1ปต 1:3-5 บทนำ มรดกของคริสตชน
(3) ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์ทรงพระกรุณาอย่างยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงบันดาลให้เราบังเกิดใหม่และมีความหวังที่จะมีชีวิต อาศัยการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าจากบรรดาผู้ตาย
(4) เพื่อรับมรดกที่ไม่เสื่อมสลายไร้มลทิน ไม่มีวันร่วงโรยซึ่งเก็บรักษาไว้ในสวรรค์เพื่อท่าน
(5) พระเจ้าทรงปกป้องท่านไว้ด้วยพระอานุภาพให้มีความเชื่อ จนกว่าจะประทานความรอดพ้นซึ่งกำลังจะได้รับการเปิดเผยในวาระสุดท้าย
1ปต 1:6-9 ความซื่อสัตย์และความรักต่อพระคริสตเจ้า
(6) ดังนั้น ท่านจงชื่นชม แม้ว่าในเวลานี้ท่านยังต้องทนทุกข์จากการถูกทดสอบต่าง ๆ ชั่วขณะหนึ่ง
(7) เพื่อคุณค่าที่แท้จริงแห่งความเชื่อของท่านจะได้รับการสรรเสริญ รับสิริรุ่งโรจน์และรับเกียรติเมื่อพระเยซูคริสตเจ้าจะทรงแสดงพระองค์ ความเชื่อนี้ประเสริฐยิ่งกว่าทองคำที่เสื่อมสลายได้ แต่ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ
(8) ท่านมีความรักต่อพระเยซูคริสตเจ้าทั้ง ๆ ที่ยังมิได้เห็นพระองค์ แม้ว่าขณะนี้ท่านยังมิได้เห็นพระองค์ ท่านก็ยังเชื่อในพระองค์ ท่านจึงชื่นชมยินดีสุดที่จะพรรณนา
(9) เพราะท่านกำลังจะได้รับจุดมุ่งหมายของความเชื่อ คือความรอดพ้นของวิญญาณอยู่แล้ว
1ปต 1:10-12 ความหวังของบรรดาประกาศก
(10) ความรอดพ้นนี้คือความรอดพ้นที่บรรดาประกาศกค้นหาและวิเคราะห์ ประกาศกเหล่านี้ประกาศพระวาจากล่าวถึงพระหรรษทานที่ทรงเตรียมไว้สำหรับท่าน
(11) เขาเหล่านั้นวิเคราะห์เวลาและกรณีแวดล้อมของเหตุการณ์ที่พระจิตของพระคริสตเจ้า ตรัสไว้ล่วงหน้า พระจิตของพระคริสตเจ้าทรงเป็นพยานอยู่ในตัวเขา ทรงเปิดเผยให้รู้ถึงพระทรมานที่พระคริสตเจ้าจะต้องทรงรับ และรู้ถึงพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะตามมา
(12) พระเจ้าทรงเปิดเผยเรื่องเหล่านี้กับบรรดาประกาศก มิใช่สำหรับประกาศกเหล่านั้น แต่สำหรับท่านทั้งหลาย บัดนี้ ผู้ประกาศข่าวดีแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ท่านรู้เดชะพระจิตเจ้าผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาจากสวรรค์ เรื่องเหล่านี้แม้แต่ทูตสวรรค์ก็ปรารถนาที่จะได้เห็นเช่นเดียวกัน
1ปต 1:13-21 ชีวิตใหม่จากศีลล้างบาปเรียกร้องคริสตชนให้บำเพ็ญความศักดิ์สิทธิ์
(13) ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงเตรียมจิตใจไว้ให้พร้อมที่จะปฏิบัติงาน จงบังคับตนเอง ตั้งความหวังทั้งหมดไว้ในพระหรรษทานซึ่งพระเจ้าจะทรงนำมาประทานให้เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าทรงสำแดงพระองค์
(14) จงประพฤติตนดังบุตรที่เชื่อฟัง อย่าประพฤติตามกิเลสตัณหาดังแต่ก่อนเมื่อท่านยังขาดความรู้
(15) แต่จงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ในความประพฤติทุกประการตามแบบฉบับขององค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้ทรงเรียกท่าน
(16) เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์
(17) ถ้าท่านเรียกพระองค์ผู้ทรงพิพากษาตามการกระทำของแต่ละคนโดยไม่ลำเอียงว่า พระบิดา ก็จงดำเนินชีวิตขณะที่อยู่ต่างแดนนี้ด้วยความเคารพยำเกรงพระองค์
(18) เพราะท่านรู้ว่าท่านได้รับการไถ่กู้หลุดพ้นจากวิถีชีวิตไร้ค่าที่สืบมาจากบรรพบุรุษ มิใช่ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้เช่นเงินหรือทอง
(19) แต่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสตเจ้า ดังเลือดของลูกแกะไร้มลทินหรือจุดด่างพร้อย
(20) พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ก่อนสร้างโลก และทรงเปิดเผยพระคริสตเจ้าเพื่อท่านทั้งหลายในวาระสุดท้าย
(21) เดชะพระคริสตเจ้านี้ ท่านมีความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงบันดาลให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย และประทานพระสิริรุ่งโรจน์เพื่อให้ความเชื่อและความหวังของท่านดำรงอยู่ในพระเจ้า
1ปต 1:22-25 การบังเกิดใหม่ด้วยพระวาจา
(22) เมื่อท่านทั้งหลายนอบน้อมเชื่อฟังความจริง ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์จนรักกันฉันพี่น้องแล้ว ก็จงรักกันจากใจจริงยิ่ง ๆ ขึ้นเถิด
(23) เพราะท่านบังเกิดใหม่แล้วมิใช่จากเมล็ดพันธุ์ที่เสื่อมสลายได้ แต่จากเชื้อเมล็ดที่มิรู้เสื่อมสลาย คือจากพระวาจาที่ทรงชีวิตและคงอยู่ตลอดไปของพระเจ้า
(24) เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า มนุษย์ทั้งมวลเป็นเหมือนต้นหญ้า และความรุ่งเรืองทั้งมวลของเขาก็เป็นเหมือนดอกหญ้า ต้นหญ้าเหี่ยวแห้ง ดอกก็ร่วงโรยไปด้วย
(25) แต่พระวาจาของพระเจ้าดำรงอยู่ตลอดนิรันดร พระวาจานี้คือข่าวดีที่ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้แล้ว [Go Top]
1 ปต 2:1-3
(1) ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงละทิ้งความชั่วทั้งมวล คือ การหลอกลวง ความเจ้าเล่ห์ การอิจฉา การนินทาและการใส่ความ
(2) เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด ท่านปรารถนาน้ำนมบริสุทธิ์ฝ่ายจิตใจ เพื่อน้ำนมจะช่วยให้ท่านเจริญเติบโตขึ้นไปรับความรอดพ้น
(3) ถ้าท่านลิ้มรสแล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงความดีเพียงใด
1ปต 2:4-10 สมณภาพใหม่
(4) จงเข้าไปเฝ้าพระองค์ผู้ทรงเป็นศิลาทรงชีวิตซึ่งมนุษย์ละทิ้งไป แต่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้และมีค่าประเสริฐ
(5) ท่านเป็นเหมือนศิลาที่มีชีวิตกำลังก่อสร้างขึ้นเป็นวิหารของพระจิตเจ้า เป็นสมณตระกูลศักดิ์สิทธิ์ เพื่อถวายเครื่องบูชาฝ่ายจิตซึ่งเป็นที่สบพระทัยของพระเจ้าเดชะพระเยซูคริสตเจ้า
(6) ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราเลือกศิลาประเสริฐและวางไว้ในนครศิโยนเป็นศิลาหัวมุม ทุกคนที่มีความเชื่อในศิลานี้จะไม่ต้องอับอายเลย
(7) สำหรับท่านผู้มีความเชื่อ ศิลานี้จึงมีค่าประเสริฐ แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีความเชื่อ ศิลาที่ช่างก่อสร้างละทิ้งก็กลายเป็นศิลาหัวมุม
(8) เป็นศิลาที่ทำให้สะดุดและเป็นศิลาที่ทำให้ล้มลง เขาเหล่านั้นสะดุดเพราะไม่ยอมเชื่อฟังพระวาจา นี่เป็นชะตากรรมของพวกเขา
(9) ท่านทั้งหลาย เป็นชาติที่ทรงเลือกสรรไว้ เป็นสมณราชตระกูล เป็นชนชาติศักดิ์สิทธิ์ เป็นประชากรที่เป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของพระเจ้า เพื่อจะประกาศพระฤทธา นุภาพของพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านจากความมืดสู่ความสว่างที่น่าพิศวงของพระองค์
(10) ในอดีตท่านมิได้เป็นประชากร แต่บัดนี้ท่านเป็นประชากรของพระเจ้าแล้ว ในอดีตท่านมิได้รับพระเมตตา แต่บัดนี้ท่านได้รับพระเมตตาแล้ว
1ปต 2:11-12 หน้าที่ของคริสตชนต่อผู้ไม่มีความเชื่อ
(11) ท่านที่รักยิ่งทั้งหลาย ข้าพเจ้าวอนขอท่านผู้เป็นเสมือนคนต่างด้าวและคนพลัดถิ่น ให้ละเว้นจากกิเลสตัณหาของเนื้อหนังซึ่งทำสงครามสู้รบกับวิญญาณ
(12) จงมีความประพฤติดีงามในหมู่คนต่างศาสนา แม้เขาจะใส่ร้ายท่านว่าประพฤติชั่วร้าย เขาจะต้องยอมรับว่ากิจการที่ท่านทำนั้นเป็นกิจการดี และจะสรรเสริญพระเจ้าในวันที่พระองค์เสด็จมา
1ปต 2:13-17 หน้าที่ของคริสตชนต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
(13) เพราะความรักต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จงอ่อนน้อมเชื่อฟังมนุษย์ทุกคนที่มีอำนาจปกครอง ทั้งพระจักรพรรดิซึ่งมีอำนาจสูงสุด
(14) และผู้ว่าราชการซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ลงโทษผู้กระทำความชั่วและยกย่องผู้กระทำความดี
(15) พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ท่านทำความดี ปิดปากคนโง่เขลามิให้พูดไร้สาระ
(16) จงประพฤติตนดุจคนอิสระ อย่าใช้อิสรภาพเป็นข้ออ้างเพื่อปิดบังความชั่ว แต่จงประพฤติดุจผู้รับใช้ของพระเจ้า
(17) จงให้เกียรติทุกคน จงรักพี่น้องผู้มีความเชื่อ จงเคารพยำเกรงพระเจ้า จงถวายพระเกียรติแด่พระจักรพรรดิ
1ปต 2:18-25 หน้าที่ของคริสตชนต่อผู้เป็นนาย
(18) ผู้รับใช้ จงอยู่ใต้อำนาจผู้เป็นนายด้วยความเคารพยำเกรง ไม่เพียงแต่นายที่ใจดีและอ่อนโยนเท่านั้น แต่รวมถึงนายที่ใจร้ายด้วย
(19) การที่ใครคนหนึ่งยอมทนทุกข์ทรมานอย่างอยุติธรรมเพราะคำนึงถึงพระเจ้า ก็เป็นพระหรรษทาน
(20) จะเป็นเกียรติได้อย่างไรถ้าท่านทำผิดแล้วต้องทนทุกข์เพราะถูกลงโทษ แต่ถ้าท่านทำความดี แล้วยอมทนทุกข์ จึงจะเป็นพระหรรษทานของพระเจ้า
(21) พระเจ้าทรงเรียกท่านให้ปฏิบัติดังนี้ พระคริสตเจ้าทรงรับทรมานเพื่อท่าน และประทานแบบฉบับไว้ให้ท่านดำเนินตามรอยพระบาท
(22) พระองค์มิได้ทรงกระทำบาป มิได้ตรัสหลอกลวงผู้ใด
(23) เมื่อเขาดูหมิ่นพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงโต้ตอบ เมื่อทรงรับทรมาน พระองค์มิได้ทรงข่มขู่จะแก้แค้น แต่ทรงมอบพระองค์ไว้แด่พระผู้ทรงพิพากษาด้วยความเที่ยงธรรม
(24) พระองค์ทรงแบกบาปของเราไว้ในพระวรกายบนไม้กางเขน เพื่อเราจะได้ตายจากบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม รอยแผลของพระองค์รักษาท่านให้หาย
(25) ท่านเคยเป็นเหมือนแกะที่พลัดหลงจากฝูง แต่บัดนี้กลับมาหาผู้เลี้ยงและผู้ดูแลวิญญาณของท่านแล้ว
[Go Top]
1ปต 3:1-7 หน้าที่ของคริสตชนในชีวิตสมรส
1ปต 3:8-12 จงรักพี่น้อง
1ปต 3:13-17 คริสตชนต้องวางตนอย่างไรเมื่อถูกเบียดเบียน
1ปต 3:18-22 การเสด็จสู่แดนผู้ตายและการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า
1ปต 4:1-6 ชีวิตที่ตัดขาดจากบาป
1ปต 4:7-11 พระคริสตเจ้าจะเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ในไม่ช้า
1ปต 4:12-19 การรับทรมานเพื่อพระคริสตเจ้า
1ปต 5:1-4 คำแนะนำสำหรับผู้อาวุโส
1ปต 5:5-11 คำแนะนำสำหรับคริสตชน
1ปต 5:12-14 คำส่งท้าย คำทักทาย
(1) ภรรยาจงอยู่ใต้อำนาจสามี ถ้าสามีบางคนยังไม่มีความเชื่อในพระวาจา ความประพฤติของภรรยาจะชนะใจสามีได้โดยไม่ต้องพูด
(2) สามีเพียงแต่เห็นการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์และน่าเคารพของภรรยาเท่านั้น
(3) ท่านอย่าประดับตนเพียงภายนอก เช่นตกแต่งผมอย่างประณีต สวมสร้อยทองหรือเสื้อผ้าหรูหรา
(4) แต่จงประดับตนในส่วนลึกของจิตใจให้งดงามอย่างถาวรโดยมีใจอ่อนโยนและสงบเสงี่ยม ความงามเช่นนี้มีค่ายิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
(5) ในอดีตบรรดาสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้มีความหวังในพระเจ้าประดับตนเช่นนี้ เธอเหล่านั้นยอมอยู่ใต้อำนาจสามี
(6) เช่นนางซาราห์เชื่อฟังอับราฮัมและเรียกเขาเป็นนาย ถ้าท่านทำความดีและไม่กลัวความยากลำบากใด ๆ ท่านก็เป็นบุตรหญิงของนางซาราห์ด้วย
(7) เช่นเดียวกัน สามีต้องร่วมชีวิตกับภรรยาโดยคำนึงว่าสตรีเป็นเพศที่อ่อนแอ กว่า จงให้เกียรติภรรยาในฐานะที่เธอร่วมเป็นทายาท รับชีวิตเป็นของประทานจากพระเจ้า ดังนี้ จะไม่มีอุปสรรคใดขัดขวางมิให้ท่านร่วมกันอธิษฐานภาวนา
(8) สุดท้ายนี้ ท่านทั้งหลายจงมีความคิดเห็นพ้องต้องกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน รักกันฉันพี่น้อง เห็นใจกันและรู้จักถ่อมตน
(9) อย่าตอบโต้ความชั่วด้วยความชั่ว อย่าด่าตอบผู้ที่ด่าท่าน แต่ตรงกันข้าม จงอวยพรเขา เพราะพระเจ้าทรงเรียกท่านมาก็เพื่อให้รับพระพร
(10) ดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า
ผู้ใดรักชีวิต
และปรารถนาจะมีความสุขถาวร
จงบังคับลิ้น ไม่พูดคำเลวร้าย
จงบังคับริมฝีปาก ไม่พูดคำหลอกลวง
(11) จงหลีกหนีความชั่วและจงกระทำความดี
จงแสวงหาสันติและยึดไว้ให้ได้
(12) เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรผู้ชอบธรรม
ทรงเอียงพระกรรณสดับเสียงร้องของเขา
แต่พระพักตร์ของพระองค์มึนตึงต่อผู้ที่กระทำความชั่ว
(13) ใครจะทำร้ายท่านได้ถ้าท่านมุ่งมั่นในความดี
(14) ถ้าท่านจะต้องทนทุกข์ทั้ง ๆ ที่ทำความดีแล้ว ก็จงเป็นสุขเถิด อย่ากลัวเขา อย่าวุ่นวายใจเลย
(15) แต่จงนมัสการ องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระคริสตเจ้าในจิตใจของท่าน จงพร้อมเสมอที่จะให้คำอธิบายแก่ทุกคนที่ต้องการรู้เหตุผลแห่งความหวังของท่าน
(16) จงอธิบายด้วยความอ่อนโยนและด้วยความเคารพอย่างบริสุทธิ์ใจ เพื่อเมื่อท่านถูกใส่ร้าย ผู้ที่กล่าวร้ายความประพฤติดีของท่านตามคำสอนของพระคริสตเจ้า ก็จะต้องประสบความอับอาย หากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า การทนทุกข์เพราะทำความดีนั้น
(17) ย่อมดีกว่าการทนทุกข์เพราะทำความชั่ว
(18) พระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียวเพราะบาป พระองค์ผู้ทรงชอบธรรมสิ้นพระชนม์เพื่อคนอธรรม พระองค์จะทรงนำเราไปเฝ้าพระเจ้า พระองค์ทรงถูกประหารในสภาพมนุษย์ แต่พระจิตเจ้าประทานชีวิตให้พระองค์อีก
(19) พระจิตเจ้ายังทรงนำพระองค์ไปประกาศความรอดพ้นแก่จิตที่ถูกจองจำ
(20) ในกาลก่อน จิตเหล่านี้ไม่ยอมเชื่อฟังเมื่อพระเจ้าทรงอดทนรอคอย ขณะที่โนอาห์กำลังต่อเรือ ซึ่งช่วยชีวิตคนจำนวนน้อย นั่นคือเพียงแปดชีวิตให้รอดพ้นจากน้ำวินาศ
(21) น้ำนั้นเป็นรูปแบบของศีลล้างบาปที่ช่วยท่านให้รอดพ้นในเวลานี้ มิใช่เป็นการชำระล้างมลทินทางร่างกาย แต่เป็นการวอนขอต่อพระเจ้าด้วยมโนธรรมบริสุทธิ์เดชะการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า
(22) ผู้เสด็จสู่สวรรค์และประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าโดยมีทูตสวรรค์ทั้งศักดิเทพและอิทธิเทพทั้งหลายอยู่ใต้พระอำนาจของพระองค์
[Go Top]
(1) เนื่องจากพระคริสตเจ้าทรงรับทรมานในพระวรกายมาแล้ว ท่านทั้งหลายจึงต้องมีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับพระองค์เป็นประดุจอาวุธ ผู้ที่รับทรมานในร่างกายแล้วก็ตัดขาดจากบาป
(2) เขาจึงไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหาตามธรรมชาติมนุษย์อีกต่อไป แต่ดำเนินชีวิตที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้เพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า
(3) ในอดีตท่านใช้เวลานานพอแล้วในการกระทำสิ่งที่คนต่างศาสนาชอบปฏิบัติ คือ ความลามกโสมม ปล่อยตัวตามราคตัณหา ดื่มสุราเมามาย ร่วมกลุ่มเสพเมถุน ร่วมงานเลี้ยงกินดื่มเกินขนาด นับถือรูปเคารพอย่างน่าละอาย
(4) แต่บัดนี้ คนต่างศาสนาเหล่านั้นประหลาดใจที่ท่านไม่ร่วมดำเนินชีวิตตามกระแสแห่งความพินาศกับพวกเขาอีกต่อไป เขาเหล่านั้นจึงกล่าวร้ายท่าน
(5) เขาจะรายงานต่อผู้ที่จะต้องพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย
(6) เพราะเหตุนี้ข่าวดีจึงได้รับการประกาศแก่บรรดาผู้ตายด้วย เพื่อผู้ตายเหล่านั้นที่ได้รับโทษทางกายตามธรรมชาติมนุษย์จะได้ดำเนินชีวิตตามวิถีของพระเจ้า เดชะพระจิตเจ้า
(7) ทุกสิ่งใกล้อวสานแล้ว ดังนั้น จงมีความสุขุมรอบคอบ รู้จักประมาณตนเพื่ออธิษฐานภาวนา
(8) ที่สำคัญที่สุด จงมีความรักกันอย่างมั่นคง เพราะความรักลบล้างบาปได้มากมาย
(9) จงต้อนรับกันโดยไม่ปริปากบ่น
(10) แต่ละคนจงใช้พระพรที่ได้รับมาเพื่อรับใช้กัน ประดุจผู้จัดการที่ดีเพื่อแจกจ่ายพระหรรษทานหลากหลายของพระเจ้า
(11) ถ้าจะกล่าววาจาใด ก็จงกล่าวดุจกล่าวพระวาจาของพระเจ้า ผู้ใดมีหน้าที่รับใช้ ก็จงรับใช้ตามกำลังที่พระเจ้าประทานให้ เพื่อพระเจ้าจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในทุกสิ่งเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์และพระอานุภาพตลอดนิรันดร อาเมน
(12) ท่านที่รักยิ่ง อย่าประหลาดใจต่อการเบียดเบียนซึ่งเกิดขึ้นเป็นการทดสอบท่านทั้งหลาย ประหนึ่งว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเหตุการณ์ประหลาด
(13) แต่จงชื่นชมในการที่ท่านมีส่วนร่วมรับทรมานกับพระคริสตเจ้า เพื่อท่านจะได้มีความชื่นชมและปลื้มปิติยิ่งขึ้นเมื่อพระองค์ทรงสำแดงพระสิริรุ่งโรจน์
(14) ถ้าท่านถูกด่าว่าเพราะพระนามของพระคริสตเจ้าท่านย่อมเป็นสุข เพราะพระจิตผู้ทรงสิริรุ่งโรจน์ พระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน
(15) อย่าให้ท่านใดต้องรับทรมานเพราะเป็นฆาตกร เป็นขโมย เป็นอาชญากรหรือเป็นผู้ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
(16) แต่ถ้าผู้ใดรับทรมานเพราะเป็นคริสตชน ก็จงอย่าอับอาย แต่จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเพราะชื่อนี้
(17) ถึงเวลาแล้วที่การพิพากษาจะเริ่มต้นจากบ้านของพระเจ้า และถ้าการพิพากษาเริ่มจากเรา ผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังข่าวดีจากพระเจ้าจะมีจุดจบอย่างไร
(18) ถ้าผู้ชอบธรรมเกือบจะไม่รอดพ้นแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่ไม่นับถือพระเจ้าและคนบาปเล่า
(19) ดังนั้น ผู้ที่รับทรมานเพราะปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า จงทำความดีต่อไปและจงมอบชีวิตของตนไว้ในพระหัตถ์ของพระผู้สร้างผู้ทรงความซื่อสัตย์
[Go Top]
(1) โดยเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง เป็นพยาน ถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้า และมีส่วนจะรับพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะปรากฏในอนาคตด้วย ข้าพเจ้าขอร้องบรรดาผู้อาวุโสในกลุ่มของท่านทั้งหลาย
(2) จงเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของท่าน จงดูแลด้วยความเต็มใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า มิใช่ดูแลด้วยจำใจ จงดูแลด้วยความสมัครใจ มิใช่ดูแลเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง
(3) จงเป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะ มิใช่เป็นเหมือนเจ้านายเหนือผู้ที่อยู่ใต้ปกครอง
(4) เมื่อพระคริสตเจ้าพระผู้เลี้ยงสูงสุด จะทรงแสดงพระองค์ ท่านจะได้รับสิริรุ่งโรจน์เป็นมงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย
(5) คนหนุ่มทุกคน จงอยู่ใต้อำนาจบรรดาผู้อาวุโส จงมีความถ่อมตนต่อกันเถิดเพราะพระเจ้าทรงต่อต้านคนเย่อหยิ่งจองหอง แต่ประทานพระหรรษทานแก่ผู้ถ่อมตน
(6) ดังนั้น จงถ่อมตนลงอยู่ใต้พระหัตถ์ทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อพระองค์จะได้ทรงยกย่องท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร
(7) จงละความกระวนกระวายทั้งมวลของท่านไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน
(8) จงมีสติสัมปชัญญะและตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะศัตรูของท่านคือมาร กำลังดักวนเวียนอยู่รอบ ๆ ดุจสิงห์โตคำราม เสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้
(9) จงต่อสู้มันด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ จงรู้ว่าบรรดาพี่น้องผู้มีความเชื่อทั่วโลกก็ประสบความทุกข์ลำบากเช่นเดียวกัน
(10) และเมื่อท่านได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ประทานพระหรรษทานทุกประการ ผู้ทรงเรียกท่านให้มารับพระสิริรุ่งโรจน์นิรันดรในพระคริสตเจ้า จะทรงฟื้นฟูท่านให้มั่นคง มีกำลังเข้มแข็ง และจะทรงพยุงท่านไว้
(11) ขอพระอานุภาพ จงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดร อาเมน
(12) ข้าพเจ้าเขียนจดหมายสั้น ๆ ฉบับนี้ ด้วยความช่วยเหลือของสิลวานัสซึ่งข้าพเจ้านับถือว่าเป็นพี่น้องที่ซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าเตือนสติท่านและยืนยันว่านี่เป็นพระหรรษทานแท้จริงของพระเจ้า จงยืนหยัดมั่นคงในพระหรรษทานนี้เถิด
(13) พระศาสนจักรที่กรุงบาบิโลนซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรไว้เช่นเดียวกับที่ได้ทรงเลือกสรรท่าน ขอฝากความคิดถึงท่าน มาระโกบุตรของข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงท่านด้วย
(14) จงทักทายกันด้วยการจุมพิตแสดงความรัก ขอสันติสุขจงอยู่กับท่านทั้งหลายซึ่งดำรงอยู่ในพระคริสตเจ้าเถิด [Go Top]