บทนำ 1คร 1:1-9 คำทักทายและการขอบพระคุณ
(1) จากเปาโล ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้เป็นอัครสาวกของพระคริสตเยซูตามพระประสงค์ของพระองค์ และจากโสสเธเนสพี่น้องของเรา
(2) ถึงพระศาสนจักรของพระเจ้าที่อยู่ ณ เมืองโครินธ์ ถึงผู้ที่ได้รับความศักดิ์สิทธิ์ในพระคริสตเยซู คือได้รับเรียกให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับทุกคนในทุกสถานที่ ทุกคนซึ่งเรียกหาพระนามของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งของเขาและของเราด้วย
(3) ขอพระหรรษทานและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
(4) ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอเพื่อท่านทั้งหลาย เพราะพระหรรษทานซึ่งพระเจ้าประทานแก่ท่านเดชะพระคริสตเยซู
(5) ท่านได้รับพระพรทุกด้านและทุกประการเดชะพระองค์ คือการประกาศพระวาจาและความรู้ทุกอย่าง
(6) ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงพระคริสตเจ้าอย่างเข้มแข็งจนถึงที่สุด
(7) จนกระทั่งท่านไม่ขาดพระคุณใดในขณะที่รอคอยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
(8) พระองค์จะทรงค้ำจุนท่านให้มั่นคงจนถึงวาระสุดท้าย ไม่มีที่ติ ในวันที่พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมา
(9) พระเจ้าทรงเรียกท่านให้สนิทสัมพันธ์กับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว พระองค์ทรงมั่นตงในการรักษาคำสัญญา
I. การแตกแยกและการเป็นตัวอย่างไม่ดี
ก: การแบ่งแยกในกลุ่มคริสตชนที่เมืองโครินธ์
1คร 1:10-16 คริสตชนแตกแยกกัน
1คร 1:17-31 ปรีชาญาณและความโง่เขลา
(17) พระคริสตเจ้ามิได้ทรงส่งข้าพเจ้ามาทำพิธีล้างบาป แต่ทรงส่งมาประกาศข่าวดีมิใช่ด้วยการใช้โวหารอันชาญฉลาด ด้วยเกรงว่าจะทำให้ไม้กางเขนของพระคริสตเจ้าเสื่อมประสิทธิภาพ
(18) ผู้ที่จะพินาศนั้นเห็นว่าคำสอนเรื่องไม้กางเขนเป็นความโง่เขลา แต่พวกเราที่กำลังจะรอดพ้นเห็นว่าเป็นพระอานุภาพของพระเจ้า
(19) มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราจะทำลายความปรีชาของผู้มีปัญญา และจะทำให้ไหวพริบของคนฉลาดหมดสิ้นไป
(20) คนฉลาดปราดเปรื่องอยู่ที่ใดเล่า บัณฑิตอยู่ที่ใดเล่า และนักโต้ปัญหาของโลกนี้อยู่ที่ใดเล่า พระเจ้ามิได้ทรงบันดาลให้ความปรีชาฉลาดของโลกนี้กลายเป็นความโง่เขลาไปดอกหรือ
(21) เพราะตามพระปรีชาญาณของพระเจ้า โลกมิได้รู้จักพระองค์โดยอาศัยความปรีชาฉลาดของตน พระเจ้าจึงพอพระทัยช่วยผู้มีความเชื่อให้รอดพ้นโดยการเทศน์สอนเรื่องโง่เขลา
(22) ขณะที่ชาวยิวเรียกร้องขอดูอัศจรรย์ และชาวกรีกแสวงหาปรีชาญาณ
(23) เรากลับประกาศเรื่องพระคริสตเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขน อันเป็นข้อขัดข้องมิให้ชาวยิวรับไว้ได้และเป็นเรื่องโง่เขลาสำหรับชาวกรีก
(24) แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก พระคริสตเจ้าทรงเป็นทั้งพระอานุภาพและพระปรีชาญาณของพระเจ้า
(25) เพราะความโง่เขลาของพระเจ้ายังฉลาดยิ่งกว่าปรีชาญาณของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่าพละกำลังของมนุษย์
(26) พี่น้องทั้งหลาย จงพิจารณาดูเถิด เมื่อพระเจ้าทรงเรียกท่านนั้น มีน้อยคนที่ฉลาดตามมาตรฐานของมนุษย์น้อยคนที่มีอิทธิพล น้อยคนที่มีตระกูลสูง
(27) แต่พระเจ้าทรงเลือกสรรคนโง่เขลาในสายตาของโลกเพื่อทำให้คนฉลาดต้องอับอาย พระเจ้าทรงเลือกสรรคนที่โลกถือว่าอ่อนแอเพื่อทำให้ผู้แข็งแรงต้องอับอาย
(28) และพระเจ้าทรงเลือกสรรสิ่งต่ำช้าน่าดูหมิ่นไร้คุณค่าในสายตาของชาวโลกเพื่อทำลายสิ่งที่โลกเห็นว่าสำคัญ
(29) ทั้งนี้ เพื่อมิให้มนุษย์โอ้อวดเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าได้
(30) เดชะพระองค์ ท่านจึงมีความเป็นอยู่ในพระคริสตเยซูผู้ที่พระเจ้าทรงตั้งให้เป็นปรีชาญาณสำหรับเรา ทั้งยังทรงเป็นผู้บันดาลความชอบธรรม ความศักดิ์สิทธิ์และการไถ่กู้อีกด้วย
(31) เพื่อให้เป็นไปตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ผู้ใดจะโอ้อวด ก็ให้ผู้นั้นโอ้อวดในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
[Go Top]
1คร 2:1-16
(1) พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาพบท่าน ข้าพเจ้ามิได้มาประกาศธรรมล้ำลึก เรื่องพระเจ้าโดยใช้สำนวนโวหาร หรือโดยใช้หลักเหตุผลอันฉลาดปราดเปรื่อง
(2) ข้าพเจ้าตัดสินใจว่าจะไม่สอนเรื่องใดแก่ท่านนอกจากเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า คือพระองค์ผู้ทรงถูกตรึงกางเขน
(3) ข้าพเจ้ายังอยู่กับท่านด้วยความอ่อนแอ มีความกลัวและหวาดหวั่นมาก
(4) วาจาและคำเทศน์ของข้าพเจ้ามิใช่คำพูดชวนเชื่ออย่างชาญฉลาด แต่เป็นถ้อยคำแสดงพระอานุภาพของพระจิตเจ้า
(5) เพื่อมิให้ความเชื่อของท่านเป็นผลจากปรีชาญาณของมนุษย์ แต่เป็นผลจากพระอานุภาพของพระเจ้า
(6) เราพูดถึงปรีชาญาณในหมู่ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่มิใช่ปรีชาญาณของโลกนี้หรือของผู้ปกครองโลกนี้ ซึ่งกำลังจะสูญสิ้นไป
(7) แต่เรากล่าวถึงพระปรีชาญาณ ของพระเจ้า เป็นธรรมล้ำลึกอันซ่อนเร้นซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดล่วงหน้าไว้ก่อนปฐมกาลสำหรับสิริรุ่งโรจน์ของเรา
(8) ไม่มีผู้ปกครองโลกนี้ผู้ใดล่วงรู้พระปรีชาญาณนี้ เพราะถ้าเขารู้ เขาคงไม่ตรึงกางเขนองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์
(9) แต่ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เคยเห็น และหูไม่เคยได้ยิน และจิตใจของมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์
(10) นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เรารู้โดยทางพระจิตเจ้า เพราะพระจิตเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้กระทั่งสิ่งที่ลึกล้ำของพระเจ้า
(11) ใครเล่าล่วงรู้ความคิดของมนุษย์ ถ้ามิใช่จิตของมนุษย์ที่อยู่ในตัวมนุษย์คนนั้น เช่นเดียวกัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความคิดของพระเจ้านอกจากพระจิตของพระเจ้า
(12) เรามิได้รับจิตของโลก แต่รับพระจิตซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อให้รู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่เรา
(13) เราพูดถึงสิ่งเหล่านี้ มิใช่ด้วยวาจาซึ่งปรีชาญาณของมนุษย์สอนให้ แต่พูดด้วยถ้อยคำที่พระจิตเจ้าทรงสอน เราจึงอธิบายเรื่องฝ่ายจิตโดยใช้ถ้อยคำของพระจิตเจ้า
(14) มนุษย์ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติรับสิ่งที่เป็นของพระจิตของพระเจ้าไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องโง่เขลาสำหรับเขา เขาไม่อาจเข้าใจได้ เพราะต้องใช้จิตพิจารณาอาศัยพระจิตเจ้าเท่านั้น
(15) ส่วนผู้ที่ดำเนินชีวิตอาศัยพระจิตเจ้าย่อมตัดสินทุกสิ่งและไม่มีใครตัดสินเขาได้
(16) ใครเล่าหยั่งรู้ความคิดขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้คำแนะนำแก่พระองค์ได้ เรานั่นเองที่มีความคิดของพระคริสตเจ้า
[Go Top]
1คร 3:1-4
1คร 3:5-17 บทบาทของผู้เทศน์สอน
1คร 3:18-23 สรุปเรื่องแรก
1คร 4:1-13
1คร 4:14-21 คำขอร้อง
1คร 5:1-13 ข: เพศสัมพันธ์ระหว่างญาติใกล้ชิด
1คร 6:1-11 ค: การชำระข้อพิพาทในศาลของคนต่างศาสนา
1คร 6:12-20 ง: การล่วงประเวณี
II. คำตอบปัญหาต่าง ๆ
1คร 7:1-40 ข: อาหารถวายแด่รูปเคารพ
1คร 8:1-6 หลักการทั่วไป 1คร 8:7-13 การอ้างว่ามีความรู้
1คร 9:1-27 แบบอย่างของเปาโล
1คร 10:1-13 คำเตือนและบทเรียนจากอดีตของชาวอิสราเอล
1คร 10:14-22 การเลี้ยงทางศาสนา
1คร 10:23-33 แนวปฏิบัติในเรื่องเนื้อที่ถวายแด่รูปเคารพแล้ว
1คร 11:1
ค: ระเบียบในศาสนพิธี
1คร 11:17-34 งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า
1คร 12:1-3 พระพรพิเศษจากพระจิตเจ้า
1คร 12:4-11 พระพรพิเศษมีจุดประสงค์เดียวกัน
1คร 12:12-30 การเปรียบเทียบกับร่างกาย
พระพรพิเศษของพระจิตเจ้าตามลำดับความสำคัญ
1คร 13:1-13
1คร 14:1-25 พระพรของพระจิตเจ้าสำหรับหมู่คณะ
1คร 14:26-40 ระเบียบการใช้พระพรของพระจิตเจ้า
III. บรรดาผู้ตายจะกลับคืนชีพ
1คร 15:1-34 ข้อเท็จจริงเรื่องการกลับคืนชีพ 1คร 15:35-53 ผู้ตายจะกลับคืนชีพอย่างไร
1คร 15:54-58 บทเพลงฉลองชัย
บทสรุป
(1) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจพูดกับท่านเหมือนพูดกับผู้ที่ดำเนินชีวิตอาศัยพระจิตเจ้า แต่พูดเหมือนกับคนที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ เหมือนพูดกับทารกในพระคริสตเจ้า
(2) ข้าพเจ้าใช้น้ำนมเลี้ยงท่าน ไม่ให้อาหารแข็ง เพราะขณะนั้นท่านยังรับไม่ได้ และแม้เวลานี้ ท่านก็ยังรับไม่ได้
(3) เพราะท่านยังเป็นผู้ดำรงชีวิตตามธรรมชาติ ในเมื่อท่านยังอิจฉาริษยาและทะเลาะวิวาทกัน ท่านก็ยังดำรงชีวิตตามธรรมชาติ และดำเนินชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไปมิใช่หรือ
(4) เพราะเมื่อคนหนึ่งพูดว่า "ฉันเป็นพวกของเปาโล และอีกคนหนึ่งพูดว่า ฉันเป็นพวกของอปอลโล ท่านก็มิได้เป็นเพียงมนุษย์ทั่ว ๆ ไปเท่านั้นดอกหรือ
(5) อปอลโลเป็นใคร เปาโลเป็นใคร ทั้งสองคนเป็นผู้รับใช้ที่นำความเชื่อมาให้ท่าน ต่างก็ทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้ทำเท่านั้น
(6) ข้าพเจ้าเป็นผู้ปลูก อปอลโลเป็นผู้รดน้ำ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลให้เติบโตขึ้น
(7) เพราะฉะนั้น ทั้งผู้ปลูกและผู้รดน้ำก็ไม่สำคัญ แต่ผู้มีความสำคัญแท้จริงคือพระเจ้าผู้ทรงบันดาลให้เติบโตขึ้น
(8) ผู้ปลูกและผู้รดน้ำมีความสำคัญเท่ากัน แต่ละคนจะได้รับค่าจ้างของตนตามส่วนของงานที่กระทำ
(9) เพราะเราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นอาคารของพระเจ้า
(10) พระเจ้าประทานพระหรรษทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้วางรากฐานไว้ประหนึ่งเป็นสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญ และผู้อื่นก็สร้างขึ้นบนรากฐานนั้น แต่ละคนจะต้องระมัดระวังว่าเขาก่อสร้างอย่างไร
(11) รากฐานที่วางไว้แล้วนี้คือพระเยซูคริสตเจ้าและไม่มีใครวางรากฐานอื่นได้อีก
(12) บนรากฐานนี้ ใครก่อสร้างโดยใช้ทองคำ เงิน เพชรนิลจินดา ไม้ หญ้าหรือฟาง
(13) ผลงานของแต่ละคนก็จะปรากฏให้เห็น วันพิพากษาซึ่งจะลุกเป็นไฟจะบอกให้รู้ เพราะไฟจะทดสอบผลงานของแต่ละคนและจะเปิดเผยให้เห็นว่าผลงานนั้นเป็นอย่างไร
(14) ผลงานที่ผู้ใดสร้างไว้ผ่านการทดสอบนี้ เขาก็จะได้รับเงินค่าจ้าง
(15) แต่ถ้าผลงานของผู้ใดถูกไฟผลาญ เขาก็ไม่มีผลงานใดเหลือ เขารอดพ้นได้ก็จริง แต่ก็เหมือนกับคนที่หนีไฟรอดมาได้เท่านั้น
(16) ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระจิตของพระเจ้าทรงพำนักอยู่ในท่าน
(17) ถ้าใครทำลายพระวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายเขา เพราะพระวิหารของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์ และท่านก็คือพระวิหารนั้น
(18) จงอย่าหลอกลวงตนเอง ถ้าท่านใดคิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดในโลกนี้ ก็จงยอมเป็นคนโง่ จึงจะเป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง
(19) เพราะความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ในโลกนี้เป็นความโง่เขลาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ทรงจับคนฉลาดด้วยอุบายของเขาเอง
(20) และยังมีเขียนไว้อีกว่า พระเจ้าทรงทราบว่าความคิดของคนฉลาดเป็นสิ่งไร้ประโยชน์
(21) ฉะนั้น อย่าให้ใครยกเอามนุษย์มาอวด เพราะทุกสิ่งเป็นของพวกท่าน
(22) เปาโลก็ดี อปอลโลเคฟาส โลก ชีวิต ความตาย สิ่งปัจจุบัน หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็ดี ทุกสิ่งล้วนเป็นของพวกท่าน
(23) แต่พวกท่านเป็นของพระคริสต์และพระคริสต์เป็นของพระเจ้า
[Go Top]
(1) คนทั้งหลายจงยึดถือว่าเราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสตเจ้า เป็นผู้จัดการดูแลธรรมล้ำลึกของพระเจ้า
(2) คุณสมบัติที่เขาแสวงหาในผู้จัดการก็คือ ต้องเป็นผู้ที่วางใจได้
(3) ส่วนข้าพเจ้าการที่ท่านหรือมนุษย์คนใดจะตัดสินข้าพเจ้านั้น เป็นเรื่องไม่สำคัญ แม้ข้าพเจ้าก็ยังไม่ตัดสินตนเอง
(4) จริงอยู่ มโนธรรมไม่ได้ตำหนิอะไรข้าพเจ้าเลย แต่นี่ไม่หมายความว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ชอบธรรม ผู้ตัดสินข้าพเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
(5) ดังนั้น จงอย่าตัดสินเรื่องใด ๆ ก่อนจะถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงฉายแสงให้ความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดแจ่มแจ้ง และจะทรงเปิดเผยความในใจของทุกคนให้ปรากฏ เมื่อนั้น ทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้าตามสมควร
(6) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ายกเรื่องนี้ที่เกี่ยวกับตนเองและอปอลโลเป็นตัวอย่างเพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านเรียนรู้จากเราถึงความหมายของคำพูดที่ว่า อย่าก้าวเกินขอบเขตที่เขียนไว้ เพื่อมิให้ใครหยิ่งผยอง เข้าข้างคนหนึ่งและต่อต้านอีกคนหนึ่ง
(7) ใครเล่าตัดสินว่าท่านดีกว่าผู้อื่น ท่านมีอะไรบ้างที่ไม่ได้รับ ถ้าท่านได้รับแล้ว ท่านจะโอ้อวดประหนึ่งว่าไม่ได้รับทำไม
(8) ท่านมีทุกสิ่งที่ต้องการแล้วหรือ ท่านร่ำรวยแล้วใช่ไหม ท่านครองราชย์เป็นกษัตริย์โดยไม่ต้องมีเราแล้วก็ได้ เราอยากให้ท่านครองราชย์เป็นกษัตริย์จริง ๆ เพราะเราจะได้เป็นกษัตริย์ครองราชย์พร้อมกับท่านด้วย
(9) ข้าพเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงจัดตั้งเราซึ่งเป็นอัครสาวกไว้ตรงที่สุดท้าย เหมือนกับผู้ที่ถูกตัดสินปรับโทษถึงตาย เรากลายเป็นเป้าสายตาของโลก ทั้งของทูตสวรรค์และของมนุษย์
(10) เราเป็นคนโง่เขลาเพราะเห็นแก่พระคริสตเจ้า ส่วนท่านเป็นคนเฉลียวฉลาดในพระคริสตเจ้าใช่ไหม เราอ่อนแอ ส่วนท่านเข้มแข็งใช่หรือไม่ ท่านมีเกียรติ ส่วนเราไร้เกียรติใช่ไหม
(11) จนกระทั่งบัดนี้เราก็ยังหิวและกระหาย ไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่ม ถูกตบตี และไร้ที่อยู่อาศัย
(12) เราเหน็ดเหนื่อยทำงานหนักด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง เมื่อถูกด่าว่า เราให้พร เมื่อถูกเบียดเบียน เราก็อดทน
(13) เมื่อถูกใส่ร้าย เราก็พูดดีด้วย เราเป็นเสมือนขยะมูลฝอยของโลก เป็นสิ่งปฏิกูลของทุกคนจนกระทั่งบัดนี้
(14) ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเหล่านี้มิใช่เพื่อทำให้ท่านอับอาย แต่เขียนเพื่อตักเตือนในฐานะที่ท่านเป็นลูกรักของข้าพเจ้า
(15) แม้ว่าท่านจะมีครูพี่เลี้ยงนับหมื่นคน ในพระคริสตเจ้า แต่ก็มีบิดาเพียงคนเดียว เพราะข้าพเจ้าให้กำเนิดท่านในพระคริสตเยซู โดยการประกาศข่าวดี
(16) ดังนั้น จึงขอร้องท่านให้ยึดถือข้าพเจ้าเป็นแบบอย่าง
(17) ข้าพเจ้าขอส่งทิโมธีมาพบท่าน เขาเป็นบุตรที่รักและซื่อสัตย์ของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะเตือนท่านให้คำนึงถึงวิถีชีวิตในพระคริสตเจ้า ดังที่ข้าพเจ้าเจริญชีวิตและสั่งสอนในพระศาสนจักรทั่วทุกแห่งหน
(18) บางท่านหยิ่งผยองเพราะคิดว่าข้าพเจ้าจะไม่กลับมาพบท่านอีก
(19) แต่ถ้าเป็นพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะมาพบท่านในเร็ววันนี้ เมื่อนั้นข้าพเจ้าจะรู้ว่าคนที่หยิ่งผยองซึ่งพูดมากนั้นทำอะไรได้บ้าง
(20) พระอาณาจักรของพระเจ้าไม่อยู่ในคำพูด แต่อยู่ในการกระทำซึ่งแสดงพระอานุภาพของพระจิตเจ้า
(21) ท่านต้องการอะไร ให้ข้าพเจ้ามาพบโดยถือไม้เรียว หรือมาพบด้วยความรักใคร่และมีจิตใจที่อ่อนโยน
[Go Top]
(1) ข่าวร่ำลือกันมากว่า มีการผิดประเวณีเกิดขึ้นในหมู่ท่าน เป็นการผิดประเวณีชนิดที่ไม่เคยพบเห็นแม้ในหมู่คนต่างศาสนา กล่าวคือมีคนหนึ่งได้แม่เลี้ยงของตนมาเป็นภรรยา
(2) และท่านยังภูมิใจแทนที่จะเป็นทุกข์เศร้าโศก จงขับไล่คนที่ทำผิดเช่นนี้ไปเสีย
(3) ส่วนข้าพเจ้านั้น แม้ว่ากายจะอยู่ห่าง แต่ใจนั้นอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าก็ตัดสินลงโทษผู้ที่กระทำผิดนั้นแล้วประหนึ่งว่าข้าพเจ้าอยู่ด้วย
(4) เมื่อท่านทั้งหลายร่วมชุมนุมกันในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าจิตใจของข้าพเจ้าก็อยู่ร่วมด้วยพร้อมกับพระอานุภาพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
(5) จงมอบคนประเภทนี้ให้กับซาตาน ให้เขามีชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อจิตของเขาจะรอดพ้นในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(6) การโอ้อวดนั้นไม่ดีเลย ท่านไม่รู้หรือว่า เชื้อแป้งเพียงเล็กน้อยก็ทำให้แป้งดิบทั้งก้อนฟูขึ้นได้
(7) จงชำระเชื้อแป้งเก่าเสียเพื่อท่านจะเป็นแป้งดิบก้อนใหม่ ดังที่ท่านก็เป็นแป้งไร้เชื้ออยู่แล้ว เพราะพระคริสตเจ้าองค์ปัสกาของเราถูกฆ่าบูชาแล้ว
(8) เราจงฉลองกันเถิด มิใช่ด้วยเชื้อแป้งเก่าคือความชั่วร้ายเลวทราม แต่ด้วยแป้งไร้เชื้อคือความจริงใจและสัจจะ
(9) ข้าพเจ้าเขียนจดหมายฉบับก่อนถึงท่านแล้วว่า อย่าสมาคมกับคนผิดประเวณี
(10) ข้าพเจ้ามิได้หมายถึงทุกคนในโลกนี้ที่ผิดประเวณี มีความโลภเอาแต่ได้ ชอบลักขโมย หรือกราบไหว้รูปเคารพ มิฉะนั้นท่านจะต้องออกจากโลกนี้
(11) แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านนี้หมายความว่า อย่าสมาคมกับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้อง แต่ผิดประเวณี โลภเอาแต่ได้ กราบไหว้รูปเคารพ นินทาว่าร้ายผู้อื่น ดื่มสุราเมามายหรือชอบลักขโมย อย่ากินอาหารร่วมโต๊ะกับคนประเภทนี้
(12) ไม่ใช่ธุระอันใดของข้าพเจ้าที่จะตัดสินผู้ที่อยู่ภายนอกแต่เป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องตัดสินพี่น้องด้วยกันไม่ใช่หรือ
(13) พระเจ้าจะทรงตัดสินผู้ที่อยู่ภายนอก ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า จงขจัดคนชั่วร้ายออกไปจากหมู่คณะของท่าน
[Go Top]
(1) คนใดบ้างเมื่อมีข้อพิพาทกับอีกคนหนึ่ง นำคดีไปว่าความกันต่อหน้าคนต่างศาสนา แทนที่จะให้ผู้ศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ตัดสิน
(2) ท่านไม่รู้หรือว่า บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะตัดสินโลก ถ้าท่านจะเป็นผู้ตัดสินโลกแล้ว ท่านไม่ตัดสินเรื่องเล็กน้อยไม่ได้หรือ
(3) ท่านไม่รู้หรือว่า พวกเราจะตัดสินแม้กระทั่งทูตสวรรค์ แล้วเราจะตัดสินกันเองเรื่องของชีวิตนี้ไม่ได้หรือ
(4) เมื่อท่านเป็นความกันเรื่องของชีวิตนี้ ท่านยอมให้ผู้ไม่มีอำนาจในพระศาสนจักรเป็นผู้ตัดสินหรือ
(5) ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพื่อให้ท่านละอายใจ ในหมู่ท่านไม่มีใครสักคนที่ฉลาดพอจะตัดสินความระหว่างพี่น้องกันเองได้หรือ
(6) แล้วทำไมพี่น้องต้องเป็นความกัน ยิ่งกว่านั้นยังเป็นความกันต่อหน้าผู้ไม่มีความเชื่อด้วย
(7) อันที่จริง เมื่อท่านมีคดีพิพาทกัน ก็นับว่าเป็นการพ่ายแพ้อยู่แล้ว ท่านยอมถูกรังแกมิดีกว่าหรือ ท่านยอมถูกโกงมิดีกว่าหรือ
(8) แต่ท่านกลับไปรังแกและฉ้อโกงกันระหว่างพี่น้องด้วย
(9) ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก จงอย่าหลอกตนเอง คนผิดประเวณี คนกราบไหว้รูปเคารพ คนเป็นชู้ คนลักเพศ คนรักร่วมเพศ
(10) คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง คนเหล่านี้จะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก
(11) บางท่านเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน แต่ท่านได้รับการชำระล้างแล้ว ท่านได้รับความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ท่านได้รับความชอบธรรมแล้วเดชะพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า และเดชะพระจิตของพระเจ้าของเรา
(12) ท่านมักพูดว่า ข้าพเจ้าทำอะไรก็ได้ทุกสิ่ง แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า ทุกสิ่งมิใช่เป็นประโยชน์เสมอไป ข้าพเจ้าทำอะไรได้ทุกสิ่งก็จริง แต่ไม่ยอมให้สิ่งใดมาครอบงำข้าพเจ้า
(13) ท่านพูดอีกว่า อาหารมีไว้สำหรับท้อง ท้องมีไว้สำหรับอาหาร แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า พระเจ้าจะทรงทำลายทั้งสองอย่าง ร่างกายมิได้มีไว้สำหรับการล่วงประเวณี แต่มีไว้สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และองค์พระผู้เป็นเจ้ามีไว้สำหรับร่างกาย
(14) พระเจ้าผู้ทรงปลุกองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจะทรงปลุกเราให้กลับคืนชีพ ด้วยพระอานุภาพของพระองค์เช่นเดียวกัน
(15) ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นส่วนประกอบของพระวรกายของพระคริสตเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะเอาส่วนประกอบพระวรกายของพระคริสตเจ้านี้ไปร่วมกับร่างกายของหญิงโสเภณีหรือ เป็นไปไม่ได้
(16) ท่านไม่รู้หรือว่า ผู้ที่ร่วมเพศกับหญิงโสเภณีก็เป็นกายเดียวกับนาง เพราะมีกล่าวไว้ว่า ทั้งสองจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
(17) แต่ผู้ที่สนิทสัมพันธ์กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นจิตใจเดียวกันกับพระองค์
(18) จงหลีกหนีการล่วงประเวณี บาปทั้งหลายนั้นมนุษย์ทำนอกร่างกาย แต่ผู้ที่ล่วงประเวณีทำบาปต่อร่างกายของตนเอง
(19) ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าผู้สถิตอยู่ในท่าน ท่านได้รับพระจิตนี้จากพระเจ้า
(20) ท่านจึงไม่เป็นเจ้าของของตนเอง พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาแพง ดังนั้นจงใช้ร่างกายของท่านถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเถิด [Go Top]
ก: การสมรสและการถือพรหมจรรย์
(1) ข้าพเจ้าขอตอบปัญหาต่าง ๆ ที่ท่านเขียนมาดังนี้ การที่คนหนึ่งคนใดไม่แต่งงานนั้นเป็นการดี
(2) ถึงกระนั้นเพื่อป้องกันมิให้ผิดประเวณี ชายแต่ละคนจงมีภรรยาของตน หญิงแต่ละคนจงมีสามีของตน
(3) สามีต้องเต็มใจมอบตนเองให้ภรรยา เช่นเดียวกับภรรยาต้องเต็มใจมอบตนเองให้สามี
(4) ภรรยาไม่เป็นเจ้าของร่างกายของตนเองเพียงผู้เดียว แต่สามีเป็นเจ้าของด้วย เช่นเดียวกัน สามีไม่เป็นเจ้าของร่างกายของตนเองเพียงผู้เดียว แต่ภรรยาก็เป็นเจ้าของด้วย
(5) ท่านอย่าปฏิเสธที่จะมีเพศสัมพันธ์ต่อกัน เว้นแต่จะได้ตกลงกันงดมีเพศสัมพันธ์ระยะหนึ่งเพื่ออุทิศตนอธิษฐานภาวนา แล้วจึงกลับมาอยู่ร่วมกันอีก มิฉะนั้น ซาตานอาจมาประจญท่านในขณะที่ควบคุมตนเองไม่ได้
(6) ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เป็นการอนุโลมให้ ไม่ใช่เป็นคำสั่ง
(7) ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกคนถือโสดเหมือนข้าพเจ้า แต่พระเจ้าประทานพระพรพิเศษให้แต่ละคน คนหนึ่งได้รับพระพรนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับพระพรนั้น
(8) ข้าพเจ้าขอบอกกับผู้ที่ไม่แต่งงานและหญิงม่ายว่า การเป็นโสดต่อไปเหมือนกับข้าพเจ้านั้นเป็นการดี
(9) แต่ถ้าเขาบังคับตนเองไม่ได้ ก็จงแต่งงาน เพราะการแต่งงานดีกว่าการถูกไฟราคะเผาผลาญ
(10) ข้าพเจ้าขอสั่งคนที่แต่งงานแล้ว คำสั่งนี้มิใช่เป็นคำสั่งของข้าพเจ้า แต่เป็นพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ภรรยาอย่าแยกจากสามี
(11) แต่ถ้าแยกกันแล้ว ก็อย่าแต่งงานอีก หรือมิฉะนั้นก็จงคืนดีกับสามี ส่วนสามีก็อย่าขับไล่ภรรยาของตน
(12) ส่วนคนอื่น ๆ ข้าพเจ้าขอแนะนำ นี่ไม่ใช่พระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพี่น้องคนหนึ่งมีภรรยาที่ไม่มีความเชื่อ และนางเต็มใจอยู่กินกับเขา เขาไม่ต้องหย่าขาดจากนาง
(13) ถ้าหญิงมีสามีที่ไม่มีความเชื่อและเขาเต็มใจอยู่กับนาง นางก็ไม่ต้องหย่าขาดจากเขาเช่นกัน
(14) เพราะสามีที่ไม่มีความเชื่อได้รับความศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้าโดยทางภรรยา และภรรยาที่ไม่มีความเชื่อก็ได้รับความศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้าโดยทางสามีที่มีความเชื่อ มิฉะนั้น บุตรของท่านก็จะมีมลทิน แต่ในความเป็นจริง บุตรได้รับความศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้าแล้ว
(15) แต่ถ้าฝ่ายที่ไม่มีความเชื่อขอแยกจากกัน ก็ให้เขาแยกไปเถิด ในกรณีเช่นนี้ ฝ่ายที่มีความเชื่อไม่ว่าชายหรือหญิงก็ไม่มีพันธะใด ๆ อีก พระเจ้าทรงเรียกท่านทั้งหลายให้อยู่อย่างสันติ
(16) ท่านผู้เป็นภรรยารู้ได้อย่างไรว่า ท่านจะช่วยสามีที่ไม่มีความเชื่อให้รอดพ้นได้ หรือท่านที่เป็นสามีรู้ได้อย่างไรว่า ท่านจะช่วยภรรยาที่ไม่มีความเชื่อให้รอดพ้นได้
(17) สำหรับผู้อื่นแต่ละคนจงดำรงอยู่ในสภาพที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดให้เมื่อพระเจ้าทรงเรียก นี่เป็นกฎเกณฑ์ซึ่งข้าพเจ้าวางไว้สำหรับพระศาสนจักรทุกแห่ง
(18) ถ้าผู้ใดเข้าสุหนัตแล้วเมื่อพระเจ้าทรงเรียก จงอย่าปิดบังเรื่องการเข้าสุหนัต ถ้าพระเจ้าทรงเรียกผู้ใดที่ยังไม่เข้าสุหนัต ก็จงอย่าเข้าสุหนัตเลย
(19) การเข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัตไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือการปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้า
(20) ให้แต่ละคนคงอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่เมื่อพระเจ้าทรงเรียก
(21) พระเจ้าทรงเรียกท่านขณะที่เป็นทาสอยู่หรือ อย่ากังวลเลย แต่ถ้ามีโอกาสที่จะเป็นอิสระ ท่านควรฉวยโอกาสนั้น
(22) ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกขณะที่เป็นทาสให้ดำเนินชีวิตในพระคริสตเจ้า ก็เป็นคนอิสระรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกขณะที่เป็นคนอิสระ เขาก็เป็นทาสรับใช้พระคริสตเจ้าด้วย
(23) พระเจ้าทรงซื้อท่านมาด้วยราคาแพง จงอย่ากลับเป็นทาสของมนุษย์อีก
(24) พี่น้องทั้งหลาย แต่ละท่านจงอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าในสภาพที่เป็นอยู่เมื่อพระองค์ทรงเรียก
(25) ส่วนผู้ที่ยังไม่แต่งงาน ข้าพเจ้าไม่มีพระบัญชาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ข้าพเจ้าขอแนะนำด้วยความคิดเห็นของข้าพเจ้าเอง ในฐานะที่ได้รับพระกรุณาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าให้เป็นผู้ที่ไว้วางใจได้
(26) เมื่อคำนึงถึงความยากลำบากในปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า แต่ละคนควรอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่เวลานี้
(27) ท่านมีพันธะกับภรรยาหรือ จงอย่าหาทางแยกพันธะนั้น ท่านเป็นอิสระไม่มีภรรยาหรือ ก็อย่าหาภรรยาเลย
(28) แต่ถ้าท่านแต่งงาน ท่านก็มิได้ทำบาป และถ้าหญิงสาวพรหมจารีจะแต่งงาน เธอก็มิได้ทำบาป โดยแท้จริงแล้วผู้ที่แต่งงานจะประสบความยุ่งยากในชีวิตสมรส และข้าพเจ้าใคร่จะให้ท่านพ้นจากความยุ่งยากนั้น
(29) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า เวลานั้นสั้นนัก ตั้งแต่นี้ไปผู้ที่มีภรรยาจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีภรรยา
(30) ผู้ที่ร้องไห้จงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่ร้องไห้ ผู้ที่มีความสุขจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีความสุข ผู้ที่ซื้อจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีสิ่งใดเป็นกรรมสิทธิ์
(31) และผู้ที่ใช้ของของโลกนี้จงเป็นเสมือนผู้ที่มิได้ใช้ เพราะโลกดังที่เป็นอยู่กำลังจะผ่านไป
(32) ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านปราศจากความกังวล ผู้ที่มิได้แต่งงานย่อมสาละวนในการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า หาวิธีทำให้พระองค์พอพระทัย
(33) ผู้ที่แต่งงานก็ย่อมสาละวนกับการงานของโลก หาวิธีทำให้ภรรยาพอใจ เป็นความกังวลหลายด้าน
(34) หญิงที่ไม่แต่งงานและสาวพรหมจารีนั้น ย่อมสาละวนในการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อจะได้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วย่อมสาละวนอยู่กับการงานของโลก หาวิธีทำให้สามีพอใจ
(35) ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของท่านเอง มิใช่เพื่อจำกัดสิทธิของท่าน แต่เพื่อให้ท่านดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง อุทิศตนแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้โดยปราศจากความกังวล
(36) ถ้าผู้ใดคิดว่าตนอาจประพฤติไม่สมควรกับหญิงคู่หมั้นของตนเพราะความรักร้อนแรง และรู้สึกว่าตนควรจะแต่งงาน ก็ให้เขาทำตามความปรารถนาเถิด เขามิได้ทำบาป ทั้งสองควรแต่งงานกัน
(37) ส่วนผู้ที่ตั้งใจแน่วแน่จะไม่แต่งงานโดยไม่มีใครบังคับ แต่ด้วยความสามารถที่จะบังคับควบคุมความปรารถนาของตน และตัดสินใจแน่วแน่จะไม่มีเพศสัมพันธ์กับหญิงคู่หมั้น เขาก็ทำดีแล้ว
(38) ดังนี้ ผู้ที่แต่งงานกับหญิงคู่หมั้นของตนก็ทำดี และผู้ที่ไม่แต่งงาน ก็ทำดีกว่า
(39) ภรรยาย่อมมีพันธะผูกพันตราบที่สามียังมีชีวิตอยู่ ถ้าสามีสิ้นชีวิต นางย่อมเป็นอิสระที่จะแต่งงานกับใครก็ได้ตามที่นางปรารถนา แต่ต้องเป็นการแต่งงานในองค์พระผู้เป็นเจ้า
(40) ข้าพเจ้าคิดว่านางจะมีความสุขมากกว่า ถ้าจะคงอยู่อย่างที่เป็นและข้าพเจ้าเชื่อว่า ข้าพเจ้ามีพระจิตของพระเจ้าด้วย [Go Top]
(1) เรื่องเนื้อที่ถวายแด่รูปเคารพนั้น เรารู้ว่า เราทุกคนมีความรู้แล้ว แต่ความรู้ทำให้ทะนงตน สิ่งที่เสริมสร้างคือความรัก
(2) ถ้าผู้ใดคิดว่าตนมีความรู้เรื่องใด ๆ เขายังไม่รู้เท่าที่ควร
(3) แต่ถ้าผู้ใดรักพระเจ้า พระองค์ก็ทรงรู้จักผู้นั้น
(4) เรื่องการกินเนื้อที่ถวายแด่รูปเคารพแล้วนั้น เราก็รู้แล้วว่า รูปเคารพเป็นเพียงรูป และไม่มีพระอื่นใดนอกจากพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว
(5) แม้จะมีสิ่งที่เรียกกันว่าพระเจ้าทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน พระเจ้าและเจ้านายเช่นนี้มีอยู่มากมาย
(6) แต่สำหรับเราพระเจ้ามีเพียงพระองค์เดียวคือพระบิดา สรรพสิ่งมาจากพระองค์ เราเป็นอยู่เพื่อพระองค์ และมีองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวคือพระเยซูคริสต์ สรรพสิ่งเป็นมาโดยทางพระองค์ เราก็เป็นมาโดยทางพระองค์ด้วย
(7) ทุกคนมิใช่มีความรู้เช่นนี้ บางคนนับถือรูปเคารพจนถึงบัดนี้ เมื่อกินเนื้อก็คิดว่าเนื้อเป็นของถวายแด่รูปเคารพจริง ๆ เพราะมโนธรรมของเขายังอ่อนไหวจึงเป็นกังวล
(8) อาหารมิใช่สิ่งที่จะทำให้เราเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เราไม่สูญเสียอะไรถ้าไม่กิน และไม่ได้อะไรถ้าเรากิน
(9) แต่จงระวังอย่าให้การใช้เสรีภาพของท่านเป็นโอกาสให้ผู้ที่มโนธรรมอ่อนไหวต้องตกในบาป
(10) สมมติว่า ผู้ที่ยังมีมโนธรรมอ่อนไหวเห็นท่านที่มีความรู้ในเรื่องนี้นั่งกินอยู่ในวิหารของรูปเคารพ ผู้นั้นย่อมจะกล้าฝ่าฝืนมโนธรรมกินเนื้อที่ถวายแด่รูปเคารพแล้วมิใช่หรือ
(11) ดังนั้น ความรู้ของท่านทำให้ผู้อ่อนไหวประสบหายนะ เขาเป็นพี่น้องซึ่งพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเขา
(12) ถ้าท่านทำบาปต่อพี่น้องและทำร้ายมโนธรรมที่อ่อนไหวของเขา ท่านก็ย่อมทำบาปต่อพระ คริสตเจ้า
(13)ดังนั้น ถ้าอาหารเป็นเหตุให้พี่น้องของข้าพเจ้าตกในบาป ข้าพเจ้าก็จะไม่กินเนื้ออีกเลย ด้วยเกรงว่าข้าพเจ้าจะเป็นเหตุให้พี่น้องตกในบาป
[Go Top]
(1) ข้าพเจ้าไม่เป็นอิสระหรือ ข้าพเจ้าไม่ใช่อัครสาวกคนหนึ่งหรือ ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือ ท่านทั้งหลายไม่ใช่ผลงานของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ
(2) แม้ว่าคนอื่นไม่ยอมรับข้าพเจ้าเป็นอัครสาวก แต่สำหรับท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นอัครสาวกอย่างแน่นอน เพราะท่านเป็นตราแสดงว่า ข้าพเจ้าเป็นอัครสาวกรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า
(3) นี่คือคำป้องกันตนเพื่อตอบโต้ผู้ที่ กล่าวหาข้าพเจ้า
(4) เราไม่มีสิทธิที่จะกินและดื่มหรือ
(5) และไม่มีสิทธิที่จะมีภรรยาผู้มีความเชื่อคอยติดตามเหมือนอัครสาวกคนอื่น เหมือนพี่น้องของพระเยซูเจ้า และเหมือนกับที่เคฟาสมีหรือ
(6) มีแต่ข้าพเจ้าและบารนาบัสเท่านั้นหรือที่ต้องทำงานเลี้ยงชีพ
(7) ใครบ้างที่รับราชการทหารโดยออกค่าใช้จ่ายเอง ใครบ้างทำสวนองุ่นโดยไม่กินผลองุ่นจากสวนนั้น ใครบ้างดูแลฝูงแกะโดยไม่ดื่มน้ำนมจากแกะนั้น
(8) ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้มิใช่ตามเหตุผลเท่านั้น ธรรมบัญญัติเองก็กล่าวไว้เช่นเดียวกัน ธรรมบัญญัติของโมเสสเขียนไว้ว่า
(9) อย่าเอาตะกร้อสวมปากวัวเมื่อมันกำลังนวดข้าว พระเจ้าทรงเป็นห่วงถึงวัวด้วยหรือ
(10) พระองค์ตรัสเช่นนี้เพื่อเรามิใช่หรือ แน่นอน ข้อความนี้เขียนไว้เพื่อเรา เพราะผู้ที่ไถนาและผู้ที่นวดข้าวย่อมไถย่อมนวดโดยหวังที่จะได้รับส่วนแบ่งผลจากการงานของตน
(11) ถ้าเราหว่านพืชพันธุ์ฝ่ายจิตให้แก่ท่าน จะมากเกินไปหรือ ถ้าเราจะเก็บเกี่ยวผลทางวัตถุจากท่านด้วย
(12) ถ้าผู้อื่นมีสิทธิเช่นนี้จากท่าน เราก็มีสิทธิเช่นนี้มากกว่าด้วยมิใช่หรือ แต่เราไม่ใช้สิทธินี้ ตรงกันข้าม เรายอมรับความยากลำบากทุกอย่างเพื่อจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการประกาศข่าวดีเรื่องพระคริสตเจ้า
(13) ท่านไม่รู้หรือว่า ผู้ที่ทำงานในพระวิหารย่อมรับอาหารจากพระวิหาร ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการถวายบูชาบนพระแท่นย่อมรับส่วนแบ่งจากสิ่งของที่ถวายบนพระแท่นนั้น
(14) เช่นเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้ผู้ที่ประกาศข่าวดียังชีพจากการประกาศข่าวดีนี้ด้วย
(15) ข้าพเจ้าไม่เคยใช้สิทธิเช่นนี้แม้แต่ประการเดียว และข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อเรียกร้องสิทธิเหล่านี้เพื่อตนเอง ข้าพเจ้ายอมตายดีกว่าที่จะเรียกร้องสิทธิเช่นนี้ ไม่มีใครทำให้ข้าพเจ้าหมดความภูมิใจในเรื่องนี้ได้
(16) แต่ในการประกาศข่าวดีข้าพเจ้าไม่รู้สึกภูมิใจแม้แต่น้อย เพราะข้าพเจ้าจำเป็นต้องประกาศอยู่แล้ว หากข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวดี ข้าพเจ้าย่อมได้รับความวิบัติ
(17) เพราะถ้าข้าพเจ้าสมัครใจทำเอง ข้าพเจ้าก็จะได้รับค่าจ้าง แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้สมัครใจทำก็หมายความว่า ข้าพเจ้าเพียงแต่ทำงานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น
(18) ข้าพเจ้าจะได้รางวัลใดเล่า รางวัลสำหรับข้าพเจ้าก็คือความภูมิใจที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวดีให้โดยไม่ใช้สิทธิต่าง ๆ จากการประกาศข่าวดีนั้น
(19) แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นอิสระ ข้าพเจ้าก็ยอมเป็นทาสรับใช้ทุกคน เพื่อเอาชนะใจผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
(20) ข้าพเจ้าทำตนเป็นชาวยิวในหมู่ชาวยิวเพื่อเอาชนะใจชาวยิว แม้ข้าพเจ้าจะไม่มีธรรมบัญญัติบังคับ ข้าพเจ้าก็ทำตนให้มีธรรมบัญญัติบังคับในหมู่ผู้ที่มีธรรมบัญญัติบังคับเพื่อเอาชนะใจเขาเหล่านี้
(21) ข้าพเจ้ามีธรรมบัญญัติของพระเจ้าและธรรมบัญญัติของพระคริสตเจ้าบังคับอยู่ แต่ข้าพเจ้าก็ทำตนเหมือนกับผู้ที่ไม่มีธรรมบัญญัติบังคับ เพื่อเอาชนะใจผู้ที่ไม่มีธรรมบัญญัติบังคับ
(22) ข้าพเจ้าทำตนเป็นผู้อ่อนแอเพื่อชนะใจผู้อ่อนแอ ข้าพเจ้าเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคน เพื่อข้าพเจ้าจะได้ใช้ทุกวิถีทางช่วยบางคนให้รอดพ้น
(23) ข้าพเจ้าทำทุกอย่างเพราะเห็นแก่ข่าวดี เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนรับพระพรจากข่าวดีนี้ร่วมกับเขาเหล่านั้นด้วย
(24) ท่านไม่รู้หรือว่า คนที่วิ่งแข่งในสนามกีฬา ทุกคนวิ่งก็จริง แต่มีเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัล ท่านจงวิ่งเช่นนั้นด้วย เพื่อชิงรางวัลให้ได้
(25) นักกีฬาทุกคนที่เข้าแข่งขันย่อมบังคับตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้รับมงกุฎใบไม้ที่ร่วงโรยได้ แต่เราทำเช่นนี้เพื่อจะได้รับมงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรย
(26) ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงวิ่งแข่งอย่างมีจุดหมาย ข้าพเจ้ามิได้ชกอย่างคนชกลม
(27) แต่ข้าพเจ้าเคร่งครัดต่อร่างกายเพื่อบังคับให้ร่างกายอยู่ใต้อำนาจของข้าพเจ้า ด้วยเกรงว่าหลังจากที่ได้เทศน์สอนคนอื่นแล้ว ข้าพเจ้าอาจถูกตัดสิทธิเพราะผิดกติกา
[Go Top]
(1) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านรู้ว่าบรรพบุรุษทุกคนของเราได้อยู่ใต้เมฆ และทุกคนข้ามทะเลไป
(2) ทุกคนรับการล้างในเมฆและในทะเลเข้าร่วมกับโมเสส
(3) ทุกคนกินอาหารฝ่ายจิตอย่างเดียวกัน
(4) ทุกคนดื่มเครื่องดื่มฝ่ายจิตอย่างเดียวกันเพราะพวกเขาดื่มน้ำจากศิลาซึ่งติดตามพวกเขาไป ศิลานั้นคือพระคริสตเจ้า
(5) แม้กระนั้น พระเจ้าก็มิได้พอพระทัยคนส่วนใหญ่เหล่านั้น พวกเขาล้มตายเกลื่อนกลาดอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
(6) เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเป็นตัวอย่างสำหรับเรา มิให้เราปรารถนาสิ่งชั่วร้ายดังที่เขาปรารถนา
(7) ท่านทั้งหลายจงอย่านมัสการรูปเคารพดังที่บางคนในพวกนั้นได้กระทำ ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ประชาชนนั่งลงเพื่อกินและดื่ม หลังจากนั้นก็เริ่มเล่นสนุกสนาน
(8) เราจงอย่าปล่อยตัวเสเพลในกามกิจดังที่พวกเขาบางคนกระทำ และล้มตายภายในวันเดียวเป็นจำนวนสองหมื่นสามพันคน
(9) เราจงอย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า ดังที่พวกเขาบางคนกระทำ แล้วถูกงูกัดตาย
(10) ท่านทั้งหลายจงอย่าบ่นดังที่พวกเขาบางคนบ่นแล้วพินาศไปโดยน้ำมือขององค์ผู้ทำลาย
(11) เหตุการณ์เหล่านี้บังเกิดขึ้นกับพวกเขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และมีบันทึกไว้เพื่อเตือนสติเราซึ่งกำลังเผชิญกับวาระสุดท้ายของยุค
(12) ดังนั้น ผู้ที่คิดว่าตนยืนหยัดมั่นคงอยู่ พึงระวังอย่าให้ล้ม
(13) ท่านทั้งหลายไม่เคยเผชิญกับการทดลองใด ๆ ที่เกินกำลังมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้ท่านถูกทดลองเกินกำลังของท่าน แต่เมื่อถูกทดลอง พระองค์จะประทานความสามารถให้ท่านยืนหยัดมั่นคงและหาทางออกได้
(14) พี่น้องที่รักยิ่ง ท่านจงหลีกเลี่ยงการกราบไหว้รูปเคารพ
(15) ข้าพเจ้าพูดกับท่านเหมือนพูดกับผู้มีปัญญา ท่านจงพิจารณาตัดสินสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังจะพูดนี้เถิด
(16) ถ้วยถวายพระพร ซึ่งเราใช้ขอบพระคุณพระเจ้านั้น มิได้ทำให้เรามีส่วนร่วมในพระโลหิตของพระคริสตเจ้าหรือ และปังที่เราบินั้น มิได้ทำให้เรามีส่วนร่วมในพระกายของของพระคริสตเจ้าหรือ
(17) มีปังก้อนเดียว แม้ว่าจะมีหลายคนเราก็เป็นกายเดียวกัน เพราะเราทุกคนมีส่วนร่วมกินปังก้อนเดียวกัน
(18) จงพิจารณาชาวอิสราเอลในอดีต ผู้ที่กินเนื้อจากของถวายก็มีส่วนร่วมในพระแท่นบูชามิใช่หรือ
(19) ข้าพเจ้าหมายความว่าอย่างไร หมายความว่า เนื้อที่ถวายแด่รูปเคารพนั้นมีความสำคัญอะไรหรือ รูปเคารพนั้นมีความสำคัญอะไรหรือ
(20) เปล่าเลย ข้าพเจ้าหมายความว่าสิ่งที่เขาถวายนั้น เขาถวายแก่ปีศาจ มิใช่ถวายแด่พระเจ้า ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาให้ท่านร่วมกับพวกปีศาจ
(21) ท่านจะดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้า และจากถ้วยของปีศาจไม่ได้ จะร่วมโต๊ะทั้งกับองค์พระผู้เป็นเจ้า และร่วมโต๊ะกับพวกปีศาจไม่ได้
(22) เราจะยั่วยุองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ขุ่นเคืองพระทัยกระนั้นหรือ เรามีกำลังมากกว่าพระองค์หรือ
(23) ท่านมักพูดว่า ข้าพเจ้าทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า ทุกสิ่งมิใช่มีประโยชน์เสมอไป ข้าพเจ้าทำได้ทุกอย่างก็จริง แต่ทุกอย่างมิใช่ว่าจะเสริมสร้าง
(24) จงอย่าให้ใครเสาะหาผลประโยชน์ส่วนตน แต่จงเสาะหาผลประโยชน์เพื่อผู้อื่น
(25) เนื้อทั้งหลายที่มีขายในตลาดนั้น ท่านจงกินโดยไม่ต้องกังวลจนเกิดปัญหาด้านมโนธรรม
(26) เพราะแผ่นดินและทุกสิ่งที่อยู่บนแผ่นดินเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(27) ถ้าคนต่างศาสนาเชิญท่านไปกินอาหารและท่านต้องการไป จงกินอาหารทุกอย่างที่เขานำมาให้โดยไม่ต้องกังวลในมโนธรรม
(28) แต่ถ้าใครบอกท่านว่า เนื้อนี้ได้ถวายแด่รูปเคารพแล้ว จงอย่ากิน เพื่อเห็นแก่ผู้ที่ได้ตักเตือนและเพื่อเห็นแก่มโนธรรม
(29) ข้าพเจ้ามิได้หมายถึงมโนธรรมของท่าน แต่หมายถึงมโนธรรมของผู้ที่ตักเตือน บางคนอาจแย้งว่า ทำไมมโนธรรมของเขาจึงจำกัดอิสรภาพของข้าพเจ้าเล่า
(30) ถ้าข้าพเจ้ากินอาหารโดยขอบพระคุณพระเจ้า ทำไมข้าพเจ้าต้องถูกตำหนิเพราะอาหารที่ข้าพเจ้าขอบพระคุณนั้นเล่า
(31) เมื่อท่านจะกินจะดื่มหรือจะทำอะไรก็ตาม จงกระทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเถิด
(32) อย่าทำสิ่งใดให้เป็นที่ขุ่นเคืองใจแก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก หรือชุมชนของพระเจ้า
(33) ข้าพเจ้าพยายามกระทำทุกสิ่งเพื่อเป็นที่พอใจของทุกคน มิได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน แต่เห็นแก่ประโยชน์ของทุกคน เพื่อเขาจะได้รับความรอดพ้น [Go Top]
(1) จงยึดถือข้าพเจ้าเป็นแบบอย่างเหมือนกับที่ข้าพเจ้ายึดถือพระคริสตเจ้าเป็นแบบอย่างเถิด
1คร 11:2-16 ต้องคลุมศีรษะในศาสนพิธีหรือไม่
(2) ข้าพเจ้าขอชมเชยท่านทั้งหลายที่ยังคงระลึกถึงข้าพเจ้าในทุกโอกาส และยังคงยึดมั่นอย่างเคร่งครัดในธรรมประเพณีที่ข้าพเจ้าได้มอบหมายแก่ท่าน
(3) ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านรู้ว่า พระคริสตเจ้าทรงเป็นศีรษะของมนุษย์ทุกคน ชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสตเจ้า
(4) ชายทุกคนที่อธิษฐานภาวนา หรือประกาศพระวาจาโดยมีผ้าคลุมศีรษะ ก็ลบหลู่ศักดิ์ศรีศีรษะของตน
(5) แต่หญิงที่อธิษฐานภาวนา หรือประกาศพระวาจาโดยไม่คลุมศีรษะก็ลบหลู่ศักดิ์ศรีศีรษะของตน เปรียบเทียบกับการโกนผมนั่นเอง
(6) ดังนั้น ถ้าหญิงใดไม่ยอมใช้ผ้าคลุมศีรษะ ก็ให้นางตัดผมเสียด้วย แต่ถ้านางรู้สึกอับอายที่จะตัดหรือโกนผม ก็ให้นางใช้ผ้าคลุมศีรษะเถิด
(7) ชายไม่ต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะ เพราะเขาเป็นภาพลักษณ์และเป็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า ส่วนหญิงเป็นสิริรุ่งโรจน์ของชาย
(8) เพราะชายไม่ได้มาจากหญิง แต่หญิงมาจากชาย
(9) นอกจากนั้น ชายไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อหญิง แต่หญิงถูกสร้างขึ้นเพื่อชาย
(10) ดังนั้น หญิงจึงต้องสวมเครื่องหมายแสดงอำนาจเหนือเธอไว้บนศีรษะเพราะเคารพทูตสวรรค์
(11) ถึงกระนั้น เฉพาะพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า หญิงอยู่ไม่ได้โดยไม่มีชาย และชายก็อยู่ไม่ได้โดยไม่มีหญิง
(12) เพราะหญิงมาจากชายฉันใด ชายก็เกิดมาจากหญิงฉันนั้น และทุกสิ่งมาจากพระเจ้า
(13) ท่านจงตัดสินด้วยตนเองเถิดว่า เป็นการสมควรหรือไม่ที่หญิงจะอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าโดยไม่มีผ้าคลุมศีรษะ
(14) ธรรมชาติไม่ได้สอนท่านหรือว่า ถ้าชายมีผมยาว ก็เป็นการเสียศักดิ์ศรีสำหรับเขา
(15) แต่เมื่อหญิงไว้ผมยาว ก็เป็นศักดิ์ศรีของเธอมิใช่หรือ เพราะผมยาวเป็นของประทานให้เธอประหนึ่งเป็นผ้าคลุมศีรษะ
(16) ถ้าผู้ใดยังต้องการคัดค้านในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอพูดว่า ทั้งเราและพระศาสนจักรอื่น ๆ ของพระเจ้าไม่มีธรรมเนียมเป็นอย่างอื่น
(17) ขณะที่ข้าพเจ้าให้คำแนะนำนี้ ข้าพเจ้าชมเชยท่านไม่ได้ เพราะการชุมนุมของท่านนั้นมีผลร้ายมากกว่าผลดี
(18) ก่อนอื่น ข้าพเจ้าได้ยินว่าเมื่อท่านทั้งหลายมาร่วมชุมนุมกันนั้น มีการแตกแยก และข้าพเจ้าก็เชื่อเรื่องนี้อยู่บ้าง
(19) เพราะท่านต้องมีความขัดแย้งกันบ้าง เพื่อคนดีจริงจะได้ปรากฏเด่นชัดในหมู่ท่านทั้งหลาย
(20) เมื่อท่านมาชุมนุมพร้อมกันนี้ มิได้เป็นการกินเลี้ยงอาหารค่ำขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(21) เพราะขณะที่กิน แต่ละคนก็รีบกินอาหารของตนก่อนคนอื่น บางคนยังหิวอยู่ แต่อีกคนหนึ่งเมามายไปแล้ว
(22) ท่านไม่มีบ้านของตนเองสำหรับกินและดื่มหรือ หรือท่านดูหมิ่นการชุมนุมของพระเจ้า ทำให้คนยากจนต้องอับอาย ข้าพเจ้าจะพูดกับท่านอย่างไรดี จะชมเชยท่านหรือ ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าไม่ชมเชยท่าน
(23) ข้าพเจ้าได้รับสิ่งใดมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้มอบสิ่งนั้นต่อให้ท่าน คือในคืนที่ทรงถูกทรยศนั้นเอง พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหยิบปัง
(24) ขอบพระคุณ แล้วทรงบิออก ตรัสว่า นี่คือกายของเราเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด
(25) เช่นเดียวกัน หลังอาหารค่ำ ก็ทรงหยิบถ้วย ตรัสว่า ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเรา ทุกครั้งที่ท่านจะดื่ม จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด
(26) ทุกครั้งที่ท่านกินปังนี้ และดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการสิ้นพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา
(27) ดังนั้น ผู้ใดที่กินปังหรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่สมควร ก็ผิดต่อพระกายและผิดต่อพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(28) แต่ละคนจงพิจารณาตนเอง แล้วจึงกินปังและดื่มจากถ้วย
(29) เพราะผู้ใดที่กินและดื่ม โดยไม่ยอมรับรู้พระกายก็กินและดื่มการตัดสินลงโทษตนเอง
(30) เพราะเหตุนี้ ในหมู่ท่านทั้งหลายจึงมีหลายคนอ่อนแอ เจ็บป่วย และบางคนก็ตายไปแล้ว
(31) ถ้าเราได้พิจารณาตนอย่างละเอียด เราจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ
(32) แต่เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตัดสินลงโทษเรา พระองค์ทรงทำเช่นนี้เป็นการตักเตือนแก้ไข เพื่อมิให้เราถูกลงโทษพร้อมกับโลกนี้
(33) ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย เมื่อท่านมาชุมนุมกันเพื่อกินเลี้ยง จงคอยกัน
(34) ถ้าผู้ใดหิวก็จงกินที่บ้าน เพื่อพระเจ้าจะได้ไม่ต้องทรงลงโทษท่านเมื่อมาชุมนุมกัน ส่วนเรื่องอื่น ข้าพเจ้าจะจัดระเบียบเมื่อข้าพเจ้ามาถึง
[Go Top]
(1) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ท่านขาดความรู้เรื่องพระพรจากพระจิตเจ้า
(2) ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าเมื่อยังเป็นคนต่างศาสนา ท่านยอมถูกชักจูงไปกราบไหว้รูปเคารพที่พูดไม่ได้
(3) ข้าพเจ้าขอยืนยันให้ท่านรู้ว่า ไม่มีผู้ใดพูดโดยพระจิตเจ้าทรงดลใจว่า พระเยซูจงถูกสาปแช่ง และหากพระจิตเจ้ามิได้ทรงดลใจก็ไม่มีผู้ใดพูดได้ว่า พระเยซูคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
(4) พระพรพิเศษมีหลายประการ แต่มีพระจิตเจ้าพระองค์เดียว
(5) มีหน้าที่หลายอย่างต่างกัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว
(6) กิจการมีหลายอย่าง แต่มีพระเจ้าพระองค์เดียวผู้ทรงกระทำทุกอย่างในทุกคน
(7) พระจิตเจ้าทรงแสดงพระองค์ในแต่ละคนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
(8) พระจิตเจ้าประทานถ้อยคำที่ปรีชาแก่คนหนึ่ง พระจิตเจ้าประทานถ้อยคำที่รอบรู้แก่อีกคนหนึ่ง พระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน
(9) ประทานความเชื่อแก่อีกคนหนึ่ง พระจิตเจ้าพระองค์เดียวกันประทานพระพรบำบัดรักษาโรค
(10) ประทานอำนาจทำอัศจรรย์ให้อีกคนหนึ่ง ประทานให้อีกคนหนึ่งประกาศพระวาจา ให้อีกคนหนึ่งรู้จักจำแนกจิตต่าง ๆ ให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ และให้อีกคนหนึ่งตีความอธิบายความหมายของภาษานั้นได้
(11) พระพรพิเศษทั้งมวลเป็นผลงานจากพระจิตเจ้าพระองค์เดียว ผู้ทรงแจกจ่ายพระพรต่าง ๆ ให้แต่ละคนตามที่พอพระทัย
(12) แม้ร่างกายเป็นร่างกายเดียว แต่ก็มีอวัยวะหลายส่วน อวัยวะต่าง ๆ เหล่านี้แม้จะมีหลายส่วนก็ร่วมเป็นร่างกายเดียวกันฉันใด พระคริสตเจ้า ก็ฉันนั้น
(13) เดชะพระจิตเจ้าพระองค์เดียว เราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือไทยก็ตาม เราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน
(14) ร่างกายไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะส่วนเดียว แต่มีอวัยวะหลายส่วน
(15) ถ้าเท้าจะพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่มือ จึงไม่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่เท้าไม่ได้เป็นอวัยวะของร่างกายน้อยกว่าอวัยวะส่วนอื่น เพราะเป็นเพียงเท้า
(16) หรือถ้าหูจะพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่ดวงตา จึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้หูไม่เป็นอวัยวะของร่างกายเลย
(17) ถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นดวงตา แล้วจะได้ยินได้อย่างไร ถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นหู แล้วจะได้กลิ่นได้อย่างไร
(18) พระเจ้าทรงจัดอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายให้อยู่ในที่ที่ทรงพระประสงค์
(19) ถ้าร่างกายทุกส่วนเป็นอวัยวะเดียวแล้ว ร่างกายจะอยู่ที่ไหน
(20) เท่าที่เป็นอยู่ มีอวัยวะหลายส่วน แต่มีร่างกายเดียว
(21) ดวงตาพูดกับมือไม่ได้ว่า เราไม่ต้องการเจ้า และศีรษะก็พูดกับเท้าไม่ได้ว่า เราไม่ต้องการเจ้า
(22) ตรงกันข้าม ส่วนที่เราคิดว่าเป็นอวัยวะที่อ่อนแอของร่างกายกลับเป็นอวัยวะที่จำเป็นมากกว่า
(23) อวัยวะส่วนที่เราคิดว่าไม่มีเกียรติในร่างกาย เรากลับทะนุถนอมด้วยความเคารพเป็นพิเศษ และอวัยวะที่น่าอับอายของเรากลับได้รับการตกแต่งให้งดงามมากกว่าส่วนอื่น
(24) อวัยวะที่น่าดูอยู่แล้วไม่ต้องการตกแต่งอะไรอีก พระเจ้าทรงประกอบร่างกายขึ้น โดยให้เกียรติแก่อวัยวะที่ไม่มีเกียรติมากกว่าอวัยวะอื่น ๆ
(25) เพื่อร่างกายจะได้ไม่มีการแตกแยกใด ๆ ตรงกันข้าม อวัยวะแต่ละส่วนจะเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
(26) ถ้าอวัยวะหนึ่งเป็นทุกข์ อวัยวะอื่น ๆ ทุกส่วนก็ร่วมเป็นทุกข์ด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะอื่น ๆ ทุกส่วนก็ร่วมยินดีด้วยเช่นเดียวกัน
(27) ท่านทั้งหลายเป็นพระกายของพระคริสตเจ้า แต่ละคนต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น
(28) พระเจ้าทรงแต่งตั้งบางคนให้ทำหน้าที่ต่าง ๆ ในพระศาสนจักร คือ หนึ่งให้เป็นอัครสาวก สองให้เป็นประกาศก และสามให้เป็นครูอาจารย์ ต่อจากนั้น คือผู้มีอำนาจทำอัศจรรย์ ผู้รักษาโรค ผู้ช่วยเหลือ ผู้ปกครอง และผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ
(29) ทุกคนเป็นอัครสาวกหรือ ทุกคนเป็นประกาศกหรือ ทุกคนเป็นครูอาจารย์หรือ ทุกคนเป็นผู้ทำอัศจรรย์หรือ
(30) ทุกคนบำบัดโรคได้หรือ ทุกคนพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจหรือ ทุกคนเป็นผู้ตีความอธิบายความหมายของภาษานั้นหรือ
1คร 12:31 บทเพลงสรรเสริญความรัก
(31) ท่านทั้งหลายจงพยายามแสวงหาพระพรพิเศษที่ประเสริฐยิ่งกว่านี้เถิด ข้าพเจ้าจะขอชี้ทางที่ดีกว่าให้ท่าน [Go Top]
(1) แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาของมนุษย์และของทูตสวรรค์ได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแต่เพียงฉาบหรือฉิ่งที่ส่งเสียงอึกทึก
(2) แม้ข้าพเจ้าจะประกาศพระวาจา เข้าใจธรรมล้ำลึกทุกข้อ และมีความรู้ทุกอย่าง หรือมีความเชื่อพอที่จะเคลื่อนภูเขาได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด
(3) แม้ข้าพเจ้าจะแจกจ่ายทรัพย์สินทั้งปวงให้แก่คนยากจน หรือยอมมอบตนเองให้นำไปเผาไฟเสีย ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็มิได้รับประโยชน์ใด
(4) ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง
(5) ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ
(6) ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง
(7) ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง
(8) ความรักไม่มีสิ้นสุด แม้การประกาศพระวาจาจะถูกยกเลิก แม้การพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจะยุติ แม้ความรู้จะหมดสิ้น
(9) เพราะเรารู้อย่างไม่สมบูรณ์ และประกาศพระวาจาอย่างไม่สมบูรณ์
(10) แต่เมื่อสิ่งที่สมบูรณ์มาถึง ความไม่สมบูรณ์จะสูญสิ้นไป
(11) เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าก็พูดจาเหมือนเด็ก ๆ คิดเหมือนเด็ก ๆ ใช้เหตุผลเหมือนเด็ก ๆ แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกประพฤติเหมือนเด็ก
(12) ในเวลานี้ เราเห็นพระเจ้าเพียงราง ๆ เหมือนเห็นในกระจกเงา แต่เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเห็นพระองค์เหมือนพระองค์ทรงอยู่ต่อหน้าเรา เวลานี้ ข้าพเจ้ารู้อย่างไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนที่พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า
(13) ขณะนี้ยังมีความเชื่อ ความหวังและความรักอยู่ทั้งสามประการ แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งหมดคือ ความรัก
[Go Top]
(1) จงแสวงหาความรักเถิด จงปรารถนาพระพรของพระจิตเจ้า โดยเฉพาะพระพรการประกาศพระวาจา
(2) คนที่พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่พูดสำหรับมนุษย์เพราะไม่มีผู้ใดเข้าใจ แต่พูดสำหรับพระเจ้า พระจิตเจ้าทรงดลใจเขาให้พูดถึงเรื่องลึกล้ำ
(3) ส่วนผู้ประกาศพระวาจานั้นพูดให้มนุษย์ฟัง เพื่อเสริมสร้าง ตักเตือนและให้กำลังใจ
(4) ผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจเสริมสร้างตนเอง ส่วนผู้ประกาศพระวาจาเสริมสร้างพระศาสนจักร
(5) ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกท่านพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจนี้ แต่ความต้องการที่มากกว่านั้นคือให้ท่านทั้งหลายประกาศพระวาจาได้ เพราะผู้ประกาศพระวาจามีความสำคัญมากกว่าผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ เว้นแต่ว่าผู้พูดภาษาดังกล่าวจะอธิบายข้อความที่เขาพูดได้ เพื่อเสริมสร้างพระศาสนจักร
(6) พี่น้องทั้งหลาย สมมติว่า ข้าพเจ้ามาพบท่านและพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าคำพูดของข้าพเจ้าไม่เป็นการเปิดเผยความจริงไม่เป็นการให้ความรู้ ไม่เป็นการประกาศพระวาจา หรือไม่เป็นการสั่งสอนใด ๆ
(7) แม้เครื่องดนตรีที่ไร้ชีวิต เช่น ขลุ่ยหรือพิณ ถ้าไม่ออกเสียงต่างกัน จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเสียงขลุ่ยหรือเสียงพิณ
(8) ถ้าเสียงแตรรบไม่ชัดเจน ใครเล่าจะเตรียมตัวเข้าสู้รบ
(9) ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ถ้าลิ้นของท่านพูดคำไม่ชัดเจน ใครจะรู้ว่าท่านพูดอะไร ท่านก็เหมือนพูดกับลม
(10) ในโลกนี้มีภาษาต่าง ๆ หลายภาษา ทุกภาษาต่างต้องใช้เสียงด้วยกันทั้งนั้น
(11) ถ้าข้าพเจ้าไม่เข้าใจความหมายของเสียง ข้าพเจ้าก็เป็นคนต่างภาษา สำหรับผู้พูดและผู้พูดก็เป็นคนต่างภาษาสำหรับข้าพเจ้า
(12) ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ท่านปรารถนาจะได้พระพรของพระจิตเจ้า จงแสวงหาให้ได้รับพระพรอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อเสริมสร้างพระศาสนจักรเถิด
(13) ดังนั้น ใครพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ จงอธิษฐานภาวนาขอพระพรให้อธิบายความหมายของภาษานั้นได้ด้วย
(14) ถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนาเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ จิตของข้าพเจ้ากำลังอธิษฐานภาวนาอยู่ก็จริง แต่สติปัญญาของข้าพเจ้าไม่ได้รับผลอะไรเลย
(15) ข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไร ข้าพเจ้าจะอธิษฐานภาวนาอาศัยจิตและข้าพเจ้าจะอธิษฐานภาวนาอาศัยสติปัญญาด้วยเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะขับร้องสดุดีอาศัยจิตและจะขับร้องสดุดีอาศัยสติปัญญาด้วย
(16) ไม่เช่นนั้น ถ้าท่านขอบพระคุณอาศัยจิตเท่านั้น ผู้ฟังที่ไม่เข้าใจ จะพูด อาเมน รับการพูดขอบพระคุณของท่านได้อย่างไร เพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด
(17) การอธิษฐานขอบพระคุณของท่านดีมาก แต่ผู้อื่นไม่ได้รับประโยชน์แม้แต่น้อย
(18) ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจได้มากกว่าท่านทั้งหลาย
(19) แต่เมื่ออยู่ในพระศาสนจักรที่กำลังชุมนุมกัน ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะพูดห้าคำที่สติปัญญาเข้าใจเพื่อสอนผู้อื่น ดีกว่าจะพูดหมื่นคำเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ
(20) พี่น้องทั้งหลาย อย่าคิดอย่างเด็ก ๆ จงเป็นเหมือนทารกไม่เดียงสาในความชั่ว แต่จงเป็นผู้ใหญ่ในความคิด
(21) มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ พระเจ้าตรัสว่า เราจะพูดกับชนชาตินี้โดยใช้ภาษาอื่น จากปากของคนต่างภาษา แต่พวกเขาจะไม่ยอมฟัง
(22) การพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจเป็นเครื่องหมายสำหรับผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่ใช่เครื่องหมายสำหรับผู้มีความเชื่อ ส่วนการประกาศพระวาจาเป็นเครื่องหมายสำหรับผู้มีความเชื่อ ไม่ใช่เครื่องหมายสำหรับผู้ไม่มีความเชื่อ
(23) สมมติว่า พระศาสนจักรมาชุมนุมกัน และทุกคนพูดเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ และมีบุคคลภายนอกหรือผู้ไม่มีความเชื่อเข้ามาในที่นั้นโดยบังเอิญ เขาคงจะพูดว่าท่านเป็นบ้ามิใช่หรือ
(24) แต่สมมติว่าทุกคนประกาศพระวาจา และมีผู้ไม่มีความเชื่อหรือบุคคลภายนอกเข้ามาโดยบังเอิญ พระวาจาที่เขาได้ฟังนั้นจะทำให้เขารู้สึกว่าตนทำผิดและกำลังถูกตัดสิน
(25) ความลับในใจของเขาจะถูกเปิดเผย เขาจะซบหน้านมัสการพระเจ้า ประกาศว่า พระเจ้าประทับอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายอย่างแท้จริง
(26) พี่น้องทั้งหลาย จะปฏิบัติอย่างไรดีเล่า เมื่อท่านมาชุมนุมกัน แต่ละคนอาจขับร้องสดุดี หรือสั่งสอน หรือเปิดเผยความจริง หรือพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ หรืออธิบายความหมายของภาษานั้น ท่านจงปฏิบัติทั้งหมดนี้เพื่อเสริมสร้างเถิด
(27) ถ้าจะต้องพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจงพูดทีละคน และพูดเพียงสองหรือสามคนเป็นอย่างมากโดยให้คนหนึ่งอธิบายความหมาย
(28) ถ้าไม่มีใครอธิบายความหมายได้ ผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจงอย่าพูดในที่ชุมนุม จงพูดกับตนเองและกับพระเจ้า
(29) ให้ผู้ประกาศพระวาจาสองหรือสามคนเท่านั้นพูด ขณะที่คนอื่นพิจารณาตัดสิน
(30) แต่ถ้าคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ได้รับการเปิดเผยความจริงบางประการจากพระเจ้า ก็ให้ผู้พูดคนแรกหยุดพูด
(31) ท่านทุกคนประกาศพระวาจาได้ แต่จงพูดทีละคน เพื่อทุกคนจะได้เรียนรู้และทุกคนจะได้รับกำลังใจ
(32) ผู้ประกาศพระวาจาต้องควบคุมการใช้พระพรของตน
(33) เพราะพระเจ้ามิทรงปรารถนาความวุ่นวาย แต่ทรงปรารถนาสันติ ตามธรรมเนียมปฏิบัติในพระศาสนจักรทุกแห่ง
(34) ให้บรรดาสตรีอยู่เงียบ ๆ ในที่ชุมนุม เพราะพวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ต้องอ่อนน้อมเชื่อฟังตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้
(35) ถ้าพวกเธอต้องการคำอธิบาย ก็ให้ถามสามีขณะอยู่ที่บ้าน เพราะเป็นการไม่เหมาะสมที่สตรีจะพูดในที่ชุมนุม
(36) พระวาจาของพระเจ้ามาจากท่านหรือ พระวาจามาถึงท่านเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นหรือ
(37) ถ้าใครคิดว่าตนเป็นประกาศก หรือได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้า ก็ขอให้เขารับรู้ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านเป็นพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(38) ถ้าผู้ใดไม่ย่อมรับรู้ พระเจ้าก็ไม่ทรงรับรู้เขาด้วย
(39) พี่น้องทั้งหลาย จงปรารถนาที่จะประกาศพระวาจา อย่าห้ามการพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ
(40) และจงทำเช่นนี้อย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบ [Go Top]
(1) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเตือนท่านให้คำนึงถึงข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศกับท่าน ท่านได้รับไว้แล้วและยังคงเชื่อมั่นในข่าวดีนี้
(2) ท่านกำลังรับความรอดพ้นอาศัยข่าวดีนี้ ถ้าท่านยังยึดมั่นตามที่ข้าพเจ้าประกาศ แต่ถ้าท่านไม่ยึดมั่น ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์
(3) ข้าพเจ้ามอบธรรมประเพณีสำคัญที่สุดให้กับท่าน เป็นธรรมประเพณีที่ข้าพเจ้าได้รับมาอีกทอดหนึ่ง คือพระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์
(4) และทรงถูกฝังไว้ พระองค์ทรงกลับคืนพระ ชนมชีพในวันที่สามตามความในพระคัมภีร์
(5) และทรงแสดงพระองค์แก่เคฟาส แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบสองคน
(6) หลังจากนั้นทรงแสดงองค์แก่พี่น้องมากกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว คนส่วนมากในจำนวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าบางคนล่วงหลับไปแล้ว
(7) ต่อมาพระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่ยากอบ แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกทุกคน
(8) ในที่สุด ทรงแสดงพระองค์กับข้าพเจ้า ผู้เป็นเสมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนดด้วย
(9) ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยที่สุดในบรรดาอัครสาวก และไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็น อัครสาวก เพราะข้าพเจ้าเคยเบียดเบียนพระศาสนจักรของพระเจ้า
(10) แต่ข้าพเจ้าเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ด้วยเดชะพระหรรษทานของพระเจ้า และพระหรรษทานของพระองค์ที่ประทานแก่ข้าพเจ้ามิได้ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้าทำงานหนักกว่าคนอื่น แต่มิใช่ข้าพเจ้า เป็นเพราะพระหรรษทานของพระเจ้าซึ่งอยู่กับข้าพเจ้าที่ทำงาน
(11) เพราะฉะนั้น ทั้งข้าพเจ้าและเขาเหล่านั้นเทศน์สอนเช่นไร ท่านทั้งหลายก็จงเชื่อเช่นนั้น
(12) ถ้าเราประกาศว่า พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว เพราะเหตุใดบางท่านจึงพูดว่าบรรดาผู้ตายจะไม่กลับคืนชีพเล่า
(13) ถ้าผู้ตายไม่กลับคืนชีพ พระคริสตเจ้าก็มิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นเดียวกัน
(14) ถ้าพระ คริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ การเทศน์สอนของเราก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน
(15) ยิ่งกว่านั้น เรากลายเป็นพยานเท็จถึงพระเจ้าเพราะเรายืนยันว่าพระเจ้าทรงปลุกพระคริสตเจ้าให้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ซึ่งพระองค์มิได้ทรงกระทำ ถ้าบรรดาผู้ตายไม่กลับคืนชีพ
(16) ถ้าผู้ตายไม่กลับคืนชีพ พระคริสตเจ้าก็มิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพด้วย
(17) ถ้าพระคริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ความเชื่อของท่านก็ไร้ความหมายและท่านก็ยังคงอยู่ในบาป
(18) เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่ล่วงหลับไปในพระคริสตเจ้าก็พินาศไปด้วย
(19) ถ้าเรามีความหวังในพระคริสตเจ้าเพียงเพื่อชีวิตนี้เท่านั้น เราก็เป็นมนุษย์ที่น่าสงสารที่สุด
(20)ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เป็นผลแรกของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว
(21) ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายก็มาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันนั้น
(22) มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น
(23) แต่จะเป็นไปตามลำดับของแต่ละคน พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรก ต่อไปก็คือผู้ที่เป็นของพระคริสตเจ้า เมื่อพระองค์จะเสด็จมา
(24) แล้วจะถึงวาระสุดท้าย เวลานั้นพระองค์จะทรงมอบพระอาณาจักรให้แก่พระเจ้าพระบิดา หลังจากทรงทำลายการปกครอง อำนาจและอานุภาพทั้งหลาย
(25) เพราะพระคริสตเจ้าจะต้องทรงครองราชย์จนกว่าพระเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งมวลให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์
(26) ศัตรูสุดท้ายที่จะถูกทำลายคือความตาย เพราะพระเจ้าทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์
(27) เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่า ทุกสิ่งถูกปราบอยู่ใต้อำนาจ ก็เป็นที่แน่ชัดว่า ทุกสิ่ง ในที่นี้ มิได้รวมพระเจ้าผู้ทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้อำนาจของพระคริสตเจ้า
(28) เมื่อทุกสิ่งถูกปราบอยู่ใต้อำนาจของพระคริสตเจ้าแล้ว พระบุตรก็จะทรงอยู่ใต้อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้อำนาจของพระองค์ เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงเป็นทุกสิ่งในทุกคน
(29) บางท่านรับศีลล้างบาปเพื่อผู้ตาย ถ้าผู้ตายไม่กลับคืนชีพ จะมีประโยชน์ใดที่จะรับศีลล้างบาปเพื่อเขาเหล่านั้น
(30) ถ้าไม่มีการกลับคืนชีพ ทำไมเราจึงเสี่ยงอันตรายอยู่ตลอดเวลาเล่า
(31) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเสี่ยงชีวิตอยู่ทุกวันเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้ามีความภูมิใจในท่านที่มีความเชื่อในพระคริสตเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
(32) ข้าพเจ้าจะได้สิ่งใดเล่า ถ้าข้าพเจ้าต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่เมืองเอเฟซัส เพื่อประโยชน์ในชีวิตนี้เท่านั้น ถ้าผู้ตายไม่กลับคืนชีพ เราก็จงกินและดื่มเถิด เพราะพรุ่งนี้เราก็จะตายแล้ว
(33) อย่าให้ผู้ใดหลอกหลวงท่าน การคบคนพาลทำให้เสียคน
(34) จงกลับมาดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง อย่าทำบาปอีก บางท่านดำเนินชีวิตโดยไม่รู้จักพระเจ้า ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ เพื่อให้ท่านมีความละอายใจ
(35) บางคนอาจถามว่า คนตายจะกลับคืนชีพได้อย่างไร เขาจะกลับมีร่างกายแบบใด
(36) ช่างโง่จริง เมล็ดที่ท่านหว่านลงไปนั้นจะมีชีวิตใหม่ได้อย่างไรถ้าไม่ตายเสียก่อน
(37) เมล็ดข้าวสาลีหรือเมล็ดพืชอย่างอื่นที่ท่านหว่านลงไปนั้นเป็นเพียงเมล็ดมิใช่ลำต้นที่จะงอกขึ้น
(38) พระเจ้าประทานลำต้นแบบต่าง ๆ ตามพระประสงค์ให้กับเมล็ดเมล็ดแต่ละชนิดจึงมีลำต้นตามชนิดของมัน
(39) ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน ธรรมชาติมนุษย์เป็นอย่างหนึ่ง ธรรมชาติสัตว์เป็นอีกอย่างหนึ่ง ธรรมชาตินกเป็นอย่างหนึ่ง ธรรมชาติปลาเป็นอีกอย่างหนึ่ง
(40) มีวัตถุบนท้องฟ้าและวัตถุบนแผ่นดิน วัตถุบนท้องฟ้าและวัตถุบนแผ่นดินมีความสุกใสแตกต่างกัน
(41) ความสุกใสของดวงอาทิตย์เป็นแบบหนึ่ง ความสุกใสของดวงจันทร์เป็นอีกแบบหนึ่ง และความสุกใสของดวงดาวก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ดวงดาวทั้งหลายมีความสุกใสแตกต่างกัน
(42) การกลับคืนชีพของผู้ตายก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่หว่านลงไปนั้นเน่าเปื่อย แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นไม่เน่าเปื่อยอีก
(43) สิ่งที่หว่านลงไปนั้นไม่มีเกียรติ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นมีความรุ่งเรือง สิ่งที่หว่านลงไปนั้นอ่อนแอแต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นมีอานุภาพ
(44) สิ่งที่หว่านลงไปเป็นร่างกายตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพเป็นร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต ถ้ามีร่างกายตามธรรมชาติ ก็มีร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิตด้วย
(45) ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า อาดัม มนุษย์คนแรกถูกสร้างขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิต อาดัมคนสุดท้ายเป็นจิตซึ่งประทานชีวิต
(46) สิ่งที่มาก่อนมิใช่กายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต แต่เป็นกายตามธรรมชาติ ภายหลังจึงเป็นกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต
(47) มนุษย์คนแรกมาจากดิน เป็นมนุษย์ดิน มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์
(48) มนุษย์ดินคนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์ดินคนอื่น ๆ ก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์สวรรค์คนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์คนอื่น ๆ ก็เป็นอย่างนั้น
(49) เราเกิดมามีลักษณะเหมือนคนฝ่ายโลกฉันใด เราก็จะมีลักษณะเหมือนคนจากสวรรค์ฉันนั้น
(50) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกว่า มนุษย์ตามธรรมชาติรับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดกไม่ได้ สิ่งที่เน่าเปื่อยได้รับสภาพไม่เน่าเปื่อยเป็นมรดกไม่ได้
(51) โปรดฟังเถิด ข้าพเจ้ามีธรรมล้ำลึกข้อหนึ่งจะบอกท่าน เราทุกคนจะไม่ตาย แต่เราทุกคนจะเปลี่ยนแปลง
(52) ทันทีทันใด ชั่วพริบตา เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เสียงแตรจะดังขึ้น แล้วผู้ตายจะกลับคืนชีพอย่างไม่เน่าเปื่อย และเราจะเปลี่ยนแปลง
(53) เพราะธรรมชาติที่เน่าเปื่อยได้ของเรานี้ จะต้องสวมใส่ความไม่เน่าเปื่อย และธรรมชาติที่ต้องตายนี้ จะต้องสวมใส่ความไม่รู้จักตาย
(54) เมื่อสิ่งที่เน่าเปื่อยนี้จะสวมใส่ความไม่เน่าเปื่อย และเมื่อธรรมชาติที่ต้องตายนี้จะสวมใส่ความไม่รู้จักตายแล้ว ก็จะเป็นจริงตามคำที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ความตายถูกชัยชนะกลืน
(55) ความตายเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ไหน ความตายเอ๋ย พิษของเจ้าอยู่ไหน
(56) พิษของความตายคือบาป ธรรมบัญญัติคือ สิ่งแสดงฤทธิ์อำนาจของบาป
(57) ขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ประทานชัยชนะให้กับเราเดชะพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
(58) พี่น้องที่รักทั้งหลาย จงมั่นคง อย่าหวั่นไหว จงออกแรงทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้มากยิ่งขึ้นเสมอ ท่านรู้อยู่แล้วว่า งานหนักของท่านไม่สูญเปล่าสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า [Go Top]
1คร 16:1-24 คำขอร้องคำอำลา
(1) เกี่ยวกับเรื่องการเก็บทานบริจาคเพื่อผู้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านทั้งหลายจงปฏิบัติเหมือนกับที่ข้าพเจ้ากำหนดไว้สำหรับพระศาสนจักรต่าง ๆ ในแคว้นกาลาเทีย
(2) ทุกวันแรกของสัปดาห์ แต่ละท่านจงเก็บเงินที่ท่านประหยัดไว้ เพื่อจะได้ไม่ต้องเก็บเรี่ยไรเมื่อข้าพเจ้ามาเยี่ยม
(3) เมื่อข้าพเจ้ามาถึง ข้าพเจ้าจะส่งผู้ที่ท่านเลือกไว้ให้นำเงินทานไปยังกรุงเยรูซาเล็ม โดยถือจดหมายรับรองจากข้าพเจ้า
(4) ถ้าเหมาะสมที่ข้าพเจ้าจะไปด้วยตนเอง คนเหล่านี้จะเดินทางไปพร้อมกับข้าพเจ้าด้วย
(5) ข้าพเจ้าจะมาพบท่านโดยผ่านแคว้นมาซิโดเนีย เพราะข้าพเจ้ากำลังจะผ่านแคว้นมาซิโดเนียอยู่แล้ว
(6) ข้าพเจ้าอาจพักอยู่กับท่านระยะหนึ่ง หรืออาจจะอยู่จนสิ้นฤดูหนาว ท่านจะได้ช่วยจัดหาสิ่งจำเป็นให้ข้าพเจ้าเดินทางต่อไป
(7) ข้าพเจ้าไม่ต้องการแวะเพียงเพื่อพบท่านเท่านั้น แต่หวังจะพักอยู่กับท่านสักระยะหนึ่งถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาต
(8) ข้าพเจ้าจะพักอยู่ที่เมืองเอเฟซัสจนถึงวันเปนเตกอสเต
(9) เพราะข้าพเจ้ามีโอกาสดีที่จะทำงานให้ได้ผล แม้จะมีหลายคนคอยขัดขวาง
(10) ถ้าทิโมธีมาถึง จงจัดให้เขาอยู่กับท่านด้วยความสบายใจ เขากำลังทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับข้าพเจ้า
(11) อย่าให้ใครดูถูกเขา จงช่วยให้เขาเดินทางกลับมาหาข้าพเจ้าโดยปลอดภัย ข้าพเจ้าพร้อมกับบรรดาพี่น้องกำลังรอเขาอยู่
(12) ส่วนอปอลโล พี่น้องของเรา ข้าพเจ้าพยายามขอร้องเขาให้มาพบท่าน พร้อมกับบรรดาพี่น้อง แต่เขายังไม่ต้องการจะมาในเวลานี้ เขาจะมาเมื่อมีโอกาส
(13) จงระมัดระวัง จงยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ จงกล้าหาญและเข้มแข็ง
(14) จงทำทุกสิ่งด้วยความรักเถิด
(15) พี่น้องทั้งหลาย ท่านรู้ดีว่าครอบครัวของสเทเฟานัสเป็นพี่น้องกลุ่มแรกในแคว้นอาคายา และได้อุทิศตนรับใช้บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์
(16) ข้าพเจ้าจึงขอร้องท่านให้เชื่อฟังบุคคลเหล่านี้ และเชื่อฟังทุกคนที่ร่วมงานกับพวกเขาด้วยความเหนื่อยยาก
(17) ข้าพเจ้ายินดีที่สเทฟานัส ฟอร์ทูนาทัส และอาคายคัสมาเยี่ยมข้าพเจ้า เขาทั้งหลายทำหน้าที่แทนท่านซึ่งมาไม่ได้
(18) เขาทำให้จิตใจของข้าพเจ้าและจิตใจของท่านสงบ จงรู้จักคุณค่าของบุคคลนี้เถิด
(19) พระศาสนจักรต่าง ๆ ในแคว้นอาเชีย ฝากความคิดถึงท่าน อาควิลา และปริสสิลลาพร้อมกับพระศาสนจักรที่ชุมนุมกันในบ้านของเขาส่งความคิดถึงท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้า
(20) พี่น้องทุกคนส่งความคิดถึงท่านทั้งหลาย จงทักทายกันด้วยการจุมพิตศักดิ์สิทธิ์
(21) คำทักทายนี้เป็นลายมือของข้าพเจ้า เปาโล
(22) ผู้ใดไม่รักองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้นั้นจงถูกสาปแช่ง มารานาธา
(23) พระหรรษทานของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
(24) ข้าพเจ้ารักท่านทุกคนในองค์พระคริสตเยซู [Go Top]