนต้องเอาใจพี่น้องเพื่อความดีและค้ำจุนกัน
      (3) เพราะพระคริสตเจ้ามิได้ทรงถือพระทัยของพระองค์เป็นใหญ่ แต่ทรงอดทน ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า คำสบประมาทของผู้ที่เหยียดหยามพระองค์ตกอยู่กับข้าพเจ้า
      (4) สิ่งที่เขียนไว้ก่อนนั้นก็เขียนไว้สำหรับสั่งสอนเรา เพื่อเราจะมีความหวังอาศัยความอดทนพากเพียรและการปลอบใจที่มาจากพระคัมภีร์
      (5) ขอให้พระเจ้าผู้ประทานความพากเพียรและการปลอบใจ โปรดให้ท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ตามแบบฉบับของพระคริสตเยซู
      (6) เพื่อท่านจะได้พร้อมใจกันและเปล่งวาจาเป็นเสียงเดียวกัน ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าผู้ทรงเป็นบิดาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
      (7) ดังนั้น ท่านจงยอมรับกันและกัน เช่นเดียวกับที่พระคริสตเจ้าทรงยอมรับท่านเพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า
      (8) ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า พระคริสตเจ้าทรงยอมเป็นผู้รับใช้พวกที่เข้าสุหนัต เพราะทรงเห็นแก่ความสัตย์จริงของพระเจ้า เพื่อยืนยันพระสัญญาที่ประทานไว้กับบรรพบุรุษ
      (9) ส่วนคนต่างชาตินั้นถวายเกียรติแด่พระเจ้าเพราะพระเมตตาของพระองค์ ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางนานาชาติ ร่วมขับร้องสดุดีพระนามของพระองค์10และมีเขียนไว้อีกว่า ประชาชาติทั้งหลาย จงชื่นชมยินดีพร้อมกับประชากรของพระองค์
      (11) และเขียนอีกตอนหนึ่งว่า จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด ประชาชาติทั้งหลาย จงร้องสรรเสริญพระองค์เถิด ประชากรทั้งหลาย
      (12) ประกาศกอิสยาห์ยังกล่าวอีกว่า รากของเจสซีจะงอกขึ้น พระองค์จะทรงขึ้นมาปกครองประชาชาติ นานาชาติจะมีความหวังในพระองค์
      (13) ขอพระเจ้าผู้ประทานความหวังโปรดให้ท่านทั้งหลายเปี่ยมด้วยความยินดีและสันติทุกประการในการที่ท่านเชื่อเช่นนั้น เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม เดชะพระฤทธานุภาพของพระจิตเจ้า

      บทส่งท้าย
      รม 15:14-21 ศาสนบริการของเปาโล

      (14) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าแน่ใจว่า ท่านมีความดีและมีความรู้อย่างเต็มเปี่ยม สั่งสอนตักเตือนกันได้
      (15) แต่บางตอนของจดหมายนี้ข้าพเจ้าใช้ถ้อยคำรุนแรงไปบ้างเพื่อเตือนความจำของท่านอีกครั้ง เพราะพระหรรษทานที่พระเจ้าประทานให้กับข้าพเจ้า
      (16) เพื่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระคริสตเยซูไปยังคนต่างศาสนา โดยทำหน้าที่สมณะในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า เพื่อให้คนต่างศาสนาได้เป็นเสมือนเครื่องบูชาที่พอพระทัยซึ่งพระจิตเจ้าทรงบันดาลความศักดิ์สิทธิ์ให้
      (17) ข้าพเจ้าจึงมีความภูมิใจในพระคริสตเยซูถึงงานที่ข้าพเจ้ากระทำเพื่อพระเจ้า
      (18) เพราะข้าพเจ้าไม่กล้ากล่าวถึงสิ่งใดนอกจากสิ่งที่พระคริสตเจ้าทรงกระทำโดยผ่านข้าพเจ้า เพื่อให้คนต่างศาสนาเชื่อฟังพระเจ้า ข้าพเจ้ากระทำเช่นนี้โดยอาศัยคำพูดและ กิจการ
      (19) อาศัยฤทธิ์อำนาจของเครื่องหมายอัศจรรย์ต่าง ๆ เดชะพระฤทธานุภาพของพระจิตเจ้า ข้าพเจ้าประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้าอย่างครบถ้วนตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มและเขตปริมณฑลไปจนถึงแคว้นอิลลีริคุม
      (20) ข้าพเจ้าตั้งเป็นกฎไว้ว่าจะประกาศข่าวดีในที่ที่ยังไม่มีผู้รู้จักพระนามของพระคริสตเจ้ามาก่อน เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไม่ก่อสร้างบนรากฐานที่คนอื่นวางไว้แล้ว
      (21) ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ผู้ที่ไม่เคยฟังคำประกาศเรื่องพระองค์จะแลเห็น และผู้ที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระองค์จะเข้าใจพระองค์

      รม 15:22-33 แผนการของเปาโล
      (22) เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงถูกขัดขวางหลายครั้งไม่ให้มาพบท่านทั้งหลาย
      (23) แต่บัดนี้ไม่มีหน้าที่ใดที่จะต้องทำในท้องที่เหล่านี้อีกแล้ว ข้าพเจ้าต้องการจะมาพบท่านหลายปีมาแล้ว
      (24) ข้าพเจ้าหวังว่าจะแวะมาพบท่านขณะที่ข้าพเจ้าเดินทางไปยังสเปน และท่านจะช่วยให้เดินทางต่อไปถึงที่นั่น หลังจากที่ได้รับความสดชื่นบ้างจากการพำนักอยู่กับท่าน
      (25) เวลานี้ ข้าพเจ้ากำลังเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับใช้บรรดาคริสตชนที่นั่น
      (26) เนื่องจากจากชาวมาซีโดเนียและชาวอาคายาต้องการทำบุญช่วยเหลือคนยากจนในกลุ่มคริสตชนที่กรุงเยรูซาเล็ม
      (27) พวกเขาต้องการทำเช่นนี้ เพราะพวกเขาเองก็เป็นหนี้บุญคุณคริสตชนที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะถ้าคนต่างศาสนาได้มีส่วนในสมบัติฝ่ายจิต พวกเขาก็ควรรับใช้คริสตชนที่กรุงเยรูซาเล็มในความต้องการฝ่ายกายด้วย
      (28)ดังนั้น เมื่อข้าพเจ้าทำธุรกิจนี้สำเร็จ และนำของบริจาคไปให้พวกเขาเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจะแวะมาเยี่ยมท่านระหว่างทางไปสเปน
      (29) ข้าพเจ้ารู้ว่า เมื่อข้าพเจ้ามาถึง ข้าพเจ้าจะนำพระพรอันมากล้นของพระคริสตเจ้ามาให้ท่านด้วย
      (30) พี่น้องทั้งหลาย เพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และเพราะเห็นแก่ความรักจากพระจิตเจ้า ข้าพเจ้าอ้อนวอนท่านให้ร่วมแรงกับข้าพเจ้าในการภาวนาต่อพระเจ้า
      (31) เพื่อข้าพเจ้าจะได้พ้นจากผู้ไม่มีความเชื่อในแคว้นยูเดีย และเพื่อให้กลุ่มคริสตชนที่กรุงเยรูซาเล็มพอใจศาสนบริการของข้าพเจ้า
      (32) ข้าพเจ้าจะได้มาพบท่านด้วยความชื่นชมยินดี ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อจะได้พักผ่อนกับท่าน
      (33) ขอพระเจ้าผู้ประทานสันติ สถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเทอญ อาเมน   
      [Go Top]

      รม 16:1-16 คำทักทายและความปรารถนาดี
      (1) ข้าพเจ้าขอฝากเฟบีไว้กับท่านทั้งหลาย เธอเป็นพี่น้องคนหนึ่งของเรา เป็นศาสนบริกรสตรีของพระศาสนจักรที่เคนเครีย
      (2) จงต้อนรับเธอในองค์พระผู้เป็นเจ้าให้สมควรกับผู้เป็นคริสตชน และจงช่วยเหลือเธอในสิ่งที่เธอต้องการจากท่าน เธอเคยช่วยเหลือข้าพเจ้าและอีกหลาย ๆ คน
      (3) ขอฝากความคิดถึงปริสสิลลาและอาควิลลา ผู้ร่วมงานกับข้าพเจ้าในพระคริสตเยซู
      (4) เขาเสี่ยงต่อการถูกตัดคอเพื่อช่วยชีวิตข้าพเจ้ามาแล้ว มิใช่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่ขอขอบคุณเขาทั้งสองคน แต่พระศาสนจักรทั้งหลายของชนต่างชาติก็ขอบคุณเขาทั้งสองด้วย
      (5) ขอฝากความคิดถึงกลุ่มคริสตชนที่ชุมนุมกันในบ้านของเขาด้วย ขอฝากความคิดถึงเอเปเนทัสที่รักของข้าพเจ้า เขาเป็นคนแรกในแคว้นอาเชียที่มีความเชื่อในพระคริสตเจ้า
      (6) ขอฝากความคิดถึงมารีย์ ซึ่งเหน็ดเหนื่อยมากเพื่อท่านทั้งหลาย
      (7) ขอฝากความคิดถึงอันโดรนิคัสและยูนิอัส ผู้เป็นญาติและเคยถูกจองจำร่วมกับข้าพเจ้า ทั้งสองคนนี้เป็นคนเด่นในหมู่อัครสาวกและได้มานับถือพระคริสตเจ้าก่อนข้าพเจ้า
      (8) ขอฝากความคิดถึงอัมพลีอาทัส ผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า
      (9) ขอฝากความคิดถึงอูรบานัสผู้ร่วมงานกับพวกเราในพระคริสตเจ้า และขอฝากความคิดถึงสทาคิสที่รักของข้าพเจ้าด้วย
      (10) ขอฝากความคิดถึงอาเปลเลสผู้พิสูจน์ตนเองแล้วในพระคริสตเจ้า ขอฝากความคิดถึงทุกคนในครอบครัวของอาริสโทบูลัส
      (11) ฝากความคิดถึงเฮโรดิโอน ญาติของข้าพเจ้าและฝากความคิดถึงทุกคนที่เป็นของพระเยซูเจ้าในครอบครัวของนารซิสสัส
      (12) ขอฝากความคิดถึงตรีเฟนาและตรีโฟสาผู้ทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอฝากความคิดถึงเปอร์สิสที่รัก ผู้ทำงานมากมายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
      (13) ขอฝากความคิดถึงรูฟัส ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกสรร และขอฝากความคิดถึงมารดาของเขา ซึ่งเป็นเสมือนมารดาของข้าพเจ้าด้วย
      (14) ขอฝากความคิดถึงอาสินครีตัส ฟะเลโกน เฮอร์เมส ปัทโรฟัส เฮอร์มาสและบรรดาพี่น้องที่อยู่กับพวกเขา
      (15) ขอฝากความคิดถึงฟีโลโลกัสและยูเลีย เนเรอัสและน้องสาวของเขา และขอฝากความคิดถึง โอลิมปัสและคริสตชนทุกคนที่อยู่กับพวกเขา
      (16) ท่านทั้งหลาย จงทักทายกันด้วยการจุมพิตศักดิ์สิทธิ์ พระศาสนจักรทุกแห่งของพระคริสตเจ้าขอฝากความคิดถึงท่านทั้งหลาย

      รม 16:17-20 คำตักเตือนและปัจฉิมลิขิต ครั้งที่หนึ่ง
      (17) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเตือนท่านให้ระวังและหลีกเลี่ยงบุคคลที่ทำให้เกิดการแตกแยกและขัดขวางคำสอนที่ท่านทั้งหลายเรียนรู้มา
      (18) เพราะพวกเขาไม่รับใช้พระคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา แต่รับใช้ท้องของตนเอง และใช้วาจาไพเราะประจบประแจงมาหลอกลวงจิตใจของคนซื่อ
      (19) การเชื่อฟังของท่านเป็นที่เลื่องลือไปถึงทุกคน ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงชื่นชมท่าน ต้องการให้ท่านเป็นผู้รอบรู้ในสิ่งที่ดีและไม่เกี่ยวข้องกับความชั่ว
      (20) พระเจ้าผู้ประทานสันติจะทรงบดขยี้ซาตานลงใต้เท้าของท่านทั้งหลายโดยเร็ว

      ขอพระหรรษทานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเทอญ

      รม 16:21-24 คำทักทายส่งท้ายและปัจฉิมลิขิต ครั้งที่สอง
      (21) ทิโมธีผู้ร่วมงานของข้าพเจ้า ขอฝากความคิดถึงท่านทั้งหลาย ลูสีอัส ยาโสนและโสสิปาเทอร์ญาติของข้าพเจ้าก็ขอฝากความคิดถึงเช่นเดียวกัน
      (22) ข้าพเจ้าเทอร์ทิอัส ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ ขอฝากความคิดถึงท่านทั้งหลายในองค์พระผู้เป็นเจ้า
      (23) กายอัสเจ้าบ้านผู้ต้อนรับข้าพเจ้าและกลุ่มคริสตชนทุกคนขอฝากความคิดถึงท่าน
      (24) เอรัสทัส สมุห์บัญชีของเมือง และควารทัส น้องของเรา ขอฝากความคิดถึงท่านทั้งหลายด้วย

      รม 16:25-27 คำถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
      (25) ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระผู้โปรดให้ท่านทั้งหลายมั่นคงตามข่าวดีของข้าพเจ้า และตามการประกาศสอนเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า เป็นการเปิดเผยธรรมล้ำลึก ที่เก็บเป็นความลับตลอดเวลานานมาแล้ว
      (26) แต่บัดนี้เปิดเผยให้ปรากฏแล้ว ตามข้อเขียนของบรรดาประกาศก ตามพระบัญชาของพระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดนิรันดร ให้นานาชาติได้รู้ เพื่อจะได้นำพวกเขามายอมรับความเชื่อ
      (27) ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้าผู้ทรงพระปรีชาญาณแต่เพียงพระองค์เดียว โดยทางพระเยซูคริสตเจ้า ขอพระองค์ทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดร อาเมน  
      [Go Top]

    [01] [02] [03] [04] [05] [06] [07] [08] [09] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [Goto Menu]