การเสนอวิธีการเขียนเทงวาร์โหมดภาษาไทย
A Proposal of Thai Tengwar Mode

ฮอบบิตั้ม khun_panya@yahoo.com
ภาควิชาภาษา มหาวิทยาลัยกอนดอร์

บทความนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการลองคิดตารางเทงวาร์โหมดภาษาไทยดูเล่น ๆ โดยจากการสังเกตตารางเทงวาร์ในโหมดของภาษาอังกฤษและภาษาเวสทรอนแล้วพบว่า ยังคงเหลืออักษรบางตัวที่น่าจะนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์แทนเสียงสัทที่ชัดเจนมากกว่านี้ ขณะที่ความหลากหลายของตัวอักษรในตารางน่าจะมีมากพอที่จะนำมากำหนดให้แทนตัวอักษรภาษาไทยตัวหนึ่งๆ ได้ จึงได้นำเสนอแนวคิดที่จะนำอักษรเทงวาร์มาใช้เขียนคำในภาษาไทย และแม้ว่าจะมีการนำคุณลักษณะทางสัทศาสตร์มาร่วมกำหนดตารางเทงวาร์โหมดภาษาไทยนี้ก็ตาม แต่การนำไปใช้งานจะมุ่งสำหรับใช้เขียนแทนที่ตัวอักษรภาษาไทยมากกว่าการเขียนตามเสียงสัทศาสตร์จริงๆ

หมายเหตุ: บางส่วนของบทความนี้มีการใช้ฟอนต์เทงวาร์แสดงผล ผู้อ่านควรจะต้องมีฟอนต์ชื่อ "Tengwar Sindarin" ของ D.S.Smith ติดตั้งไว้ในเครื่องแล้ว ฟอนต์นี้สามารถดาวน์โหลดได้ ที่นี่



1. สัทศาสตร์ในภาษาอังกฤษ

ขอเกริ่นนำด้วยสัทศาสตร์ในภาษาอังกฤษและภาษาไทยก่อน
ตารางอักขระเทงวาร์โหมดสำหรับภาษาเอลฟ์ค่อนข้างจะได้รับอิทธิพลมาจากสัทศาสตร์แบบภาษาอังกฤษมาพอสมควร ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักก็ในเมื่อภาษาพูดของผู้แต่งเป็นภาษาอังกฤษ
เมื่อเราลองนำเสียงสัทที่มีในภาษาอังกฤษมาจัดเรียงตามให้เป็นหมวดหมู่ตามกลุ่มของฐานเสียงแล้ว จะพบว่ามีความคล้ายคลึงกับตารางอักขระเทงวาร์มาก

      A B C D E F
  Stop   Alveolar Bilabial Velar Palatal Glottal  
1 Unvoiced T P K C -  
2 Voiced D B G J    
  Fricative   Alveolar Labio dental Velar Palatal Glottal Dental
3 Unvoiced S F KH CH H TH
4 Voiced Z V GH JH   DH
  Nasal   Alveolar Bilabial Velar      
5 Voiced N M NG      
  Semivowel     Bilabial   Palatal    
6 Voiced   W   Y    
  Liquid   Alveolar          
7 Voiced L, R          
ตารางที่ 1 สัทศาสตร์ในภาษาอังกฤษ

จากตารางที่ 1 ในคอลัมน์ A-F ในแนวตั้งแสดงถึงฐานกำเนิดเสียง และในแนวนอนแสดงการแบ่งกลุ่มประเภทของเสียงและความก้องของเสียง
คอลัมน์ A เป็นกลุ่มของเสียงที่เกิดจากปุ่มเหงือก, B เกิดจากริมฝีปาก, C เกิดจากเพดานอ่อน, D เกิดจากเพดานแข็ง, E เกิดจากเส้นเสียง และ F เกิดจากฟัน
แถวที่ 1, 2 เป็นกลุ่มของเสียงระเบิดหรือเสียงหยุด, แถวที่ 3, 4 เป็นกลุ่มของเสียงเสียดแทรก, แถวที่ 5 เป็นกลุ่มเสียงนาสิก, แถวที่ 6 เป็นกลุ่มเสียงครึ่งสระหรืออัฒสระ และแถวที่ 7 เป็นกลุ่มเสียงเหลว เฉพาะในแถวที่ 6 และ 7 ไม่สามารถแบ่งฐานเสียงได้อย่างชัดเจน ที่จัดไว้ในตารางเป็นการประมาณเท่านั้น
จะเห็นว่าในกลุ่มเสียงระเบิดและเสียงเสียดแทรกยังสามารถแบ่งออกเป็นเสียงก้อง (Voiced) กับเสียงไม่ก้อง (Unvoiced) ได้ด้วย เสียงก้องหมายถึงในการออกเสียงเส้นเสียงจะสั่นสะบัด
โปรดทราบว่าสัทอักษรที่ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนเสียงในตารางบางตัวอาจไม่ตรงกับวิธีการออกเสียงจริงของตัวอักษรนั้น เพื่อป้องกันความสับสนแก่ผู้อ่านในการออกเสียง จะขอกล่าวถึงวิธีการออกเสียงของสัทอักษรในแต่ละตัวดังนี้
แถวที่ 1 : T ออกเสียง ท, P ออกเสียง พ, K ออกเสียง ค, C ออกเสียง ช, ตัวสุดท้ายคือเสียง อ
แถวที่ 2 : D ออกเสียง ด, B ออกเสียง บ, G ออกเสียง ก, J ออกเสียง จย
แถวที่ 3 : S ออกเสียง ซ, F ออกเสียง ฟ, KH ออกเสียง คฮ, CH ออกเสียง ชฮ, H ออกเสียง ฮ, TH ออกเสียง ธ (เสียง ท ลิ้นแตะฟัน)
แถวที่ 4 : Z ออกเสียง S เสียงก้อง, V ออกเสียง F เสียงก้อง, GH ออกเสียง KH เสียงก้อง, JH ออกเสียง CH เสียงก้อง, DH ออกเสียง TH เสียงสั่น (เสียง ด ลิ้นแตะฟัน)
แถวที่ 5 : N ออกเสียง น, M ออกเสียง ม, NG ออกเสียง ง (เสียงนี้ไม่มีเป็นอักษรนำในภาษาอังกฤษ)
แถวที่ 6 : W ออกเสียง ว, Y ออกเสียง ย
แถวที่ 7 : L ออกเสียง ล, R ออกเสียงคล้าย ร ไม่รัวลิ้น
ความสัมพันธ์เบื้องต้นระหว่างเสียงที่พอจะเห็นได้ในตารางคือ เสียงในแถวที่ 3 และ 4 ก็คือเสียงในแถวที่ 1 และ 2 ที่มีการเพิ่มเสียง ฮ เข้าไป (Aspirate) เป็นการลากเสียงให้ออกมาช้ากว่าเดิม สำหรับบางเสียงการลากเสียงเช่นนี้จะทำให้เกิดการเสียดแทรกและเสียงได้ชัดเจนขึ้นในชั้นต่อมาเรียกว่าเป็นเสียง Spirant อันได้แก่ S, F, TH, Z, V และ DH

2. สัทศาสตร์ในภาษาไทย

ภาษาไทยมีกฏเกณฑ์ในการเรียงตัวอักษรที่เป็นหลักเป็นการมากกว่าภาษาอังกฤษ(มากนัก) โดยการเรียงตัวอักษรนั้นจะเรียงตามเสียงสัทที่มีในภาษาไทยนั้นเอง ซึ่งในภาษาไทยได้ใช้วิธีการเรียงเสียงตามแบบภาษาบาลีและบางส่วนจากภาษาสันสกฤต แล้วเติมเสียงสัทที่มีเฉพาะในภาษาไทยเองเพิ่มเติมเข้าไป สัทศาสตร์ในภาษาไทยแสดงได้ด้วยตารางดังนี้

    A B C D E F G H
    ระเบิด นาสิก อัฒสระ เหลว เสียดแทรก
    สิถิล ธนิต        
1 เพดานอ่อน ข (ฃ)ค (ฅ)   
2 เพดานแข็ง ช [ซ] 
3 ฟันและปุ่มเหงือก {ฎ} ฏ 
4 ฟันและปุ่มเหงือก {ด} ต ล (ฬ)
5 ริมฝีปาก {บ} ปผ [ฝ]พ [ฟ]  
6 เส้นเสียง {อ}[ห] [ฮ]    
ตารางที่ 2 สัทศาสตร์ในภาษาไทย

เนื่องด้วยภาษาไทยเรารับเอาตารางเสียงตามแบบบาลี-สันสกฤตมาใช้ก็จริง แต่มีวิธีการออกเสียงที่ผิดไปจากเดิมและยังมีพยัญชนะของเราเองเข้ามาผสมด้วย จึงทำให้ตารางเสียงสัทของเราค่อนข้างจะอ่านยากและมีการจัดกลุ่มเสียงอักษรเหลื่อมล้ำกันอยู่บ้าง จำเป็นต้องอธิบายกันนอกตารางอีกทีหนึ่งดังนี้
แถวในแนวนอนแสดงถึงฐานกำเนิดเสียงส่วนคอลัมน์ในแนวตั้งแสดงถึงประเภทของเสียง แต่ก็มีอักษรบางตัวเป็นข้อยกเว้นไม่เป็นไปตามฐานเสียงหรือประเภทของเสียงในแถว/แนวนั้นอยู่บ้าง ดังจะได้กล่าวในรายละเอียดต่อไป
การแบ่งกลุ่มเสียงในตารางตามแนวตั้ง
คอลัมน์ A, B, C, D จัดเป็นกลุ่มเสียงระเบิด (Stop), คอลัมน์ E เป็นเสียงนาสิก (Nasal), คอลัมน์ F เป็นเสียงอัฒสระ (Semivowel), และคอลัมน์ H เป็นเสียงเสียดแทรก (Fricative)
โฆษะ-อโฆษะ
เสียงระเบิดใน A, B, C, D จัดเป็นเสียงอโฆษะหรือเสียงไม่ก้อง (Unvoiced) ทั้งหมด เว้นแต่พยัญชนะที่อยู่ในวงเล็บปีกกาในคอลัมน์ A จะเป็นเสียงโฆษะหรือเสียงก้อง (Voiced) ในจุดนี้ภาษาไทยเราต่างกับบาลี-สันสกฤต ตรงที่ว่าทั้งภาษาบาลีและสันสกฤตจะจัดเสียงในคอลัมน์ A, B เป็นอโฆษะและในคอลัมน์ C, D เป็นโฆษะ แทน ส่วนพยัญชนะในวงเล็บปีกกานั้นเป็นพยัญชนะที่ไม่มีในภาษาบาลี-สันสกฤต
คอลัมน์ E, F, G ของไทยเราเป็นเสียงโฆษะทั้งหมด เหมือนในภาษาบาลี-สันสกฤต
คอลัมน์ H เป็นเสียงอโฆษะ ต่างกับสันสกฤตที่เป็นโฆษะ ส่วนภาษาบาลี ไม่รู้ครับ
ธนิต-สิถิล
ธนิตคือเสียงที่มี ห หรือ ฮ ผสมอยู่ด้วยภาษาอังกฤษเรียก Aspirate ส่วนสิถิล ก็คือเสียงที่ไม่มี ห หรือ ฮ ปนอยู่นั่นเอง ในภาษาไทยเราคอลัมน์ A จัดเป็นเสียงสิถิล ส่วน B, C, D เป็นธนิตทั้งหมด ดังนั้นถ้าไม่นับเสียงวรรณยุกต์แล้ว ข, ค, ฆ ในภาษาไทยจึงออกเสียงเหมือนกันหมด ตรงนี้ก็ต่างกับบาลี-สันสกฤตอีก เพราะในภาษาบาลี-สันสกฤตนั้นคอลัมน์ A และ C จะเป็นสิถิล ส่วนคอลัมน์ B กับ D จะเป็นธนิต อย่างในภาษาล้านนาที่ยังคงแบ่งธนิต-สิถิลตามแบบบาลี-สันสกฤตอยู่ ในแต่ละแถวเขาก็จะออกเสียงว่า กะ ขะ ก๊ะ คะ งะ, จะ ฉะ จ๊ะ ชะ ยะ เป็นต้น นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมคำว่า "คำเมือง", "เชียงใหม่" ในภาษาเหนือเขาจึงออกเสียงเป็น "กำเมือง", "เจียงใหม่"
เสียงนาสิก
ในกลุ่มเสียงนาสิกในคอลัมน์ E นี้ มีพยัญชนะพิเศษอยู่ตัวเดียวคือตัว ญ ซึ่งในภาษาไทยเราออกเสียงเหมือนตัว ย ไม่มีผิด จะต่างกันก็ตอนเป็นตัวสะกดเท่านั้น ทำให้ในภาษาไทยเราอาจเรียกตัว ญ ว่าเป็นเสียงนาสิกได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเสียงไม่ขึ้นจมูกเลย
เสียงเสียดแทรก
นอกจากพยัญชนะในคอลัมน์ H ที่เป็นเสียงเสียดแทรกแล้ว พยัญชนะที่อยู่ในวงเล็บสี่เหลี่ยมในคอลัมน์ B และ C ก็จัดเป็นเสียงเสียดแทรกด้วยด้วย โดยเสียงของมันก็เกิดจากการ "Spirant" เสียงพยัญชนะปกติในช่องนั้นๆ นั่นเอง
การแบ่งฐานเสียงในตารางตามแนวนอน
แถวที่ 1 เรียกว่าวรรค กะ ในภาษาบาลีเรียกกลุ่ม กัณฐชะ เป็นเสียงที่เกิดจากเพดานอ่อน (Velar)
แถวที่ 2 เรียกว่า วรรค จะ ในภาษาบาลีเรียกกลุ่ม ตาลุชะเป็นเสียงที่เกิดจากเพดานแข็ง (Palatal) ในภาษาไทยยังถือว่าพยัญชนะกลุ่มนี้เป็นเสียงครึ่งเสียดแทรกด้วย
แถวที่ 3 เรียกว่า วรรค ฏะ ในภาษาบาลีเรียกกลุ่ม มุทธชะ (Alveolar)
แถวที่ 4 เรียกว่า วรรค ตะ ในภาษาบาลีเรียกกลุ่ม ทันตชะ (Dental) สำหรับภาษาไทยทั้งในแถวที่ 3 และ 4 จะออกเสียงเหมือนกันคือเกิดจากฐานฟันและปุ่มเหงือก ในขณะที่ภาษาบาลี-สันสกฤต จะแบ่งไว้ชัดว่า มุทธช คือเสียงเกิดจากปุ่มเหงือกและ ทันตช คือเสียงเกิดจากฟัน นอกจากนี้แล้วเสียงเสียดแทรก ศ, ษ, ส ในภาษาไทยยังออกเสียงเหมือนกันหมดด้วย และถูกจัดนำมาไว้ในกลุ่มฐานเสียงนี้ทั้งหมด ส่วนที่แสดงไว้ในตารางนั้นเป็นการแบ่ง ศ, ษ, ส ตามแบบภาษาสันสกฤต
แถวที่ 5 เรียกว่า วรรค ปะ ในภาษาบาลีเรียกกลุ่ม โอฏฐชะ ออกเสียงด้วยริมฝีปาก (Labial)
แถวที่ 6 ไม่ได้จัดเป็นวรรคทั้งในภาษาบาลี-สันสกฤตและภาษาไทย จริงๆ แล้วจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกเศษวรรค แต่ผู้เขียนพยายามแบ่งฐานเสียงตามแบบตารางสัทศาสตร์ภาษาอังกฤษด้วย คือ เป็นกลุ่มเสียงที่เกิดจากเส้นเสียง (Glottal) อันได้แก่เสียง โฆษะ-สิถิล อ และ อโฆษะ-ธนิต ห, ฮ อย่างไรก็ตามอักษรในแถวนี้ไม่จัดเป็นเสียงระเบิด

3. ตารางเทงวาร์โหมดภาษาไทย

จากคุณลักษณะทางสัทศาสตร์ของภาษาไทยทั้งหมด นำมากำหนดตารางเทงวาร์สำหรับภาษาไทย โดยให้แต่ละคอลัมน์ในตารางเทงวาร์ (ที่เรียกว่า เทมา Téma) แสดงถึงฐานกำเนิดเสียงพยัญชนะในลักษณะเดียวกับภาษาเอลฟ์ แต่เนื่องจากในภาษาไทยมีฐานเสียงที่เกิดจากเพดานแข็ง (เช่นเสียง จ, ช) ในแบบที่ภาษาเอลฟ์ไม่มี กำหนดฐานเสียงให้กับ "เทมา" สองคอลัมน์สุดท้ายเลียนแบบตารางเทงวาร์โหมดภาษาเวสทรอน (ซึ่งมีเสียงฐานเพดานแข็งเช่นกัน) แทน ดังนั้น เทมา ทั้งสี่ในตารางเทงวาร์โหมดภาษาไทย จึงแสดงถึงเสียงที่มีกำเนิดจากฐาน 1. ฟันและปุ่มเหงือก, 2. ริมฝีปาก, 3. เพดานแข็ง, และ 4. เพดานอ่อน ตามลำดับ
ส่วนการกำหนดลักษณะของเสียงในแต่ละแถวของตารางเทงวาร์ (ที่เรียกว่า เชลเล Tyelle) จะต่างกับในแบบภาษาเอลฟ์หรือภาษาเวสทรอนพอสมควร เนื่องด้วยคุณลักษณะของเสียงในภาษาไทยจะออกเสียง สิถิล ได้ชัดเจนกว่าภาษาเอลฟ์หรือภาษาเวสทรอน ในขณะที่ภาษาเรากลับขาดแคลนเสียงจำพวกเสียดแทรก อย่างไรก็ตาม ในการกำหนดลักษณะของเสียงในแต่ละเชลเลสำหรับภาษาไทยนี้ ผู้เขียนก็ได้พยายามที่จะรักษารูปแบบไว้ให้ใกล้เคียงกับตารางเทงวาร์ในโหมดภาษาเวสทรอนไว้ให้ได้มากที่สุด ในขณะที่พยายามกำหนดความหมายของ เทลโค และ ลูวา ให้เป็นระเบียบที่สุดเช่นกัน ดังนี้
ลูวา 1 วง ให้หมายถึงเสียง อโฆษะ
ลูวา 2 วง ให้หมายถึงเสียง โฆษะ
เทลโคแบบสั้น ให้หมายถึง เสียงอธนิต (Unaspirated) หรือ เสียงนาสิก (Nasal)
เทลโคแบบปกติ ให้หมายถึง เสียงไม่เสียดแทรก (Unspirant)
เทลโคแบบยก ให้หมายถึง เสียงเสียดแทรก (Spirant)
ส่วนพยัญชนะในกลุ่มเศษวรรค ก็ได้นำไปจัดเรียงเข้าในอักษรที่เหลือเทงวาร์ได้อย่างลงตัว เนื่องด้วยอักษรในกลุ่มที่เหลือนี้ก็ถูกสร้างมาสำหรับใช้แทนเสียงพยัญชนะในกลุ่มเศษวรรคอยู่แล้ว และผลลัพธ์ของตารางเทงวาร์โหมดภาษาไทยจึงเป็นดังนี้

   ABCD
   ฟัน-ปุ่มเหงือกริมฝีปากเพดานแข็งเพดานอ่อน
1 ไม่เสียดแทรก อโฆษะ 1 = ท q = พ a = ช z = ค
2 โฆษะ 2 = ด w = บ s = J x = G
3 เสียดแทรก อโฆษะ 3 = ธ e = ฟ d = ซ c = ฅ
4 โฆษะ 4 = DH r = V f = Z v = GH
5 นาสิก โฆษะ 5 = น t = ม g = ญ b = ง
6 อธนิต อโฆษะ 6 = ต y = ป h = จ n = ก
7 เศษวรรค โฆษะ 7 = ร u = ฤ j = ล m = ฬ
8 8 = ส i = ษ k = ศ , = ศ
9 9 = ห o = ฮ l = ย . = ว
ตารางที่ 3 ตารางเทงวาร์โหมดภาษาไทย
หมายเหตุ: ตารางนี้มีการใช้ฟอนต์เทงวาร์แสดงผล

จะเห็นว่าอักษรที่นำไปใส่ในตารางเทงวาร์โหมดภาษาไทยนี้ อาจจะไม่ตรงกับวิธีออกเสียงสัทที่กำกับไว้ด้วยเทลโคและลูวานัก แต่อาศัยว่าถึงอย่างไรวิธีการออกเสียงในลักษณะนั้นก็ไม่มีตัวอักษรแทนในภาษาไทยอยู่แล้ว จึงได้นำอักษรที่ใกล้เคียงที่สุดไปใส่ในช่องนั้น ดังจะอธิบายรายละเอียดต่อไปนี้
แถวที่ 1 เป็นเสียงไม่เสียดแทรก, อโฆษะ แบบธนิต เมื่อออกเสียงตามฐานเสียง ฟันและปุ่มเหงือก, ริมฝีปาก, เพดานแข็ง และเพดานอ่อนแล้ว ก็จะได้เสียง ท, พ, ช และ ค ตามปกติ
แถวที่ 2 เป็นเสียงไม่เสียดแทรก, โฆษะ แบบสิถิล เมื่ออกเสียงตามฐานเสียงแล้ว ในคอลัมน์ A และ B ก็จะได้เสียง ด และ บ ตามปกติ แต่ในคอลัมน์ C และ D นั้น จะเป็นเสียงที่ไม่มีในภาษาไทย โดยเสียงสำหรับคอลัมน์ C จะเป็นเสียงคล้ายตัว จ+ย ซึ่งไม่มีอักษรไทยจะมาแทน ส่วนในคอลัมน์ D ก็จะคล้ายเสียง ก+ง ซึ่งไม่มีอักษรไทยจะแสดงเช่นกัน จึงได้เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษด้วยตัว J และ G
แถวที่ 3 เป็นเสียงเสียดแทรก, อโฆษะ แบบธนิต ซึ่งถ้าจะออกเสียงจริง ๆ แล้ว ควรจะได้เสียงเสียดแทรกแบบ TH, F, S, KH ในภาษาอังกฤษมากกว่า แต่ในภาษาไทย ตัวอักษรที่เป็นเสียงเสียดแทรกที่เข้ากับบรรทัดนี้ได้ มีเพียง ฟ และ ซ สำหรับคอลัมน์ B และ C เท่านั้น ส่วนในคอลัมน์ A ที่เป็นเสียง TH ไม่มีในภาษาไทย แต่ปกติเรามักจะใช้อักษร ธ สำหรับเสียงนี้อยู่แล้ว จึงได้นำ ธ มาวางลงในช่องนี้ ส่วนคอลัมน์ D ซึ่งเป็นเสียง KH ผู้เขียนเห็นว่าอาจใช้เป็นอักษร ฅ หรือ ฆ ก็น่าจะมีเหตุผลเพียงพอทั้งคู่ ถ้าจะดูในตารางเสียงพยัญชนะภาษาไทยลองเทียบวรรค กะ กับวรรค ปะ แล้ว จะเห็นว่า เมื่อเสียงเสียดแทรกของ พ คืออักษร ฟ แล้ว ก็ดูคล้ายกับว่าอักษร ฅ จะเป็นเสียงเสียดแทรกของอักษร ค ได้ ปัญหาคือคำที่สะกดด้วยตัว ฅ ในปัจจุบันมีน้อยมาก จนน่าจะนำ ฆ มาใช้แทนมากกว่า ซึ่งก็คงต้องแล้วแต่จะพิจารณากันต่อไป
แถวที่ 4 เป็นเสียงเสียดแทรก, โฆษะ แบบสิถิล เสียงในแถวนี้ไม่มีในภาษาไทยเลย แต่พอพบเห็นในภาษาอังกฤษ จึงเขียนแทนไว้ด้วยภาษาอังกฤษคือตัว DH, V, Z, GH เป็นเสียงที่พบได้ในตารางพยัญชนะสากล เสียงโฆษะ คอลัมน์ C
แถวที่ 5 เป็นเสียงนาสิก ออกเสียงตามฐานเสียงปกติทุกตัว ยกเว้นตัว ญ ซึ่งในภาษาไทย จะมีค่าเท่ากับเสียงพยัญชนะสองตัวคือ น ต่อกับ ย ไม่ได้เป็นการผสมเสียงกันระหว่าง น กับ ย จริงๆ
แถวที่ 6 เป็นเสียงอโฆษะ แบบอธนิต สาเหตุที่ไม่ได้เรียกว่าแบบสิถิลโดยตรงนั้น เพราะว่าทั้งในแถวที่ 2 และ 4 ก็เป็นแบบสิถิลเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ถูกจัดกลุ่มไว้เหมือนกับแถวนี้ แต่จะเห็นได้ว่าแถวนี้เป็นการนำเสียง ห ออกจากพยัญชนะในแถวที่ 1 จึงของเรียกว่าเป็นการ อธนิต (Unaspirate) แทนที่จะเรียกว่าเป็นสิถิลโดยตรง เสียงในแถวนี้ออกเสียงตามฐานเสียงในแต่ละ เทมา ได้ตามปกติ จะได้เสียง ต, ป, จ และ ก
แถวที่ 7 ถึง 9 เป็นอักษรในกลุ่ม เศษวรรค ซึ่งไม่ได้ถูกกำหนดเสียงไว้ด้วย เทมา หรือ เทลโคและลูวา ดังเช่นอักษรในแถวข้างต้น การนำเสียงภาษาไทยมาใส่ในอักษรในกลุ่มนี้จะเลียนแบบตามเสียงในภาษาเอลฟ์ ซึ่งเสียงที่มีตำแหน่งลงแน่นอนแล้วก็คือเสียง ร, ล, ย และ ว
อักษรในแถวที่ 7 คอลัมน์ B และ D อันนี้เป็นเสียงที่ไม่มีในภาษาไทย แต่เรายังพอมีตัวอักษรที่ใกล้เคียงเหลืออยู่ นั่นคือตัว ฬ ซึ่งเหมาะจะนำมาใส่ลงในช่องที่ 7D ส่วนช่องที่ 7B นั้นไม่มีอักษรใส่ ในที่นี้จึงได้นำตัว ฤ มาใส่ไว้ ทั้งที่จริงแล้วตัว ฤ ถือว่าเป็นสระไม่ใช่พยัญชนะ แต่ก็นับว่าออกเสียงได้ใกล้เคียงตัว ร ที่สุดแล้ว
อักษรในแถวที่ 8 ในภาษาเอลฟ์จะเป็นเสียง S และ Z เมื่อจะนำมาใช้เขียนเสียง ส ในภาษาไทย ผู้เขียนจะขอใช้วิธีแบ่งเสียง ส ตามฐานเสียงในภาษาสันสกฤต ซึ่งมีอยู่ 3 ส นั่นคือ 1. ส.เสือ อยู่ฐานเสียงฟัน 2. ษ.ฤๅษี อยู่ฐานเสียงปุ่มเหงือก และ 3. ศ.ศาลา อยู่ฐานเสียงเพดาน ถ้าเรายังคงนับว่า เทมา ที่ 1 ถึง 4 คือฐานเสียง ฟันและปุ่มเหงือก, ริมฝีปาก, เพดานแข็งและเพดานอ่อนตามลำดับอย่างเดิมแล้ว ก็จะเห็นว่าพอจะนำ ศ.ศาลา ไปวางในคอลัมน์ C ได้ แต่ในคอลัมน์ A และ B เราอาจต้องแยกให้เป็นฐานเสียง ฟัน และ ปุ่มเหงือก ตามลำดับก่อน จึงจะนำ ส.เสือ และ ษ.ฤๅษีไปใส่ได้ ส่วนคอลัมน์ D ที่เหลือ ไม่รู้จะใส่อะไรแล้ว จึงนำ ศ.ศาลา ไปใส่ไว้เหมือนในคอลัมน์ C
แถวที่ 9 ในภาษาเอลฟ์นั้น คอลัมน์ A คือเสียง H ส่วนคอลัมน์ B คือเสียง WH แต่ในอักษรภาษาไทยเราที่ยังเหลืออยู่อีกก็คือ ห, อ และ ฮ ซึ่งอาจเป็นได้ว่าเราจะนำอักษร ห และ ฮ ไปใส่ไว้ในช่องที่ 9A และอักษร อ ไปใส่ไว้ในช่องที่ 9B แต่เนื่องจากในภาษาเอลฟ์ยังมีตัวอักษรอีกตัวหนึ่งซึ่งคล้ายตัว i ในภาษาอังกฤษ สามารถทำหน้าที่แทนเสียงตัว อ ได้อยู่แล้ว จึงได้กำหนดให้อักษรตัวที่ 9B เป็น ฮ แทน

4. บทสรุปและข้อเสนอแนะ

ในบทความนี้ได้เสนอตารางเทงวาร์โหมดใหม่ที่สามารถครอบคลุมเสียงสัทส่วนใหญ่ในภาษาไทยและอังกฤษ โดยเลือกให้ใช้เป็นตารางเทงวาร์โหมดสำหรับภาษาไทย ซึ่งก็สามารถที่จะใช้อักษรเทงวาร์แสดงพยัญชนะภาษาไทยได้ทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตามบทความนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงการนำอักษรเทงวาร์ไปเขียนประกอบกับสระหรือการเขียนเพื่อแสดงวรรณยุกต์ โดยความเห็นของผู้เขียนแล้วคิดว่าอาจจะใช้ เท็คทา (Tehta) เขียนเพื่อแสดงสระหรือวรรณยุกต์ได้ แต่สระในภาษาไทยนั้นมีจำนวนมากกว่าสระเท็คทาที่มีอยู่ในภาษาเอลฟ์มากนัก และยังคงเป็นปัญหาอยู่ว่าจะสามารถแสดงเสียงสระไปพร้อมๆ กับวรรณยุกต์ด้วยเท็คทาได้อย่างไร ในส่วนนี้คงจะต้องทิ้งไว้เป็นประเด็นสำหรับวิจัยกันต่อไป

เอกสารอ้างอิง

  1. J.R.R Tolkien, Appendix E: Writing and Spelling in The Lord of theRings: The Return of the King, Harper Collins Publisher, Film Tie-in Edition 2001
  2. T. Morris, Phonetic Transcription Workshop, url:http://www.uta.edu/english/tim/courses/4301f98/2sept.html, 1998
  3. S. Yivokuchi, Phonology/Phonemic Inventory, url:http://www.angelfire.com/scifi2/nyh/lng/inventory.html
  4. สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, หลักภาษาไทย, บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, พิมพ์ครั้งที่แปด พ.ศ. 2531
  5. ปัญญา ธัญญประเสริฐกุล, The Tengwar, url:http://www.oocities.org/thaielves/tengwar/tengwar.html
  6. , พ.ศ. 2545
  7. M. Björkman, The Writing Systems of Aman, url:http://hem.passagen.se/mansb/at/
  8. , 2002


6 เมษายน 2546
สงวนลิขสิทธิ์ (c) พ.ศ. 2546 ปัญญา ธัญญประเสริฐกุล