หัวข้อ : เสร็จแล้ว!! เรื่องของเบเรนและลูธิเอน
ข้อความ : เสร็จแล้วจริงๆ ในที่สุด เฮ้อ.. เล่นเอาเหนื่อย ^_^"
หลังจากมึนตึ้บกับเวอร์ชั่นของ The Book of Lost Tales ในที่สุดเราก็ตัดสินใจแปลจาก The Silmarillion ดีกว่า แน่นอนกว่า

แต่.. ตอนนี้ยังไม่โพสต์ เพราะว่า... เหอๆๆ มันอยู่ในคอมอีกเครื่องนึงอ่ะ แล้วยังไม่ได้ก๊อบออกมา คิดว่าพรุ่งนี้จะโพสต์ได้นะ (พอดีมีคอมฯ อยู่ในความครอบครองถึงสามเครื่อง อิอิ)

ไม่มีอะไร มาจองกระทู้ที่ 100 เฉยๆ ..แต่ว่า.. เสร็จแล้วจิงๆ นา ^_^

จาก : สาวน้อยร้อยแปด - 22/09/2002 20:32

ข้อความ : เอ่อ.. รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม ไปก๊อบมาเรียบร้อยแล้ว เชิญรับชมและรับฟังได้ ณ บัดนี้..........

-----------------------------------------------

Beren and Luthien

ฉบับแปลและเรียบเรียงจาก The Silmarillion 2nd Edition, Chapter 19 : Of Beren and Luthien

ลูธิเอน (Luthien) หรือทินูเวียล (Tinuviel) ตามต้นฉบับ manuscript เป็นบุตรสาวของธิงโกล (Thingol หรือ Elwe น้องของ Olwe) กษัตริย์แห่ง Teleri Elves และเมเลียน (Melian) เทวีแห่งสวน Lorien ลูธิเอนได้ชื่อว่าเป็นบุตรแห่งอิลูวาตาร์ที่งดงามที่สุดอย่างไม่เคยมีผู้ใดเปรียบเทียบได้ มีน้ำเสียงไพเราะประดุจนกไนติงเกล ในมหายุคที่หนึ่ง เกรย์เอล์ฟภายใต้การนำของธิงโกลได้อาศัยอยู่ในป่าโดเรียธ (Doriath) ทางตอนกลางของแผ่นดินเบเลเรียนด์ (Beleriand) เพื่อหลบหนีจากการโจมตีของมอร์กอธ (Morgoth) เช่นเดียวกันกับเอล์ฟกลุ่มอื่นๆ ที่กระจายอยู่ตามป่าและหุบเขา เช่น กอนโดลิน (Gondolin) และนาร์โกธรอนด์ (Nargothrond) เป็นต้น

เบเรน (Beren) เป็นบุตรของบาราเฮียร์ (Barahir) แห่งดอร์โธนิออน (Dorthonion) ผู้เป็นสหายแห่งฟินรอด (Finrod) เกิดในปีที่ 443 ของมหายุคที่หนึ่ง บาราเฮียร์เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งที่มอร์กอธประกาศหมายหัวไว้ พวกเขาต้องเร่ร่อนหลบหนีมอร์กอธเช่นเดียวกับพวกเอล์ฟเช่นกัน พวกมนุษย์ภายใต้การนำของบาราเฮียร์ตั้งชุมนุมขึ้นใกล้กับทะเลสาบ Tarn Aeluin ซึ่งมอร์กอธไม่สามารถค้นพบ

ในกลุ่มผู้ติดตามของบาราเฮียร์คนหนึ่งชื่อกอร์ลิม (Gorlim) เขามีภรรยาชื่อเอลิเนล (Eilinel) วันหนึ่งกอร์ลิมกลับมาพบว่าบ้านถูกไฟไหม้และภรรยาของเขาหายตัวไป เขาจึงได้เข้าร่วมกับชุมนุมของบาราเฮียร์ ทั้งที่ยังมีความรู้สึกว่า เอลิเนลยังไม่ตาย เรื่องนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงหูของมอร์กอธ

ฤดูใบไม้ร่วงคราวหนึ่ง กอร์ลิมเดินทางอยู่ในเวลาโพล้เพล้ พลันก็ได้เห็นแสงจากหน้าต่างบ้านหลังหนึ่ง เมื่อเข้าไปใกล้ปรากฏว่าได้เห็นเอลิเนลกำลังโศกเศร้าและหิวโหย ตัดพ้อต่อว่าถึงการที่เขาจากไป แล้วกอร์ลิมก็ถูกจับตัวไปให้กับเซารอน

เซารอนทรมานกอร์ลิมให้บอกที่ซ่อนของพวกมนุษย์ แต่กอร์ลิมก็ไม่ยอมบอก จนเมื่อเซารอนล่อลวงว่า เอลิเนลยังมีชีวิตอยู่ หากกอร์ลิมยอมบอกแล้วก็จะปล่อยทั้งสองให้เป็นอิสระ

กอร์ลิมจึงยอมบอก และได้รู้ว่าถูกเซารอนหักหลัง เพราะเอลิเนลนั้นตายไปแล้ว เซารอนหัวเราะเยาะว่า เขาได้ปล่อยให้ทั้งกอร์ลิมและเอลิเนล เป็น ‘อิสระ’ จากการทรมานของเขาแล้ว แล้วก็ฆ่ากอร์ลิมเสีย

กองทัพออร์คบุกเข้าโจมตีที่ซ่อนของบาราเฮียร์ในเวลาก่อนรุ่งสาง สังหารบาราเฮียร์และผู้ติดตามหมดสิ้น คงเหลือแต่เพียงผู้เดียวที่รอดชีวิต คือ เบเรน ซึ่งขณะนั้นออกไปทำหน้าที่สอดแนมอยู่

คืนนั้นที่จะเกิดเหตุ เบเรนเกิดนิมิตร้าย เขาฝันเห็นดวงวิญญาณของกอร์ลิมมาบอกข่าว สารภาพถึงสิ่งที่ได้ทำลงไป และให้เบเรนรีบกลับไปเตือนบิดา แต่เบเรนกลับมาถึง Tarn Aeluin ช้าเกินไป เขาได้แต่มาฝังศพบิดา และสาบานว่าจะต้องแก้แค้นให้จงได้

เบเรนออกตามล่าพวกออร์ค และได้พบแคมป์ของพวกมันในคืนต่อมาที่ Fen of Serech พวกออร์คกำลังกินเลี้ยงกันพร้อมกับเอามือข้างหนึ่งของบาราเฮียร์ขึ้นชื่นชม พวกมันตัดมือของบาราเฮียร์มาเพื่อเป็นหลักฐานแก่เซารอนว่าได้ทำงานสำเร็จแล้ว บนมือข้างนั้นมีแหวนของเฟลากุนด์ (Felagund) อยู่ด้วย เบเรนได้สังหารหัวหน้าของพวกออร์ค และนำแหวนพร้อมกับมือของบิดากลับมา จากนั้นเดินทางร่อนเร่อยู่ในแถบดอร์โธนิออนนานถึงสี่ปี เป็นมิตรกับสรรพสัตว์ทั้งปวงที่เป็นศัตรูกับเซารอน ข่าวการปฏิบัติการของเบเรนเป็นที่ร่ำลือไปทั่วจนถึงโดเรียธ เซารอนโกรธมาก และตั้งค่าหัวของเบเรนไว้สูงเทียบเท่ากับ Fingon, High King of Noldor เลยทีเดียว

การตามล่าเบเรนเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในดอร์โธนิออน จนเบเรนต้องหนีออกจากดินแดนนี้ลงไปทางใต้ ข้ามภูเขากอร์โกรอธ (Gorgoroth) ข้ามแผ่นดินแห่งความตาย ดุนกอร์เธบ (Dungortheb) ที่ซึ่งแมงมุมที่เป็นลูกหลานของอุนโกเลียนท์ (Ungoliant) ครอบครองดินแดนอยู่ ถักเส้นใยมรณะไว้ทั่วไป ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ไม่มีทางที่มนุษย์หรือเอล์ฟคนใดจะรอดชีวิตข้ามมาได้ แต่เบเรนก็รอดมาและหนีเรื่อยลงมาจนถึงอาณาจักรลับแล โดเรียธ ที่อยู่ภายใต้อำนาจเวทย์มนต์ของเมเลียน ไม่เคยมีใครค้นพบอาณาจักรแห่งนี้มาก่อน


จาก : สาวน้อยร้อยแปด - 22/09/2002 20:54

ข้อความ : ยามสายัณห์หนึ่งของฤดูร้อน ใต้แสงจันทร์ทอเรื่อเรือง ในเขตป่าเนลโดเรธ (Neldoreth) คือที่ที่เบเรนได้พบกับลูธิเอนเป็นครั้งแรก ความเจ็บปวดและยากลำบากทั้งปวงปลาสนาการจากใจเบเรนไปสิ้น เขาตกอยู่ใต้มนต์เสน่ห์ของเสียงเพลงและการเริงระบำของลูธิเอน อาภรณ์สีฟ้าของเธอพลิ้วไสวดุจท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆหมอก ดวงตาสีเทาเป็นประกายดุจดวงดาว มีผ้าคลุมศีรษะประดับด้วยดอกไม้สีทอง เส้นผมของเธอดำสนิทดุจรัตติกาล และเสียงเพลงของเธอก็สดใสประหนึ่งหยาดน้ำค้างบนใบไม้ยามรุ่งสาง

แล้วลูธิเอนก็จากไป ตั้งแต่นั้นเบเรนก็เสมือนหนึ่งคนใบ้ เขาไม่พูดและไม่กินอาหาร เฝ้าแต่ตามหาหญิงสาว ผู้ที่ในใจของเขาเรียกเธอว่า ทินูเวียล อันหมายถึงนกไนติงเกลในภาษาเอลวิช เขามองเห็นภาพของเธอในใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง เห็นความงามของเธอในดวงดาวเหนือเนินเขาในฤดูหนาว โซ่แห่งความรักผูกมัดใจของเขาไว้

ใกล้รุ่งวันหนึ่งของวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ ลูธิเอนออกมาเริงระบำเหนือเนินเขาอีกครั้ง แล้วเธอก็เริ่มร้องเพลง เสียงเพลงของเธอทำให้หิมะละลาย ดอกไม้ผลิบาน มอบชีวิตชีวาแก่สรรพสิ่งทั้งปวงในป่า และทำให้เบเรนตื่นขึ้นอีกครั้ง เขาร้องเรียก ‘ทินูเวียล’ และป่าสะท้อนเสียงร้องของเขา

ลูธิเอนก็หยุดนิ่ง และมิได้หนี เมื่อเบเรนมาพบเธอ ลูธิเอนก็ตกหลุมรักชายชาวมนุษย์ทันที ทั้งสองท่องเที่ยวไปในป่าด้วยกันอย่างมีความสุขที่สุด และด้วยความทุกข์ทรมานอย่างที่สุด เพราะต่างตระหนักว่าลูธิเอนนั้นเป็นอมตะ ขณะที่เบเรนจะต้องจากโลกนี้ไปในวันใดวันหนึ่ง

ในอาณาจักรโดเรียธ มีคีตกวีราชสำนักผู้หนึ่งนามแดรอน (Daeron) ซึ่งหลงรักลูธิเอนอยู่เช่นกัน เขารู้เรื่องความสัมพันธ์ลับๆ ของลูธิเอนกับเบเรน และนำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่กษัตริย์ธิงโกล ทำให้ธิงโกลโกรธมาก ด้วยลูธิเอนนั้นเป็นที่รักและหวงแหนของบิดายิ่งกว่าสิ่งใด ทั้งยังดำรงศักดิ์สูงกว่าเจ้าชายแห่งเอล์ฟทั้งปวง ธิงโกลสั่งให้ลูธิเอนพาตัวเบเรนมาพบ แต่ลูธิเอนไม่ยินยอม จนกระทั่งธิงโกลสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายแก่เบเรน ลูธิเอนจึงพาเบเรนมาเข้าเฝ้าด้วยตนเอง

ธิงโกลถามถึงความประสงค์ของเบเรน ซึ่งเบเรนได้ให้คำตอบอย่างงดงามว่าเหนือสิ่งอื่นใดในแผ่นดิน เขาปรารถนาเพียงลูธิเอนเท่านั้น ธิงโกลโกรธมากเพราะเบเรนเป็นเพียงมนุษย์ เขาจึงแสดงแหวนของบิดา หัวแหวนเป็นมรกตประดับด้วยมงกุฎรูปดอกไม้สีทอง อันเป็นสัญญลักษณ์ของราชวงศ์แห่ง Finarfin แหวนนี้บาราเฮียร์ได้รับจากเฟลากุนด์ในฐานะสหายร่วมรบในสงครามทางภาคเหนือ ทำให้ธิงโกลต้องยอมรับในชาติตระกูลของเบเรน ในที่สุดธิงโกลบอกว่า หากเบเรนนำซิลมาริลที่บัดนี้ประดับอยู่บนมงกุฎของมอร์กอธมาได้ เขาก็ยินดีจะยกลูธิเอนให้

เบเรนหัวเราะ กล่าวว่า เขาไม่เคยคิดว่ากษัตริย์เอล์ฟจะขายบุตรสาวแลกกับอัญมณี แต่หากเป็นพระประสงค์ของธิงโกล เขาก็จะทำให้ดู เบเรนร่ำลากับลูธิเอน แล้วถวายบังคมลาธิงโกลกับเมเลียนออกไปทันที แม้เมเลียนจะถวายคำทัดทานถึงสิ่งที่ธิงโกลทำ จะนำความหายนะมาสู่โดเรียธ แต่ธิงโกลก็มิได้สนใจ

นับแต่นั้นมา ลูธิเอนก็ไม่ร้องเพลงอีกเลย


จาก : สาวน้อยร้อยแปด - 22/09/2002 20:56

ข้อความ : เบเรนเดินทางลงใต้มายังที่ราบลุ่มซีรีออน (Fens of Sirion) เขาปีนข้ามน้ำตาซีรีออนลงมา แล้วมุ่งหน้าไปทางตะวันตก จนถึงเนินเขา Taur-en-Faroth ซึ่งอยู่ก่อนถึงอาณาจักรนาร์โกธรอนด์ เหล่าเอล์ฟแห่งอาณาจักรนี้ที่เฝ้าติดตามการเดินทางของเขามาตลอด ก็ออกมาขัดขวางมิให้เข้าสู่อาณาจักรได้ เบเรนจึงต้องแสดงแหวนของเฟลากุนด์ แจ้งว่าตนเป็นบุตรแห่งบาราเฮียร์ สหายแห่งเฟลากุนด์ เหล่าเอล์ฟจึงพาเขาไปพบกษัตริย์ฟินรอด (Finrod) โอรสแห่งฟินาร์ฟิน (Finarfin)

กษัตริย์ฟินรอด เฟลากุนด์ ทรงจำเบเรนได้ทันทีโดยไม่ต้องมีแหวน ด้วยเบเรนเป็นทายาทแห่งบีออร์ (Beor) ทรงให้การต้อนรับเบเรนอย่างดี เบเรนเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังนับแต่บิดาถูกสังหาร และเขาเดินทางหนีภัยมาจนถึงโดเรียธ ตลอดจนถึงเรื่องการเดินทางไปนำซิลมาริลมาให้แก่กษัตริย์ธิงโกล

ฟินรอดทรงรับฟังด้วยความกังวลใจ ด้วยทราบแน่ว่าธิงโกลประสงค์ให้เบเรนตาย และคำสาปของเฟอานอร์ต่อซิลมาริลนั้นรุนแรงนัก เมื่อมีผู้เอ่ยปากแสดงความปรารถนาต่อซิลมาริล ความหายนะจักต้องบังเกิดขึ้น และบัดนี้เคเลกอร์ม (Celegorm) กับคูรูฟิน (Curufin) บุตรแห่งเฟอานอร์ได้พำนักอยู่กับเขา หากเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงคนทั้งสองจะเป็นเรื่องใหญ่ ด้วยทั้งสองมีอำนาจแลอิทธิพลมาก ได้ชักนำเอล์ฟส่วนใหญ่ของนาร์โกธรอนด์ไว้เป็นพวกได้

แต่คำสัญญาต่อบาราเฮียร์สหายร่วมรบก็มิอาจละเว้นได้ ฟินรอดทรงรับจะช่วยเหลือเบเรนจนถึงที่สุด พระองค์ได้แจ้งภารกิจนี้ต่อที่ประชุมเอล์ฟ ทำให้เคเลกอร์มไม่พอใจ ประกาศว่า นอกจากพวกเขาที่เป็นบุตรแห่งเฟอานอร์แล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ต่อซิลมาริล ทั้งสองยังได้พูดต่อไปด้วยคำพูดเดียวกับที่เฟอานอร์เคยใช้ ทำให้ Noldor ถึงกาลพินาศย่อยยับมาแล้ว พูดถึงความพินาศของนาร์โกธรอนด์และเรียกร้องให้ฟินรอดยกเลิกคำสัญญาต่อสหายร่วมรบนั้นเสีย

แต่ฟินรอดก็ไม่สามารถทำได้ เขายืนยันที่จะร่วมเดินทางไปกับเบเรน ในที่สุดมีผู้จงรักภักดี 10 คนที่อาสาติดตามฟินรอดไป มีเอดราฮิล (Edrahil) เป็นผู้นำ ได้ขอร้องให้ฟินรอดแต่งตั้งสจ๊วต (Steward) เพื่อปกครองแผ่นดินแทนจนกว่าฟินรอดจะกลับ ฟินรอดจึงแต่งตั้งโอโรเดร็ธ (Orodreth) น้องชายของเขา เป็นผู้ปกครอง ทั้งเคเลกอร์มและคูรูฟินมิได้กล่าวสิ่งใด แต่เพียงยิ้มและจากท้องพระโรงไป

ฟินรอด เบเรน และผู้ติดตามทั้งสิบออกเดินทางต่อไปตามลำน้ำนาร็อก (Narog) จนถึงน้ำตกอิฟริน (Ivrin) ทางด้านใต้ของเทือกเขา Ered Wethrin พวกเขาได้จัดการสังหารออร์คกลุ่มหนึ่งที่ได้พบ ด้วยอำนาจของฟินรอดได้จัดการแปลงหน้าตาของพวกเขาจนดูคล้ายออร์ค แล้วเดินทางต่อไปตามถนนสายเหนือ ระหว่างแนวเทือกเขา Ered Wethrin กับที่ราบสูง Taur-en-Fuin

การเดินทางของคนทั้งหมดถูกจับตามองอย่างสงสัย เพราะพวกเขาเดินทางกันอย่างเร่งรีบ และไม่ได้รายงานตัวต่อหอคอยของเซารอน ซึ่งเป็นคำสั่งของมอร์กอธต่อบริวารทั้งปวง ทั้งสิบสองคนจึงถูกจับตัวไปให้เซารอนสอบสวน แต่แม้ว่าการเดินทางอย่างลับๆ นี้จะถูกเปิดเผย เซารอนก็ไม่สามารถทราบได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นใครและมีชื่อว่าอะไร คนทั้งหมดถูกจับไปขังคุกมืดไว้ จนกว่าจะยอมเปิดเผยความจริง เอล์ฟผู้ติดตามคนหนึ่งถูกสังหารโดยมนุษย์หมาป่า แต่ก็ไม่มีผู้ใดยอมเปิดเผยฐานะของฟินรอด


จาก : สาวน้อยร้อยแปด - 22/09/2002 20:58

ข้อความ : ในเวลาที่เบเรนถูกจับตัวนั้นเอง สังหรณ์ก็เข้าจู่โจมลูธิเอนจนมิอาจอยู่นิ่งเฉยได้ เธอไปปรึกษามารดาแต่ก็ไร้ผล จนลูธิเอนเห็นว่าไม่มีทางใดจะช่วยเบเรนได้ จึงคิดจะไปช่วยด้วยตนเอง เธอไปปรึกษาแดรอน แต่แดรอนหักหลังนำเรื่องไปแจ้งแก่ธิงโกล ทำให้ธิงโกลเป็นกังวลมาก

ธิงโกลให้สร้างบ้านขึ้นบนต้นไม้ต้นหนึ่ง คือต้น Hirilorn เป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในป่าเนลโดเรธ มีกิ่งก้านขนาดใหญ่ 3 กิ่งสมมาตรกัน เมื่อสร้างบ้านบนต้นไม้นั้นแล้ว ก็ให้นำตัวลูธิเอนไปขังไว้ และนำบันไดออกเสีย

แต่ลูธิเอนได้ใช้เวทย์มนต์ถักทอเส้นผมของเธอให้กลายเป็นเชือก เชือกนี้แม้นสัมผัสผู้ใดจักทำให้ผู้นั้นหลับไหลไม่ได้สติ ลูธิเอนใช้เชือกปีนลงมาจากต้นไม้ ทำให้ผู้คุมหลับไป และใช้ผ้าคลุมร่างแฝงเร้นกายในความมืด หลบหนีออกจากโดเรียธไป

กล่าวถึงนาร์โกธรอนด์ เคเลกอร์มและคูรูฟินนำกำลังออกลาดตระเวณทั่วพื้นที่ราบสูง ด้วยความสงสัยของเซารอนทำให้เขาส่งหมาป่าออกตระเวณทั่วดินแดนของพวกเอล์ฟ เคเลกอร์มจึงส่งฝูงสุนัขล่าเนื้อออกลาดตระเวณด้วย หัวหน้าของสุนัขล่าเนื้อมีชื่อว่าฮูอาน (Huan) ผู้ซึ่งเทพโอโรเมได้มอบเป็นของขวัญแก่เคเลกอร์มเมื่อครั้งยังอยู่ที่วาลินอร์

ขณะที่เคเลกอร์มลาดตระเวนทางฟากตะวันตกของโดเรียธ ฮูอานได้พบตัวลูธิเอนและนำเธอมาพบเคเลกอร์ม เมื่อได้ทราบว่าเคเลกอร์มเป็นเจ้าชายแห่งโนลดอร์ ซึ่งเป็นศัตรูกับมอร์กอธ ลูธิเอนดีใจนัก เปิดผ้าคลุมออกแสดงตนและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง รวมถึงความช่วยเหลือที่ต้องการ

เมื่อเคเลกอร์มได้เห็นหน้าลูธิเอน ก็ตกหลุมรักเธอในทันที เขารับปากที่จะช่วยเหลือ และให้พาตัวลูธิเอนกลับไปยังอาณาจักรนาร์โกธรอนด์ โดยมิได้ปริปากเล่าถึงเบเรนและเฟลากุนด์ที่ได้เดินทางร่วมไปด้วยเลย เมื่อลูธิเอนมาถึงนาร์โกธรอนด์ ก็ถูกจับตัวไว้ เคเลกอร์มต้องการให้กษัตริย์ธิงโกลยกลูธิเอนให้แก่เขา เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็จะได้เป็นเจ้าชายเอล์ฟผู้ทรงอำนาจมากที่สุดในราชวงศ์ทั้งปวง โอโรเดร็ธไม่อาจต้านทานความประสงค์ของเคเลกอร์มได้ ด้วยเอล์ฟทั้งปวงล้วนฝักใฝ่ในเคเลกอร์มสิ้น ดังนั้นเคเลกอร์มจึงส่งสารไปยังธิงโกลเพื่อแจ้งความประสงค์ของตน

แต่ฮูอานไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ เขาสัมผัสได้ถึงความรักของลูธิเอนนับแต่แรกพบ ฮูอานแอบไปพบลูธิเอนและปล่อยเธอออกจากที่คุมขัง ลูธิเอนร่ำไห้เล่าถึงเบเรนผู้เป็นมิตรกับสรรพสัตว์ทั้งปวงและความรักของพวกเขา ซึ่งฮูอานเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดดี แต่เขามิได้พูดสิ่งใด เพราะหากเมื่อใดที่เขาพูด จักต้องสละซึ่งชีวิต

คืนนั้นฮูอานนำผ้าคลุมมาให้ลูธิเอน และพาเธอหนีออกจากนาร์โกธรอนด์ จากนั้นได้เปิดปากพูดเป็นครั้งแรกเพื่อเล่าเรื่องราวและแผนการให้แก่ลูธิเอนทราบ ทั้งสองเดินทางขึ้นเหนือไปด้วยกัน โดยฮูอานยอมสละเกียรติ ให้ลูธิเอนนั่งไปบนหลังเฉกเดียวกับที่พวกออร์คนั่งบนหลังหมาป่า ด้วยวิธีนี้เขาทั้งสองจึงเดินทางไปได้อย่างรวดเร็ว


จาก : สาวน้อยร้อยแปด - 22/09/2002 21:00

ข้อความ : ด้านเบเรนและเฟลากุนด์ บัดนี้เอล์ฟทุกคนถูกสังหารสิ้นแล้ว แต่เซารอนยังละเว้นเฟลากุนด์ไว้ด้วยรู้สึกได้ว่าบุคคลนี้เป็นเอล์ฟแห่งโนลดอร์ที่ทรงพลังและสติปัญญา ดังนั้นคนต่อไปที่จะถูกสังหารคือเบเรน เมื่อมนุษย์หมาป่าเข้ามาจะจัดการเบเรน เฟลากุนด์ก็เข้าขวางและต่อสู้ด้วยมนุษย์หมาป่าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าจะสามารถสังหารมนุษย์หมาป่านั้นได้ก็ตาม เขาได้กล่าวร่ำลาเบเรนอย่างโศกเศร้า ด้วยไม่อาจได้พบเบเรนอีกแล้วแม้ในชีวิตหลังความตาย เพราะโชคชะตาของเอล์ฟและมนุษย์มิอาจอยู่ร่วมกันได้ ราชาฟินรอดเฟลากุนด์สิ้นพระชนม์ในคุกใต้ดินของ Tol-in-Gaurhoth หอคอยที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาเอง

เวลานั้น ลูธิเอนก็มาถึงสะพานทางเข้าสู่หอคอยของเซารอน เธอเริ่มร้องเพลง ซึ่งกำแพงหินมิอาจต้านทานได้ เบเรนได้ยินเสียงเพลงนั้น และคิดว่าเขาฝันไป เขาได้ร้องเพลงตอบและหมดสติไป เมื่อลูธิเอนได้ยินเสียงเพลงตอบ ก็ร้องเพลงอีกเพลงหนึ่งที่ทรงพลังกว่าเดิม

เซารอนได้เห็นลูธิเอนบนสะพาน เมื่อได้ยินเสียงเพลงก็ตระหนักถึงสถานะของเธอทันที จึงคิดจะจับตัวธิดาแห่งเมเลียนไปถวายแด่มอร์กอธ ซึ่งเขาจะได้รับรางวัลอันงามเป็นแน่

เซารอนส่งหมาป่าออกมาทีละตัว แต่ฮูอานก็สังหารได้เสียทุกตัวไป จนในที่สุดเซารอนส่งเดรากลูอิน (Draugluin) หมาป่าที่ดุร้าย ลอร์ดแห่งอังบันด์ (Angband) ออกมา ฮูอานและเดรากลูอินต่อสู้กันอย่างดุเดือด สุดท้ายเดรากลูอินต้องหนีกลับเข้ามาในหอคอย และสิ้นชีพอยู่แทบเท้าของเซารอน

เซารอนจึงแปลงร่างเป็นหมาป่า และออกมาต่อสู้กับฮูอานด้วยตนเอง ทั้งสองต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานและดุเดือด แต่ไม่มีเวทย์มนต์ใด หรืออำนาจใด หรือความแข็งแกร่งใดจะมีชัยเหนือฮูอาน สุนัขล่าเนื้อของเทพโอโรเม ดังนั้นเซารอนจึงพ่ายแพ้ และหนีไปยัง Taur-nu-Fuin ลูธิเอนเข้าไปในหอคอย ช่วยเบเรนออกมาได้ ทั้งสองช่วยกันฝังพระศพของกษัตริย์ฟินรอด โอรสแห่งฟินาร์ฟิน ผู้สง่างามที่สุดในเจ้าชายแห่งเอล์ฟทั้งปวง และบัดนี้พระองค์ได้เสด็จด้วยพระบิดาภายใต้ร่มไม้แห่งเอลดามาร์แล้ว

เบเรนและลูธิเอนจึงได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แม้ฤดูหนาวจะมาเยือนก็มิได้ลำบากเลย ด้วยทุกหนแห่งที่ลูธิเอนก้าวเดินไป ดอกไม้ก็ผลิบาน นกก็พากันร้องเพลง แต่ฮูอานมิอาจอยู่ด้วยต่อไปได้ เขาได้กลับไปหาเคเลกอร์มผู้เป็นนายด้วยความภักดี แม้ว่าความจงรักจักน้อยลงก็ตาม

พร้อมกับฮูอาน เหล่าเอล์ฟที่ถูกจับไปขังยังหอคอยของเซารอนก็ได้กลับคืนยังนาร์โกธรอนด์ด้วย ทุกคนจึงได้รู้ถึงวาระสุดท้ายของฟินรอดด้วยความเศร้าสลด และพากันสรรเสริญความดีของฟินรอด และความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ของฟินาร์ฟินก็คืนมาอีกครั้ง บรรดาเอล์ฟกลับมาสวามิภักดิ์ต่อโอโรเดร็ธ ทำให้เคเลกอร์มโกรธแค้นมาก เขาออกจากนาร์โกธรอนด์ไปกับคูรูฟินน้องชายเพียงสองคน แม้แต่เคเลบริมบอร์ (Celebrimbor) บุตรแห่งคูรูฟินก็คงพำนักอยู่ในนาร์โกธรอนด์ต่อไป กระนั้นฮูอานก็ยังวิ่งตามม้าของเคเลกอร์มไปด้วยความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตน

ทั้งสามเดินทางขึ้นไปทางเหนือ เลาะเลียบอาณาจักรโดเรียธ มุ่งหาเส้นทางที่จะไปยังฮิมริง (Himring) ที่ซึ่งกองกำลังของแมดรอส (Maedhros) พี่ชายของพวกเขา บุตรคนโตของเฟอานอร์พำนักอยู่ โดยหลีกเลี่ยงให้ห่างจากทุ่งดุนกอร์เธ็บและเทือกเขากอร์โกรอธ


จาก : สาวน้อยร้อยแปด - 22/09/2002 21:02

ข้อความ : เบเรนและลูธิเอนเดินทางเรื่อยมาจนถึงป่าเบรธิล (Brethil) ใกล้ชายอาณาเขตของโดเรียธ ลูธิเอนขอให้เบเรนเลือกว่าจะยึดมั่นตามคำที่ให้แก่ธิงโกล หรือจะสละคำนั้นเสียแล้วใช้ชีวิตท่องเที่ยวในโลก ซึ่งไม่ว่าทางใด เธอก็จะติดตามไปด้วย

ขณะที่ทั้งสองหยุดพักพูดคุยกันอยู่นั้นเอง เคเลกอร์มกับคูรูฟินก็ขี่ม้าผ่านมาพอดี เคเลกอร์มควบม้าเข้าปะทะเบเรน ขณะที่คูรูฟินเข้าฉุดลูธิเอนขึ้นบนหลังม้าของตน แต่เบเรนสกัดคูรูฟินไว้ทัน และแย่งมีดอังกริสต์ (Angrist) มาได้ ฮูอานเองก็เข้าสกัดเคเลกอร์มไม่ให้เข้ามาช่วย ดังนั้นเบเรนจึงชิงม้าของคูรูฟินมาได้ แล้วเคเลกอร์มจึงรับคูรูฟินขึ้นม้าของตนไป

คูรูฟินรู้สึกอับอายนัก จึงดึงธนูจากหลังของพี่ชายมาและยิงไปยังลูธิเอน ดอกแรกฮูอานรับไว้ได้ ดอกที่สองเบเรนกระโดดเข้ามาบัง ธนูปักเข้าที่หน้าอก

ฮูอานไล่กวดเจ้าชายเอล์ฟทั้งสองหนีไป และกลับมาหาลูธิเอนพร้อมกับสมุนไพร ด้วยอำนาจและเวทย์มนต์ของลูธิเอน เธอได้รักษาเบเรน และเดินทางต่อไปยังโดเรียธ

เบเรนได้ตระหนักถึงความปลอดภัยของลูธิเอน และรู้ดีว่าในอาณาจักรโดเรียธ ลูธิเอนจะได้รับการคุ้มครองอย่างดี เบเรนต้องครุ่นคิดอย่างหนักระหว่างความรักกับคำสัญญาของเขา ในที่สุดคืนหนึ่งเขาก็จากไปขณะที่ลูธิเอนยังหลับอยู่ และฝากเธอไว้ในความดูแลของฮูอาน

เบเรนขับม้าขึ้นเหนือจนถึง Taur-nu-Fuin เขาปล่อยม้าของคูรูฟินกลับไป และร้องเพลงแห่งการพลัดพราก โดยไม่สนใจว่าผู้ใดจะได้ยินเสียงของเขาหรือไม่ แต่เสียงของเขาได้ยินไปถึงโดเรียธ และลูธิเอนก็ร้องเพลงตอบเขา ทำให้เบเรนต้องหยุดนิ่งมิได้เดินทางต่อ ฮูอานพาลูธิเอนติดตามมาจนพบเบเรน และเอื้อนเอ่ยคำพูดเป็นครั้งที่สอง เตือนสติเบเรนถึงโชคชะตาที่เขาหลีกหนีไม่พ้น และเขาไม่สามารถทำให้ลูธิเอนหยุดการติดตามได้

ดังนั้นเบเรนจึงปลอมเป็นหมาป่า และทั้งสองเดินทางไปด้วยกันจนถึงประตูแห่งอังบันด์ ที่ซึ่งคาร์ชารอธ (Carcharoth) สุนัขป่าในสายพันธุ์ของเดรากลูอิน ที่มอร์กอธสร้างขึ้นใหม่จากเปลวไฟจากนรก ทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตู คาร์ชารอธได้ข่าวการตายของเดรากลูอินแล้ว จึงเฝ้าดูคนทั้งสองอย่างสงสัย และไม่ยอมให้ทั้งสองผ่านประตู ลูธิเอนจึงใช้มนต์ทำให้มันหลับไป และทั้งสองก็ล่วงเข้าสู่ท้องพระโรงของมอร์กอธ

ลูธิเอนทูลว่าเธอเป็นใคร และขอถวายการร้องเพลงแก่มอร์กอธ ความงามของลูธิเอนสะกดให้ทุกคนเผลอไผล และเสียงเพลงของเธอก็ทำให้ทุกคนหลับไหลไปสิ้น แม้มอร์กอธเองก็เผลอหลับจนมงกุฎกลิ้งตกอยู่กับพื้น ลูธิเอนปลุกเบเรนขึ้น และเบเรนใช้มีดอังกริสต์งัดเอาซิลมาริลออกจากมงกุฎ เขาสามารถหยิบซิลมาริลขึ้นมาได้โดยไม่ถูกแผดเผา

เสียงงัดซิลมาริลทำให้มอร์กอธและทุกคนในท้องพระโรงขยับตัว แม้จะยังหลับอยู่ แต่เบเรนและลูธิเอนที่บัดนี้ได้ซิลมาริลมาอยู่ในมือแล้ว ก็หันกลับวิ่งหนีสุดชีวิต ปรารถนาจะได้เห็นแสงแห่งตะวันโดยเร็วที่สุด แต่เมื่อมาถึงประตูแห่งอังบันด์ ก็ปรากฏว่าคาร์ชารอธได้ตื่นจากหลับแล้ว

ลูธิเอนตกใจและไม่ทันได้ใช้เวทย์มนต์ แต่เบเรนที่อยู่ด้านหน้าของเธอชูซิลมาริลขึ้นขู่คาร์ชารอธ ด้วยเพลิงแห่งซิลมาริลจักอาจทำลายมันได้ แต่คาร์ชารอธกลับกัดข้อมือของเบเรนจนขาด และกลืนมือกับซิลมาริลลงไป ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกเพลิงแผดผลาญ วิ่งไปทั่วและร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ทุกแห่งที่มันวิ่งเตลิดไปถูกไฟผลาญสิ้น

เบเรนได้รับบาดเจ็บสาหัส ลูธิเอนต้องใช้เวทย์มนต์ของเธอเต็มที่เพื่อช่วยรักษาบาดแผล แต่ขณะนั้นมอร์กอธและคนอื่นๆ ในท้องพระโรงเริ่มตื่นขึ้นแล้ว

ท้องฟ้าเบื้องบนพลันปรากฏวิหคขนาดใหญ่สามตัว ฮูอานได้มากับพวกเขาด้วย ธอรอนดอร์ (Thorondor) และวิหคบริวารของเขาได้พาเบเรนกับลูธิเอนหนีออกจากที่นั้น และพาไปส่งยังชายอาณาจักรโดเรียธ ที่ซึ่งเบเรนจากลูธิเอนมาขณะหลับอยู่นั่นเอง แล้ววิหคทั้งสามจึงกลับคืนไปยังยอดเขาครีสแซกริม (Crissaegrim)

ลูธิเอนพยายามรักษาเบเรนอย่างสุดชีวิต แต่เบเรนได้รับบาดเจ็บหนักยิ่งกว่าธนูของคูรูฟิน เมื่อเกือบจะหมดหวังแล้ว ทันใดนั้นเบเรนก็กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง

แต่นั้นมาเบเรนจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า เอร์ชามิออน (Erchamion) ซึ่งหมายถึงผู้มีมือเดียว แม้จะเจ็บปวดสาหัสแต่เบเรนก็ลุกขึ้นและนำลูธิเอนเดินทางกลับไปยังเมเนโกรธ (Menegroth) ทั้งที่ลูธิเอนปรารถนาจะใช้ชีวิตในป่ากับเขาตลอดไป ด้วยเบเรนไม่อาจละทิ้งคำสัญญาที่จะกลับไปที่นั่นอีกครั้ง และเขาไม่อาจนำลูธิเอนไปอยู่กับเขาโดยมิได้รับอนุญาตจากบิดา ด้วยเขายึดมั่นในเกียรติและประเพณีของมนุษย์


จาก : สาวน้อยร้อยแปด - 23/09/2002 11:50

ข้อความ : โดเรียธเวลานั้นประหนึ่งอยู่ภายใต้เงาแห่งความโศกสลด หลังจากลูธิเอนหนีไป ธิงโกลส่งคนออกตามหาทุกทิศทุกทาง และแดรอนก็ได้ออกตามหาเธอด้วย และเขาไม่ได้กลับมาอีกเลย แดรอนผู้เป็นคีตกวีเหนือคีตกวี ที่ได้รับยกย่องสูงส่งยิ่งกว่ามากลอร์ (Maglor) บุตรแห่งเฟอานอร์เสียอีก ด้วยบทเพลงของเขาที่ไม่มีลูธิเอนเป็นผู้ขับร้องก็ไม่มีความหมายใดหลงเหลืออีก

ธิงโกลมิรู้จะทำประการใด แลเมเลียนก็เร้นหน้ามิให้คำปรึกษาแก่เขาอีก เขาได้รับข่าวจากนาร์โกธรอนด์ว่าเฟลากุนด์สิ้นพระชนม์แล้ว และเบเรนก็ตายแล้ว และลูธิเอนอยู่ที่นั่น และเคเลกอร์มปรารถนาจะแต่งงานกับนาง ธิงโกลเตรียมทัพจะไปชิงตัวลูธิเอนกลับมา แต่แล้วก็กลับได้ข่าวว่า ลูธิเอนหนีไปแล้ว และเคเลกอร์มกับคูรูฟินก็ถูกขับออกจากเมือง ข่าวร้ายจากทางเหนือทำให้ธิงโกลหวั่นวิตกยิ่งขึ้น เมื่อคาร์ชารอธออกอาละวาดทำร้ายเผาผลาญพื้นที่ต่างๆ ไปเป็นจำนวนมาก

ในช่วงเวลาแห่งความมืดมนนั้นเอง เบเรนกับลูธิเอนก็กลับมา ข่าวการกลับมาของคนทั้งสองประหนึ่งเสียงจากสวรรค์ ทั้งสองมาถึงประตูแห่งเมเนโกรธ และเบเรนก็นำลูธิเอนมาเข้าเฝ้ายังท้องพระโรง

เมื่อธิงโกลตรัสถามถึงคำสัญญาของเขา เบเรนตอบว่า เขาได้ทำตามสัญญาเรียบร้อยแล้ว และในเวลานี้ ซิลมาริลก็ยังอยู่ในมือของเขา

เมื่อธิงโกลขอดูมือของเขา จึงได้เห็นว่ามือข้างขวาของเบเรนนั้นขาดหายไปเสียแล้ว เมื่อนั้นธิงโกลจึงอ่อนโยนขึ้นมาก ทรงให้เบเรนนั่งทางเบื้องซ้าย และลูธิเอนนั่งทางเบื้องขวา เล่าเรื่องราวทั้งหมดถวายให้ฟัง ครั้นแล้วธิงโกลจึงทรงคิดว่า มนุษย์ผู้นี้ไม่เหมือนผู้ใดเลย และความรักของทั้งสองก็ยิ่งใหญ่นัก ดังนั้นจึงโปรดให้เบเรนและลูธิเอนได้แต่งงานกันในท้องพระโรงต่อหน้าพระองค์

ท่ามกลางความปีติยินดีของงานฉลองแต่งงาน ประชากรรอบนอกอาณาจักรล้วนหวาดกลัวต่อคำสาปของซิลมาริลที่อยู่ในตัวคาร์ชารอธ และมันยังคงไม่หยุดอาละวาด เบเรนจึงตระหนักว่าภารกิจของตนยังไม่เสร็จสิ้น

ดังนั้นเมเนโกรธจึงเตรียมการล่าสังหารคาร์ชารอธ คณะล่าสังหารประกอบด้วยฮูอาน มาบลุง (Mablung) ผู้ทรงพลัง เบเลก (Beleg) ผู้ชำนาญธนู เบเรน และธิงโกล ทั้งห้าออกจากเมืองในตอนเช้า ข้ามแม่น้ำเอสกัลดูอิน (Esgalduin) ไป ขณะที่ลูธิเอนยังคงรออยู่ที่ประตูแห่งเมเนกรอธ ทุกสิ่งดูเศร้าหมองมืดมัวสำหรับเธอ


จาก : สาวน้อยร้อยแปด - 23/09/2002 11:51

ข้อความ : ทั้งหมดออกเดินทางไปทางเหนือและทางตะวันออก เลาะเลียบแม่น้ำเอสกัลดูอินไปตามข่าวและร่องรอยของคาร์ชารอธ ในที่สุดก็ได้พบมันทางด้านเหนือของเอสกัลดูอินที่ไหลเลาะลงสู่ช่องเขาเป็นน้ำตก ที่ตีนน้ำตกนั้นเองคาร์ชารอธกำลังดื่มน้ำด้วยความกระหาย ทั้งห้ากระจายกำลังกันออกล้อมมันไว้ คาร์ชารอธรู้ตัวแล้วว่าทั้งห้าได้มาถึง แต่แสร้งทำนิ่งเฉยเสีย และทั้งหมดก็เฝ้ารอจนกระทั่งค่ำลง

เบเรนยืนอยู่ข้างธิงโกล รออยู่อย่างเงียบๆ แต่แล้วก็ได้พบว่าฮูอานไม่อยู่ในตำแหน่งของเขาเสียแล้ว ด้วยฮูอานมิอาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้ และต้องการลงไปเห็นคาร์ชารอธใกล้ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นคาร์ชารอธจอมเจ้าเล่ห์ก็หลีกจากฮูอานเสีย และตรงเข้าปะทะกษัตริย์ธิงโกลที่มันหมายตาไว้ เบเรนจึงกระโดดเข้าขวางพร้อมกับหอก แต่ก็ไม่อาจต้านคาร์ชารอธได้ และถูกมันกัดที่หน้าอก

ฮูอานกระโดดเข้ากัดที่หลังของคาร์ชารอธ แล้วทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด อย่างที่ไม่มีการต่อสู้ใดของสุนัขล่าเนื้อและหมาป่าจะเทียบได้ ด้วยกำลังของฮูอานกอปรด้วยเสียงแตรของเทพโอโรเมและความพิโรธของเหล่าวาลาร์ ส่วนกำลังของคาร์ชารอธนั้นมาจากความอาฆาตของมอร์กอธ ทั้งฮูอานและคาร์ชารอธต่างร่วงลงไปยังน้ำตกเบื้องล่าง แล้วฮูอานก็สังหารคาร์ชารอธได้

ขณะนั้นธิงโกลมิได้ใส่ใจการต่อสู้อันดุเดือดตรงหน้าเลย แต่ทรงเป็นห่วงเบเรนที่อาการสาหัส ฮูอานกลับขึ้นมาเฝ้าดูอาการของเบเรนอย่างใกล้ชิด แล้วเขาจึงเอ่ยวาจาเป็นครั้งที่สามเพื่อกล่าวลาเบเรน แต่เบเรนไม่สามารถตอบได้ ได้แต่เพียงวางมือบนศีรษะของฮูอานเท่านั้น

มาบลุงใช้มีดผ่าศพของคาร์ชารอธ และพบว่าภายในกายของมันมอดไหม้ด้วยเพลิง มือของเบเรนที่กำซิลมาริลไว้ยังมิได้เสื่อมสลาย เมื่อเขาเอื้อมมือไปแตะ มือนั้นจึงสลายไป และซิลมาริลก็ส่องแสงสว่างไปทั่วป่าอันมืดมิดนั้น มาบลุงรีบหยิบซิลมาริลด้วยความกลัวและนำไปใส่ยังมือของเบเรนอีกข้างหนึ่ง เบเรนกำซิลมาริลไว้แล้วชูถวายแด่ธิงโกล กล่าวว่า บัดนี้คำสัญญาของเขาได้สำเร็จผลแล้ว จากนั้นเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรอีก

พวกเขาพาเบเรนกลับโดเรียธ จนใกล้รุ่งสางจึงเดินทางมาใกล้เมเนโกรธ ที่นั่นลูธิเอนรออยู่ใต้ต้น Hirilorn เมื่อทั้งหมดพาเบเรนมาถึง ลูธิเอนก็เข้าไปกอดเขา และจุมพิตเขา เบเรนได้แต่เฝ้ามองลูธิเอนและจากไปโดยมิได้เอ่ยสิ่งใด ยามนั้นลูธิเอนอธิษฐานขอพบเบเรนอีกครั้งที่ทะเลตะวันตก ดวงดาวจืดจางรัศมี และความมืดก็โรยรา แล้วลูธิเอนจึงทอดร่างนอนสงบนิ่งอยู่เคียงข้างเบเรนบนทุ่งหญ้าสีเขียวขจี

จาก : สาวน้อยร้อยแปด - 23/09/2002 11:53

ข้อความ : ด้วยคำอธิษฐานของลูธิเอนนำเธอมายังมานดอส (Mandos) ที่ซึ่งเหล่าเอลดาลิเอ (Eldarlie) จักต้องมาเยือน ที่นั้นลูธิเอนได้ร้องเพลงถวายมานดอส เป็นบทเพลงที่ไพเราะที่สุด และโศกเศร้ารันทดที่สุดที่เคยมี ด้วยกล่าวถึงความโทมนัสของเอล์ฟและความสลดหดหู่ของมนุษย์ ซึ่งทั้งสองถูกสร้างให้อยู่ร่วมกันบนอาร์ดา น้ำตาของลูธิเอนหลั่งไหลแทบพระบาทของมานดอส ประดุจสายฝนหลั่งต้องศิลา และมานดอสก็บังเกิดความเวทนา ที่มิเคยทรงเวทนาผู้ใดเลย

แต่เป็นพระประสงค์ของอิลูวาตาร์ พรของมนุษย์คือการสิ้นชีพ และมานดอสไม่สามารถขัดขวางพระประสงค์ได้ ดังนั้นมานดอสจึงไปปรึกษาเทพราชันย์มานเว (Manwe) ผู้ได้รับมอบหมายให้ปกครองอาร์ดาแทนพระองค์อิลูวาตาร์ มานเวทรงเรียกประชุมเหล่าเทพทั้งปวง แล้วจึงให้ข้อเสนอแก่ลูธิเอนเป็นสองทาง หนึ่งคือให้เธอได้ออกจากมานดอส และไปยังดินแดนที่ทรงประทานแก่วาลาร์ตราบจนสิ้นโลก โดยลืมเลือนความโทมนัสที่เคยบังเกิดสิ้น ประหนึ่งว่าเบเรนไม่เคยมาสู่ชีวิตของเธอ หรือทางที่สอง ให้เธอและเบเรนได้กลับคืนยังมัชฌิมโลกอีกครั้ง แต่ลูธิเอนจักต้องสิ้นชีพเช่นเดียวกับมนุษย์ ทิ้งให้ความงามและเสียงเพลงของเธอเป็นเพียงเรื่องเล่าขานในตำนานเท่านั้น

โดยการนี้ ลูธิเอนได้ละทิ้งดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ และเลือกเส้นทางที่เอล์ฟและมนุษย์ได้อยู่ร่วมกัน แม้ได้เห็นแล้วว่ามีความตายรออยู่เบื้องหน้า และลูธิเอนก็เป็นผู้เปิดเส้นทางร่วมกันระหว่างสองชาติพันธุ์ ซึ่งทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

จาก : สาวน้อยร้อยแปด - 23/09/2002 11:54

ข้อความ : บทส่งท้าย

หลังจากกลับมามัชฌิมโลก เบเรนและลูธิเอนได้เดินทางด้วยกันข้ามแม่น้ำเกลิออน (Gelion) ไปยังดินแดนออสซิเรียนด์ (Ossiriand) ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่โทล กาเลน (Tol Galen) ซึ่งต่อมาเหล่าเอล์ฟขนานนามดินแดนนี้ว่า Dor Firn-i-Guinar หรือดินแดนของผู้คืนชีพ หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดได้พบคนทั้งสองอีก และไม่รู้ว่าทั้งสองได้จากมัชฌิมโลกไปเมื่อใด

เบเรนและลูธิเอนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ชื่อ ดิออร์ (Dior) ดิออร์ได้เป็นทายาทแห่งธิงโกล และรับสืบทอดซิลมาริลจากบิดา ต่อมาได้แต่งงานกับนิมลอธ (Nimloth) ผู้เป็นธิดาแห่งกาลาธิล (Galathil) และเป็นหลานของเคเลบอร์น (Celeborn) ดิออร์และนิมลอธมีบุตรด้วยกันชื่อ เอลูเรด และ เอลูริน (Elured & Elurin) มีบุตรสาวหนึ่งคนชื่อ เอลวิงก์ (Elwing) ผู้ซึ่งภายหลังได้เป็นภรรยาของเออาเรนดิล (Earendil)

------------------------------

เฮ่อ... จบซะที โปรเจ็คต่อไปก็ The Fall of Gondolin ละนะ ฮ่ะๆๆๆ.. รออีกซักอาทิตย์นึงละกัน

จาก : สาวน้อยร้อยแปด - 23/09/2002 11:56

ข้อความ : TTT-TTT
ซึ้งอ่า
โอ้ บรรยายดีมากเลยอ่าท่าน แบบว่าเห็นภาพลูธิเอนและได้ยินเสียงเลยอ่า

จาก : Ranchan - 23/09/2002 18:15

ข้อความ : ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ลืมทำงานไปเลย

จาก : แมงสะเงะ - 23/09/2002 22:03

ข้อความ : สุดยอดดดดดดดด ซาบซึ้งมากค่ะ จริงๆนะ บรรยายดีมากเลยค่ะ

จาก : emanofe - 25/09/2002 15:11