ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับพระวรสารสหทรรศน์
    (Synoptic Gospel)

    1. หนังสือที่บันทึก "ข่าวดี" (evangelium) ที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงประกาศนั้น มีสี่ฉบับที่พระศาสนจักรรับรองอยู่ในสารบบพระคัมภีร์ สามฉบับแรกมีความละม้ายคล้ายคลึงกันมากจนสามารถนำข้อความหลายตอนมาวางไว้เคียงข้างกันและมองดูได้พร้อมกัน เพราะเหตุนี้ พระวรสารสามฉบับแรกจึงได้ชื่อว่าพระวรสาร "สหทรรศน์" หรือ "Synoptic" (จากคำว่า synoptic แปลว่า "มองพร้อมกันครั้งเดียว")

    ธรรมประเพณีนับตั้งแต่ศตวรรษที่สองสอนว่าผู้นิพนธ์พระวรสารสามฉบับนี้ ได้แก่ นักบุญมัทธิว นักบุญมาระโกและนักบุญลูกาตามลำดับ ธรรมประเพณีของพระศาสนจักรที่ว่านี้ยังสอนว่ามัทธิวซึ่งเคยเป็นคนเก็บภาษีและเป็นหนึ่งในบรรดาอัครสาวก (มธ 9:9; 10:3) เป็นคนแรกที่เขียนพระวรสาร เขาได้เขียนพระวรสารในประเทศปาเลสไตน์สำหรับคริสตชนที่กลับใจจากศาสนายิว ผลงานที่เขาเขียนขึ้น "เป็นภาษาฮีบรู" ซึ่งอาจจะหมายถึงภาษาอาราเมอิคนั่นเอง ต่อมาได้ถูกแปลเป็นภาษากรีก

    ยอห์น มาระโก ศิษย์ผู้หนึ่งชาวเยรูซาเล็ม (กจ 12:12) ได้ช่วยเหลือเปาโลในงานธรรมทูต (กจ 12:25; 13:5,13; ฟม 24; 2 ทธ 4:11) ได้ช่วยเหลือบารนาบัสซึ่งเป็นญาติ (กจ 15:37,39; คส 4:10) และเปโตร (1 ปต 5:13) มาระโกได้เป็น "ล่าม" ของเปโตร จึงได้บันทึกคำเทศน์ของเปโตรเป็นลายลักษณ์อักษรที่กรุงโรม

    ศิษย์อีกคนหนึ่งชื่อลูกา เป็นแพทย์ (คส 4:14) และไม่ได้นับถือศาสนายิวแต่กำเนิด ต่างกับมัทธิวและมาระโก (คส 4:10-14) ตามหลักฐานที่ปรากฏเขาเกิดที่เมืองอันทิโอก ติดตามเปาโลในการเดินทางธรรมทูตครั้งที่สอง (กจ 16:10ฯ) และครั้งที่สาม (กจ 20:5ฯ) ได้อยู่กับเปาโลในระหว่างที่เปาโลถูกจองจำที่กรุงโรมทั้งสองครั้ง (กจ 27:1ฯ; 2 ทธ 4:11) เพราะเหตุนี้ พระวรสารของลูกา ซึ่งเป็นพระวรสารฉบับที่สาม จึงสามารถอ้างได้ว่าสะท้อนคำสอนของเปาโล (ดู 2 คร 8:18) ดังที่พระวรสารของมาระโกสามารถอ้างว่าสะท้อนคำสอนของเปโตร ลูกายังได้เขียนหนังสืออีกฉบับหนึ่งคือ -"กิจการอัครสาวก"- ภาษาเดิมของพระวรสารของมาระโกและลูกาคือภาษากรีก

    แม้ว่าธรรมประเพณีที่กล่าวถึงนี้จะเก่าแก่ แต่ก็ไม่เป็นคำสอนที่ทุกคนยอมรับโดยไม่โต้แย้ง นักวิชาการหลายคน ทั้งชาวโปรเตสตันท์และชาวคาทอลิกสงสัยความถูกต้องของธรรมประเพณีที่ว่านี้ การยอมรับพระวรสารว่าเป็นเอกสารทางการที่ได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับการยอมรับว่าผู้เขียนพระวรสารจะต้องเป็นผู้มีชื่อดังกล่าว หลายคนคิดว่า มัทธิวคนเก็บภาษี ไม่ได้เขียนพระวรสารที่มีชื่อของเขา แม้ว่าเขาอาจจะมีส่วนบ้างในการเริ่มธรรมประเพณีที่ผู้นิพนธ์พระวรสารฉบับนี้ได้ใช้ ในทำนองเดียวกัน หลายคนคิดว่า ธรรมประเพณีที่กล่าวว่าพระวรสารของมาระโกบันทึกการเทศน์สอนของเปโตรนั้น เป็นการสรุปง่ายเกินไป ถ้าพระวรสารของมาระโกมีความสัมพันธ์กับการเทศน์สอนของเปโตรจริงๆ ความสัมพันธ์ดังกล่าวก็เป็นเพียงความสัมพันธ์ที่ห่างไกลและเล็กน้อยมาก จุดสงสัยข้อที่สามคือเรื่องที่ว่า ผู้นิพนธ์พระวรสารฉบับที่สามและหนังสือกิจการอัครสาวกเป็นเพื่อนร่วมงานของเปาโลจริงหรือไม่ แต่ก่อนที่จะพิจารณาปัญหาความสงสัยเหล่านี้ต่อไป จำเป็นต้องกล่าวถึงปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ด้านวรรณกรรมระหว่างพระวรสารทั้งสามฉบับนี้เสียก่อน ปัญหาดังกล่าวนี้เรียกว่า "ปัญหาสหทรรศน์"

    2. ปัญหานี้ได้รับการอธิบายหลายแบบด้วยกัน จนถึงเวลานี้คำอธิบายแต่ละแบบต่างก็ไม่สามารถตอบปัญหาได้ทั้งหมด คำอธิบายแต่ละแบบมีความจริงอยู่บ้างที่สามารถนำมาใช้รวมกับคำอธิบายแบบอื่นในการแก้ปัญหาให้สมบูรณ์ มีความเป็นไปได้อย่างมากว่า ผู้นิพนธ์พระวรสารทั้งสามฉบับได้ใช้ธรรมประเพณีที่เล่าต่อๆกันมาด้วยปากเปล่า (Oral tradition) ซึ่งผู้นิพนธ์แต่ละท่านนำมาเรียบเรียงใหม่อย่างเป็นเอกเทศ และมีรายละเอียดแตกต่างกัน

    แต่ธรรมประเพณีที่เล่าด้วยปากเปล่าเท่านั้นไม่สามารถอธิบายความคล้ายคลึงกันมากมายที่มีอยู่ทั้งในรายละเอียดและในการลำดับเรื่องราวต่างๆ แม้ความทรงจำอย่างน่าพิศวงของคนโบราณในแถบตะวันออกกลางก็ไม่สามารถอธิบายความคล้ายคลึงกันดังกล่าว มีแต่ธรรมประเพณีที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร (Written tradition) เท่านั้นสามารถอธิบายความคล้ายคลึงนี้ได้ กระนั้นก็ดี ทฤษฎีที่อ้างว่าผู้นิพนธ์พระวรสารทั้งสามต่างคนต่างใช้เอกสารที่เขียนไว้แล้วนี้เป็นเอกเทศ ยังไม่สามารถอธิบายความเหมือนและความแตกต่างที่แสดงว่าผู้นิพนธ์แต่ละท่านรู้จักผลงานของอีกสองท่าน เพราะหลายครั้งเราเห็นได้ชัดว่ามีการคัดลอกหรือแก้ไขปรับปรุงข้อความของกันและกัน จึงน่าจะต้องมีความสัมพันธ์ต่อกันโดยตรงอยู่บ้าง และเห็นได้ชัดว่าลูกาใช้มาระโกในส่วนที่เป็นการเล่าเรื่อง แต่ไม่ปรากฏชัดว่ามาระโกได้ใช้มัทธิวดังที่เคยเชื่อกันมาเป็นเวลานาน ทั้งนี้เพราะมีข้อมูลหลายประการที่ชี้แนะในทางตรงกันข้าม ส่วนความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างมัทธิวและลูกาไม่มีเหตุผลชวนให้คิดว่าลูกาใช้มัทธิวหรือมัทธิวใช้ลูกา และข้อความเหมือนกันที่ไม่ได้คัดลอกมาจากมาระโก น่าจะมีแหล่งข้อมูลอีกฉบับหนึ่งหรือมากกว่านอกเหนือจากพระวรสารมาระโก จากการพิจารณาจากตัวบทเช่นนี้ นักวิเคราะห์ได้เสนอ "ทฤษฎีแหล่งข้อมูลสองแหล่ง" ซึ่งอธิบายว่า แหล่งข้อมูลทั้งสองนี้คือ
    (1) มาระโก ซึ่งมัทธิวและลูกาใช้ในส่วนที่เป็นเรื่องเล่า
    [2) แหล่งข้อมูลที่สองซึ่งสันนิษฐานได้ว่ามีอยู่จากข้อความเหมือนกันที่มีอยู่ในตัวบทของ มธ และ ลก เท่านั้น แหล่งข้อมูลนี้เรียกกันว่า "Q" (ตัวอักษรแรกของคำว่า Quelle ในภาษาเยอรมันซึ่งแปลว่าแหล่งข้อมูลนั่นเอง) จาก Q ทั้งมัทธิวและลูกาได้คัดลอก "พระดำรัส" หรือคำปราศรัยของพระเยซูเจ้า ("Logia") ซึ่งในมาระโกเกือบจะไม่มีบันทึกไว้เลย ทฤษฎีนี้เข้าใจง่ายและเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด พระวรสารมาระโกในรูปแบบที่เรามีในปัจจุบัน และ Q ดังที่นักวิชาการได้สันนิษฐานไม่เพียงพอที่จะอธิบายปัญหาทุกข้อที่ผู้เสนออ้างว่าอธิบายได้ เป็นความจริงว่า โดยทั่วไปมาระโกดูเหมือนจะแสดงความคิดและใช้สำนวนเก่ากว่ามัทธิวและลูกา แต่ในบางกรณีดูเหมือนตรงกันข้าม บางครั้งมาระโกเผยให้เห็นลักษณะที่ชวนให้คิดว่าได้เขียนขึ้นในระยะหลัง เช่นใช้สำนวนและแนวคิดของเปาโล และปรับข้อความให้ผู้อ่านชาวกรีก-โรมันเข้าใจได้ง่ายๆ ในขณะที่มัทธิวและลูกายังคงรักษาสำนวนเก่าแก่ไว้ เช่น สำนวนเซมีติกและรายละเอียดที่มาจากแวดวงชาวปาเลสไตน์ เป็นต้น มีผู้เสนอว่ามัทธิวและลูกาได้ใช้พระวรสารมาระโกฉบับที่ยังไม่ได้พัฒนาดังที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ยังมีเหตุผลอีกประการหนึ่งที่สนับสนุนข้อเสนอดังกล่าว มัทธิวและลูกามีข้อความเหมือนกันบางแห่งซึ่งไม่ตรงกับมาระโก จึงแสดงว่าพระวรสารทั้งสองไม่ได้ใช้มาระโกดังที่เรามีอยู่ ข้อความที่เหมือนกันนี้พบได้หลายครั้งและเหมือนกันอย่างน่าประหลาด ได้มีผู้พยายามอธิบายเรื่องนี้โดยยังคงรักษาทฤษฎีสองแหล่งข้อมูลไว้ เขาคิดว่าข้อความที่เหมือนกันเกิดจากการที่ผู้คัดลอกสำเนาโบราณได้ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกัน หรือคิดว่าผู้นิพนธ์พระวรสารเองได้แก้ไขข้อความเหล่านี้ที่ได้คัดลอกมาจากพระวรสารของมาระโก เพราะเห็นว่ายังไม่ดีพอ

    คำอธิบายเช่นนี้อาจเป็นที่ยอมรับได้ในบางกรณี แต่ไม่เพียงพอที่จะอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวทั้งหมดโดยรวมได้ สรุปแล้ว คำอธิบายแรกน่าจะดีกว่า คือ คำอธิบายที่ว่ามัทธิวและลูการู้จักและใช้พระวรสารของมาระโกฉบับดั้งเดิม พระวรสารมาระโก ดังที่เรามีในปัจจุบันนี้เป็นฉบับที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขหลังจากที่มัทธิวและลูกาได้คัดลอกไปแล้ว คำอธิบายเช่นนี้ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมข้อความบางตอนของมาระโกจึงดูเหมือนได้เขียนขึ้นภายหลัง สมมุติฐานว่ามีแหล่งข้อมูล Q ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างน่าพอใจเช่นกัน อย่างน้อยในรูปแบบที่เสนอกันโดยทั่วไป นักวิชาการหลายท่านได้พยายามสร้างเอกสารดังกล่าวนั้น แต่ผลที่ได้มีรูปแบบแตกต่างกันมากจนยากที่จะกำหนดให้ชัดเจนและเข้าใจได้ง่ายๆ แม้ความคิดที่ว่ามีแหล่งข้อมูลเพียงแหล่งเดียวก็ยังมีผู้โต้แย้ง โดยแท้จริงแล้ว คำกล่าวที่อ้างว่ามาจาก Q นี้ พบได้ในมัทธิวและลูกาในแบบที่ชวนให้คิดว่าคัดลอกมาจากแหล่งข้อมูลสองแหล่ง ไม่ใช่แหล่งเดียว เพราะในตอนกลางพระวรสารของลูกามีคำกล่าวกลุ่มหนึ่ง (ที่มักเรียกกันว่า ตอน "เปเรอา") (ลก 9:51-18:14) ซึ่งแตกต่างไปจากคำกล่าวอื่นๆในพระวรสารนี้ แม้ว่าคำกล่าวของลูกาทั้งสองกลุ่มจะมีอยู่เช่นกันในมัทธิว แต่คำกล่าวที่ลูกามิได้รวมไว้ด้วยกันก็พบได้ในมัทธิว กระจัดกระจายตามลำดับเดียวกัน ส่วนคำกล่าวที่ลูการวมไว้ด้วยกัน (ลก 9:51-18:14) นั้น พบได้ในมัทธิวและกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า มัทธิวและลูกาได้คัดลอกคำกล่าวจากแหล่งข้อมูลสองแหล่ง ได้แก่

    (1) ข้อมูลรวมซึ่งบางคนเรียกว่า S (อักษรตัวหน้าของคำว่า Source) ที่ลูกาได้ใช้เป็นวัตถุดิบส่วนใหญ่ของตอนที่เล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เปเรอา ส่วนมัทธิวได้แยกคำกล่าวต่างๆแทรกไว้ในเการเทศน์สอนของพระเยซูเจ้า และ

    (2) พระวรสารของมัทธิวฉบับดั้งเดิม ดูเหมือนมีความจำเป็นจะต้องตั้งสมมุติฐานว่า ทั้งพระวรสารของมัทธิวและของลูกาต้องมีฉบับดั้งเดิมที่แตกต่างไปจากฉบับที่เรามีอยู่ในปัจจุบันดังที่เราได้สันนิษฐานสำหรับมาระโกแล้ว การวิเคราะห์ซึ่งไม่สามารถนำมากล่าวที่นี่ได้ เสนอขั้นตอนการเขียนพระวรสารว่ามีสามขั้นตอนด้วยกันอย่างน้อยสำหรับมาระโกและมัทธิวคือ
    (1) เอกสารดั้งเดิม
    (2) ฉบับปรับปรุงแก้ไขครั้งแรก และ
    (3) ฉบับปรับปรุงแก้ไขครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นฉบับที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน

    ในระหว่างขั้นตอนที่เหมือนกันและแตกต่างกันดังที่เราพบได้ในพระวรสารที่เรามีในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น การปรับปรุงแก้ไขครั้งแรกของมาระโกคงจะได้รับอิทธิพลจากเอกสารดั้งเดิมของมัทธิว แต่พระวรสารของมาระโกฉบับปรับปรุงแก้ไขครั้งแรกนี้คงได้มีอิทธิพลต่อมัทธิวฉบับปรับปรุงแก้ไขครั้งสุดท้าย อิทธิพลที่สานเกี่ยวโยงกันไปมานี้ แม้จะดูว่าค่อนข้างซับซ้อน ก็เป็นคำอธิบายเดียวที่สามารถแก้ปัญหาอันซับซ้อนนี้ได้ การอ้างว่ามีวิธีแก้ปัญหา "สหทรรศน์" นี้ได้อย่างง่ายๆก็เป็นแต่ภาพลวงตาเท่านั้น บัดนี้ เราสามารถบรรยายขั้นตอนต่างๆในการเขียนพระวรสารสามฉบับแรก แม้ว่านักวิชาการยังมีความเห็นแตกต่างกันมากในรายละเอียดก็ตาม สมมุติฐานที่เสนอ ณ ที่นี้เป็นเพียงวิธีการแก้ปัญหาแบบหนึ่งที่สมเหตุสมผล

    สาระสำคัญของการเทศน์สอนของบรรดาอัครสาวกคงจะได้แก่ kerygma (การประกาศ ข่าวดี) ซึ่งประกาศว่าการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าเป็นการไถ่กู้มนุษยชาติ คำปราศรัยของเปโตรในหนังสือกิจการอัครสาวกแสดงให้เราเห็นเนื้อหาโดยย่อของการเทศน์สอนของบรรดาอัครสาวกซึ่งในทางปฏิบัติคงจะรวมเรื่องเล่าที่มีรายละเอียดมากกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องพระทรมานซึ่งคงจะมีรูปแบบการเล่าตายตัวแล้วตั้งแต่สมัยแรกๆ ดังจะเห็นได้จากเรื่องพระทรมานในพระวรสารทั้งสี่ซึ่งมีรายละเอียดใกล้เคียงกันมาก นอกจากเรื่องพระทรมานแล้ว ยังมีเรื่องเล่าหลายเรื่องจากพระชนมชีพของพระอาจารย์ ที่แสดงให้เห็นบุคลิกภาพ พันธกิจและพระอานุภาพของพระองค์ หรือมิฉะนั้นก็อธิบายคำสอนของพระองค์โดยเล่าเหตุการณ์ พระวาจา อัศจรรย์ คำประกาศ หรือคำอุปมา ฯลฯ ที่จดจำกันได้ นอกจากบรรดาอัครสาวกแล้ว ยังมีนักเล่าเรื่องอาชีพเช่นผู้ประกาศข่าวดี (หมายถึง ผู้ที่มีพระพรพิเศษไม่จำกัดเพียงผู้นิพนธ์พระวรสารทั้งสี่เท่านั้น ดู กจ 21:8; อฟ 4:11; 2 ทธ 4:5) บุคคลเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเล่าเรื่องราวตามรูปแบบตายตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อมาไม่นาน โดยเฉพาะเมื่อผู้เป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์โดยตรงเริ่มลดจำนวนลง ได้มีผู้พยายามที่จะบันทึกธรรมประเพณีที่เล่ากันปากต่อปากนี้ลงเป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องราวซึ่งแต่ก่อนเคยเล่าไว้แยกจากกันและเป็นเอกเทศ คงได้ถูกนำมารวมไว้ด้วยกันตามลำดับเวลา (ตัวอย่าง มก 1:16-39 วันหนึ่งที่เมืองคาเปอรนาอุม) หรือตามเหตุผลต่อเนื่องกันของสาระ (ตัวอย่างเช่น มก 2:1-3:6 ข้อโต้แย้งห้าเรื่อง) เมื่อเริ่มแรก เรื่องราวที่ถูกนำมารวมกันคงเป็นชุดเล็กๆ แล้วต่อมาจึงขยายกลายเป็นเรื่องราวชุดใหญ่ขึ้น ในขั้นตอนนี้เอง "ผู้นิพนธ์" คนหนึ่งเข้ามามีบทบาท ซึ่งได้แก่ มัทธิวอัครสาวกตามที่เราทราบจากธรรมประเพณีนั่นเอง มัทธิวเป็นคนแรกที่เขียน "พระวรสาร" ซึ่งรวบรวมพระราชกิจและพระวาจาของพระคริสตเจ้าเข้าด้วยกัน เป็นเรื่องเล่าต่อเนื่องที่ครอบคลุมเหตุการณ์ในพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าตั้งแต่ทรงรับพิธีล้าง จนถึงวันกลับคืนพระชนมชีพ

    ไม่นานหลังจากนั้น ยังมี "หนังสือรวบรวมพระวาจา" ที่เรียกว่า "S" ไม่ปรากฏชื่อผู้รวบรวม เกิดขึ้นคู่กับพระวรสารฉบับแรกนี้ มีจุดประสงค์เพื่อรักษาพระดำรัสอื่นๆของพระเยซูเจ้าที่ไม่มีบันทึกไว้ในพระวรสาร หรือพระดำรัสที่มีบันทึกไว้แต่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน พระวรสารฉบับแรกนี้และหนังสือรวบรวมพระวาจาดังกล่าวเขียนเป็นภาษาอารามิก และต่อมาไม่นานก็ได้รับการแปลเป็นภาษากรีก และคงได้มีคำแปลเอกสารเหล่านี้ในหลายรูปแบบ

    ความจำเป็นต้องปรับเอกสารทั้งสองนี้ให้คริสตชนที่เคยเป็นคนต่างศาสนาเข้าใจได้ น่าจะทำให้พระวรสารฉบับแรกของมัทธิวนี้ได้รับรูปแบบใหม่ และรูปแบบใหม่นี้เป็นเอกสารพื้นฐานของธรรมประเพณีของมาระโก นอกจากสองรูปแบบพระวรสารดั้งเดิมใน (มัทธิวและมาระโก) และ "หนังสือรวบรวมพระวาจา S" แล้ว ในขั้นตอนนี้ยังมีพระวรสารเก่าแก่อีกฉบับหนึ่งซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นแหล่งที่มาของเรื่องพระทรมานและการกลับคืนพระชนมชีพในพระวรสารของลูกาและยอห์น ดังนี้ เราจึงมีเอกสารพื้นฐานสี่ฉบับในตอนแรกของสามขั้นตอนในการเขียนพระวรสารดังที่ได้เสนอไว้ ในขั้นตอนที่สอง มีผู้นำเอกสารเหล่านี้มาผสมผสานกันในรูปแบบต่างๆ ธรรมประเพณีของมาระโกซึ่งเป็นการปรับปรุงพระวรสารดั้งเดิมของมัทธิวสำหรับคริสตชนที่เคยเป็นคนต่างศาสนามาแล้วแบบหนึ่งก็ได้รับการแก้ไขให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม พระวรสารของมาระโกฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสุดท้ายอย่างที่เรามีในปัจจุบัน พระวรสารของมาระโกในขั้นที่สองนี้เองเป็นฉบับที่ผู้เรียบเรียงพระวรสารมัทธิวและลูกาฉบับปัจจุบันรู้จักและนำมาใช้ ส่วนธรรมประเพณีของมัทธิวในขั้นที่สองก็รวมมัทธิวฉบับดั้งเดิมกับหนังสือรวบรวมพระวาจา S เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดพระวรสารของมัทธิวฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่ ผู้เรียบเรียงพระวรสารมัทธิวในขั้นตอนที่สองนี้ได้ทำงานอย่างละเอียดถี่ถ้วน ได้แบ่งพระดำรัสของพระเยซูเจ้าที่รวบรวมไว้เป็นชุดๆใน S มาแจกจ่ายแยกกันในพระวรสารและดังนี้ได้เรียบเรียงเป็นคำเทศนาชุดใหญ่ 5 ชุด หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เรียบเรียงพระวรสาของลูกาก็เริ่มงาน เขาได้ค้นคว้าแสวงหาข้อเขียนต่างๆที่มีบันทึกไว้ก่อนหน้านั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน (ลก 1:1-4) พระวรสารของลูกาในขั้นตอนแรกซึ่งอาจเรียกว่า "ปฐม-ลูกา" ได้รวมพระวรสารของมาระโกฉบับดั้งเดิมและพระวรสารของมัทธิวฉบับปรับปรุงแก้ไขซึ่งรวมหนังสือรวบรวมพระวาจา S อยู่แล้ว ลูกาเองยังรู้จักเอกสาร S นี้โดยตรงด้วย จึงเลือกที่จะนำพระดำรัสนี้ทั้งชุดมาแทรกไว้ในตอนกลางของพระวรสารของตน แทนที่จะแบ่งแยกพระดำรัสเหล่านี้ไว้อย่างที่มัทธิวได้กระทำ ในที่สุด ลูกาได้ใช้เอกสารเก่าแก่ที่พระวรสารฉบับที่สี่ได้ใช้ด้วย โดยเฉพาะในเรื่องพระทรมานและการกลับคืนพระชนมชีพ

    เอกสารเก่าแก่ฉบับนี้สามารถอธิบายได้ว่าทำไมรายละเอียดของลูกาจึงเหมือนกับของยอห์นมากกว่าจะเหมือนกับมัทธิวและมาระโก ในส่วนนี้ของพระวรสารปฐมลูกาไม่แสดงให้เห็นว่ารู้จักมาระโก แม้ในรูปแบบในขั้นตอนที่สองนี้ด้วย ในภายหลังเท่านั้นลูกาได้ใช้มาระโกฉบับนี้เพื่อต่อเติมพระวรสารของตนให้สมบูรณ์ แต่การทำเช่นนี้เป็นขั้นตอนที่สามแล้ว ในขั้นตอนสุดท้ายนี้ พระวรสารของมัทธิวในขั้นตอนที่สองได้ถูกเรียบเรียงใหม่ทั้งหมดอาศัยเนื้อหาจากพระวรสารของมาระโกฉบับปรับปรุง (ขั้นตอนที่สอง) เข้ามาช่วยด้วย พระวรสารมาระโกฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับที่อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายแบบที่เรารู้จักในปัจจุบัน พระวรสารของมาระโกได้รับการปรับปรุงแก้ไขอีกครั้งหนึ่งโดยแลกเปลี่ยนสลับข้อความจากพระวรสารของมัทธิวฉบับปรับปรุงในขั้นตอนที่สอง และบางทียังใช้ข้อความจาก "ปฐมลูกา" และเปาโลอีกด้วย ส่วนพระวรสารของลูกาก็ได้รับการปรับปรุงครั้งสุดท้ายโดยใช้มาระโกฉบับปรับปรุงขั้นตอนที่สอง เช่นเดียวกับที่มัทธิวได้ทำ ในขั้นตอนแรกของการเรียบเรียง (ปฐมลูกา) ก็มีข้อความจากมาระโกสามตอน (4:31-6:19; 8:4-9:50; 18:15-21:38) แทรกอยู่แล้ว การสอดแทรกข้อความทั้งสามตอนที่ว่านี้คงได้เกิดขึ้นหลังจากที่ลูกาได้ใช้ข้อความจากมัทธิวและ S แทรกในพระวรสารของตนแล้ว เพราะในระยะหลังเขาได้ตัดเรื่องราวที่ซ้ำกันนี้จากมัทธิวและ S ออกไป น่าสังเกตอีกว่า ลูกาได้ใช้แหล่งข้อมูลเฉพาะที่เขาได้ค้นคว้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน (1:3) มากกว่าที่มัทธิวได้ทำ จากแหล่งข้อมูลพิเศษลูกาได้รับเอาเรื่องราวเกี่ยวกับปฐมวัยของพระเยซูเจ้า และเรื่องราวน่าจับใจอีกหลายเรื่องซึ่งทำให้พระวรสารของตนเพิ่มเติมพระวรสารของมัทธิวและมาระโกให้สมบูรณ์ขึ้น (เช่น เรื่องชาวซามาเรียผู้ใจดี เรื่องมารธาและมารีย์ เรื่องลูกล้างผลาญ เรื่องชาวฟาริสีและคนเก็บภาษี)

    3. กระบวนการเรียบเรียงที่ได้กล่าวมานี้คำนึงถึงและใช้ข้อมูลหลักๆจากธรรมประเพณี แล้วได้เพิ่มเติมรายละเอียดลงไป การอธิบายเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถกำหนดวันเดือนปีที่แน่นอนที่พระวรสารสหทรรศน์แต่ละฉบับได้เขียนขึ้น เราพอจะคาดคะเนได้ว่า ธรรมประเพณีที่เล่าปากต่อปากค่อยๆพัฒนาขึ้นจนกระทั่งพระวรสารฉบับดั้งเดิมของมัทธิวและหนังสือรวบรวมพระวาจา S นั้นน่าจะเขียนขึ้นระหว่างปี ค.ศ.40 ถึง 50 การกำหนดวันเวลาเร็วเช่นนี้คงเป็นที่แน่นอนถ้าเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าจดหมายของเปาโลถึงชาวเธสะโลนิกาซึ่งเขียนขึ้นประมาณปี 51-52 ได้ใช้คำปราศรัยของพระเยซูเจ้าเรื่องอวสานกาลตามที่บันทึกไว้ในพระวรสารดั้งเดิมของมัทธิว ถ้ามาระโกเขียนพระวรสารราวปลายชีวิตของเปโตร (ดังที่เคลเมนต์ แห่งอาเล็กซานเดรียยืนยัน) หรือไม่นานหลังจากความตายของเปโตร (ดังที่อีเรเนอัสยืนยัน) พระวรสารของเขาน่าจะเขียนในราวปี ค.ศ.64 หรืออย่างน้อยก่อนปี ค.ศ.70 เพราะไม่ปรากฏจากพระวรสารฉบับนี้ว่ากรุงเยรูซาเล็มได้ถูกทำลายแล้ว พระวรสารฉบับภาษากรีกของมัทธิวและของลูกาเขียนขึ้นภายหลังมาระโก แต่เป็นการยากกว่าที่จะกำหนดวันเวลาให้ชัดลงไปได้ หนังสือกิจการอัครสาวกสมมุติว่าลูกาได้เขียนพระวรสารแล้ว (กจ 1:1) แต่เราไม่ทราบว่าหนังสือกิจการเขียนขึ้นเมื่อไร จึงไม่สามารถนำมาใช้ในการกำหนดเวลาเขียนพระวรสารได้ เป็นความจริงว่า ทั้งมัทธิวฉบับภาษากรีกและลูกาไม่บอกชัดว่ากรุงเยรูซาเล็มได้ถูกทำลายแล้ว (แม้แต่ ลก 19:42-44; 21:20-24 ซึ่งใช้สูตรตายตัวจากหนังสือประกาศกบรรยายเหตุการณ์ซึ่งคาดคะเนได้ไม่ยากนัก) แต่ข้อมูลดังกล่าวยังใช้กำหนดอะไรแน่นอนลงไปไม่ได้ ถ้ามัทธิวและลูกาต่างไม่รู้เรื่องการทำลายกรุงเยรูซาเล็มก็แปลว่ามัทธิวและลูกาน่าจะเขียนก่อนปี 70 แต่ถ้าทั้งสองจงใจที่จะรักษาลักษณะโบราณของข้อความที่ได้คัดลอกมา พระวรสารทั้งสองน่าจะเขียนขึ้นหลังจากที่กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายแล้ว คือ ประมาณปี ค.ศ.80 อย่างไรก็ตาม เราสามารถยืนยันได้ว่าพระวรสารสหทรรศน์มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เรื่องราวที่บันทึกไว้นี้สามารถสืบสาวไปได้ถึงบรรดาอัครสาวกไม่ว่าโดยตรงหรือโดยทางอ้อมดังที่เราได้อธิบายกระบวนการพัฒนาธรรมประเพณีมาแล้ว ซึ่งช่วยเราให้เข้าใจลักษณะพิเศษของคุณค่าทางประวัติศาสตร์ดังกล่าวอีกด้วย เนื่องจากพระวรสารมีต้นกำเนิดมาจากการเทศน์สอนปากต่อปาก ซึ่งย้อนกลับไปถึงสมัยแรกของกลุ่มคริสตชน ผู้เป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ จึงเป็นหลักประกันได้ว่าเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งบรรดาอัครสาวกผู้เทศน์สอนข่าวดีคนอื่นๆและผู้เล่าเรื่องพระวรสารต่างไม่เคยคิดที่จะเขียนหรือสอนประวัติศาสตร์ตามความหมายทางวิชาการในปัจจุบัน เขาสนใจเพียงการแพร่ธรรมและอธิบายความเชื่อ เขาเทศน์สอนเพื่อให้คนกลับใจและประพฤติดีเพื่อทำให้ผู้ฟังมีความเชื่อ เพื่ออธิบายและป้องกันความเชื่อจากผู้โต้แย้ง เพื่อจุดประสงค์นี้ เขาจึงอ้างถึงพยานหลักฐานที่แน่นอน สามารถตรวจสอบได้ เพื่อจะอ้างเช่นนี้ได้เขาจำเป็นต้องมีความจริงใจและพยายามที่จะไม่ให้โอกาสฝ่ายตรงข้ามโต้แย้งได้ ผู้เรียบเรียงพระวรสารในขั้นตอนสุดท้ายได้รวบรวมหลักฐานและนำมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษร ต่างมีความปรารถนาจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและมีความเคารพเช่นกันต่อแหล่งข้อมูลที่ใช้ ดังจะเห็นได้ชัดจากลักษณะโบราณและเรียบง่ายของข้อความที่เขียนไว้ ในการเขียนพระวรสารนี้ ยังไม่มีการพัฒนาความคิดทางเทววิทยาดังที่พบได้ในทศวรรษต่อๆมา (เช่น ในข้อเขียนของเปาโล) และยิ่งกว่านั้น ยังไม่มีร่องรอยของตำนานพิศดารใดๆดังที่เห็นได้บ่อยๆในพระวรสารนอกสารบบ พระวรสารสหทรรศน์ทั้งสามฉบับอาจจะไม่ใช่หนังสือประวัติศาสตร์ แต่ทั้งสามมุ่งจะให้ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แก่เราอย่างแน่นอน ที่กล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่า แต่ละเหตุการณ์หรือคำปราศรัยซึ่งมีบันทึกอยู่จะตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรายละเอียดทุกอย่าง โดยทั่วไปไม่มีใครคาดว่าการให้การเป็นพยานและการถ่ายทอดข้อเท็จจริงสามารถให้รายละเอียดอย่างแม่นยำทุกประการได้ มีตัวอย่างเห็นได้ชัดในพระวรสารเอง ที่บันทึกเหตุการณ์หรือคำปราศรัยเดียวกันไว้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ความแตกต่างเช่นนี้พบได้ไม่เพียงแต่ในการเล่าเหตุการณ์เท่านั้น แต่ยังพบได้ในการจัดลำดับเรื่องราวต่างๆอีกด้วย พระวรสารแต่ละฉบับจัดลำดับเหตุการณ์เป็นของตนโดยเฉพาะ ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าคำนึงถึงขั้นตอนการเรียบเรียงที่ซับซ้อนของพระวรสาร เรื่องราวต่างๆในพระวรสารแต่แรกเป็นเรื่องที่เล่าแยกกัน ต่อมาได้ถูกรวบรวมเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มๆ และกลุ่มเหล่านี้ต่อมาได้ถูกนำมารวมหรือแยกจากกันอีก ด้วยเหตุผลที่ว่ามีเนื้อหาใกล้เคียงกันหรือมีความต่อเนื่องที่คล่องตัวมากกว่าด้วยเหตุผลตามลำดับก่อนหลังของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เหตุการณ์หรือพระดำรัสหลายประการที่มีเล่าอยู่ในพระวรสาร จึงไม่อยู่ในเวลาและสถานที่ของมัน และเพราะเหตุนี้ บ่อยครั้งเราจะเข้าใจความหมายของสันธานวลี เช่น "ต่อมา" "หลังจากนี้" "ในวันนั้น" "ในเวลานั้น" ฯลฯ ตรงตามตัวอักษรไม่ได้

    4. กระบวนการเรียบเรียงพระวรสารนี้เกิดขึ้นโดยมีพระจิตเจ้าทรงเป็นผู้นำ พระจิตเจ้าทรงแนะนำกลุ่มคริสตชนและโฆษกของกลุ่มให้เก็บรักษา คัดเลือกและจัดลำดับเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า ผู้นิพนธ์พระวรสารเป็นผู้เขียนอย่างแท้จริง และพระจิตเจ้าทรงแนะนำเขาในการเขียน มิใช่เข้ามาแทนที่ความสามารถทางเทววิทยาและทางวรรณกรรมของเขาเหล่านี้ แต่ตรงกันข้ามทรงเสริมสมรรถภาพเหล่านี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทำให้แต่ละคนเน้นแง่มุมต่างๆของธรรมประเพณีอันหลากหลายเกี่ยวกับข่าวดีของพระเยซูเจ้า

    5. พระวรสารของมาระโก โครงสร้างพระวรสารที่มาระโกใช้มีความซับซ้อนน้อยที่สุดในบรรดาพระวรสารสหทรรศน์ทั้งสาม อารัมภบท (1:1-13) ประกอบด้วยเรื่องการเทศน์สอนของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง รวมกับเรื่องพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างและถูกประจญ แล้วนั้นเป็นช่วงเวลาภารกิจของพระคริสตเจ้าที่กล่าวกันว่าเกิดขึ้นในแคว้นกาลิลี (1:14-7:23) ต่อจากนั้นเป็นการเดินทางของพระเยซูเจ้าและบรรดาอัครสาวกไปยังบริเวณเมืองไทระและไซดอน เดคาโปลิสหรือทศบุรี บริเวณเมืองซีซารียาแห่งฟีลิป และกลับมายังแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง (7:24-9:50)

    เหตุการณ์ต่อมาคือการสำแดงองค์อย่างรุ่งโรจน์และการเดินทางครั้งสุดท้ายผ่านแคว้นเปเรอาและเมืองเยริโคไปกรุงเยรูซาเล็ม อันเป็นสถานที่ที่ทรงได้รับทรมานและกลับคืนพระชนมชีพ (10:1-16:8) ลำดับเหตุการณ์บางประการอาจตรงกับที่เกิดขึ้นจริง แต่โครงสร้างทั้งหมดนี้คงจะเป็นการสร้างขึ้นของมาระโก

    เพราะพระเยซูเจ้าน่าจะได้เสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มหลายครั้งดังที่พระวรสารของยอห์นน่าจะทำให้เราแน่ใจยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามโครงสร้างนี้ยังมีความสำคัญทำให้เราเห็นการพัฒนาที่สำคัญทั้งในแง่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและความหมายทางเทววิทยาของเหตุการณ์เหล่านั้น ประชาชนโดยทั่วไปได้ต้อนรับพระเยซูเจ้าอย่างดีในตอนแรก แต่ความกระตือรือร้นของเขาได้จางหายไปเมื่อเขาเข้าใจว่า พระองค์ทรงมีความคิดเรื่องพระเมสสิยาห์ผู้อ่อนโยน ซึ่งมิได้มาสร้างอาณาจักรในโลกนี้ ทำให้เขาผิดหวัง ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลี ใช้เวลาสั่งสอนผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์กลุ่มเล็กๆ และคำประกาศยืนยันความเชื่อที่เมืองซีซารียาแห่งฟีลิปก็แสดงให้เห็นว่า พวกเขามีความเชื่อในพระองค์แล้ว เหตุการณ์นี้ทำให้พระชนมชีพของพระเยซูเจ้าต้องเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง หลังจากนั้น กรุงเยรูซาเล็มจะกลับเป็นศูนย์กลางของเหตุการณ์ทั้งหลาย การต่อต้านพระองค์จะเข้มข้นยิ่งขึ้นที่นั่น จนจบลงในการรับทรมานและชัยชนะเด็ดขาดเมื่อทรงกลับคืนพระชนมชีพ

    ข้อเท็จจริงที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันนี้เป็นสาระสำคัญของพระวรสารฉบับนี้ นั่นคือการที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นทูตผู้ทรงชัยของพระเจ้าทั้งๆที่มนุษย์เข้าใจผิดและไม่ยอมรับพระองค์ พระวรสารฉบับนี้ไม่ได้สนใจมากนักที่จะเรียบเรียงคำสอนของพระอาจารย์ จึงได้บันทึกพระดำรัสเพียงไม่กี่ข้อ ประเด็นสำคัญของคำสอนคือแสดงว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ผู้ถูกตรึงกางเขน ในด้านหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ดังที่พระบิดาทรงยืนยัน (1:11; 9:7) ปิศาจ (1:24; 3:11; 5:7) และแม้กระทั่งมนุษย์ก็ยืนยันด้วย (15:39) พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ซึ่งทรงอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า (14:62) ทรงมีฐานะสูงกว่าทูตสวรรค์ (13:33) ทรงเป็นผู้อภัยบาปมนุษย์ (2:10) ทรงทำอัศจรรย์ (1:31; 4:41 ฯลฯ) และทรงขับไล่ปิศาจ (1:27; 3:23ฯ) เพื่อทรงพิสูจน์พระอานุภาพและพระภารกิจ แต่ในอีกด้านหนึ่ง พระวรสารฉบับนี้ยังเน้นว่าพระองค์ดูเหมือนทรงประสบความล้มเหลวจากประชาชน หลายคนสบประมาทหรือปฏิเสธพระองค์ (5:40; 6:2ฯ) ผู้นำทางศาสนาต่อต้าน (2:1-3:6) แม้กระทั่งบรรดาศิษย์ก็ไม่เข้าใจพระองค์ (4:13 เชิงอรรถ b) -การต่อต้านทั้งหมดนี้ในที่สุดทำให้พระองค์ต้องรับทรมานอย่างน่าอับอายบนไม้กางเขน พระวรสารฉบับนี้ต้องการอธิบายความหมายของ "การสะดุด" และ "การปฏิเสธ" นี้ พระวรสารได้อธิบายเรื่องนี้ไม่เพียงแต่โดยทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างไม้กางเขนกับชัยชนะที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพอย่างรุ่งโรจน์เท่านั้น แต่ยังแสดงว่าการต่อต้านนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนการอันลึกลับของพระเจ้าอีกด้วย จำเป็นที่พระคริสตเจ้าจะต้องรับทรมานและดังนี้จะได้ทรงไถ่กู้มนุษยชาติ (10:45; 14:24) เนื่องจากว่าพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว (9:12; 14:21,49) พระเยซูเจ้าทรงแสดงวิถีทางแห่งความถ่อมตนและนอบน้อมทั้งสำหรับพระองค์ (8:31; 9:31; 10:33ฯ) และสำหรับผู้ติดตาม (8:24ฯ; 9:35; 10:15,24ฯ,29ฯ,39; 13:9-13) แต่ชาวยิวซึ่งรอคอยพระเมสสิยาห์-นักรบ ผู้พิชิต รู้สึกผิดหวังในพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงกำชับมิให้ใครพูดถึงอัศจรรย์ที่ทรงกระทำ (5:43) และมิให้กล่าวว่าพระองค์เป็นใคร (7:24; 9:30) ก็เพื่อหลีกเลี่ยงความกระตืนรือร้นที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิด พระเยซูเจ้ามิได้ทรงเรียกตนเองว่าพระเมสสิยาห์ (8:29ฯ) แต่ทรงใช้พระนามที่ต่ำต้อยและลึกลับว่า "บุตรแห่งมนุษย์" (2:10 เทียบ มธ 8:20 เชิงอรรถ h) การที่ทรงระมัดระวังเช่นนี้เรียกได้ว่า "ความลับเรื่องพระเมสสิยาห์" (1:34 เชิงอรรถ m) และเป็นความคิดหลักในพระวรสารของมาระโก "ความลับเรื่องพระเมสสิยาห์" ที่ว่านี้มิได้เป็นเรื่องที่มาระโกคิดขึ้นเอง แต่น่าจะสอดคล้องกับเหตุการณ์จริงๆเบื้องหลังในพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าผู้ทรงรับทรมาน มาระโกจะเข้าใจความหมายของพระทรมานนี้อาศัยแสงสว่างของความเชื่อซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์จากเหตุการณ์ในวันปัสกาและจะถ่ายทอดความเข้าใจนี้ให้แก่เราในพระวรสาร

    6. พระวรสารของมัทธิว มัทธิวแสดงความเชื่อและเล่าเรื่องพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าในโครงสร้างคล้ายๆกับพระวรสารของมาระโก แต่เน้นแนวความคิดต่างกัน ก่อนอื่นหมด แผนของพระวรสารไม่เหมือนกันและซับซ้อนกว่า พระวรสารของมัทธิวแบ่งออกเป็นห้าภาค แต่ละภาคประกอบด้วยคำปราศรัยของพระคริสตเจ้า โดยเล่าเหตุการณ์ต่างๆเป็นการเตรียมคำปราศรัย เรื่องราวห้าภาคนี้ รวมกับเรื่องปฐมวัยและเรื่องพระทรมานจึงเป็นหนังสือฉบับเดียวซึ่งมีเจ็ดภาคประกอบกันอย่างดี เป็นไปได้ที่การเรียบเรียงเช่นนี้ซึ่งชัดเจนมากได้มีแล้วในฉบับดั้งเดิมภาษาอาราเมอิค อย่างไรก็ตาม ในฉบับปัจจุบันภาษากรีก การเรียบเรียงเรื่องเช่นนี้เห็นได้ชัดเจน มัทธิวได้ใช้แหล่งข้อมูลตามสบายเพื่อเรียบเรียงพระวรสารตามแนวความคิดที่วางไว้แล้วเป็นอย่างดี เนื่องจากว่าพระวรสารฉบับนี้บันทึกคำสอนของพระคริสตเจ้าสมบูรณ์กว่าพระวรสารของมาระโก และเน้นโดยเฉพาะความคิดหลักเรื่องอาณาจักรสวรรค์ แบ่งออกเป็น 7 องค์ดังต่อไปนี้
    (1) การเตรียมพระอาณาจักรในพระบุคคลของพระเมสสิยาห์-กุมาร (บทที่ 1-2)
    (2) การประกาศกฎบัตรของพระอาณาจักรอย่างเป็นทางการแก่บรรดาศิษย์และสาธารณชน นั่นคือธรรมเทศนาบนภูเขา (บทที่ 5-7)
    (3) การเทศน์ประกาศถึงพระอาณาจักรโดยบรรดาธรรมทูตซึ่งมีอัศจรรย์เป็นเครื่องหมายรับรองคำเทศน์สอน เช่นเดียวกับที่พระเยซูเจ้าเคยทรงกระทำ พระองค์ทรงสั่งสอนพร้อมกับทรงมอบอำนาจให้บรรดาธรรมทูตกระทำอัศจรรย์ได้ด้วย (บทที่ 8-10)
    (4) อุปสรรคซึ่งพระอาณาจักรต้องเผชิญ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพระเจ้าทรงว่าพระอาณาจักรจะมาถึงอย่างเงียบๆไม่เอิกเกริก ดังที่พระเยซูเจ้าทรงอธิบายโดยใช้เรื่องอุปมา (11:1-13:52)
    (5) พระอาณาจักรเริ่มต้นเล็กในกลุ่มบรรดาศิษย์ ซึ่งมีเปโตรเป็นประมุข กฎสำหรับพระศาสนจักรในแบบคร่าวๆซึ่งจะต้องพัฒนาต่อไป มีกล่าวไว้ในคำแนะนำสำหรับกลุ่มคริสตชนในตอนสุดท้าย (13:53-18:35)
    (6) วิกฤตการณ์ของพระอาณาจักรที่เกิดขึ้นเมื่อผู้นำชาวยิวแสดงตนเป็นศัตรูต่อพระคริสตเจ้ามากยิ่งขึ้น เป็นการเตรียมทางสำหรับพระอาณาจักรที่จะมาถึงอย่างถาวร วิกฤตการณ์นี้ยังเป็นหัวข้อของการเทศน์สอนเรื่องอวสานกาล (บทที่ 19-25)
    (7) ในที่สุด การมาถึงของพระอาณาจักร เกิดขึ้นผ่านทางความทุกข์และชัยชนะโดยพระทรมานและการกลับคืนพระชนมชีพ (บทที่ 26-28) พระอาณาจักรของพระเจ้า (ของ "สวรรค์" ในมัทธิว) เป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ปกครองมนุษย์ ซึ่งในที่สุดมารู้จัก รับใช้และรักพระองค์ พันธสัญญาเดิมได้กล่าวถึงและเตรียมพระอาณาจักรนี้แล้ว เพราะฉะนั้น มัทธิวซึ่งเขียนพระวรสารสำหรับคริสตชนชาวยิว จึงพยายามพิสูจน์ว่าทุกสิ่งที่กล่าวไว้ในธรรมบัญญัติและบรรดาประกาศก "สำเร็จลุล่วงไป" -วลีนี้มีความหมายว่า ความหวังของบรรพบุรุษและบรรดาประกาศกไม่เพียงแต่ได้สำเร็จลงตามที่คาดหวังเท่านั้น แต่ยังบรรลุถึงความสมบูรณ์อีกด้วย มัทธิวประยุกต์ความจริงข้อนี้กับพระบุคคลของพระเยซูเจ้า เขาอ้างข้อความจากพันธสัญญาเดิมเพื่อแสดงว่าพระเยซูเจ้าทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด (1:1-17) ทรงบังเกิดจากพรหมจารี (1:23) ที่เมืองเบธเลเฮม (2:6) ทรงพำนักในประเทศอียิปต์ ทรงปฏิบัติภารกิจที่เมืองคาเปอรนาอุม (4:14-16) เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มในฐานะพระเมสสิยาห์ (21:5,16) มัทธิวยังประยุกต์ความจริงนี้กับพระราชกิจของพระเยซูเจ้าอีกด้วย เขาอ้างข้อความจากพันธสัญญาเดิมเพื่ออธิบายถึงการที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้เจ็บป่วย (11:4-5) ในที่สุด มัทธิวยังประยุกต์ความจริงนี้กับคำสอนของพระเยซูเจ้า คำสอนนี้ "ทำให้ธรรมบัญญัติสำเร็จลุล่วงไป" (5:17) พร้อมกับยกธรรมบัญญัติให้มีความหมายสูงกว่าเดิมอีกระดับหนึ่ง (5:21-48; 19:3-9,16-21) มัทธิวยังยืนยันอย่างหนักแน่นเช่นกันว่า พระคัมภีร์สำเร็จลุล่วงไปแม้ในความต่ำต้อยของพระเยซูเจ้าและในกิจการที่มนุษย์คิดว่าพระองค์ได้ประสบความล้มเหลว แผนการของพระเจ้ารวมเหตุการณ์ต่อไปนี้ซึ่งพันธสัญญาเดิมกล่าวไว้ล่วงหน้าคือทารกผู้วิมลถูกประหาร (2:17ฯ) พระชนมชีพซึ่งไม่เปิดเผยที่เมืองนาซาเร็ธ (2:23) ความเมตตากรุณาของ "ผู้รับใช้ของพระเจ้า" (12:17-21; เทียบ 8:17; 11:29; 12:7) บรรดาศิษย์จะละทิ้งพระองค์ (26:31) ค่าตอบแทนเล็กน้อยสำหรับการทรยศ (27:9-10) ทรงถูกจับกุม (26:54) ทรงถูกฝังเป็นเวลาสามวัน (12:40) ในทำนองเดียวกัน พันธสัญญาเดิมยังทำนายล่วงหน้าว่าชาวยิวจะไม่เชื่อ (13:13-15) เพราะเขาดื้อรั้นยึดมั่นในธรรมประเพณีที่มนุษย์ตั้งขึ้น (15:7-9) พระองค์ทรงสามารถเข้าถึงชาวยิวเหล่านี้ได้โดยทางอุปมาเท่านั้น (13:14-15:35) มัทธิวไม่ใช่ผู้นิพนธ์พระวรสารสหทรรศน์เพียงคนเดียวที่ใช้ข้อความจากพันธสัญญาเดิมมาใช้อ้างถึงพระคริสตเจ้า แต่เป็นคนที่ใช้มากที่สุดจนเป็นลักษณะเฉพาะของพระวรสารของเขา พระวรสารของมัทธิวเป็นพระวรสารที่มีสำนวนเซมิติกมากที่สุด

    พระวรสารนี้ไม่เพียงแต่แสดงความสนใจอย่างมากและกล่าวถึงรายละเอียดของประเพณีปฏิบัติของชาวยิวอยู่บ่อยๆ เช่น เรื่องวันสับบาโต เรื่องการเขียนข้อความจากพระคัมภีร์ใส่กลักเล็กๆคาดไว้ที่ศีรษะและแขน (phylacteries) เรื่องภาษีหนึ่งในสิบและพิธีชำระตัวเท่านั้น แต่ยังใช้เทคนิคของชาวยิวในการอธิบายพระคัมภีร์และวิธีการอื่นๆของพวกรับบีในการโต้แย้งอีกด้วย ลักษณะของชาวยิวอีกประการหนึ่งคือความห่วงกังวลเรื่องการพิพากษาสุดท้ายและการตอบแทนความดีความชั่วโดยใช้ปรากฏการณ์วุ่นวายบนท้องฟ้ามาบรรยาย ลักษณะความเป็นชาวยิวนี้อธิบายถึงความสนใจของมัทธิวที่จะแสดงว่าบัญญัติใหม่ของพระคริสตเจ้าทำให้บัญญัติเดิมสำเร็จลุล่วงไปและประชากรใหม่ของพระเจ้าเป็นผู้สืบทอดต่อจากอิสราเอลของพันธสัญญาเดิม ซึ่งได้รับเชิญมาร่วมงานเลี้ยงของพระเมสสิยาห์เป็นอันดับแรก แต่ได้ปฏิเสธคำเชื้อเชิญนั้น (23:34-38 เทียบ 10:5-6,23; 15:24) มัทธิวยังสนใจเรื่องการที่พันธสัญญาเดิมสำเร็จลุล่วงไปในพระคริสตเจ้า โดยแสดงว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นโมเสสคนใหม่อยู่บ่อยๆ พระชนมชีพของพระเยซูเจ้าดำเนินตามรอยชีวิตของโมเสส และทรงเป็นผู้ประทานบัญญัติในพันธสัญญาใหม่ แต่มากกว่านี้ พระเยซูเจ้าทรงความยิ่งใหญ่แม้ในระหว่างที่ทรงพระชนมชีพอยู่ในโลกนี้ พระองค์ได้รับการยอมรับว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า (14:33; 16:16; 22:2; 27:40,43) เช่นเดียวกับทรงเป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิด ตั้งแต่ทูตสวรรค์มาแจ้งให้ทราบถึงการปฏิสนธิของพระองค์แล้วเราทราบว่าพระองค์ คือ "พระเจ้า-สถิต-กับเรา" อีกมิติหนึ่งของพระวรสารของมัทธิวคือความสนใจเรื่องหมู่คณะ เพราะในคำปราศรัยของพระเยซูเจ้ามีบทหนึ่ง (บทที่ 18) ซึ่งกล่าวถึงพฤติกรรมภายในหมู่คณะโดยเฉพาะ และมัทธิวเน้นความสำคัญของเปโตรในฐานะที่เป็นศิลาฐานของอิสราเอลใหม่ (16:18) และของบรรดาศิษย์ มัทธิวพยายามที่จะงดเว้นไม่กล่าวถึงถ้อยคำรุนแรงที่พระเยซูเจ้าทรงตำหนิพวกเขาตามที่มาระโกเล่า หรืออย่างน้อยพยายามลดความรุนแรงลง

    7. พระวรสารของลูกา คุณสมบัติเด่นของพระวรสารฉบับที่สามเป็นผลมาจากบุคลิกภาพที่น่ารักของผู้แต่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นในงานเขียนของเขาทุกตอน ลูกาเป็นทั้งนักเขียนที่มีความสามารถและเป็นคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อนและไวต่อความรู้สึก เขาเขียนพระวรสารตามแนวความคิดของตน พยายามรวบรวมข้อมูลที่แน่นอนอย่างละเอียดถี่ถ้วนและเล่าอย่างเป็นระเบียบ (1:3) ลูกาเคารพแหล่งข้อมูลและเรียบเรียงเรื่องราวอย่างมีระเบียบก็จริง แต่เขาก็ไม่ได้ดำเนินตามลำดับเวลาก่อนหลัง มัทธิวและมาระโกก็ได้ทำเช่นเดียวกัน ลูกาดำเนินเรื่องตามลำดับของมาระโกโดยเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย (3:19-20; 4:16-30; 5:1-11; 6:12-19; 22:31-34) บางครั้งลูกาได้เปลี่ยนแปลงลำดับเพื่อให้เรื่องราวชัดเจนและต่อเนื่องมากขึ้น บางครั้งได้เปลี่ยนแปลงลำดับเพราะอิทธิพลของธรรมประเพณีสายอื่น รวมทั้งธรรมประเพณีสายหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังพระวรสารของยอห์น เรื่องราวอื่นๆบางเรื่องถูกละไว้ทั้งหมดด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น เพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจสำหรับผู้อ่านที่ไม่ใช่ชาวยิว (มก 9:11-13) หรือเป็นเพราะว่าลูกาได้พบอยู่แล้วในหนังสือรวบรวมพระวาจา S (มก 12:28-34; ดู ลก 10:25-28) หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะลูกาคิดว่าจะเป็นการกล่าวซ้ำโดยไม่จำเป็น (ข้อความยืดยาวของ มก 6:45-8:26) ความแตกต่างจากมาระโกที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือลูกาได้สอดแทรกข้อความยืดยาว (ดู 9:51-18:14) ซึ่งเราได้อธิบายแล้วว่า เป็นการรวมพระดำรัสจากหนังสือรวบรวมพระวาจา S กับข้อมูลอื่นๆที่ลูกาได้พบด้วยตนเอง ข้อความสำคัญตอนกลางนี้ใช้การเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็มเป็นกรอบ (เทียบ การย้ำข้อความใน มก 10:1 เป็นสามครั้ง ใน ลก 9:51; 13:22; 17:11) อันที่จริงข้อความนี้ไม่ใช่การเล่าถึงการเดินทางที่เกิดขึ้นจริงแต่ประการใด แต่เป็นวิธีหนึ่งที่ลูกาใช้เพื่อนำเสนอแนวคิดทางเทววิทยาที่สำคัญของเขา นั่นคือความคิดที่ว่า นครศักดิ์สิทธิ์เป็นเวทีที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับเหตุการณ์ที่จะนำความรอดพ้นมาให้ (9:31; 13:33; 18:31; 19:11) เพราะว่าการประกาศข่าวดีแก่โลกจะต้องเริ่มต้นจากกรุงเยรูซาเล็ม (24:47; กจ 1:8) พระวรสารของเขาจึงเริ่มต้นที่นั่น (1:5ฯ) และพระวรสารของเขาจะจบลงที่นั่นเช่นกัน (24:52ฯ) ลูกาเล่าถึงการสำแดงองค์และการสนทนาของพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพว่าไม่ได้เกิดขึ้นที่แคว้นกาลิลี (ดู 24:13-51 และเทียบ 24:6 กับ มก 16:7; มธ 28:7,16-20)

    8. ถ้าเราเปรียบเทียบพระวรสารของลูกากับแหล่งข้อมูลทั้งสองของเขา คือ (1) พระวรสารของมาระโก และ (2) แหล่งข้อมูลต่างๆที่อยู่เบื้องหลังข้อความในพระวรสารของมัทธิวซึ่งพบได้ในพระวรสารของลูกาด้วย จะเห็นชัดว่าลูกาได้เอาใจใส่ปรุงแต่งข้อความที่เขาได้รับมา เขาเปลี่ยนแปลงข้อความเหล่านี้เพียงเล็กน้อย แต่ทำให้ผลงานของเขามีลักษณะจำเพาะของตนเอง เขาหลีกเลี่ยงหรือทำให้ข้อความที่ผู้อ่านอาจรู้สึกไม่พอใจอ่อนลง (8:43; เทียบ มก 5:26 ลูกาละ มก 9:43-48; 13:32) หรือข้อความที่คิดว่าผู้อ่านไม่เข้าใจ (ลูกาละ มธ 5:21ฯ, 33ฯ; มก 15:34 ฯลฯ) เขาละสิ่งใดก็ตามที่เป็นการเหยียดหยามต่อศักดิ์ศรีของบรรดาอัครสาวก (มก 4:13; 8:32ฯ; 9:28ฯ; 14:50) และแก้ตัวให้ (ลก 9:45; 18:34; 22:45) เขาอธิบายข้อความที่เข้าใจยาก (6:15) และให้ความกระจ่างเกี่ยวกับชื่อสถานที่ (4:31; 19:28ฯ, 37; 23:51) ฯลฯ ลักษณะที่น่าประทับใจมากที่สุดของลูกาประการหนึ่งคือ การบรรยายถึงความอ่อนโยนของพระคริสตเจ้า เขาพยายามเน้นความรักของพระอาจารย์ต่อคนบาป (15:1ฯ,7,10) บันทึกการที่ทรงให้อภัย (7:36-50; 15:11-32; 19:1-10; 23:34,39-43) เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างความอ่อนหวานของพระองค์ต่อผู้ต่ำต้อยและคนยากจน กับความเข้มงวดที่ทรงแสดงต่อคนหยิ่งยโสและต่อผู้ที่ใช้ทรัพย์สมบัติของตนอย่างผิดๆ (1:51-53; 6:20-26; 12:13-21; 14:7-11; 16:15,19-31; 18:9-14) แต่แม้จะทรงมีความเข้มงวดเช่นนี้ คนชั่วร้ายที่สมควรจะถูกลงโทษจึงยังไม่ถูกตัดสินลงโทษจนกว่าเวลาแห่งความเมตตากรุณาจะพ้นไปแล้ว (13:6-9; เทียบ มก 11:12-14) สิ่งจำเป็นแต่ประการเดียวคือการเป็นทุกข์กลับใจ การปฏิเสธตนเอง และในเรื่องนี้ลูกาซึ่งเป็นคนอ่อนโยนและผ่อนปรน จะไม่ยอมประนีประนอมแต่ยืนยันให้สละตนโดยสิ้นเชิงอย่างเด็ดขาด (14:25-34) โดยเฉพาะต่อสละทรัพย์สมบัติ (6:34ฯ; 12:33; 14:12-14; 16:9-13) ข้อความอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งพบเฉพาะในพระวรสารของลูกาคือข้อความเรื่องความจำเป็นที่จะต้องอธิษฐานภาวนา (11:1-8; 18;1-8) ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงเป็นแบบฉบับในเรื่องนี้ (3:21; 5:16; 6:12; 9:28) ในที่สุด ลูกาเป็นผู้นิพนธ์พระวรสารสหทรรศน์เพียงผู้เดียวที่ให้ความสำคัญแก่พระจิตเจ้าแบบที่เราพบได้ในข้อเขียนของเปาโลและในกิจการของอัครสาวก (ลก 1:15,35,41,67; 2:25-27; 4:1,14,18; 10:21; 11:13; 24:49) คุณสมบัติเหล่านี้รวมกับลักษณะของความชื่นชมยินดีในพระเจ้าและการสำนึกในบุญคุณต่อพระองค์สำหรับพระพรต่างๆที่ได้รับ ปรากฏอยู่ทั่วไปในพระวรสารของลูกา (2:14; 5:28; 10:17; 13:17; 18:43; 19:37; 24:51ฯ) และเป็นลักษณะที่ทำให้ผลงานของลูกาประสบความสำเร็จสะท้อนความใจดีและความอ่อนโยนของผู้เขียน

    9. ลีลาการเขียน ภาษากรีกที่มาระโกใช้ไม่สละสลวย สะท้อนสำนวนภาษาอาราเมอิคเป็นอย่างมากและผิดไวยากรณ์บ่อยครั้ง แต่เป็นภาษาพูดที่มีชีวิตชีวาและน่าสนใจ ภาษากรีกของมัทธิวก็สะท้อนสำนวนภาษาอาราเมอิคด้วย แต่น้อยกว่ามาระโก เป็นภาษาเขียนและถูกไวยากรณ์มากกว่า ภาษากรีกของลูกามีลักษณะผสม เมื่อเขียนโดยไม่ใช้แหล่งข้อมูล ภาษากรีกของลูกาเป็นภาษากรีกดีมาก แต่เพราะความเคารพต่อแหล่งข้อมูลที่ใช้ เขาจึงคัดเอาความบกพร่องทางภาษาของแหล่งข้อมูลเหล่านั้นเข้ามาด้วย -แม้ได้ขัดเกลาบ้างแล้วก็ตาม บางครั้ง ลูกาพยายามอย่างมากที่จะเขียนเลียนแบบภาษากรีกของพันธสัญญาเดิม (LXX)

    10. ลักษณะการแปลสำนวนนี้ การแปลครั้งนี้ได้รักษาเอกลักษณ์การเขียนของผู้นิพนธ์พระวรสารสหทรรศน์แต่ละคนไว้ มุ่งจะแสดงรายละเอียดที่เหมือนและที่แตกต่างกัน เพื่อชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ทางวรรณกรรมของพระวรสารทั้งสามเท่าที่ทำได้


    [ พระคัมภีร์ ] [ พระวรสารสหทรรศน์ ] [ รายนามพระคัมภีร์] [พระวรสารเปรียบเทียบ] [ ชีวประวัติพระเยซูเจ้า]
    [ฉบับ น.มัธทิว] [ฉบับ น.มาระโก] [ฉบับ น.ลูกา] [ฉบับ น.ยอห์น] [กิจการอัครสาวก] [Know John] [ กลับสู่เมนูหลัก ]