กท 1:1-5 คำขึ้นต้น
(1) จากเปาโล ผู้เป็นอัครสาวกโดยได้รับแต่งตั้งจากพระเยซูคริสตเจ้า และจากพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย มิใช่เป็นอัครสาวกโดยอำนาจของมนุษย์หรือโดยการแต่งตั้งจากมนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่ง
(2) และจากพี่น้องทุกคนที่อยู่กับข้าพเจ้า ถึงพระศาสนจักรต่าง ๆ ในแคว้นกาลาเทีย
(3) ขอพระหรรษทานและสันติจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
(4) พระเยซูคริสตเจ้าทรงมอบพระองค์เพื่อช่วยเราให้รอดพ้นจากบาป และเพื่อช่วยเราให้พ้นจากความชั่วร้ายในโลกปัจจุบัน ตามพระประสงค์ของพระเจ้าพระบิดาของเรา
(5) ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดร อาเมน
กท 1:6-10 คำเตือน
เปาโลป้องกันตนเอง
กท 1:11-24 พระเจ้าทรงเรียกเปาโล
(11) พี่น้อง ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า ข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศไปแล้วนั้น มิใช่ข่าวที่มาจากมนุษย์
(12) เพราะข้าพเจ้าไม่ได้รับมาจากมนุษย์ มิได้เรียนรู้จากมนุษย์ แต่ได้รับจากการเปิดเผยของพระเยซูคริสตเจ้า
(13) ท่านทั้งหลายต้องเคยได้ยินเรื่องชีวิตในอดีตของข้าพเจ้าเมื่อยังยึดถือประเพณีของชาวยิว ว่าข้าพเจ้าเคยเบียดเบียนพระศาสนจักรของพระเจ้าอย่างรุนแรง และพยายามทำลายด้วย
(14) ข้าพเจ้าก้าวหน้าในลัทธิยิวมากกว่าเพื่อนชาวยิวรุ่นเดียวกันหลายคน และมีจิตใจร้อนรนอย่างยิ่งในการรักษาประเพณีของบรรพบุรุษ
(15) ครั้นแล้ว พระเจ้าผู้ทรงเลือกสรรข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา ก็ทรงเรียกข้าพเจ้าเดชะพระหรรษทานของพระองค์
(16) และพอพระทัยที่จะสำแดงพระบุตรของพระองค์ในตัวข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้ประกาศข่าวดีถึงพระบุตรแก่บรรดาคนต่างศาสนา ข้าพเจ้าไม่รีรอที่จะปรึกษากับมนุษย์ผู้ใดเลย
(17) หรือแม้แต่จะขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อพบกับผู้เป็นอัครสาวกก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าออกเดินทางไปยังอาราเบีย และกลับมายังเมืองดามัสกัสอีก
(18) สามปีต่อมา ข้าพเจ้าขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อทำความรู้จักกับเคฟาส และพักอยู่กับเขาเป็นเวลาสิบห้าวัน
(19) ข้าพเจ้าไม่พบอัครสาวกอื่น ๆ นอกจากยากอบ ผู้เป็นน้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(20) ข้าพเจ้าขอสาบานเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนนี้ มิใช่ความเท็จ
(21) หลังจากนั้น ข้าพเจ้าไปในเขตแดนซีเรียและซิลิเซีย
(22) พระศาสนจักรต่าง ๆ ในแคว้นยูเดียยังไม่เคยรู้จักหน้าข้าพเจ้าเลย
(23) เขาเหล่านั้นเคยแต่ได้ยินว่า ผู้ที่เคยข่มเหงพวกเรา บัดนี้กลับมาประกาศความเชื่อที่เขาเคยพยายามจะทำลาย
(24) เขาเหล่านั้นจึงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเพราะข้าพเจ้า
[Go Top]
กท 2:1-10 การประชุมที่กรุงเยรูซาเล็ม
(1) สิบสี่ปีต่อมา ข้าพเจ้าขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มอีกพร้อมกับบารนาบัส และพา ทิตัสไปด้วย
(2) ข้าพเจ้าไปตามที่พระเจ้าทรงเปิดเผย ชี้แจงให้บรรดาพี่น้องที่นั่นรู้ข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศแก่คนต่างศาสนา เล่าให้คนสำคัญฟังเป็นการส่วนตัว เพื่อข้าพเจ้าจะไม่วิ่งโดยไร้ประโยชน์
(3) แม้ทิตัสที่อยู่กับข้าพเจ้าจะเป็นชาวกรีก เขาก็ไม่ถูกบังคับให้ต้องเข้าสุหนัต
(4) แต่ปัญหาเกิดขึ้นเพราะบางคนที่เสแสร้งเป็นพี่น้องแฝงเข้ามาคอยจับผิดและจำกัดอิสรภาพที่เรามีในพระคริสตเยซู เพื่อทำให้เราเป็นทาส
(5) พวกเราไม่ยอมคล้อยตามพวกนี้แม้แต่น้อย เพื่อรักษาความหมายแท้จริงของข่าวดีให้คงอยู่กับท่านทั้งหลายต่อไป
(6) แต่ผู้ที่เป็นบุคคลสำคัญก็มิได้เพิ่มเติมเรื่องใดอีก ข้าพเจ้าไม่สนใจว่าบุคคลสำคัญเหล่านั้นเป็นใคร เพราะพระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้ามนุษย์
(7) ยิ่งกว่านั้น บุคคลสำคัญเหล่านี้เห็นว่าข้าพเจ้าได้รับมอบหน้าที่ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต เช่นเดียวกับเปโตรได้รับมอบหน้าที่ให้ประกาศแก่ผู้ที่เข้าสุหนัตแล้ว
(8) เพราะ
พระเจ้าผู้ทรงบันดาลให้เปโตรเป็นธรรมทูตไปพบผู้ที่เข้าสุหนัตแล้ว ก็ทรงบันดาลให้ข้าพเจ้าไปพบคนต่างศาสนาเช่นเดียวกัน
(9) ดังนั้น เมื่อยากอบ เคฟาสและยอห์น ซึ่งได้รับความนับถือว่าเป็นหลักรู้เรื่องพระหรรษทานที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วก็จับมือกับข้าพเจ้าและบารนาบัส แสดงความเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ตกลงกันว่า เราจะไปพบคนต่างศาสนา ส่วนพวกเขาจะไปพบผู้เข้าสุหนัตแล้ว
(10) เขาเหล่านี้ขอเพียงแต่ไม่ให้เราลืมคนยากจน คำขอนี้เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะทำอยู่แล้ว
[Go Top]
กท 2:11-14 เปโตรและเปาโลที่เมืองอันทิโอก
กท 2:15-21 ข่าวดีที่เปาโลประกาศ
หลักคำสอน
กท 3:6-9 พยานจากพระคัมภีร์ : ความเชื่อและธรรมบัญญัติ
กท 3:10-14 คำสาปแช่งจากธรรมบัญญัติ
กท 3:15-18 ธรรมบัญญัติมิได้ลบล้างพระสัญญา
กท 3:19-22 จุดประสงค์ของธรรมบัญญัติ
กท 3:23-29 ความเชื่อมาถึง
กท 4:1-11 บุตรของพระเจ้า
กท 4:12-20 คำขอร้อง
กท 4:21-31 พันธสัญญาทั้งสองฉบับ : นางฮาการ์และนางซาราห์
คำตักเตือน
กท 5:13-26 เสรีภาพและความรัก
กท 6:1-10 ความมีจิตใจดีและความมานะพากเพียร
กท 6:11-18 ปัจฉิมลิขิต
(11) เมื่อเคฟาสมาที่เมืองอันทิโอก ข้าพเจ้าคัดค้านเขาซึ่ง ๆ หน้าเพราะเขาเป็นฝ่ายผิด
(12) เพราะก่อนที่คนของยากอบจะมา เคฟาสกินอาหารร่วมกับคนต่างชาติ แต่ครั้นพวกนั้นมา เขาก็ปลีกตัว และแยกออกมาเพราะกลัวพวกที่เข้าสุหนัต
(13) ชาวยิวคนอื่นจึงแสร้งทำตามเขาบ้าง แม้กระทั่งบารนาบัสเองก็หลงแสร้งทำตามพวกเขาไปด้วย
(14) เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าเขาเหล่านั้นประพฤติตนไม่ถูกต้องตามความหมายแท้จริงของข่าวดี ข้าพเจ้าพูดกับเคฟาสต่อหน้าทุกคนว่า ท่านเป็นชาวยิว ยังประพฤติตนอย่างคนต่างชาติ มิใช่อย่างชาวยิว แล้วเหตุไฉนท่านจึงบังคับคนต่างชาติให้ประพฤติตนอย่างชาวยิวเล่า
(15) เราเกิดเป็นชาวยิว ไม่ใช่เป็นคนบาปต่างศาสนา
(16) แต่เรารู้ว่า มนุษย์มิได้เป็นผู้ชอบธรรมจากการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แต่เป็นผู้ชอบธรรมจากความเชื่อในพระคริสตเยซูเท่านั้น เรามีความเชื่อในพระคริสตเยซูเพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรมโดยอาศัยความเชื่อในพระคริสตเจ้า มิใช่จากการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ เพราะไม่มีมนุษย์คนใดเป็นผู้ชอบธรรมจากการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ
(17) ถ้าเราผู้แสวงหาความชอบธรรมในพระคริสตเจ้า ยังคงเป็นคนบาป หมายความว่าพระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้รับใช้บาปกระนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้
(18) เพราะถ้าเวลานี้ข้าพเจ้าสร้างสิ่งที่ทำลายแล้วขึ้นใหม่ ก็แสดงว่าข้าพเจ้าทำผิดมาก่อน
(19) เพราะอาศัยธรรมบัญญัตินั่นแหละข้าพเจ้าจึงได้ตายไปจากธรรมบัญญัติแล้ว เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่สำหรับพระเจ้า
(20) ข้าพเจ้าถูกตรึงกางเขนกับพระคริสตเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ มิใช่ตัวข้าพเจ้าอีกต่อไป แต่พระคริสตเจ้าทรงดำรงชีวิตอยู่ในตัวข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้ากำลังดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตในความเชื่อถึงพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้าและทรงมอบพระองค์เพื่อข้าพเจ้า
(21) ข้าพเจ้ามิได้ทำให้พระหรรษทานของพระเจ้าต้องไร้ผล ถ้าเรารับความชอบธรรมโดยปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ พระคริสตเจ้าก็สิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ [Go Top]
กท 3:1-5 ประสบการณ์ของคริสตชน
(1) ชาวกาลาเทียโง่เขลาเอ๋ย ใครสะกดท่านให้มึนงงไปได้ทั้ง ๆ ที่ภาพของพระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน ปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านแล้ว
(2) ข้าพเจ้าอยากรู้จากท่านเพียงข้อเดียวเท่านั้นว่า ท่านได้รับพระจิตเจ้าเพราะท่านปฏิบัติตามธรรมบัญญัติหรือเพราะท่านเชื่อการประกาศข่าวดี
(3) ท่านโง่เขลาถึงเพียงนี้เทียวหรือ ท่านเริ่มต้นด้วยพระจิตเจ้า แต่บัดนี้ท่านจะมาจบลงด้วยการกระทำตามธรรมชาติอีก
(4) ประสบการณ์มากมายที่ท่านได้รับมานั้นไร้ประโยชน์เสียแล้วหรือ
(5) ก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์เสียแล้วจริง ๆ พระองค์ผู้ประทานพระจิตเจ้าให้ท่าน และทรงแสดงการอัศจรรย์ต่าง ๆ ในหมู่ท่านทั้งหลายทรงกระทำเช่นนั้นเพราะท่านปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ หรือเพราะท่านยอมเชื่อการประกาศข่าวดี
(6) เช่นเดียวกัน อับราฮัมมีความเชื่อในพระเจ้า และนี่ก็จัดว่าเป็นความชอบธรรมสำหรับเขา
(7) ท่านทั้งหลายจงรู้เถิดว่า คนที่มีความเชื่อนั่นแหละคือบุตรของอับราฮัม
(8) พระคัมภีร์เห็นล่วงหน้าแล้วว่าพระเจ้าจะโปรดให้คนต่างศาสนาเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ พระองค์จึงทรงประกาศข่าวดีล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่า อาศัยท่านนานาชาติจะได้รับพระพร
(9) ดังนั้น ผู้ที่มีความเชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมผู้มีความเชื่อ
(10) ผู้ใดที่พึ่งการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติย่อมถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติย่อมถูกสาปแช่ง
(11) เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่มีผู้ใดเป็นผู้ชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าได้เพราะธรรมบัญญัติ เพราะผู้ชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่โดยความเชื่อ
(12) ธรรมบัญญัติมิได้มาจากความเชื่อ ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติก็จะพบชีวิตอาศัยการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติเหล่านั้น
(13) พระคริสตเจ้าทรงไถ่กู้เราให้รอดพ้นจากการสาปแช่งของธรรมบัญญัติโดยทรงถูกสาปแช่งแทนเรา เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ทุกคนที่ถูกแขวนประจานบนต้นไม้ จงถูกสาปแช่ง
(14) เพื่อพระพรที่อับราฮัมได้รับจะได้ผ่านทางพระเยซูคริสตเจ้าไปถึงคนต่างศาสนาด้วย เพื่อเราจะได้รับพระจิตเจ้าตามพระสัญญาโดยอาศัยความเชื่อ
(15) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน แม้ว่าพินัยกรรมจะเป็นการกระทำของมนุษย์ แต่เมื่อได้รับการรับรองแล้ว ก็ไม่มีใครอาจลบล้างหรือเพิ่มเติมข้อความใดได้อีก
(16) พระเจ้าประทานพระสัญญาให้แก่อับราฮัมและเชื้อสายของเขา พระคัมภีร์มิได้กล่าวว่า ให้แก่บรรดาเชื้อสาย ซึ่งหมายถึงหลายคน แต่หมายถึงคนเดียวว่า ให้แก่เชื้อสายของท่าน ซึ่งหมายถึงพระคริสตเจ้า
(17) ข้าพเจ้าจึงพูดว่าธรรมบัญญัติที่ตามมาสี่ร้อยสามสิบปีภายหลัง ไม่อาจทำให้พันธสัญญาที่พระเจ้าทรงรับรองไว้ก่อนแล้วนั้น เป็นโมฆะจนกระทั่งลบล้างพระสัญญาได้
(18) เพราะถ้ามรดกมาจากธรรมบัญญัติ ก็มิได้มาจากพระสัญญาอีกต่อไป แต่พระเจ้าทรงแสดงพระกรุณาแก่อับราฮัมโดยทางพระสัญญา
(19) ดังนั้น ธรรมบัญญัติมีไว้เพื่ออะไร ธรรมบัญญัติถูกเพิ่มมาให้เพราะการล่วงละเมิดต่าง ๆ จนกว่า เชื้อสาย ซึ่งจะต้องได้รับพระสัญญาจะมาถึง ธรรมบัญญัติได้รับการประกาศโดยทางทูตสวรรค์อาศัยคนกลาง
(20) ถ้ามีคนเดียวก็ไม่มีคนกลาง แต่พระเจ้ามีเพียงพระองค์เดียว
(21) ดังนั้น ธรรมบัญญัติขัดแย้งกับพระสัญญาหรือ เปล่าเลย เพราะถ้าพระเจ้าประทานธรรมบัญญัติที่ให้ชีวิตได้ ความชอบธรรมก็คงจะมาจากธรรมบัญญัติอย่างแท้จริง
(22) แต่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ทุกสิ่งถูกจองจำไว้ใต้อำนาจแห่งบาป เพื่อพระสัญญาจะประทานให้แก่ผู้ที่มีความเชื่อเพราะความเชื่อในพระเยซูคริสเจ้า
(23) ก่อนที่ความเชื่อจะมาถึง ธรรมบัญญัติควบคุมดูแลเราอย่างเคร่งครัด จนกว่าความเชื่อจะถูกเปิดเผย
(24) ดังนั้น ธรรมบัญญัติจึงเป็นเหมือนครูพี่เลี้ยง นำเราไปพบพระคริสตเจ้า เพื่อเราจะได้เป็นผู้ชอบธรรมโดยอาศัยความเชื่อ
(25) แต่เมื่อความเชื่อมาถึงแล้ว เราก็ไม่ถูกครูพี่เลี้ยงควบคุมดูแลอีกต่อไป
(26) ท่านทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยอาศัยความเชื่อในพระคริสตเยซู
(27) เพราะท่านทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปในพระ คริสตเจ้า ก็สวมพระคริสตเจ้าไว้
(28) ไม่มีชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่มีทาสหรือไทย ไม่มีชายหรือหญิงอีกต่อไป เพราะท่านทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสตเยซู
(29) และถ้าท่านเป็นของพระคริสตเจ้าแล้ว ท่านก็เป็น เชื้อสาย ของอับราฮัม เป็นทายาทตามพระสัญญา
[Go Top]
(1) จะพูดอีกนัยหนึ่งว่า ตลอดเวลาที่ทายาทคนหนึ่งยังเป็นเด็ก เขาก็ไม่แตกต่างอะไรจากทาสเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นนายของทรัพย์สินทั้งหมด
(2) เขายังต้องถูกผู้ปกครองและผู้จัดการควบคุมดูแลจนกว่าจะถึงเวลาที่บิดากำหนดไว้
(3) พวกเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อยังเป็นเด็ก เราก็เป็นทาสของบรรดาจิตที่ควบคุมโลกนี้อยู่
(4) แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาบังเกิดจากหญิงผู้หนึ่ง เกิดมาอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ
(5) เพื่อทรงไถ่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ และทำให้เราได้เป็นบุตรบุญธรรม
(6) ข้อพิสูจน์ว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรก็คือพระเจ้าทรงส่งพระจิตของพระบุตรลงมาในดวงใจของเรา พระจิตผู้ตรัสด้วยเสียงอันดังว่า อับบา พ่อจ๋า
(7) ดังนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร ถ้าเป็นบุตรก็ย่อมเป็นทายาทตามพระประสงค์ของพระเจ้า
(8) ในอดีต เมื่อยังไม่รู้จักพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นทาสรับใช้ของสิ่งที่ไม่มีธรรมชาติเป็นพระเจ้า
(9) บัดนี้ ท่านรู้จักพระเจ้า แต่อันที่จริง พระเจ้าทรงรู้จักท่าน แล้วทำไมท่านจึงหวนกลับไปหาจิตที่ไร้อำนาจและยากจน ทำไมท่านจึงต้องการเป็นทาสรับใช้จิตเหล่านั้นเหมือนเดิมอีกครั้งหนึ่งเล่า
(10) ท่านยังยึดถือวัน เดือน ฤดู และปีอยู่อีก
(11) ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นห่วงท่าน กลัวว่าข้าพเจ้าทำงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อท่านโดยไร้ประโยชน์
(12) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน จงเป็นเหมือนข้าพเจ้าเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนท่าน ท่านไม่ได้ทำผิดอะไรต่อข้าพเจ้าเลย
(13) ท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้วว่า เพราะความเจ็บป่วย ข้าพเจ้าจึงประกาศข่าวดีแก่ท่านเป็นครั้งแรก
(14) แม้ว่าความเจ็บป่วยของข้าพเจ้าจะเป็นภาระหนักสำหรับท่าน ท่านก็ไม่ได้รังเกียจหรือขับไล่ ตรงกันข้าม ท่านต้อนรับข้าพเจ้าเหมือนต้อนรับทูตสวรรค์ของพระเจ้า เหมือนต้อนรับพระคริสตเยซู
(15) แต่บัดนี้ ความชื่นชมของท่านอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่า เวลานั้น ถ้าทำได้ท่านคงจะควักนัยน์ตาให้แก่ข้าพเจ้าด้วย
(16) แต่แล้วข้าพเจ้ากลับเป็นศัตรูของท่านเพียงเพราะข้าพเจ้าพูดความจริงกับท่านกระนั้นหรือ
(17) บุคคลเหล่านั้นเอาใจใส่ท่านแต่มีเจตนาร้าย เขาต้องการแยกท่านไว้ให้เอาใจใส่พวกเขาเท่านั้น
(18) เป็นการถูกต้องที่จะเอาใจใส่ทำดีอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงแต่เฉพาะเมื่อข้าพเจ้ายังอยู่กับท่านเท่านั้น
(19) ลูก ๆ ที่รัก ข้าพเจ้ามีความเจ็บปวดประหนึ่งว่ากำลังคลอดท่านทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง จนกว่าพระคริสตเจ้าจะปรากฏอยู่ในท่านอย่างชัดเจน
(20) ข้าพเจ้าปรารถนาจะอยู่กับท่านในเวลานี้ และจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับท่านอีกแล้ว
(21) ท่านทั้งหลายที่ปรารถนาจะอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ จงบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ทำไมท่านไม่เชื่อสิ่งที่ธรรมบัญญัติเขียนไว้เล่า
(22) มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าอับราฮัมมีบุตรสองคน คนหนึ่งเกิดจากหญิงทาส อีกคนหนึ่งเกิดจากหญิงที่ไม่เป็นทาส
(23) เด็กที่เกิดมาจากหญิงทาสนั้นเกิดมาตามธรรมชาติ ส่วนเด็กที่เกิดจากหญิงที่ไม่เป็นทาสนั้นเกิดมาตามพระสัญญา เรื่องนี้กล่าวไว้เป็นอุปมา หญิงสองคนนี้หมายถึงพันธสัญญาทั้งสองฉบับ
(24) ฉบับหนึ่งจากภูเขาซีนาย คือนางฮาการ์ ซึ่งให้กำเนิดบุตรมาเป็นทาส
(25) ซีนายเป็นภูเขาลูกหนึ่งในแคว้นอาราเบีย ได้แก่ กรุงเยรูซาเล็มในปัจจุบัน ซึ่งยังเป็นทาสอยู่พร้อมกับบรรดาบุตรของตน
(26) แต่กรุงเยรูซาเล็มที่อยู่เบื้องบนนั้นไม่เป็นทาส และเป็นมารดาของเรา
(27) เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า จงชื่นชมเถิด หญิงหมันผู้ไม่มีบุตร จงเปล่งเสียงโห่ร้องเถิด ท่านที่ไม่เคยเจ็บครรภ์คลอดบุตร เพราะบุตรของหญิงที่ถูกทอดทิ้งมีมากกว่าบุตรของหญิงที่ยังมีสามีอยู่ด้วย
(28) พี่น้องทั้งหลาย ท่านเป็นบุตรตามพระสัญญาเช่นเดียวกับอิสอัค
(29) ในอดีต เด็กที่เกิดมาตามธรรมชาติข่มเหงรังแกเด็กที่เกิดมาเดชะพระจิตเจ้าฉันใด บัดนี้ก็เป็นเช่นนั้น
(30) แต่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า จงขับไล่หญิงทาสและบุตรของนางออกไป เพราะบุตรของหญิงทาสจะไม่มีส่วนในมรดกกับบุตรของหญิงที่ไม่เป็นทาส
(31) เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เรามิใช่บุตรของหญิงทาส แต่เป็นบุตรของหญิงที่ไม่เป็นทาส [Go Top]
กท 5:1-12 อิสรภาพของคริสตชน
(1) พระคริสตเจ้าทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระแล้ว ฉะนั้น จงยืนหยัดมั่นคง และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย
(2) จงฟังเถิด ข้าพเจ้า เปาโลขอบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านเข้าสุหนัต พระ คริสตเจ้าก็จะไม่มีประโยชน์อะไรกับท่าน
(3) ข้าพเจ้าขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งกับทุกคนที่เข้าสุหนัตว่า จำเป็นต้องปฏิบัติตามธรรมบัญญัติทุกข้อด้วย
(4) ท่านที่คิดว่าเป็นผู้ชอบธรรมอาศัยธรรมบัญญัติ ก็แยกตัวออกไปจากพระคริสตเจ้า และขาดจากพระหรรษทาน
(5) ส่วนเรานั้น พระจิตเจ้าทรงนำเราให้รอคอยความชอบธรรมที่หวังจะได้รับจากความเชื่อ
(6) เพราะในพระคริสตเยซูนั้น การเข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัตนั้นไม่สำคัญ เรื่องที่สำคัญก็คือมีความเชื่อที่แสดงออกเป็นการกระทำอาศัยความรัก
(7) ท่านทั้งหลายวิ่งมาอย่างดีแล้ว ผู้ใดกีดขวางท่านมิให้เชื่อฟังความจริงเล่า
(8) ความคิดเช่นนี้ไม่ได้มาจากพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านเป็นแน่
(9) เชื้อแป้งเพียงเล็กน้อยทำให้ปริมาณแป้งทั้งหมดฟูขึ้น
(10) พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าแน่ใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ท่านจะไม่คิดเป็นอย่างอื่น ผู้ที่ทำให้ท่านวุ่นวายจะต้องถูกตัดสินลงโทษ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม
(11) สำหรับข้าพเจ้านั้น ถ้าข้าพเจ้ายังประกาศสอนให้เข้าสุหนัตอยู่อีก ทำไมข้าพเจ้าจึงยังถูกเบียดเบียนอยู่เล่า ถ้าเช่นนั้น ไม้กางเขนก็คงไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป
(12) ผู้ที่ทำให้ท่านวุ่นวายเหล่านี้น่าจะตัดอวัยวะส่วนนั้นให้หมดไปเลย
(13) พี่น้องทั้งหลาย พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มารับอิสรภาพ ขอเพียงแต่อย่าใช้อิสรภาพนั้นเป็นข้อแก้ตัวที่จะทำตามใจตน แต่จงรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรัก
(14) เพราะธรรมบัญญัติทั้งหมดสรุปได้เป็นข้อเดียวว่า จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง
(15) ถ้าท่านกัดกันและกินกัน ก็จงระวังตัวไว้เถิดว่า ท่านจะทำลายกันจนหมดสิ้น
(16) บัดนี้ ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลายว่า จงดำเนินตามพระจิตเจ้า และอย่าตอบสนองความปรารถนาตามธรรมชาติ
(17) เพราะธรรมชาติมนุษย์มีความปรารถนาตรงกันข้ามกับพระจิตเจ้า และพระจิตเจ้าก็ทรงปรารถนาตรงกันข้ามกับธรรมชาติมนุษย์ สองสิ่งนี้ขัดแย้งกัน ท่านทำสิ่งที่ท่านอยากทำไม่ได้
(18) ถ้าท่านมีพระจิตเจ้าเป็นผู้นำ ท่านก็ไม่อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ
(19) กิจการของธรรมชาติมนุษย์นั้นปรากฏชัดแจ้ง คือ การผิดประเวณี ความลามกโสมม การปล่อยตัวตามราคตัณหา
(20) การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้เวทมนตร์คาถา การเป็นศัตรูกัน การทะเลาะวิวาท ความอิจฉาริษยา ความโกรธเคือง การแก่งแย่งชิงดี การแตกแยก การแบ่งพรรคแบ่งพวก
(21) การเมามาย การสำมะเลเทเมา และอีกหลายประการในทำนองเดียวกันนี้ ข้าพเจ้าขอเตือนท่านทั้งหลายอีกครั้งหนึ่งดังที่เคยเตือนมาแล้วว่า ผู้ที่ประพฤติตนเช่นนี้จะไม่ได้อาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก
(22) ส่วนผลของพระจิตเจ้าก็คือความรัก ความชื่นชม ความสงบ ความอดทน ความเมตตา ความใจดี ความซื่อสัตย์
(23) ความอ่อนโยน และการรู้จักควบคุมตนเอง เรื่องเหล่านี้ไม่มีธรรมบัญญัติใดห้ามไว้เลย
(24) ผู้ที่เป็นของพระคริสตเยซู ก็ตรึงธรรมชาติของตนพร้อมกับกิเลสตัณหาไว้กับไม้กางเขนแล้ว
(25) ถ้าเรามีชีวิตเดชะพระจิตเจ้าแล้ว เราจงดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้าด้วย
(26) อย่าอวดดียั่วยุผู้อื่น หรืออิจฉาริษยากันและกัน
[Go Top]
(1) พี่น้องทั้งหลาย ถ้าท่านพบว่าใครคนหนึ่งทำผิด ท่านซึ่งมีพระจิตเจ้าเป็นผู้นำ จงตักเตือนแก้ไขเขาด้วยความอ่อนโยน จงระวังตัว ท่านอาจถูกทดลองด้วย
(2) จงแบ่งเบาภาระของกันและกัน แล้วท่านก็จะปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระคริสตเจ้าอย่างสมบูรณ์
(3) หากผู้ใดคิดว่าตนเป็นคนสำคัญ ในขณะที่ไม่เป็นเช่นนั้น เขาย่อมหลอกตนเอง
(4) แต่ละคนจงพิจารณาการกระทำของตน แล้วจะภูมิใจในตนเอง โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับผู้อื่น
(5) แต่ละคนมีภาระของตนอยู่แล้ว
(6) ผู้ที่รับคำสั่งสอนพระวาจา จงแบ่งปันทรัพย์สินของตนให้แก่ผู้ที่สอน
(7) อย่าหลอกลวงตนเอง จะล้อพระเจ้าเล่นไม่ได้ ใครหว่านสิ่งใดก็ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น
(8) ผู้ที่หว่านสิ่งใดตามธรรมชาติของตน ก็จะเก็บเกี่ยวความเสื่อมสลายจากธรรมชาติ ผู้ที่หว่านความดีในพระจิตเจ้า ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดรจากพระจิตเจ้า
(9) อย่าท้อแท้ในการทำความดี เพราะถ้าเราไม่หยุดทำความดี เราก็จะได้เก็บเกี่ยวเมื่อถึงเวลา
(10) ดังนั้น ตราบใดที่ยังมีโอกาส จงทำความดีแก่ทุกคน โดยเฉพาะแก่พี่น้องผู้ร่วมความเชื่อของเรา
(11) จงดูเถิด ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลายเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ด้วยมือของข้าพเจ้า
(12) ผู้ที่ปรารถนาคำยกย่องสรรเสริญตามธรรมชาติย่อมบังคับท่านให้เข้าสุหนัต เพียงเพื่อเขาเหล่านั้นจะไม่ต้องถูกเบียดเบียนเพราะไม้กางเขนของพระคริสตเจ้า
(13) ผู้ที่เข้าสุหนัตก็ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แต่พวกเขาต้องการให้ท่านเข้าสุหนัตเพียงเพื่อโอ้อวดที่ทำให้ท่านเข้าสุหนัตได้
(14) ส่วนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่โอ้อวดสิ่งใดนอกจากเรื่องไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา อาศัยไม้กางเขนนี้ โลกถูกตรึงตายไปจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ถูกตรึงตายไปจากโลกแล้ว
(15) ดังนั้น การเข้าสุหนัตหรือการไม่เข้าสุหนัตจึงไม่มีความสำคัญแต่ประการใด สิ่งที่สำคัญก็คือการเป็นสิ่งสร้างใหม่
(16) สันติและพระเมตตาจงมีแด่ทุกคนที่ปฏิบัติตามกฎข้อนี้ และแด่ประชากรแท้จริงของพระเจ้า
(17) นับแต่บัดนี้ อย่าให้ใครมารบกวนข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ามีรอยประทับตราของพระเยซูเจ้าอยู่ในร่างกายของข้าพเจ้าแล้ว
(18) พี่น้อง ขอให้พระหรรษทานของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา สถิตอยู่ในจิตใจของท่านทั้งหลายเทอญ อาเมน