อฟ 1:1-2 คำทักทาย
(1) จากเปาโล อัครสาวกของพระคริสตเยซู ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ธรรมล้ำลึกเรื่องความรอดพ้นและพระศาสนจักร
อฟ 1:3-14 แผนการความรอดพ้น
อฟ 1:15-23 ชัยชนะและความยิ่งใหญ่ของพระคริสตเจ้า
(15) เมื่อข้าพเจ้ารู้ถึงความเชื่อของท่านทั้งหลายในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และรู้ถึงความรักที่ท่านมีต่อบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทุกคน
(16) ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าเพื่อท่าน และระลึกถึงท่านทั้งหลายในคำอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอ
(17) ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ประทานพระพรแห่งปรีชาญาณและการเปิดเผยให้แก่ท่านเดชะพระจิตเจ้า เพื่อท่านจะได้รู้ซึ้งถึงพระองค์ยิ่ง ๆ ขึ้น
(18) ขอพระองค์โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการใด และความรุ่งเรืองที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียงไร
(19) อีกทั้งรู้ด้วยว่า พระอานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อเราผู้มีความเชื่อนั้นล้ำเลิศเพียงใด พระอานุภาพและพละกำลังนี้
(20) พระองค์ทรงแสดงในองค์พระคริสตเจ้า เมื่อทรงบันดาลให้พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย และให้ประทับเบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์
(21) เหนือเทพนิกรเจ้า เทพนิกรอำนาจ เทพนิกรฤทธิ์ เทพนิกรนายและเหนือนามทั้งปวงที่อาจเรียกขานได้ทั้งในภพนี้และในภพหน้า
(22) พระเจ้าทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้พระบาทของพระคริสตเจ้า และทรงแต่งตั้งพระคริสตเจ้าไว้เหนือสรรพสิ่ง ให้ทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักร
(23) ซึ่งเป็นพระวรกายของพระองค์ เป็นความบริบูรณ์ของพระผู้ทรงอยู่ในทุกสิ่งและทรงกระทำให้ทุกสิ่งบริบูรณ์
[Go Top]
อฟ 2:1-10 พระเจ้าประทานความรอดพ้นในองค์พระคริสตเจ้า
อฟ 2:11-22 การรวมเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสตเจ้า
อฟ 3:1-13 เปาโล ผู้รับใช้ธรรมล้ำลึก
อฟ 3:14-21 คำภาวนาของเปาโล
คำตักเตือน
อฟ 4:17-32 ชีวิตใหม่ในพระคริสตเจ้า
อฟ 5:1-20
อฟ 5:21-33 ศีลธรรมในครอบครัว
อฟ 6:1-9
อฟ 6:10-20 การต่อสู้กับอำนาจจิตฝ่ายต่ำ
อฟ 6:21-24 ข่าวและคำอำลา
(1) ท่านทั้งหลายตายแล้วเพราะการล่วงละเมิดและเพราะบาป
(2) ครั้งหนึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามโลกียวิสัย อยู่ใต้อำนาจเทพนิกรเจ้าผู้ปกครองชั้นบรรยากาศ คือจิตที่ทำงานอยู่ในมนุษย์ที่ไม่ยอมเชื่อฟัง
(3) เราทุกคนก็เคยประพฤติเช่นนี้ในอดีต ปล่อยตนตามราคตัณหา ปฏิบัติตนตามความต้องการและความคิดโดยธรรมชาติฝ่ายต่ำเราจึงน่าจะถูกพระเจ้าลงโทษเช่นเดียวกับคนอื่น
(4) แต่พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา ทรงสำแดงความรักยิ่งใหญ่ต่อเรา
(5) เมื่อเราตายไปแล้วเพราะการล่วงละเมิด พระองค์ก็ทรงบันดาลให้เรากลับมีชีวิตกับพระคริสตเจ้า ท่านได้รับความรอดพ้นก็เพราะพระหรรษทาน
(6) พระเจ้าโปรดให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเยซู โปรดให้เรามีที่นั่งในสวรรค์พร้อมกับพระคริสตเจ้า
(7) เพื่อจะทรงแสดงพระหรรษทานอันอุดมเหลือล้นของพระองค์แก่มนุษย์ทุกยุคสมัยในอนาคต โดยทรงพระกรุณาต่อเราในพระคริสตเยซู
(8) ท่านได้รับความรอดพ้นเพราะพระหรรษทานอาศัยความเชื่อ ความรอดพ้นนี้มิได้มาจากท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า
(9) มิได้มาจากการกระทำใด ๆ ของท่าน เพื่อมิให้ใครโอ้อวดตนได้
(10) เราเป็นผลงานของพระองค์ ถูกสร้างมาในพระคริสตเยซูเพื่อให้ประกอบกิจการดี ซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดล่วงหน้าให้เราปฏิบัติ
(11) จงระลึกว่า ท่านทั้งหลายเคยเป็นคนต่างศาสนาโดยกำเนิดในอดีต พวกที่เรียกตนเองว่าเข้าสุหนัตตามพิธีภายนอก เรียกท่านว่าเป็นพวกไม่ได้เข้าสุหนัต
(12) จงระลึกเถิดว่า เวลานั้น ท่านอยู่ห่างจากพระคริสตเจ้า ถูกกีดกันมิให้เป็นประชากรอิสราเอล เป็นคนต่างด้าว ไม่มีส่วนในพระสัญญาและในพันธสัญญา อยู่ในโลกนี้โดยไม่มีความหวังและไม่มีพระเจ้า
(13) แต่บัดนี้ในองค์พระคริสตเยซู ท่านทั้งหลายซึ่งในอดีตเคยอยู่ห่างไกลได้เข้ามาอยู่ใกล้ เดชะพระโลหิตของพระคริสตเจ้า
(14) พระองค์คือสันติของเรา ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวโดยทรงทำลายกำแพงที่แบ่งแยกคือการเป็นศัตรูกัน
(15) ทรงล้มเลิกธรรมบัญญัติพร้อมกับข้อบังคับและข้อห้ามต่าง ๆ เมื่อทรงรับร่างกายเป็นมนุษย์เพื่อสร้างสันติ ทำให้ทั้งสองฝ่ายกลับเป็นมนุษย์คนใหม่คนเดียวในพระองค์
(16) โดยทางไม้กางเขนทรงทำให้ทั้งสองฝ่ายกลับคืนดีกับพระเจ้า รวมเป็นกายเดียว และทรงขจัดการเป็นศัตรูกันเดชะพระองค์
(17) พระองค์เสด็จมาประกาศสันติเป็นข่าวดีสำหรับท่านทั้งหลายที่อยู่ห่างไกล และประกาศสันติเป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่อยู่ใกล้
(18) เดชะพระองค์เราทั้งสองฝ่ายจึงเข้าไปเฝ้าพระบิดาเจ้าได้ในพระจิตเจ้าองค์เดียวกัน
(19) ท่านจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือผู้อาศัยอีกต่อไป แต่เป็นเพื่อนร่วมชาติกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า
(20) ถูกสร้างขึ้นเป็นอาคารโดยมีบรรดาอัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็นศิลาหัวมุม
(21) พระคริสตเจ้าทรงทำให้อาคารทุกส่วนต่อกันสนิทเจริญขึ้นเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
(22) ในพระคริสตเจ้า ท่านทั้งหลายก็เช่นกันกำลังถูกก่อสร้างร่วมกันขึ้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าเดชะพระจิตเจ้า
[Go Top]
(1) ข้าพเจ้า เปาโลผู้ถูกจองจำเพราะพระคริสตเยซูเพื่อท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นคนต่างชาติ
(2) ท่านคงรู้แล้วถึงพระหรรษทานซึ่งพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้าประกอบพันธกิจเพื่อประโยชน์ของท่าน
(3) ข้าพเจ้ารู้ธรรมล้ำลึกนี้เพราะพระเจ้าทรงเปิดเผย ดังที่ข้าพเจ้าเขียนไว้ก่อนหน้านี้โดยสังเขป
(4) เมื่ออ่านแล้ว ท่านจะเข้าใจว่าข้าพเจ้ารู้ธรรมล้ำลึกเรื่องพระคริสตเจ้าได้อย่างไร
(5) ธรรมล้ำลึกนี้พระองค์มิได้ทรงเปิดเผยให้มนุษย์ในอดีตรู้ แต่บัดนี้พระเจ้าทรงเปิดเผยเดชะพระจิตเจ้าให้แก่บรรดาอัครสาวกและประกาศกผู้ศักดิ์สิทธิ์รู้ว่า
(6) คนต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมในกองมรดกเดียวกัน ร่วมเป็นกายเดียวกัน ร่วมรับพระสัญญาเดียวกันในพระคริสตเยซู อาศัยข่าวดี
(7) ข้าพเจ้ามาเป็นผู้รับใช้ข่าวดีนี้เดชะพระหรรษทานที่พระเจ้าทรงพระกรุณาประทานให้ เพื่อสำแดงพระอานุภาพของพระองค์
(8) ข้าพเจ้าผู้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้รับมอบพระหรรษทานนี้ เพื่อประกาศให้คนต่างชาติรู้ถึงความไพบูลย์สุดที่จะหยั่งรู้ได้ของพระคริสตเจ้า
(9) และอธิบายให้เข้าใจถึงแผนการล้ำลึก ซึ่งซ่อนเร้นอยู่เป็นเวลานานมาแล้วในพระเจ้า พระผู้สร้างสรรพสิ่ง
(10) เพื่อเทพนิกรเจ้าและเทพนิกรอำนาจในสวรรค์ได้รู้ พระปรีชาญาณของพระเจ้าในรูปแบบต่าง ๆ ณ บัดนี้โดยทางพระศาสนจักร
(11) ตามพระประสงค์นิรันดรที่ทรงกระทำให้สำเร็จไปในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
(12) เดชะพระคริสตเจ้าและด้วยความเชื่อในพระองค์ เราจึงกล้าเข้าไปเฝ้าพระเจ้าด้วยความมั่นใจ
(13) ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงวอนขอท่านทั้งหลาย อย่าได้ท้อใจเพราะความยากลำบากต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าสู้ทนเพื่อท่าน ความยากลำบากเหล่านี้เป็นเกียรติยศของท่าน
(14) ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าเฉพาะพระพักตร์ของพระบิดา
(15) ผู้ทรงเป็นที่มาของครอบครัวทั้งหลาย ไม่ว่าบนสวรรค์หรือบนแผ่นดิน
(16) ขอพระองค์ประทานพละกำลังแก่ท่านเดชะพระจิตเจ้าตามความไพบูลย์แห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ให้ชีวิตภายในของท่านเข้มแข็งยิ่งขึ้น
(17) พระคริสตเจ้าจะได้ทรงพำนักในจิตใจของท่านอาศัยความเชื่อ เมื่อท่านหยั่งรากและตั้งมั่นอยู่บนความรักแล้ว
(18) ท่านและบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะได้เข้าใจถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก
(19) อีกทั้งหยั่งรู้ซึ้งถึงความรักซึ่งเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ของพระคริสตเจ้า เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ทั้งปวงของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
(20) ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้า ผู้ทรงกระทำทุกอย่างได้ตามพระอานุภาพที่แสดงพลังอยู่ในตัวเรามากกว่าที่เราอาจขอหรือคาดคิด
(21) ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ในพระศาสนจักร และในพระคริสตเยซู ทุกยุคสมัยตลอดนิรันดร อาเมน [Go Top]
อฟ 4:1-16 ขอให้มีเอกภาพ
(1) ข้าพเจ้าผู้ถูกจองจำเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า วอนขอท่านทั้งหลายให้ดำเนินชีวิตสมกับการที่ท่านได้รับเรียก
(2) จงถ่อมตนอยู่เสมอ จงมีความอ่อนโยน พากเพียรอดทนต่อกันด้วยความรัก
(3) พยายามรักษาเอกภาพแห่งพระจิตเจ้าด้วยสายสัมพันธ์แห่งสันติ
(4) มีกายเดียวและจิตเดียว ดังที่พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการเดียว
(5) มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อหนึ่งเดียว ศีลล้างบาปหนึ่งเดียว พระเจ้าหนึ่งเดียว
(6) ผู้ทรงเป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน ทรงกระทำการผ่านทุกคน และสถิตอยู่ในทุกคน
(7) เราแต่ละคนได้รับพระหรรษทานตามสัดส่วนที่พระคริสตเจ้าประทานให้
(8) ดังนั้น จึงมีคำกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า
เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง พระองค์ทรงนำบรรดาเชลยไปด้วย
และทรงแจกจ่ายของประทานแก่บรรดามนุษย์
(9) คำว่า พระองค์เสด็จขึ้น นั้นหมายความว่าอย่างไร ถ้ามิใช่หมายความว่า พระองค์ได้เสด็จลงไปยังแผ่นดินเบื้องล่างก่อนแล้ว
(10) และพระองค์ผู้เสด็จลงไปก็เป็นองค์เดียวกับผู้เสด็จขึ้นไปเหนือสวรรค์ทุกชั้น เพื่อจะทรงครอบครองทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์
(11) พระองค์ประทานให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นประกาศก บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวดี บางคนเป็นผู้อภิบาลและอาจารย์
(12) เพื่อเตรียมบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ไว้สำหรับงานรับใช้เสริมสร้างพระกายของพระคริสตเจ้า
(13) จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ตามมาตรฐานความสมบูรณ์ของพระคริสตเจ้า
(14) เราจะได้ไม่เป็นเหมือนเด็ก ถูกคลื่นลมซัดโคลงเคลงล่องลอยตามกระแสคำสั่งสอนทุกอย่างที่เกิดจากเล่ห์กลของมนุษย์ด้วยอุบายชาญฉลาดที่คอยหลอกลวงให้หลงผิดอีกต่อไป
(15) แต่ให้เราดำเนินชีวิตในความจริงด้วยความรัก เจริญเติบโตขึ้นจนบรรลุถึงความสมบูรณ์ในพระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นพระเศียร
(16) พระองค์ทรงทำให้ร่างกายทุกส่วนประสานสัมพันธ์กันอย่างสนิทแน่นแฟ้น ทรงจัดให้ข้อต่อทุกข้อเสริมกำลังให้แต่ละส่วนทำหน้าที่ของตน ร่างกายจึงเจริญเติบโตและเสริมสร้างตนเองอย่างสมบูรณ์ขึ้นด้วยความรัก
(17) ข้าพเจ้าขอพูดและย้ำเตือนท่านทั้งหลายในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า อย่าดำเนินชีวิตโดยไร้ความคิดดังที่คนต่างศาสนากระทำกันอีกต่อไป
(18) เขาเหล่านั้นมีความคิดมืดมัว ความโง่เขลา และจิตใจแข็งกระด้างทำให้เขาอยู่ห่างจากวิถีชีวิตของพระเจ้า
(19) เขาไม่รู้สึกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก จึงปล่อยตัวในความลามก กระทำการน่าบัดสีทุกอย่างโดยไม่รู้จักอิ่ม
(20) แต่ท่านมิได้มารู้จักพระคริสตเจ้าเช่นนั้น
(21) ท่านได้ฟังเรื่องราวและรู้จักองค์พระคริสตเจ้าตามความจริงที่ปรากฏอยู่ในพระเยซูเจ้าแล้ว
(22) ท่านจงถอดสภาพมนุษย์เก่า เลิกประพฤติเลวทรามตามราคตัณหาที่หลอกให้หลงไป
(23) จงมีจิตใจและความรู้สึกนึกคิดอย่างใหม่
(24) จงสวมใส่สภาพมนุษย์ใหม่ซึ่งพระเจ้าทรงเนรมิตให้เหมือนพระองค์ มีความชอบธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากความจริง
(25) ดังนั้น ท่านจงเลิกพูดเท็จ พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า แต่ละคนจงพูดความจริงแก่พี่น้องของตนเพราะเราต่างเป็นเสมือนอวัยวะของกันและกัน
(26) แม้ท่านจะโกรธ ก็อย่าให้เป็นบาป จงเลิกโกรธก่อนดวงอาทิตย์ตก
(27) อย่าให้โอกาสแก่มาร
(28) คนที่เคยขโมย จงเลิกขโมย ใช้มือทำงานอย่างสุจริตจะดีกว่าเพื่อจะได้มีบางสิ่งมาแบ่งปันแก่ผู้ขัดสน
(29) จงอย่าพูดคำเลวร้ายใด ๆ เลย จงพูดแต่คำดีงามเพื่อช่วยกันเสริมสร้างผู้อื่นตามโอกาสและเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่บรรดาผู้ได้ยินได้ฟัง
(30) จงอย่าทำให้พระจิตเจ้าต้องเศร้าหมอง พระเจ้าประทานพระองค์เป็นตราประทับให้ท่านแล้วสำหรับวันแห่งการไถ่กู้
(31) ท่านทั้งหลายจงขจัดความขมขื่น ความขุ่นเคือง ความโกรธ การขู่ตะคอก การนินทาว่าร้าย และความไม่ดีไม่งามทั้งหลาย
(32) แต่จงมีใจโอบอ้อมอารี มีเมตตาต่อกัน ให้อภัยกันดังที่พระเจ้าทรงให้อภัยแก่ท่านในองค์พระคริสตเจ้าเถิด
[Go Top]
(1) ท่านทั้งหลายจงทำตามแบบฉบับของพระเจ้า ประดุจบุตรสุดที่รักของพระองค์
(2) จงดำเนินชีวิตในความรักดังที่พระคริสตเจ้าทรงรักเราและทรงมอบพระองค์เพื่อเรา เป็นเครื่องบูชากลิ่นหอมถวายแด่พระเจ้า
(3) ในหมู่ท่านทั้งหลาย อย่าให้มีการผิดประเวณี ความลามกโสมมต่าง ๆ หรือความโลภ อย่าให้มีแม้แต่การพูดถึง จึงจะเป็นการเหมาะสมกับผู้ศักดิ์สิทธิ์
(4) อย่าให้มีทั้งการพูดหยาบคาย พูดไร้สาระและตลกหยาบโลนซึ่งไม่เป็นการสมควร แต่ให้มีการขอบพระคุณ
(5) ท่านทั้งหลายจงรู้ไว้เถิดว่า คนผิดประเวณี คนลามกโสมม และคนโลภซึ่งเป็นเสมือนคนนับถือรูปเคารพ ไม่มีสิทธิรับมรดกในพระอาณาจักรของพระคริสตเจ้าและของพระเจ้าเลย
(6) อย่าให้ใครใช้คำพูดไร้สาระหลอกลวงท่าน ผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังและทำความผิดเหล่านี้สมควรจะได้รับโทษจากพระเจ้า
(7) จงอย่าสมาคมกับคนเหล่านี้เลย
(8) ในอดีตท่านเคยเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด
(9) ผลแห่งความสว่างคือความดี ความชอบธรรมและความจริงทุกประการ
(10) จงแสวงหาสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย
(11) จงอย่าเกี่ยวข้องกับกิจการแห่งความมืดซึ่งไร้ผล ตรงกันข้าม จงประณามกิจการเหล่านั้น
(12) เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่กระทำกันอย่างปิดบังซ่อนเร้นนั้น แม้เพียงพูดถึงก็น่าละอายแล้ว
(13) ทุกสิ่งที่ถูกประณามนั้นย่อมปรากฏชัดในความสว่าง
(14) และทุกสิ่งที่ปรากฏชัดนั้นคือความสว่าง จึงมีคำกล่าวไว้ว่า
ผู้หลับใหล จงตื่นเถิด
จงลุกขึ้นจากบรรดาผู้ตาย
และพระคริสตเจ้าจะทรงส่องสว่างเหนือท่าน
(15) จงคอยระวังว่าท่านดำเนินชีวิตอย่างไร จงดำเนินชีวิตอย่างผู้เฉลียวฉลาด มิใช่อย่างผู้ขาดสติปัญญา
(16) จงใช้เวลาปัจจุบันให้ดีที่สุดเพราะเราอยู่ในยุคแห่งความเลวร้าย
(17) อย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงพยายามเข้าใจว่าพระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใด
(18) อย่าเสพสุราจนเมามาย เพราะสุราเป็นสาเหตุของการปล่อยตัวเสเพล แต่จงยอมให้พระจิตเจ้าทรงนำชีวิตของท่าน
(19) จงร่วมใจกันขับร้องเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ จงขับร้องสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิตใจ
(20) จงขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาอยู่เสมอ สำหรับทุกสิ่ง เดชะพระนามของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
(21) จงยอมอยู่ใต้อำนาจของกันและกันด้วยความเคารพยำเกรงพระคริสตเจ้า
(22) ภรรยาจงยอมอยู่ใต้อำนาจของสามีเหมือนยอมอยู่ใต้อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(23) เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยาเหมือนพระคริสตเจ้าทรงเป็นพระเศียรของพระศาสนจักร พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยพระศาสนจักรซึ่งเป็นพระกายให้รอดพ้น
(24) พระศาสนจักรยอมอยู่ใต้อำนาจของพระคริสตเจ้าฉันใด ภรรยาก็ต้องยอมอยู่ใต้อำนาจของสามีทุกเรื่องฉันนั้น
(25) สามีก็จงรักภรรยาดังที่พระคริสตเจ้าทรงรักพระศาสนจักร และทรงพลีพระองค์เพื่อพระศาสนจักร
(26) ทรงบันดาลให้พระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ ทรงใช้น้ำและพระวาจาชำระพระศาสนจักรให้บริสุทธิ์
(27) พระองค์จะได้ทรงพบว่าพระศาสนจักรนั้นรุ่งโรจน์ ศักดิ์สิทธิ์ ปราศจากมลทิน ปราศจากตำหนิริ้วรอยหรือสิ่งใด ๆ ในลักษณะดังกล่าว
(28) เช่นเดียวกัน สามีต้องรักภรรยาเหมือนรักกายของตน ผู้ที่รักภรรยาก็รักตนเอง
(29) เพราะไม่มีใครเกลียดชังเนื้อหนังของตน แต่ย่อมเลี้ยงดูและทะนุถนอมอย่างดียิ่ง พระคริสตเจ้าทรงกระทำเช่นเดียวกันต่อพระศาสนจักร
(30) เพราะเราเป็นส่วนแห่งพระกายของพระองค์
(31) พระคัมภีร์กล่าวว่า เพราะเหตุนี้ ชายจะละบิดามารดาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน
(32) ธรรมล้ำลึกประการนี้ยิ่งใหญ่นัก ข้าพเจ้าหมายถึงพระคริสตเจ้ากับพระศาสนจักร
(33) ดังนั้น แต่ละท่านจงรักภรรยาของตนเหมือนรักตนเอง และภรรยาก็จงเคารพยำเกรงสามี
[Go Top]
(1) บุตรทั้งหลาย จงเชื่อฟังบิดามารดา ในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะการกระทำเช่นนี้ถูกต้อง
(2) พระบัญญัติที่ว่า จงให้เกียรติบิดามารดา เป็นพระบัญญัติแรกซึ่งมีพระสัญญาควบคู่อยู่ด้วยว่า
(3) แล้วท่านจะอยู่บนแผ่นดินอย่างเป็นสุข และมีอายุยืน
(4) บิดา อย่าย้ำสอนจนบุตรขุ่นเคือง แต่จงอบรมสั่งสอนและตักเตือนเขาตามหลักธรรมขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(5) ทาส จงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายในโลกนี้ด้วยความเคารพยำเกรงจากใจจริง ประหนึ่งเชื่อฟังองค์พระคริสตเจ้า
(6) อย่าทำดีรับใช้ต่อหน้าเหมือนจะให้มนุษย์พอใจเท่านั้น แต่จงเป็นเสมือนทาสรับใช้พระคริสตเจ้า กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าจากใจจริง
(7) จงรับใช้ด้วยความเต็มใจเหมือนกับรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า มิใช่รับใช้มนุษย์
(8) ท่านรู้อยู่แล้วว่าถ้าแต่ละคนทำดีไว้อย่างไร ก็จะได้รับค่าตอบแทนจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าเขาจะเป็นทาสหรือเป็นอิสระก็ตาม
(9) เจ้านาย จงปฏิบัติต่อทาสเช่นเดียวกัน จงละเว้นการข่มขู่ต่าง ๆ ท่านย่อมรู้อยู่ว่า พระองค์ผู้ทรงเป็นนายทั้งของท่านและของเขานั้นสถิตอยู่ในสวรรค์และไม่ทรงลำเอียง
(10) สุดท้ายนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้เข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงตักตวงพลังจากพระพลานุภาพของพระองค์
(11) จงสวมใส่อาวุธครบชุดของพระเจ้า เพื่อท่านจะยืนหยัดต่อต้านเล่ห์กลของปีศาจได้
(12) เพราะเรามิได้ต่อสู้กับพลังมนุษย์ แต่ต่อสู้กับเทพนิกรเจ้า และเทพนิกรอำนาจ ต่อสู้กับผู้ปกครองพิภพแห่งความมืดมนนี้ ต่อสู้กับบรรดาจิตแห่งความชั่วร้ายที่อยู่บนท้องฟ้า
(13) เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงสวมใส่อาวุธครบชุดของพระเจ้า เพื่อจะต้านทานทุกสิ่งได้ในวันเลวร้าย และยืนหยัดอยู่ได้จนถึงที่สุด
(14) จงยืนหยัดมั่นคง จงคาดสะเอวด้วยความจริง จงสวมความชอบธรรมเป็นเสื้อเกราะ
(15) จงสวมความกระตือรือร้นที่จะประกาศพระวรสารแห่งสันติเป็นรองเท้า
(16) จงถือความเชื่อเป็นโล่ไว้เสมอ เพื่อใช้ดับธนูไฟของมาร
(17) จงใช้ความรอดพ้นเป็นเกราะป้องกันศีรษะ จงถือดาบของพระจิตเจ้าคือพระวาจาของพระเจ้าไว้
(18) จงอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอ ขอพระจิตเจ้าทรงดลใจคำอธิษฐานวอนขอต่าง ๆ ทุกโอกาส จงตื่นเฝ้า อย่าท้อถอยที่จะวอนขอเพื่อบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและเพื่อข้าพเจ้าด้วย
(19) พระองค์จะได้ประทานถ้อยคำให้ข้าพเจ้ามีโอกาสเปิดปากพูด และประกาศธรรมล้ำลึกแห่งพระวรสารได้อย่างองอาจ
(20) ข้าพเจ้าเป็นทูตที่ถูกจองจำเพราะพระวรสารนี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความกล้าหาญที่จะพูดอย่างเหมาะสมด้วยเถิด
(21) ทีคิกัส ซึ่งเป็นน้องที่รักและเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะบอกท่านทั้งหลายให้รู้ด้วยว่าข้าพเจ้าเป็นอย่างไร กำลังทำอะไร
(22) ข้าพเจ้าส่งเขามาหาท่านก็เพื่อจุดประสงค์นี้คือ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ความเป็นอยู่ของเราและเพื่อให้กำลังใจแก่ท่าน
(23) ขอพระเจ้า พระบิดา และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ประทานสันติสุข ความรัก และความเชื่อแก่พี่น้องทั้งหลาย
(24) ขอพระหรรษทานจงดำรงอยู่กับบรรดาผู้ที่รักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราอย่างไม่เสื่อมคลายเทอญ [Go Top]