ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับพระวรสารของนักบุญยอห์น

      ตอนจบของพระวรสารฉบับที่สี่ก่อนภาคผนวก (20:31) บอกเจตนาของข้อเขียนชิ้นนี้ได้เป็นอย่างดี ข้อเขียนนี้เป็น "พระวรสาร" หรือ "ข่าวดี" เช่นเดียวกับที่การประกาศสอนของพระศาสนจักรในสมัยแรก เป็น "ข่าวดี"
      กล่าวคือ เป็นการประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเมสสิยาห์และพระบุตรของพระเจ้า การเทศน์สอนนี้มีพื้นฐานอยู่บน "เครื่องหมายอัศจรรย์" ซึ่งพระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำ และมีจุดประสงค์ให้ผู้อ่านมีความเชื่อในพระเมสสิยาห์ และดังนี้จะได้มีชีวิต

      เพราะเหตุนี้ แม้ว่าหลักฐานต่างๆชี้ให้เห็นว่าพระวรสารฉบับนี้เขียนในช่วงหลัง แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์กับการเทศน์สอนของพระศาสนจักรในสมัยแรก (kerygma) และยังรักษาทั้งโครงสร้างและสาระสำคัญของการเทศน์สอนนี้ไว้ กล่าวคือ พระจิตเจ้าเสด็จลงมาตามคำยืนยันของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง เพื่อเผยให้ทราบว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (1:31-34) พระคริสตเจ้าทรงสำแดง "พระสิริรุ่งโรจน์"ในกิจการและพระวาจาของพระองค์ (1:35-12:50) มีการกล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ การกลับคืนพระชนมชีพและการสำแดงพระองค์หลังการกลับคืนพระชนมชีพ (13:1-20:20) พระคริสตเจ้าทรงส่งบรรดาอัครสาวกออกไปหลังจากได้รับพระคุณของพระจิตเจ้าและอำนาจที่จะอภัยบาปแล้ว (20:21-29) นอกจากนั้น หนังสือเล่มนี้ยังอ้างว่าผู้เป็นพยานถึงเรื่องราวที่มีเขียนไว้เป็นผู้หนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติของการเป็นอัครสาวกทุกประการ (ดู กจ 1:8 เชิงอรรถ k) กล่าวคือ เป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์ที่มีเขียนไว้ในหนังสือ (แม้จะไม่มีการกล่าวชื่อ) เป็น "ศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรัก" ผู้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อทรงรับทรมาน (ดู ยน 13:23; 19:26,35 เทียบกับ 18:15ฯ) ได้เห็นพระคูหาว่างเปล่า (20:2ฯ) และเห็นพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ (21:7,20-24) พยานผู้นี้อาจเป็นศิษย์หนึ่งในสองคนแรกของพระเยซูเจ้าอีกด้วย (1:35ฯ)

      ลักษณะพิเศษบางประการของพระวรสารฉบับที่สี่ทำให้หนังสือฉบับนี้แตกต่างจากพระวรสารสหทรรศน์อย่างชัดเจน ประการแรก พระวรสารฉบับที่สี่สนใจที่จะอธิบายความหมายของเหตุการณ์ในพระชนมชีพของพระคริสตเจ้ามากกว่าพระวรสารสหทรรศน์ เหตุการณ์ในพระชนมชีพของพระคริสตเจ้านี้คือ กิจการที่ทรงกระทำและพระวาจาที่ตรัสสอน กิจการที่พระคริสตเจ้าทรงกระทำเป็น "เครื่องหมาย" นั่นคือผู้ที่เห็นกิจการนั้นยังไม่เข้าใจความหมายของมันชัดเจน แต่จะเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อพระองค์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์แล้ว (2:22; 12:16; 13:17) พระวาจาที่พระองค์ได้ตรัสไว้มีความหมายลึกซึ้งที่ผู้ฟังยังไม่เข้าใจทันที (ดู 2:20 เชิงอรรถ g) และเป็นภารกิจของพระจิตเจ้าผู้ตรัสในพระนามของพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพที่จะมาช่วยบรรดาศิษย์ให้จดจำและเข้าใจพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสได้ และ "นำ" เขาไปยังความจริงทั้งหมด (ดู 14:26 เชิงอรรถ r) พระวรสารตามคำเล่าของนักบุญยอห์นเป็นการมองย้อนกลับไปยังพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าในโลกโดยใช้ความรู้ความเข้าใจที่สมบูรณ์ ซึ่งได้รับในภายหลังมาช่วยอธิบายความหมายให้ชัดเจน

      ลักษณะประการที่สอง ผู้เขียนดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลค่อนข้างมากจากกระแสความคิดของลัทธิยิวบางกลุ่ม เช่น ความคิดที่สะท้อนให้เห็นในเอกสารของพวกเอสเซนซึ่งค้นพบได้ที่ถ้ำกุมราน ตามความคิดของสำนักดังกล่าว มีการเน้นความสำคัญของ "ความรู้" จนทำให้ศัพท์ที่ใช้มีความหมายใกล้เคียงกับแนวความคิดของพวกญอสติกในเวลาต่อมา เช่นวิธีเขียนโดยใช้คู่คำที่มีความหมายตรงกันข้าม "แสงสว่าง/ความมืด" "ความจริง/ความเท็จ" "ทูตแห่งความสว่าง/ทูตแห่งความมืด" (เบลีอาร์) ซึ่งเป็นความคิดแบบทวินิยมทั้งสิ้น ชุมชนกุมรานรอคอยการเสด็จมาของพระเจ้าซึ่งคิดกันว่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้า- จึงได้เน้นเป็นพิเศษถึงความจำเป็นต้องมีเอกภาพและความรักต่อกันและกัน ความคิดเหล่านี้ทั้งหมดซึ่งปรากฏหลายครั้งในพระวรสารฉบับที่สี่เป็นลักษณะของสภาพชีวิตคริสตชนที่เป็นชาวยิว ทำให้สันนิษฐานว่า พระวรสารฉบับนี้ถือกำเนิดมาจากกลุ่มคริสตชนที่เคยเป็นยิวนี้เอง

      ยิ่งกว่านั้น พระวรสารฉบับนี้ยังสนใจเรื่องพิธีกรรมและศีลศักดิ์สิทธิ์มากกว่าพระวรสารสหทรรศน์ ยน เล่าเรื่องพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าให้สัมพันธ์กับปีพิธีกรรมของชาวยิว และเล่าเรื่องอัศจรรย์ที่ทรงกระทำให้สัมพันธ์กับวันฉลองสำคัญทางศาสนา ยน ยังเล่าอีกว่าพระเยซูเจ้าทรงกระทำอัศจรรย์หรือกล่าวปราศรัยในบริเวณพระวิหารบ่อยๆ พระองค์ทรงยืนยันว่า ทรงเป็นศูนย์กลางของศาสนาที่ได้รับการฟื้นฟู "เดชะพระจิตเจ้าและตามความจริง" (4:24) แต่ยังเป็นศาสนาซึ่งมีศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องหมายที่แสดงความเป็นจริงให้ปรากฏ บทสนทนากับนิโคเดมัสรวมสาระสำคัญของคำสอนเรื่องศีลล้างบาปอยู่ทั้งหมด (3:1-21) การเล่าเรื่องชายตาบอดแต่กำเนิดและเรื่องคนง่อยดูเหมือนจะเสนอคำสอนเกี่ยวกับศีลล้างบาป ในแง่ที่บันดาลแสงสว่าง (9:1-39) และชีวิตใหม่ (5:1-14; 5:21-24)ให้มนุษย์ บทที่ 6 รวบรวมคำสอนเรื่องศีลมหาสนิทไว้อย่างครบครัน แต่พระวรสารฉบับที่สี่ในภาพรวมเสนอความคิดว่าปัสกาของพระคริสตเจ้าเข้ามาแทนที่ปัสกาของชาวยิว (1:29,36; 2:13; 6:4; 19:36 เชิงอรรถ u) พิธีชำระตัวของชาวยิว (2:6; 3:25) เป็นเพียงการเตรียมรับการชำระจิตใจโดยพระวจนาตถ์ (15:3) และพระจิตเจ้า (20:22ฯ) ดังนั้น พระชนมชีพของพระคริสตเจ้าจึงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับชีวิตคริสตชนด้านพิธีกรรมและศีลศักดิ์สิทธิ์ พระวรสารฉบับที่สี่เป็นงานเขียนที่ซับซ้อน มีความสัมพันธ์กับการประกาศสอนและภารกิจของพระคริสตเจ้าสำหรับยอห์น พระองค์ทรงเป็นพระวจนาตถ์ของพระเจ้า ผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ผู้เสด็จมาประทานชีวิต (1:14) ธรรมล้ำลึกที่พระวจนาตถ์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นี้ครอบคลุมความคิดของยอห์นทั้งหมด ยน แสดงความคิดทางเทววิทยาเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมว่า พระเยซูเจ้าทรงถูกส่งมา พระเยซูเจ้าทรงเป็นพยานยืนยัน พระคริสตเจ้าคือข่าวสารจากพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระวจนาตถ์ซึ่งพระเจ้าทรงส่งมาในโลก และจะต้องกลับไปหาพระเจ้าเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ (ดู 1:1 เชิงอรรถ a) ภารกิจของพระวจนาตถ์คือการประกาศความลี้ลับของพระเจ้า และการเป็นพยานถึงทุกสิ่งที่ทรงได้เห็นหรือได้ยินจากพระบิดา (ดู 3:11 เชิงอรรถ e) พระเจ้าประทานงานหรือ "เครื่องหมายอัศจรรย์" บางประการให้พระวจนาตถ์ทรงกระทำเพื่อเป็นประกันรับรองว่าพระวจนาตถ์ทรงมาจากพระเจ้าจริง งานและเครื่องหมายอัศจรรย์นี้เรียกร้องอำนาจเหนือมนุษย์เพื่อจะทำได้และพิสูจน์ว่าพระเจ้าผู้ทรงส่งพระวจนาตถ์มาทรงกระทำกิจการเหล่านี้ในพระองค์ (ดู 2:11 เชิงอรรถ f) โดยทางเครื่องหมายเหล่านี้ มนุษย์สามารถเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ได้อย่างลางๆ แต่พระสิริรุ่งโรจน์นี้จะปรากฏแจ้งในวันที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพ (ดู 1:14 เชิงอรรถ n) เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะ "ถูกยกขึ้น" ดังที่ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวล่วงหน้าไว้ (อสย 53:12 ตาม LXX) เพื่อกลับไปหาพระบิดาโดยทางไม้กางเขน (ดู ยน 12:32 เชิงอรรถ j) และเพื่อได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงมีร่วมกับพระเจ้า "มาตั้งแต่ก่อนสร้างโลกขึ้นมา" (17:5 เชิงอรรถ f,24) นี่คือพระสิริรุ่งโรจน์ที่บรรดาประกาศกได้ล่วงรู้โดยที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้ทราบ (ดู 5:27; 12:41; 19:37) การเปิดเผยพระสิริรุ่งโรจน์นี้เป็นการที่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ ซึ่งเป็นการเปิดเผยสุดท้ายและสมบูรณ์ที่สุดที่รวบรวมการเปิดเผยก่อนหน้านั้นทั้งหมด คือการเปิดเผยพระองค์ในการเนรมิตสร้าง (1:1) การเปิดเผยพระองค์แก่โมเสส (1:17) แก่ยาโคบ (1:51) แก่อับราฮัม (8:56) และแก่บรรดาประกาศก พระสิริรุ่งโรจน์ใน "วันของพระยาห์เวห์" (ดู อมส 5:18 เชิงอรรถ m) เป็นสิ่งเดียวกันกับ "วัน" ของพระเยซูเจ้า (ยน 8:56) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ "เวลา" ของพระองค์ (2:4 เชิงอรรถ e) ซึ่งเป็นเวลาของการ "ถูกยกขึ้น" และการได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ เมื่อถึงเวลานั้น พระคริสตเจ้าจะทรงสำแดงพระมหิทธานุภาพของพระองค์ในฐานะที่พระเจ้าทรงส่งพระองค์มา (8:24 เชิงอรรถ g) เป็นพระมหิทธานุภาพของผู้เสด็จมาในโลกเพื่อประหารชีวิต (3:35 เชิงอรรถ e) พระบุตรได้ทรงถูก "ส่งมา" เพื่อ "ความรอดพ้นนี้"เท่านั้น ดังนั้น การที่พระบิดาทรงส่งพระองค์มาจึงเป็นการแสดงอย่างชัดเจนว่า พระบิดาทรงรักมนุษย์โลกอย่างยิ่ง (17:6 เชิงอรรถ g)

      พระวรสารสหทรรศน์มักจะกล่าวถึงการเปิดเผยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้า ร่วมกับการเสด็จมาของพระองค์ในวันสิ้นพิภพ (มธ 16:27ฯ) พระวรสารฉบับที่สี่รวบรวมองค์ประกอบพื้นฐานของคำสอนเรื่องอวสานกาลไว้ทั้งหมด ได้แก่การรอคอย "วันสุดท้าย" (ยน 6:39ฯ; 11:24; 12:48) "การเสด็จมาของพระเยซูเจ้า" (14:3; 21:22ฯ) การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย (5:28ฯ; 11:24) การพิพากษาประมวลพร้อม (3:36; 5:29) แต่ ยน เน้นลักษณะของอวสานกาลสองประการเป็นพิเศษ คือ (1) อวสานกาลเริ่มแล้วเวลานี้และที่นี่ (2) อวสานกาลไม่เป็นเพียงเหตุการณ์ภายนอก แต่เป็นประสบการณ์ "ภายใน" ด้วย ดังนี้ "การเสด็จมา" ของบุตรแห่งมนุษย์จึงไม่ใช่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันสุดท้าย แต่ในอันดับแรกหมายถึง "การเสด็จมา" ของพระเยซูเจ้าสู่โลกนี้ เมื่อพระวจนาตถ์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ การที่พระองค์ "ทรงถูกยกขึ้น" บนไม้กางเขนและการเสด็จกลับมาหาบรรดาศิษย์ เดชะพระจิตเจ้า ก็เป็นการเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์ด้วย ในทำนองเดียวกัน "การพิพากษา" ยังเป็นเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแล้วในจิตใจของมนุษย์ และชีวิตนิรันดร (ซึ่งมีความหมายเท่ากับ "พระอาณาจักร" ในพระวรสารสหทรรศน์) ก็เป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน ซึ่งผู้มีความเชื่อมีอยู่แล้ว การมองเห็นว่า "เหตุการณ์สุดท้าย" เหล่านี้เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะความรอดพ้นในประวัติศาสตร์มนุษยชาติรวมกันอยู่ในการดำรงพระชนมชีพบนแผ่นดิน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า ชาวยิวไม่ยอมรับพระเยซูเจ้าก็จริง แต่เบื้องหลังการไม่ยอมรับเช่นนี้ มีอำนาจที่ลึกซึ้งกว่าคอยรองรับอยู่ ได้แก่ "โลก" (ดู 1:9, 10, 10 เชิงอรรถ g) "ความมืด" (ดู 8:12 เชิงอรรถ b) ซึ่งซาตานควบคุมอยู่ ซาตานนี้เป็น "เจ้านายของโลกนี้" (ดู 1 ยน 2:13ฯ) คอยท้าทายพระเจ้าและผู้รับเจิมของพระองค์ ไม่มีใครไม่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้อันลึกซึ้งฝ่ายจิตเช่นนี้ "โลก" เมื่อเผชิญหน้ากับพระวจนาตถ์ ก็ต้องรับ "การพิพากษา" (12:31-32) ถูกตัดสินลงโทษ และยอมแพ้ (16:7-11,33) พระคริสตเจ้าทรงมอบชีวิตของพระองค์ (ดู 10:18 เชิงอรรถ j) พระองค์ "ทรงถูกยกขึ้น"บนไม้กางเขน โดยสมัครพระทัย และเพื่อจะเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์เท่านั้น (ดู 12:32 เชิงอรรถ j) พระสิริรุ่งโรจน์นี้ยังปรากฏแจ้งในโลกนี้ด้วยเพื่อทำให้ผู้ไม่มีความเชื่อต้องอับอาย และพระองค์จะทรงพิชิตซาตานอย่างเด็ดขาดตลอดไป การกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าในพระสิริรุ่งโรจน์เป็นประกันว่าพระเจ้าได้ทรงพิชิตความชั่วร้ายและประทานความรอดพ้นแก่โลกแล้ว การเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าในวันสุดท้ายจะเป็นเพียงการรับรองเหตุการณ์เหล่านี้เท่านั้น

      เป็นการยากที่จะกำหนดให้ชัดเจนว่า ยน วางโครงสร้างอย่างไรเพื่อเรียบเรียงคำสอนดังกล่าวนี้ ประการแรก ไม่ใช่ง่ายเสมอไปที่จะอธิบายการจัดลำดับบทต่างๆของพระวรสาร เช่น การลำดับบทที่ 4,5,6,7:1-24 ดูไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันนัก คำปราศรัยในบทที่ 15-17 ถูกจัดไว้หลังคำอำลาใน 14:31 ข้อความบางตอนเช่น 3:31-36 และ 12:44-50 ขัดกับบริบท ความสับสนเหล่านี้อาจอธิบายได้ถ้าคำนึงถึงวิธีเขียนและเรียบเรียงพระวรสารฉบับนี้ ดูเหมือนว่าพระวรสารในปัจจุบันเป็นผลงานขั้นสุดท้ายของกระบวนการเขียนซึ่งค่อยๆพัฒนามาเรื่อยๆ กระบวนการดังกล่าวนี้ไม่เพียงแต่รวบรวมเรื่องราวที่เขียนขึ้นในช่วงเวลาต่างกัน แต่ยังปรับปรุงแก้ไข ต่อเติม และบางครั้งเรียบเรียงคำปราศรัยเดิมอีกหลายครั้งด้วย ในที่สุด ผู้ที่นำผลงานออกมาใช้ในกลุ่มคริสตชนก็ไม่ใช่ ยน ผู้เป็นพยานเห็นเหตุการณ์ แต่เป็นศิษย์ หลังจาก ยน ได้สิ้นชีวิตไปแล้ว (21:24) ดูเหมือนว่าบรรดาศิษย์เหล่านี้มีข้อเขียนของ ยน เป็นตอนสั้นๆอยู่ในมือด้วยจำนวนหนึ่ง ซึ่งเขาไม่อยากละทิ้งไป จึงนำข้อเขียนเหล่านี้มาแทรกไว้ในพระวรสารดั้งเดิมด้วย แม้จะไม่ทราบแน่ชัดว่าจะต้องแทรกไว้ตรงไหน

      การแบ่งเนื้อหาของพระวรสารฉบับนี้ทำได้หลายวิธี แล้วแต่ว่าจะใช้ข้อมูลอะไรเป็นมาตรการ แต่วิธีที่ดีที่สุด ดูเหมือนจะเป็นการแบ่งโดยใช้มาตรการที่ผู้นิพนธ์พระวรสารเองใช้ ประการแรก ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า ยน ให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่วันฉลองทางศาสนาของชาวยิวโดยใช้วันฉลองเหล่านี้เป็นจุดแบ่งเรื่องราวต่างๆ ยน กล่าวถึงวันปัสกาสามครั้ง (2:13; 6:4; 11:55) วันฉลองไม่ออกนามหนึ่งครั้ง (5:1) วันฉลองการอยู่เพิงหนึ่งครั้ง (7:2) และวันฉลองการอภิเษกพระวิหารหนึ่งครั้ง (10:22) ประการที่สองมีหลายครั้งที่ผู้นิพนธ์พระวรสารจงใจนับวันเพื่อแบ่งชีวิตช่วงหนึ่งของพระเยซูเจ้าอย่างชัดเจน เช่น สัปดาห์แรกของการออกเทศนาสั่งสอนของพระคริสตเจ้า (1:19-2:11) สัปดาห์ของเทศกาลอยู่เพิง (7:2,14,37) และสัปดาห์ของพระทรมาน (12:1,12; 19:13,42) สัปดาห์สุดท้ายนี้เริ่มต้นเมื่อมารีย์ใช้น้ำมันหอมเจิมพระบาทซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการฝังพระศพ (12:7) และจบลงด้วยการฝังจริงๆ (19:38ฯ) ในทำนองเดียวกัน 4:45 ชวนให้เราคิดถึงฉลองปัสกาครั้งแรก (ดู 2:13-25) และดังนี้รวมเหตุการณ์ต่างๆระหว่างนั้นเข้าไว้ด้วยกัน โดยใช้มาตรการทั้งสองนี้ เราจึงอาจแบ่งโครงสร้างของพระวรสารได้ดังนี้

      ก. อรัมภบท (1:1-18) "เมื่อแรกเริ่มนั้น…"

      ข. พระภารกิจของพระเยซูเจ้า

      1. พระเยซูเจ้าทรงประกาศระบบใหม่ (1:19-4:54) สัปดาห์แรกและเหตุการณ์ในวันปัสกาครั้งแรก
      2. วันฉลองที่สอง " วันสับบาโตที่กรุงเยรูซาเล็ม ปฏิกิริยาต่อต้านครั้งแรก (5:1-47)
      3. เทศกาลปัสกาครั้งที่สองที่แคว้นกาลิลี ปฏิกิริยาต่อต้านครั้งใหม่ (6:1-71)
      4. เทศกาลอยู่เพิง : พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ แต่ชาวยิวไม่ยอมรับ (7:1-10:21)
      5. วันฉลองการอภิเษกพระวิหาร : ชาวยิวตกลงใจจะประหารพระเยซูเจ้า
      6. พระเยซูเจ้าทรงมุ่งหาความตาย (11:1-12:50)

      ค. เวลาของพระเยซูเจ้ามาถึงแล้ว ฉลองปัสกาเมื่อลูกแกะของพระเจ้าถูกประหาร (13:1-20:31)

      1. อาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูเจ้ากับบรรดาศิษย์ (13:1-17:26)
      2. พระทรมาน (18-19)
      3. การกลับคืนพระชนมชีพ การมอบภารกิจแก่บรรดาศิษย์ (20:1-29)
      4. บทสรุปพระวรสาร (20:31,31)

      ง. บทส่งท้าย (21:1-25) องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพทรงสั่งสอนพระศาสนจักร

      โครงสร้างของพระวรสารนี้จึงบอกให้ทราบว่า พระเยซูเจ้าทรงทำให้สถาบันทั้งหลายของศาสนายิวบรรลุเป้าหมาย การทำเช่นนี้ทำให้สถาบันเหล่านี้หมดความหมาย

      มีคำถามข้อแรกว่า ยน เขียนพระวรสารโดยคำนึงถึงพระวรสารสหทรรศน์หรือไม่? ปัญหานี้ตอบยาก แต่เราสามารถให้ข้อสังเกตต่อไปนี้ (1) มีรายละเอียดบางประการที่ชวนให้คิดว่า ยน คุ้นเคยกับธรรมประเพณีที่มีบันทึกอยู่ในพระวรสารสหรรศน์ การที่ ยน ละข้อมูลสำคัญบางประการจะเข้าใจไม่ได้นอกจาก ยน จะคิดว่าผู้อ่านทราบเรื่องนั้นแล้วจากแหล่งอื่น แต่ในบางครั้ง ยน เหมือนต้องการเพิ่มเติมข้อมูลจากธรรมประเพณีของพระวรสารสหทรรศน์ให้สมบูรณ์ หรือต้องการเน้นเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม นักวิชาการสมัยนี้ให้เหตุผลชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆว่า ยน เขียนพระวรสารโดยไม่คำนึงถึงพระวรสารสหทรรศน์เลย แม้เมื่อ ยน เล่าเรื่องที่เราพบในพระวรสารสหทรรศน์ ยน ก็ยังเล่าไม่เหมือนจนกระทั่งไม่สามารถคิดได้ว่า ยน ทราบเรื่องนี้มาจากพระวรสารสหทรรศน์ แต่ทราบมาจากพยานแหล่งอื่น ยน จึงนับได้ว่าเป็นพยานอีกทางหนึ่งของธรรมประเพณีจากอัครสาวก ยน มีความสัมพันธ์กับ ลก มากกว่าพระวรสารอื่นๆ เป็นไปได้ว่า เมื่อ ลก เขียนพระวรสารของตน ลก ได้ใช้ข้อความจากธรรมประเพณีของ ยน ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องพระทรมานและการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า แต่ก็ยังเป็นไปได้เช่นกันว่า ในการเรียบเรียงขั้นสุดท้าย ยน ได้รับอิทธิพลจาก ลก ด้วย

      คำถามข้อสองคือ ยน เล่าเหตุการณ์ตรงตามที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่? การที่นักวิชาการเห็นว่า ยน เขียนพระวรสารโดยไม่คำนึงถึงพระวรสารสหทรรศน์ เป็นการแสดงว่านักวิชาการยอมรับมากขึ้นว่า ยน เล่าเหตุการณ์ตรงตามที่เกิดขึ้นจริง ตัวอย่างเช่น เมื่อ ยน เล่าถึงภารกิจของพระคริสตเจ้า ยน เล่าเรื่องอย่างละเอียดเจาะจงมากกว่าพระวรสารสหทรรศน์ ระยะเวลาของการเทศนาสั่งสอนของพระเยซูเจ้า และลำดับเหตุการณ์เรื่องพระทรมานดูเหมือนจะตรงกับความจริงมากกว่ารายละเอียดใน ยน 2:20 (พระวิหารต้องใช้เวลาสร้างถึง 46 ปี) ทำให้เราทราบว่าขณะนั้นคือ ปี ค.ศ. 28 ตรงกับข้อความใน ลก 3:1 ยน กล่าวถึงสถานที่ต่างอย่างละเอียดมากกว่าในพระวรสารสหทรรศน์ และการขุดพบทางโบราณคดีในปัจจุบันยังสนับสนุนข้อมูลเหล่านี้ด้วย (เช่น สระน้ำที่มีเฉลียงห้าด้านใน 5:2) นอกจากนั้นทั่วพระวรสาร เราพบรายละเอียดข้อเท็จจริงซึ่งแสดงว่า ยน คุ้นเคยกับการปฏิบัติศาสนาของชาวยิวกับความคิดของพวกรับบีและกับการแก้ปัญหาโดยยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นของพวกธรรมาจารย์ ยน วาดภาพของพระเยซูเจ้าว่า ทรงเป็นบุคคลที่อยู่เหนือโลกนี้ แต่ในขณะเดียวกันยังทรงเป็นมนุษย์จริงทุกประการ ทรงเรียบง่ายและสุภาพถ่อมตนแม้เมื่อทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์หลังจากทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วด้วย เรายังอาจตั้งข้อสังเกตได้อีกว่า ถ้ายอห์นไม่มั่นใจว่าเหตุการณ์ที่เขาเขียนถึงนั้นได้เกิดขึ้นจริง พระวรสารของเขาคงเป็นปริศนาที่แก้ไม่ตก

      แต่เราต้องตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่งว่า "ประวัติศาสตร์" ในพระวรสารมีความหมายแตกต่างจากในความคิดของนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่เป็นอันมาก ผู้นิพนธ์พระวรสารต้องการแสดงความหมายของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เหล่านี้เป็นการกระทำของพระเจ้าและของมนุษย์ในเวลาเดียวกัน เป็นเหตุการณ์ทั้งทางประวัติศาสตร์และทางเทววิทยา เป็นเหตุการณ์ซึ่งเปิดขึ้นในกาลเวลาแต่มีรากลึกอยู่ในนิรันดรภาพ จุดมุ่งหมายของผู้นิพนธ์พระวรสารคือการเล่าเรื่องอย่างซื่อสัตย์ที่สุด เป็นเรื่องซึ่งเขาตั้งใจให้ผู้อ่านมีความเชื่อเรื่องราวที่เขาเล่านั้น เป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ที่พระเยซูคริสตเจ้าได้เสด็จมากระทำในประวัติศาสตร์มนุษย์ พระองค์ผู้ทรงเป็นพระวจนาตถ์ ซึ่งบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อความรอดพ้นของมนุษยชาติ ผู้นิพนธ์พระวรสารได้เลือกเรื่องราวและเหตุการณ์ที่จะเล่าด้วยความเอาใจใส่ โดยคัดเอาเฉพาะเรื่องที่สามารถเป็นสัญลักษณ์ของความจริงที่เขาต้องการสอนได้เท่านั้น เขาใช้วิธีนี้ เพื่อเผยความหมายระดับลึกของเหตุการณ์และให้ความหมายใหม่แก่เหตุการณ์ดังกล่าวอีกด้วย อัศจรรย์ที่เล่าเป็น "เครื่องหมาย" นั่นคือเผยให้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้า และยังเป็นสัญลักษณ์ของพระพรต่างๆที่พระองค์ทรงนำมาประทานให้แก่โลก (เช่น การชำระตนแบบใหม่ ปังบันดาลชีวิต แสงสว่างและชีวิต) แม้กระทั่งเหตุการณ์ธรรมดาซึ่งไม่ใช่อัศจรรย์ ยน ก็ยังใช้เป็นสื่อนำความหมายฝ่ายจิตอีกด้วย คือทำให้เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นสื่อของธรรมล้ำลึกเรื่องพระเจ้า (ดู 2:19-21; 9:7; 11:51 ฯ; 13:30; 19:31-37 พร้อมเชิงอรรถ) ยน สามารถมองเห็นความหมายลึกซึ้งฝ่ายจิตแม้กระทั่งในเหตุการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้น เช่น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา พระองค์เสด็จมาในฐานะที่ทรงเป็นแสงสว่างส่องโลก พระชนมชีพทั้งหมดของพระองค์เป็นการต่อสู้กับความมืด การสิ้นพระชนม์ของพระองค์เป็นการพิพากษาโลกทั้งโลก และรูปแบบต่างๆในพันธสัญญาเดิมสำเร็จไปในพระองค์ -ทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า (1:29) เป็นผู้เลี้ยงที่สมบูรณ์ (10:11) เป็นเถาองุ่นแท้ (15:1) ยน วาดภาพพระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้า แต่ยังมีรายละเอียดของความเป็นมนุษย์แท้ของพระองค์อยู่เป็นอันมากด้วย ยน เล่าถึงเหตุการณ์จริงที่ได้เกิดขึ้นในพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า แต่พระองค์ยังทรงเป็นพระผู้ไถ่กู้โลกอีกด้วย ดังนั้น สัญลักษณ์ที่ ยน ใช้จึงไม่ขัดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่เรียกร้องเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยซ้ำไป เพราะสำหรับ ยน ไม่มีความขัดแย้งระหว่างสัญลักษณ์และข้อเท็จจริง สัญลักษณ์เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ และความหมายของสัญลักษณ์แฝงอยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้ สัญลักษณ์ไม่เพียงแต่อธิบายความหมายฝ่ายจิตของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เหล่านี้เท่านั้น แต่สำหรับ ยน ยังเป็นพยานที่ดีที่สุดถึงพระวจนาตถ์ผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ สัญลักษณ์ทั้งหมดนี้จะไม่มีความหมายถ้าเหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นจริง

      ปัญหาว่าใครเป็นผู้เขียนพระวรสารฉบับนี้ ธรรมประเพณีของพระศาสนจักรตอบเกือบเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็น ยอห์น อัครสาวก บุตรของเศเบดี ตั้งแต่ก่อน ค.ศ. 150 พระวรสารฉบับนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างดีแล้ว อิกญาซีโอแห่งอันทิโอก ผู้เขียนเพลงสดุดีของซาโลมอน ปาปีอัส จัสติน และบางทีเคลเมนต์แห่งโรมรู้จักและใช้พระวรสารฉบับนี้ แสดงว่า ยน เป็นข้อเขียนที่มีอำนาจของอัครสาวกอยู่เบื้องหลัง ผู้ที่ยืนยันเป็นคนแรกว่ายอห์นเป็นผู้นิพนธ์พระวรสารฉบับนี้ คือ อีเรเนอัส ราว ค.ศ. 180 เขาเขียนไว้ว่า "ในที่สุด ยอห์น ด้วยศิษย์ที่เอนกายชิดพระอุระขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ได้เขียนพระวรสารอีกฉบับหนึ่ง เมื่อเขาอยู่ที่เอเฟซัส" ประมาณช่วงเวลาเดียวกัน เคลเมนต์แห่งอเล็กซานเดรีย แทร์ทูเลียนและสารบบของมูราโตรี เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ยอห์น อัครสาวกเป็นผู้เขียนพระวรสารฉบับที่สี่ แต่ในราว ค.ศ. 200 ปฏิปักษ์บางคนของพวกมอนตานิสต์ไม่ยอมรับความเห็นนี้ เพราะว่าพวกมอนตานิสต์ได้ใช้พระวรสารฉบับที่สี่มาสนับสนุนทฤษฎีของตน เรื่องพระจิตเจ้า แต่ปฏิกิริยาของผู้ต่อต้านเช่นนี้ ใช้เหตุผลทางเทววิทยาโดยไม่มีหลักฐานจากธรรมประเพณีของพระศาสนจักรเป็นข้ออ้าง

      อย่างไรก็ตาม ปัญหายังไม่หมดไป ทุกวันนี้ เป็นที่ยอมรับกันด้วยเหตุผลต่างๆว่า พระวรสารฉบับที่สี่ได้ผ่านกระบวนการพัฒนาค่อนข้างซับซ้อนก่อนจะมีรูปแบบสุดท้ายดังปัจจุบัน นักพระคัมภีร์บางคนคิดว่า ผู้นิพนธ์พระวรสารใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งมาดัดแปลงขยายความให้เข้ากับเทววิทยาของตน เช่น นักวิชาการคนหนึ่งได้แยกแหล่งข้อมูลออกเป็น "แหล่งที่มาของเครื่องหมายอัศจรรย์" ซึ่งประกอบด้วยอัศจรรย์ในพระวรสารฉบับที่สี่ กับ "แหล่งที่มาของพระวาจา" ของพระคริสตเจ้า และยังมีเรื่องเล่าพระทรมานและการกลับคืนพระชนมชีพที่แตกต่างจากเรื่องเล่าในพระวรสารสหทรรศน์ นักวิชาการอีกหลายคนได้พยายามวิเคราะห์ลักษณะและจุดประสงค์ของแหล่งที่มาของ "เครื่องหมายอัศจรรย์" ดังกล่าวนี้ สมมติฐานนี้ทำให้คิดว่ายอห์นอัครสาวกคงไม่เป็นผู้เขียนพระวรสารฉบับที่สี่ เพราะว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่พยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์จะใช้แหล่งข้อมูลอื่นเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำของตน ดังนั้น อย่างน้อย เราสามารถสันนิษฐานได้เพียงว่า แหล่งข้อมูลเพียงแหล่งเดียวต้องมาจากพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์เท่านั้น นักพระคัมภีร์คนอื่นๆเลือกตั้งสมมติฐานอีกข้อหนึ่งว่า มีพระวรสารฉบับที่สี่ดั้งเดิมอยู่ก่อน ซึ่งซับซ้อนน้อยกว่าฉบับปัจจุบัน และต่อมาได้ถูกขยายความและพัฒนาอีกหลายขั้นตอนในกึ่งหลังของศตวรรษแรกของคริสตกาล สมมติฐานข้อนี้สามารถอ้างหลักฐานยืนยันจากการเล่าเรื่องซ้ำกันหลายแห่งในพระวรสาร อันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ธรรมประเพณีหนึ่งได้วิวัฒนาการไปได้ในหลายแนว แต่ในที่สุดได้ถูกรวบรวมเข้าด้วยกันเป็นพระวรสารอย่างที่เรามีในปัจจุบัน ตามทรรศนะนี้ อัครสาวกยอห์นสามารถเป็นผู้นิพนธ์พระวรสารได้ ไม่ใช่ฉบับปัจจุบันทั้งหมด (ซึ่งจะต้องเป็นงานของบรรดาศิษย์ -ยน 21:24 แต่อย่างน้อย ยอห์นอัครสาวกเป็นผู้ให้กำเนิดพระวรสารฉบับดั้งเดิม สมมติฐานข้อนี้มีเหตุผลสนับสนุนจากรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่และเรื่องลำดับเวลา ซึ่งเจาะจงและสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง

      เรายังสามารถรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพระวรสารฉบับที่สี่กับอัครสาวกยอห์นได้หรือไม่? ยน 21:24 ยืนยันว่า พระวรสารฉบับนี้เขียนโดย "ศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรัก" ศิษย์คนนี้เป็นคนเดียวกันกับอัครสาวกยอห์นหรือไม่? ข้อมูลที่ชวนให้คิดเช่นนี้คือมิตรภาพพิเศษของยอห์นกับเปโตร ใน ยน 13:23ฯ; 18:15; 20:3-10; 21:20-23 ลก ก็กล่าวถึงมิตรภาพนี้เช่นกัน (ลก 22:8; กจ 3:1-4; 4:13; 8:14) อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่นำมาใช้อ้างยังไม่เพียงพอเพื่อตัดสินว่าศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักคือยอห์นอัครสาวก เพราะยังมีปัญหาอยู่บ้าง อัครสาวกยอห์นเป็นชาวประมงที่ทะเลสาบทีเบรีอัส แต่ "ศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรัก" อาศัยอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม (ยน 13:23) และเป็นที่รู้จักของมหาสมณะ (ยน 18:16) อย่างไรก็ตาม ยังเป็นไปได้ว่า มีความสับสนระหว่างยอห์นอัครสาวกกับยอห์น "ผู้อาวุโส" ซึ่งปาปิอัส พระสังฆราชของเมืองฮีราโปลิส ได้กล่าวถึงราว ค.ศ. 135 ตามความเห็นของยูเซบีอัสแห่งซีซารียา ความสับสนนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยอีเรเนอัสแล้ว ราวปี ค.ศ. 180


          
    [ความรู้ทั่วไป] [1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20] [21]

    [ พระคัมภีร์ ] [ พระวรสารสหทรรศน์ ] [ รายนามพระคัมภีร์] [พระวรสารเปรียบเทียบ] [ ชีวประวัติพระเยซูเจ้า]
    [ฉบับ น.มัธทิว] [ฉบับ น.มาระโก] [ฉบับ น.ลูกา] [ฉบับ น.ยอห์น] [กิจการอัครสาวก] [Know John] [ กลับสู่เมนูหลัก ]