หัวข้อ : Quenta Silmarillion บทที่ 24 ฉบับสมบูรณ์ ข้อความ : บทที่ 24 ว่าด้วยการเดินทางของเออาเรนดิลและสงครามแห่งความโกรธา ด้วยเหตุนี้ เออาเรนดิล ผู้แจ่มใสจึงได้ขึ้นเป็นผู้นำของเหล่าชนที่อาศัยอยู่ ณ ปากน้ำซิริออน เขาได้แต่งงานกับเอลวิง ผู้งดงาม ซึ่งเธอก็ได้ให้กำเนิดบุตรแก่เขาสองคนนามเอลรอนด์และเอลรอสซึ่งถูกเรียกว่าเอลฟ์กึ่งมนุษย์ ถึงเวลานี้เออาเรนดิลมิอาจหยุดพักได้เสียแล้ว การเดินทางท่องเที่ยวไปตามชายฝั่งของฮิเธอร์แลนด์มิอาจที่จะทำให้เขาพอใจได้เลย ในจิตใจของเขาบังเกิดความปรารถนาขึ้นสองประการซึ่งล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการออกสู่ทะเลอันกว้างใหญ่ เขาปรารถนาที่จะล่องเรือไปเพื่อตามหาทูออร์และอิดริลผู้มิคืนกลับ อีกทั้งยังคาดหวังไว้ว่า บางทีเขาอาจจะล่องเรือไปถึงยังชายฝั่งสุดท้าย และนำข่าวสารของเหล่าเอลฟ์และมนุษย์ไปแจ้งแก่เหล่าวาลา เพื่อขอให้เหล่าเทพบังเกิดความสงสารในความทุกข์ระทมแห่งมัชฌิมโลกก่อนที่เขาจะสิ้นชีพ ได้อีกด้วย บัดนี้เออาเรนดิลกับเคียร์ดัน นาวากร ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ ณ เกาะแห่งบาลาร์ อันเป็นที่ซึ่งผองชนของเขาได้หลบหนีไปอยู่เมื่อครั้งเกิดการโจมตีท่าเรือแห่งบริธอมบาร์และเอกลาเรสท์นั้น ได้กลายเป็นสหายสนิทกันแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของเคียร์ดัน เออาเรนดิลจึงสามารถสร้างวินกิลอท ฟองบุปผา นาวาอันสง่างามที่สุดในบทเพลงทั้งหลายขึ้นได้ พายของเรือลำนี้เป็นสีทอง โครงเรือเป็นสีขาว สร้างขึ้นด้วยไม้เบิร์ชจากป่านิมเบรธิล ยามเมื่อมันแล่นใบนั้น ราวกับจันทราสีเงินยวงก็ไม่ปาน ในลำนำแห่งเออาเรนดิลได้กล่าวถึงการผจญภัยในทะเลลึกและดินแดนที่ไม่มีใครเคยย่างเหยียบมาก่อนไว้มากมาย อีกทั้งได้กล่าวถึงทะเลและเกาะไว้หลายแห่งด้วย แต่เอลวิงไม่ได้ไปกับเขา เธอได้แต่นั่งจมอยู่ในความทุกข์ ณ ปากน้ำซิริออนนั้นเอง เออาเรนดิลมิได้พบพานทูออร์หรืออิดริลเลย อีกทั้งเขาก็ยังมิเคยเดินทางไปถึงชายฝั่งแห่งวาลินอร์ได้ด้วย เขาปราชัยต่อเงามืดและมนต์สะกด รวมทั้งถูกผลักดันกลับมาโดยสายลมหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งเขาจำต้องหันหัวเรือกลับสู่ชายฝั่งเบเลเรียนด์อันเป็นบ้านของเขาด้วยความห่วงใยเอลวิงในที่สุด หัวใจของเขาเร่งเร้าให้เขาทำเช่นนั้น เนื่องด้วยความหวาดกลัวอย่างฉับพลันที่ทำให้เขาสะดุ้งตื่นจากความผันนั่นเอง และแล้วสายลมที่เฝ้าต่อต้านเขาอย่างแกร่งกร้าวมาโดยตลอดนั้น ก็กลับโอบอุ้มเขากลับบ้านอย่างรวดเร็วเท่าที่ใจของเขาปรารถนาเลยทีเดียว ยามนี้ ข่าวการรอดชีวิตของเอลวิงและข่าวที่เธอครอบครองซิลมาริลอยู่ ณ ปากน้ำซิริออนนั้นได้แพร่มาถึงหูของมายดรอสแล้ว เขารู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปในโดเรียธ แต่ทว่าความคิดที่ว่าเขามิได้กระทำคำปฏิญาณของพวกเขาให้บรรลุก็ได้ย้อนกลับมาทำร้ายเขาและน้องชายของเขาอีก เมื่อรวมกับความเจ็บปวดจากการดำเนินชีวิตในวิถีของนักล่าผู้เร่ร่อน พวกเขาจึงส่งสารไปยังท่าเรือของเหล่าพันธมิตรทั้งหลาย และกลายเป็นคำสั่งอันเคร่งครัดไปในที่สุด แต่เอลวิงและเหล่าชนแห่งซิริออนย่อมมิอาจที่จะมอบอัญมณีซึ่งเบเรนเป็นผู้ได้ชัย ลูธิเอนเป็นผู้สวมใส่ และเป็นเหตุให้ดิออร์ผู้สง่างามถึงแก่ความตายให้พวกเขาได้ อย่างน้อยก็ในระหว่างที่เออาเรนดิล ผู้นำของพวกเขายังอยู่ในทะเล เนื่องด้วยดูเหมือนว่าในซิลมาริลดวงนี้นั้นจะมีอำนาจในการรักษา รวมถึงคำอวยพรซึ่งมอบแด่พวกเขาและนาวาทั้งหลายของพวกเขาแฝงอยู่นั่นเอง ดังนั้นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างเอลฟ์ด้วยกันครั้งสุดท้ายอันเป็นครั้งที่ทารุณที่สุดจึงเกิดขึ้น นับเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงครั้งที่สามแล้วที่เกิดขึ้นเนื่องจากคำปฏิญาณต้องสาปนั้น เหล่าบุตรของเฟอานอร์ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ได้บุกเข้าโจมตีชาวกอนโดลินพลัดถิ่นและเศษซากที่เหลือรอดจากโดเรียธอย่างฉับพลัน และสังหารพวกเขาลงเสีย ในการรบครั้งนั้นมีเหล่าชนของพวกเขาบางส่วนยืนอยู่เคียงข้างพวกเขา แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่ทรยศและถูกฆ่าตายเนื่องจากหันไปช่วยเหลือเอลวิงต่อต้านกษัตริย์ของตน (อันเป็นสิ่งที่น่าเศร้าและนำมาซึ่งความสับสนภายในจิตใจของเหล่าเอลดาร์ในครั้งกระนั้น) แต่ในที่สุดมายดรอสและมากลอร์ก็ได้รับชัยชนะ พวกเขาทั้งสองกลายเป็นบุตรของเฟอานอร์ชุดสุดท้ายที่ยังรอดชีวิตอยู่ เนื่องด้วยอัมรอดกับอัมราสนั้นได้สิ้นชีพลงในสมรภูมิแล้ว กองเรือของเคียร์ดันและกิลกาลัดจอมกษัตริย์เดินทางมาช่วยเหล่าเอลฟ์แห่งซิริออนอย่างเร่งรีบ แต่ก็ยังช้าไป เอลวิงและบุตรของเธอมิได้อยู่ ณ ที่นั้นเสียแล้ว ผู้คนบางส่วนซึ่งรอดชีวิตมาจากการจู่โจมครั้งนี้ได้จึงได้เข้าร่วมกับกองเรือของกิลกาลัด และเดินทางกลับสู่บาลาร์ ซึ่งพวกเขานี่เองที่ได้ทูลต่อกิลกาลัดว่า เอลรอนด์และเอลรอสได้ถูกจับไป ส่วนเอลวิงนั้นก็ได้ประดับซิลมารริลไว้ที่ทรวงอกและโจนลงสู่ทะเลสาบสูญไปเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้มายดรอสและมากลอร์จึงมิอาจช่วงชิงอัญมณีไปได้ แต่กระนั้นมันก็มิได้สูญหาย เนื่องด้วยอุลโมได้ทรงประคองเอลวิงขึ้นจากหมู่คลื่น และจำแลงเธอให้กลายเป็นสกุณาสีขาวมหึมา ประดับไว้ด้วยซิลมาริลอันสว่างดุจดาราเหนือทรวงอก แล้วบันดาลให้เธอโผบินไปเหนือผืนน้ำเพื่อตามหาเออาเรนดิลผู้เป็นที่รักต่อไป ราตรีกาลมาเยือนแล้ว ในขณะที่เออาเรนดิลยืนอยู่ ณ หางเสือเรือของเขานั้น เขาก็เห็นเธอบินมา เปลวเพลิงสีไข่มุกบนปีกแห่งวายุนั้นราวกับเมฆสีขาวซึ่งเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วภายใต้ดวงจันทรา ราวกับดาราซึ่งอยู่เหนือห้วงสมุทรนั้นโคจรผิดทางก็มิปาน ในลำนำได้ขับขานไว้ว่า เมื่อมาถึงวินกิลอท เธอก็ตกลงมาในสภาพสิ้นสติสมประดี สภาพร่างกายของเธอนั้นอ่อนล้ายิ่ง อันเป็นผลมาจากความเร่งรีบของเธอ เออาเรนดิลจึงได้นำเธอมากอดไว้แนบอก ครั้นแล้วเมื่อยามเช้ามาถึง เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า ภรรยาของเขาได้นอนหลับอยู่เคียงข้างเขา โดยที่เกศาของเธอนั้นได้คลุมหน้าของเขาอยู่ เออาเรนดิลและเอลวิงต่างก็เศร้าใจยิ่งในการล่มสลายของท่าเรือแห่งซิริออน และการที่บุตรชายของทั้งสองถูกจับตัวไป พวกเขากลัวว่าบุตรของพวกเขาจะถูกสังหาร แต่เหตุการณ์กลับมิเป็นเช่นนั้น เนื่องจากว่ามากลอร์สงสารเอลรอนด์และเอลรอสมาก เขารักและถนอมบุตรทั้งสองของเออาเรนดิลเป็นอย่างดี ดังนั้นความรักความผูกพันของพวกเขาทั้งสามจึงค่อยๆก่อตัวขึ้น แม้ว่าจะเป็นเพียงสิ่งที่เล็กน้อยก็ตาม แต่หัวใจของมากลอร์นั้นก็ยังเจ็บป่วยและกลัดกลุ้มด้วยภาระอันเกิดจากคำปฏิญาณอันน่าพรั่นพรึงนั้นอยู่นั่นเอง จาก : วัช - 17/11/2002 02:53 |
ข้อความ : บัดนี้เออาเรนดิลมิเห็นความหวังอันใดจากพื้นปฐพีแห่งมัชฌิมโลกอีกแล้ว เขาตกอยู่ในห้วงแห่งความสิ้นหวังอีกครั้งและตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่กลับบ้าน แต่เขาจะเดินทางพร้อมด้วยเอลวิงซึ่งอยู่เคียงข้างไปแสวงหาวาลินอร์อีกครั้ง และแล้วเขาก็ยืนอยู่บนหัวของวินกิลอทดังเช่นที่เขาเคยกระทำเสมอ ส่วนซิลมาริลนั้นก็ถูกคาดไว้ ณ หน้าผากของเขา ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ดินแดนตะวันตกมากเท่าไร มันก็จะยิ่งเรืองรองขึ้นมากเท่านั้น เหล่านักปราชญ์ได้บันทึกเอาไว้ว่า เนื่องด้วยพลังของมณีศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจึงมาถึงผืนน้ำที่มิเคยมีนาวาของผู้ใด เว้นแต่นาวาของเหล่าเทเลรีเท่านั้นที่เคยผ่าน มาถึงเกาะแห่งมนตราแต่ก็หนีรอดจากมนต์สะกด มาถึงท้องทะเลอันดำมืดแต่ก็รอดจากความมืดมิดของมันมาได้ และในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นเกาะเอกา ทอล เอเรสเซอา พวกเขาไม่รอช้ารีบทอดสมอลงที่อ่าวแห่งเอลดามาร์ทันที เหล่าเทเลรีมองเห็นการมาของนาวาจากตะวันออกแล้วและต่างก็ประหลาดใจไปตามกัน พวกเขาพากันจ้องดูแสงของซิลมาริลจากระยะไกล และมันก็ดูยิ่งใหญ่ยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ เออาเรนดิลจึงเป็นมนุษย์ผู้ยังคงชีวิตคนแรกที่สามารถย่างเหยียบลงบนชายฝั่งของดินแดนอมตะได้ เขากล่าวกับเอลวิงและผู้ติดตามซึ่งเป็นนักเดินเรือสามคนนาม ฟาลาธาร์ เอเรลลอนท์ และอายรันเดียร์ว่า นอกจากข้าแล้ว จะไม่มีผู้ใดย่างเหยียบขึ้นไปยังชายฝั่งแห่งนี้โดยเด็ดขาด พวกท่านจะได้มิถูกเหล่าวาลาทรงกริ้วไปด้วย ข้าจะขอรับหายนภัยนี้แต่เพียงลำพัง เพื่อประสงค์แห่งชนทั้งสองเอง
แต่เอลวิงกลับตอบว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับเราต้องจากกันตลอดกาลน่ะสิ โปรดให้ข้าได้เผชิญภยันตรายร่วมกับท่านด้วยเถิด หลังจากนั้นเธอก็กระโจนลงไปในฟองคลื่นสีขาวและออกวิ่งนำหน้าเขาไปทันที แต่เออาเรนดิลก็ยังคงอยู่ในอาการโศกเศร้า เนื่องด้วยเขาเกรงกลัวความพิโรธของเจ้าแห่งตะวันตกจะตกแก่ชาวมัชฌิมโลกผู้หาญกล้าบุกรุกเข้าไปในอามันยิ่ง และแล้วพวกเขาก็ได้กล่าวคำอำลากับชาวคณะที่นั่น ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็จากกันตลอดกาล ครั้นแล้วเออาเรนดิลก็กล่าวแก่เอลวิงว่า รอข้าอยู่ที่นี่นะ เพราะผู้นำสารควรจะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น และนั่นก็คือชะตากรรมของข้า จากนั้นเขาจึงเข้าไปในแผ่นดินตามลำพัง และมาถึงคาลาเคียร์ยาในที่สุด ภาพที่ปรากฏแก่เขานั้นมีเพียงความว่างเปล่าและความเงียบงันดุจดังเมื่อมอร์กอธและอุนโกเลียนท์ได้ผ่านมาเมื่อกาลก่อนเท่านั้น นั่นก็เพราะเออาเรนดิลได้มาถึงในเวลาแห่งการเฉลิมฉลองนั่นเอง และก็เป็นจังหวะพอดีอีกเช่นเดียวกันที่เหล่าเอลฟ์ทั้งหลายนั้นได้เดินทางไปยังวาลิมาร์ หรือไม่ก็รวมตัวกันอยู่ ณ หมู่ท้องพระโรงแห่งมานเวบนยอดทานิเควทิลพอดี มีเอลฟ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่คอยระวังภัยอยู่บนกำแพงนครทิริออน แต่ก็มีบางส่วนได้สังเกตเห็นเขาแต่ไกลแล้ว เนื่องด้วยแสงอันยิ่งใหญ่ที่เขานำติดตัวมาด้วย และก็เป็นพวกเขานั้นเองที่เร่งเดินทางอย่างรีบร้อนไปยังวาลิมาร์ ตอนนี้เออาเรนดิลได้ไต่ขึ้นมาถึงเนินเขียวขจีแห่งทูนาและพบแต่ความว่างเปล่าแล้ว เขาเดินต่อไปยังถนนแห่งทิริออนและพบว่ามันว่างเปล่าอีกเช่นกัน หัวใจของเขาหนักอึ้ง เขาเกรงว่าความชั่วร้ายจะกล้ำกรายเข้ามาสู่อาณาจักรที่ได้รับการอวยพรนี้แล้วเช่นกัน ครั้นแล้วเขาก็เดินไปตามถนนอันแล้งร้างของทิริออน ละอองเพชรได้ปลิวมาติดยังไรผมและรองเท้าของเขา ทำให้เขาทอประกายระยิบระยับในยามที่เขาไต่บันไดสีขาวอันทอดยาวขึ้นมาทันที เขาตะโกนด้วยเสียงอันกึกก้องเป็นภาษาต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นของเอลฟ์หรือเหล่ามนุษย์ แต่ก็มิมีคำตอบใดเล็ดลอดออกมาเลย ด้วยเหตุนี้เออาเรนดิลจึงหันหลังกลับ ในท้ายที่สุดเขาก็มาถึงยังชายฝั่งทะเล แต่ในขณะที่เขาเดินเหยาะย่างไปตามชายหาดนั้นเอง ก็ปรากฏคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนหน้าผา และเรียกเขาด้วยเสียงอันดังว่า โอ้ เออาเรนดิล ผู้เกริกไกรในหมู่นาวิกชน ผู้ค้นหาซึ่งมาโดยมิมีผู้ใดล่วงรู้ ผู้เปี่ยมด้วยความปรารถนาซึ่งมาพร้อมความหวัง โอ้ เออาเรนดิล ผู้ครองแสงซึ่งมาก่อนสูรยจันทร์ ! บุตรแห่งโลกาผู้แจ่มจำรัส ดาริกาในความมืดมิด มณี ณ ยามอัสดง รัศมีแห่งอรุณรุ่ง เสียงนั้นเป็นเสียงของเอออนเว องค์ประกาศกแห่งมานเว เขามาจากวาลิมาร์เพื่อชิญเออาเรนดิลไปพบกับเหล่าพลังแห่งอาร์ดานั่นเอง ด้วยเหตุนี้เออาเรนดิลจึงได้เดินทางมายังวาลินอร์ เข้าสู่ท้องพระโรงแห่งวาลิมาร์ และมิได้กลับสู่ดินแดนของเหล่ามนุษย์อีกเลย หลังจากนั้นเหล่าวาลาก็ทรงเปิดเทวสภา โดยเชิญอุลโมขึ้นมาจากห้วงสมุทร และเรียกเออาเรนดิลมายืนต่อหน้าพระพักตร์เพื่อส่งสารของเหล่าชนทั้งสองให้แก่พวกพระองค์ เออาเรนดิลได้ขอเหล้าวาลาให้ทรงประทานอภัยให้แก่เหล่าโนลดอร์ และขอให้ทรงเวทนาในความทุกข์อันใหญ่หลวงของพวกเขา นอกจากนนั้นเขาก็ยังขอให้เหล่าวาลาทรงเมตตาเหล่าเอลฟ์และมนุษย์ รวมทั้งขอให้ทรงอนุเคราะห์ตามความต้องการของพวกเขาอีกด้วย ซึ่งเหล่าวาลาก็ทรงมีเทวานุญาตในที่สุด เป็นที่เหล่าขานในหมู่ชนชาวเอลฟ์ว่า หลังจากเออาเรนดิลออกมาตามหาเอลวิงผู้เป็นภรรยาของเขาแล้วนั้น มานดอสก็ได้ตรัสเกี่ยวกับชะตากรรมของเขาขึ้นมาว่า เราจะยอมให้มรรตัยชนก้าวเข้าสู่อมตสถานในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เช่นนี้ได้หรือ แต่อุลโมก็ทรงตรัสแย้งว่า นี่คือเหตุผลที่เขาเกิดขึ้นมาในโลกนี้ไงล่ะ ไหนบอกกับข้าสิว่า ถ้าเขาคือเออาเรนดิล บุตรของทูออร์แห่งตระกูลฮาดอร์ หรือบุตรของอิดริล ราชธิดาของกษัตริย์ทูร์กอนแห่งตระกูลเอลฟ์สายฟินเวล่ะ มานดอสจึงตรัสตอบว่า ถ้าเช่นนั้น เขาก็คือเอลฟ์โนลดอร์น่ะสิ ผู้ที่ยอมรับการเนรเทศด้วยความเต็มใจนั้น ย่อมมิอาจกลับสู่ที่นี่ได้อีกแล้วนะ ในระหว่างที่ทั้งหมดทรงสนทนากันอยู่นั้น มานเวก็ทรงมีพระวินิจฉัยออกมาว่า สำหรับกรณีดังกล่าวนี้ อำนาจในการตัดสินย่อมตกแก่เรา สำหรับหายนภัยที่เออาเรนดิลยอมเสี่ยงเข้ามาด้วยความรักในชนทั้งสองนั้น เราเห็นว่าไม่ควรที่จะตกแก่เขา รวมทั้งมิควรที่จะตกแก่เอลวิง ศรีภรรยาผู้ซึ่งยอมเสี่ยงอันตรายเข้ามาด้วยความรักที่มีต่อเขาด้วย แต่พวกเขาก็มิควรที่จะได้กลับไปอยู่ท่ามกลางเหล่าเอลฟ์และมนุษย์ในพาหิรภูมินั้นอีกแล้ว บัดนี้เราของประกาศิตว่า สำหรับเออาเรนดิลและเอลวิง รวมถึงทายาทของพวกเขานั้น เราขอมอบสิทธิ์ในการตัดสินใจที่จะเลือกเผ่าชนที่เขาจะร่วมชะตาด้วยให้ พวกเขาจักถูกพิพากษาภายใต้ชะตาของเผ่าชนนั้น บัดนี้ เออาเรนดิลได้จากไปเนิ่นนานแล้ว ทำให้เอลวิงรู้สึกโดดเดี่ยวและหวาดกลัวยิ่ง ครั้นแล้วเธอก็เดินโดยไร้จุดหมายไปตามชายฝั่ง จนกระทั่งมาถึงยังอัลควาลอนเดซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าเทเลรีในที่สุด ณ ที่นั้นเหล่าเทเลรีต่างก็ปฏิบัติต่อเธออย่างเป็นมิตร ส่วนพวกเขาก็ได้ฟังเรื่องราวของโดเรียธและกอนโดลิน รวมถึงข่าวอันโทรมนัสในเบเลเรียนด์จากเธอ ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขารู้สึกสงสารและพิศวงระคนกัน และที่ท่าเรือหงส์ขาวนี้เอง เออาเรนดิลก็ได้กลับมาพบกับเธอ แต่ไม่นานนักพวกเขาก็ถูกเรียกตัวไปยังวาลิมาร์ และที่นั้นเอง ที่ประกาศิตแห่งองค์ปฐมกษัตริย์ได้รับการแถลงต่อพวกเขา จาก : วัช - 17/11/2002 02:54 |
ข้อความ : ครั้นแล้วเออาเรนดิลก็กล่าวกับเอลวิงว่า ข้าขอเลือกเจ้า เพราะบัดนี้ข้านั้นเป็นภาระแก่โลกเต็มทีแล้ว เอลวิงเลือกที่จะถูกพิพากษาเช่นเดียวกับเหล่าบุตรแห่งอิลูวาตาร์ผู้เป็นปฐมชนเพราะลูธิเอน เพื่อเห็นแก่เธอ เออาเรนดิลจึงเลือกเช่นเดียวกัน แม้ว่าหัวใจของเขานั้นจะเอนเอียงไปทางหมู่มนุษย์และผองชนของบิดามากกว่าก็ตาม หลังจากนั้น ด้วยพระบัญชาของเหล่าวาลา เอออนเวจึงได้ไปยังชายฝั่งของอามันที่ซึ่งคณะของเออาเรนดิลพำนักอยู่เพื่อรอคอยข่าวสารของพวกเขา ครั้นแล้วเขาก็ยกเรือขึ้นโดยที่นักเดินทะเลทั้งสามก็อยู่ในนั้นด้วย ต่อจากนั้นเหล่าวาลาจึงทรงผลักพวกเขากลับยังตะวันออกด้วยมหาวาตะ แต่เหล่าวาลากลับเก็บวินกิลอทเอาไว้ พวกเขาเคารพมัน และนำมันข้ามวาลินอร์ไปยังสุดขอบโลก ที่นั่นเองที่มันได้ถูกนำผ่านทวาราแห่งราตรีและยกขึ้นสู่ห้วงสมุทรแห่งสวรรค์
และบัดนี้นาวานั้นก็ถูกทำให้งามสง่าและน่ามหัศจรรย์ยิ่ง มันถูกเติมด้วยเปลวอัคคีอันสั่นไหว บริสุทธิ์และเรืองรอง และเออาเรนดิล นาวิกชนก็นั่งอยู่ ณ หางเสือของนาวานั้น เขาระยิบระยับด้วยละอองจากอัญมณีของเหล่าเอลฟ์ สำหรับซิลมาริลนั้นก็ได้รับการประดับไว้ ณ หน้าผากของเขา เขาเดินทางไปกับนาวานั้นเป็นระยะทางอันยาวไกล ไม่เว้นแม้แต่ความเวิ้งว้างอันไร้ดาราใดเลยก็ตาม แต่ก็บ่อยครั้งที่สามารถพบเห็นเขาได้ในยามรุ่งหรือสนธยา เป็นแสงสลัวเรืองรางในยามก่อนทิวาและสายัณห์ ณ เวลาที่เขากลับจากการเดินทางข้ามพ้นขอบโลกสู่วาลินอร์นั้นเอง เอลวิงมิได้ร่วมในการเดินทางเหล่านี้กับเขาด้วย เนื่องจากเธอมิอาจทนความเหน็บหนาวและความว่างเปล่าอันไร้ประมาณเหล่านั้นได้ รวมทั้งเธอนั้นยังรักผืนดินและสายลมอันหวานฉ่ำซึ่งพัดมาจากทะเลและเนินเขายิ่งกว่าสิ่งเหล่านั้นอีกด้วย ดังนั้นบริเวณด้านเหนือของทะเลจากพราก จึงมีการสร้างหอคอยสีขาวสำหรับเธอขึ้น เหล่านกทะเลแห่งโลกทั้งมวลจะคอยซ่อมแซมที่นั่นอยู่เสมอ กล่าวกันว่าเอลวิงนั้นเรียนรู้ภาษาของเหล่าสกุณาทั้งหลายมาจากการที่เธอได้เคยจำแลงกายในลักษณาการนั้นครั้งหนึ่ง พวกมันได้สอนเธอถึงศิลปะแห่งการบิน ซึ่งปีกของเธอนั้นเป็นสีขาวและเทาเงิน เมื่อเออาเรนดิลโคจรเข้าใกล้อาร์ดา เธอก็จะบินออกไปพบเขา เหมือนที่เธอได้โผผินอย่างยาวนานเมื่อยามที่ได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาจากห้วงสมุทรครั้งกระนั้น เหล่าเอลฟ์ผู้มีสายตาอันดีเยี่ยมซึ่งอาศัยอยู่ ณ เกาะเอกาจะเห็นเธอในร่างของปักษาสีขาว เปล่งปลั่ง แดงดั่งกุหลาบอยู่ในสายัณห์ ในยามที่เธอโบยบินอย่างมีความสุขเพื่อไปต้อนรับการกลับสู่ท่าของวินกิลอทนั้น บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่วินกิลอทจะออกแล่นใบในห้วงสมุทรแห่งสวรรค์เป็นครั้งแรก มันดูระยิบระยับและสว่างยิ่งกว่าที่ผู้ใดจะคาดถึง เหล่าชนแห่งมัชฌิมภูมิจ้องดูมันแต่ไกลและต่างก็ประหลาดใจไปตามกัน พวกเขาถือมันเป็นสัญลักษณ์ และเรียกขานมันว่า กิลเอสเทล ดาราแห่งความหวังอันสูงส่ง และเมื่อนวดารานี้ได้รับการพบเห็นในยามอัสดง มายดรอสก็กล่าวกับมากลอร์น้องชายของเขาว่า สิ่งที่เรืองรองอยู่ ณ เบื้องประจิมนั้น คงจะเป็นซิลมาริลแน่เลยทีเดียวใช่ไหม? มากลอร์ตอบว่า หากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมแสดงว่าซึ่งพวกเราเห็นมันตกสู่ทะเลนั้น ได้รับการงมขึ้นแล้วด้วยพลังของเหล่าวาลา ดังนั้นเราควรจะยินดีสิ ที่บัดนี้ความรุ่งโรจน์ของมันได้ปรากฏแด่ชนทั้งผอง และมันก็ปลอดภัยจากความชั่วร้ายทั้งปวงแล้ว ครั้นแล้วเหล่าเอลฟ์ก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้น จนความสิ้นหวังนั้นมลายหายไปในที่สุด แต่สำหรับมอร์กอธแล้วกลับเต็มไปด้วยความสงสัยเต็มที เล่ากันว่ามอร์กอธมิได้เฉลียวใจถึงการจู่โจมจากปัจฉิมทิศเลย เนื่องด้วยความผยองของเขานั้นได้ทำให้เขารู้สึกว่า ไม่มีผู้ใดที่จะกล้ากรีธาทัพมาทำสงครามกับเขาโดยเปิดเผยอีกแล้ว ยิ่งกว่านั้นเขายังเข้าใจว่า เขานั้นได้ทำให้เหล่าโนลดอร์ทั้งหลายเป็นอริกับเจ้าแห่งตะวันตกได้ตลอดกาลแล้ว รวมทั้งยังหลงว่า ด้วยความพึงใจในอาณาจักรอันแสนสุขของตน เหล่าวาลาก็คงไม่มาสนใจที่จะทำลายอาณาจักรของเขาอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงไร้ซึ่งความปรานีอีกต่อไป การกระทำอันมีเมตตากลายเป็นสิ่งแปลกหน้ามากขึ้นทุกทีและอยู่เกินกว่าที่เขาจะคิดถึงมันอีก แต่บัดนี้กองทัพแห่งวาลาร์ก็พร้อมที่จะยาตราเข้าสู่สงครามแล้ว นอกจากนั้นก็ยังมีเหล่าเอลฟ์วานยาร์ซึ่งเป็นเอลฟ์ในสายตระกูลของอิงเวซึ่งกรีธาทัพไปภายใต้ราชธวัชขาวของพวกเขา รวมทั้งยังมีเหล่าเอลฟ์โนลดอร์ที่มิเคยก้าวล่วงจากดินแดนวาลินอร์ ซึ่งมีผู้นำคือฟินาร์ฟิน โอรสของฟินเวอีกด้วย สำหรับเหล่าเอลฟ์เทเลรีนั้นมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ปรารถนาไปในการสงครามครั้งนี้ เนื่องด้วยพวกเขายังคงจดจำถึงการเข่นฆ่าที่ท่าเรือหงส์ขาวและการช่วงชิงนาวาทั้งหลายไปจากพวกเขาได้ดี แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังยอมฟังเอลวิง ธิดาของดิออร์ เอลูคิลผู้เป็นเชื้อสายของพวกเขา และยอมส่งนักเดินสมุทรมากพอที่จะแล่นใบนำกองทัพแห่งวาลินอร์ข้ามทะเลได้ทั้งหมดให้ หลังจากนั้นพวกเขาก็พำนักกันอยู่บนเรือของพวกเขานั้น ไม่มีผู้ใดยอมย่างเหยียบลงสู่ฮิเธอร์แลนด์เลยแม้แต่ผู้เดียว การกรีธาทัพของกองทัพแห่งวาลาร์สู่ทางเหนือของมัชฌิมโลกนั้นมีกล่าวไว้ในตำนานต่างๆ เพียงน้อยนิด เนื่องด้วยในกองทัพเหล่านั้นไม่มีเหล่าเอลฟ์ที่อาศัยและได้รับทุกข์ทรมาอยู่ในฮิเธอร์แลนด์นั้น ไปในการศึกนี้เลยแม้แต่ผู้เดียว สำหรับผู้ที่ทำการจารประวัติศาสตร์แห่งช่วงเวลานั้น ก็เป็นที่รู้กันว่า เรื่องราวทั้งหลายเกี่ยวกับการสงครามในครั้งนี้ พวกเขาเพียงแต่ได้รับฟังมาจากวงศาของเขาในอามันอีกต่อหนึ่งเท่านั้น ในที่สุดอำนาจแห่งวาลินอร์ก็ได้เคลื่อนพลออกจากปัจฉิมทิศแล้ว เสียงแตรอันท้าทายของเอออนเวกึกก้องทั่วเวหน และทั่วทั้งเบเลเรียนด์ก็เจิดจ้าภายใต้ความรุ่งโรจน์จากอาวุธของพวกเขา ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดขบวนทัพในลักษณะอันล้ำสมัย งามสง่า และน่าเกรงขามนั้นเอง และบัดนี้แนวเทือกเขาก็อยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาแล้ว การปะทะกันของกองทัพแห่งปัจฉิมและอุดรได้รับการขนานนามว่ามหาสงคราม และสงครามแห่งความโกรธา ได้มีการนำขุมพลังทั้งหมดในบังลังก์ของมอร์กอธมาใช้ ซึ่งมันก็มีเกินกว่าจะคณานับได้ ดังนั้นทุ่งอันเฟากลิธจึงมิอาจที่จะรองรับมันได้หมด ดินแดนทางเหนือทั้งหมดต่างก็ลุกเป็นไฟเนื่องด้วยสงครามทั้งสิ้น แต่มันก็มิอาจช่วยอะไรมอร์กอธได้เลย เหล่าบัลล็อคล้วนถูกกำจัดสิ้น มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่หลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์ลึกอันเข้าถึงได้ยาก ณ แก่นของโลกได้ ส่วนกองทัพของเหล่าออร์คจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นก็ล้วนแต่ถูกสังหารราวกับฟางในกองเพลิง หรือไม่ก็ถูกกวาดพัดราวกับใบไม้อันแห้งเหี่ยวเบื้องหน้าลมทำลายล้างจนสิ้น แต่ก็มีส่วนน้อยที่ยังรอดชีวิตมาได้และสร้างปัญหาให้แก่โลกในกาลต่อมา เหล่าสหายเอลฟ์ทั้งสามตระกูล บิดาของมนุษย์ซึ่งเป็นส่วนน้อยก็ได้ออกรบในกองทัพของเหล่าวาลานี้ด้วย ในวันนั้นความแค้นของบารากุนด์และบาราเฮียร์ กัลดอร์และกุนดอร์ ฮูออร์และฮูริน รวมถึงผู้นำของพวกเขาอีกมากหลายล้วนถูกพวกเขาชำระจนสิ้น แต่บุตรของเหล่ามนุษย์กลุ่มใหญ่ หรือแม้กระทั่งเหล่าชนของอุลดอร์หรือนวชนผู้มาจากบูรพทิศกลุ่มอื่นนั้น กลับเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรู ซึ่งพวกเอลฟ์ไม่มีทางที่จะลืมมันได้เลย เมื่อเห็นว่ากองทัพของเขาพ่ายศึกและอำนาจของเขาได้หมดสิ้นแล้ว มอร์กอธก็รู้สึกหวาดกลัวยิ่ง เขาไม่กล้าที่จะนำทัพออกมาด้วยตนเอง แต่กระนั้นเขาก็ยังคลายผนึกการจู่โจมอันรุนแรงครั้งสุดท้ายซึ่งเขาตระเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วเข้าใส่เหล่าปัจจามิตรของเขาจนได้ สิ่งที่ออกมาจากหล่มลึกแห่งอังบันด์ก็คือเหล่ามังกรมีปีกทั้งหลายซึ่งมีเคยปรากฏมาก่อนเลย ครั้นแล้วความฉับพลันและความพินาศซึ่งเกิดจากกองทัพอันน่าพรั่นพรึงนั้นก็ทำให้กองทัพของเหล่าวาลาจำเป็นต้องถอย นั่นเป็นเพราะมังกรเหล่านั้นมาพร้อมกับมหาอสุนีบาต ฟ้าแลบ รวมทั้งพายุเพลิงนั่นเอง จาก : วัช - 17/11/2002 02:55 |
ข้อความ : แต่เออาเรนดิลมาแล้ว เขาเรืองรองด้วยอัคคีสีขาว รอบๆ วินกิลอทห้อมล้อมด้วยพญานกแห่งสวรรค์มีธอรอนดอร์เป็นผู้นำ เกิดการสัประยุทธ์ขึ้นกลางเวหาตลอดวันจนกระทั่งถึงคืนอันมืดมิดซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัย ในที่สุดก่อนดวงสุริยาจะฉายแสง เออาเรนดิลก็สามารถสังหารอันคาลากอน มังกรดำ ผู้แกร่งที่สุดในหมู่กองทัพมังกร และเหวี่ยงมันลงจากฟากฟ้าได้สำเร็จ ร่างของมันตกกระแทกหมู่หอคอยของธังโกโรดริม ซึ่งก็แหลกเป็นจุลมหาจุลภสยใต้ซากของมันนั้นเอง ครั้นแล้วดวงอาทิตย์ก็สาดแสง กองทัพแห่งวาลาร์ต่างก็รู้สึกเป็นต่อ เนื่องด้วยพวกเขารู้แล้วว่าเหล่ามังกรทั้งมวลได้ถูกสังหารจนสิ้น รวมทั้งหลุมทั้งหลายของมอร์กอธ ได้ถูกทำลายและกลบฝังจนสิ้นแล้ว แล้วขุมพลังของเหล่าวาลาร์ก็ยาตราลงสู่ส่วนลึกที่สุดของโลก ซึ่งที่นั่นมอร์กอธได้ยืนอยู่ที่ปลายสุขของมุขและหมดสิ้นซึ่งความองอาจเสียแล้ว เขารีบเผ่นหนีไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของเหมืองทันที พลางร้องขอสงบศึกและขออภัยไปด้วย แต่แล้วขาของเขาก็ถูกฟันจากเบื้องล่าง ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นบนใบหน้า และในที่สุดเขาก็ถูกจองจำด้วยโซ่อันไกนอร์ซึ่งเขาเคยถูกจองจำมาแล้วอีกครั้ง สำหรับมงกุฎเหล็กของเขานั้น ก็ถูกตีเป็นปลอกคอและสวมไว้ที่คอของเขา ศีรษะของเขาถูกกดลงจนชิดกับเข่า ส่วนซิลมาริลทั้งสองดวงที่ฝังอยู่ในมงกุฎของมอร์กอธนั้น ก็ถูกแกะออก พวกมันเปล่งประกายโดยปราศจากริ้วรอยใดภายใต้แผ่นฟ้า หลังจากนั้นเอออนเวก็นำมันไปเก็บรักษาไว้
การสร้างอำนาจแห่งอังบันด์ขึ้นในดินแดนเหนือจึงสิ้นสุดลงด้วยประการฉะนี้ อาณาจักรของมารร้ายได้ถูกทำลายลงจนสิ้น เหล่าทาสจำนวนมากที่ถูกจองจำไว้ในคุกลึกหลายแห่ง ก็ได้ออกมาพบกับแสงแห่งทิวาสมดังปรารถนา ซึ่งพวกเขาก็ได้พบว่าโลกได้เปลี่ยนไปจนสิ้นแล้ว เนื่องด้วยความพิโรธอันใหญ่ยิ่งของปรปักษ์แห่งพวกเขานั้น ได้ฉีกกระชากภูมิภาคทางเหนือของโลกซีกตะวันตกออกเป็นเสี่ยงๆ จนหมดสิ้น ทะเลครวญครางอยู่ในเหวลึกหลายแห่ง บังเกิดความโกลาหลและเสียงอึกทึกแผ่ไปทั่ว แม่น้ำหลายสายพังพินาศ บ้างก็ไหลไหตามสาขาซึ่งแตกออกมาใหม่ หุบเขาถูกยกขึ้น เนินเขาถูกทลายลง และไร้ซึ่งแม่น้ำซิริออนอีกแล้ว ครั้นแล้วเออนเวในฐานะประกาศกแห่งองค์ปฐมกษัตริย์ก็ได้ประกาศให้เหล่าเอลฟ์แห่งเบเลเรียนด์ละทิ้งมัชฌิมโลกเสีย แต่มายดรอสกับมากลอร์กลับมิยอมฟัง พวกเขาเตรียมพร้อมแล้ว บัดนี้ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและความเกลียดชัง ในการพยายามอย่างสิ้นหวังที่จะทำคำปฏิญาณของพวกเขาให้เป็นจริง พวกเขากำลังจะก่อสงครามเพื่อซิลมาริลซึ่งพวกเขาถูกระงับไว้ขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะต้องรบกับกองทัพแห่งวาลินอร์ซึ่งได้รับชัยชนะ และต้องยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยวต่อต้านโลกทั้งโลกก็ตาม ดังนั้นพวกเขาจึงส่งสารไปยังเอออนเว บังคับให้เขายอมมอบอัญมณีทั้งสองซึ่งบิดาของพวกเขาเป็นผู้สร้างขึ้นและถูกมอร์กอธขโมยไปออกมาให้แก่พวกเขาเสีย แต่เอออนเวกลับตอบว่าสิทธิ์ในผลงานของบิดาของพวกเขาซึ่งเหล่าบุตรของเฟอานอร์เคยครอบครองเมื่อกาลก่อนนั้น บัดนี้ได้หมดลงเสียแล้ว สืบเนื่องมาจากการกระทำอันไร้เมตตาหลายต่อหลายครั้งของเขานั่นเอง ดวงตาของพวกเขามืดบอดเสียแล้วด้วยคำปฏิญาณของพวกเขา และที่สำคัญที่สุดก็เพราะว่าพวกเขาได้สังหาดิออร์และกรีธาทัพเข้าโจมตีท่าเรือทั้งหลายนั้นเอง บัดนี้แสงแห่งซิลมาริลควรจะกลับสู่ตะวันตกที่ซึ่งพวกมันจากมาเมื่อแรกเริ่มเสียที ส่วนมายดรอสและมากลอร์นั้นก็ต้องกลับสู่วาลินอร์ด้วย พวกเขาจะต้องกลับไปรอคอยคำพิพากษาของเหล่าวาลาซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เอออนเวยอมมอบอัญมณีที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขาออกมาได้ที่นั่น ครั้นแล้วมากลอร์ก็ปรารถนาที่จะรับข้อเสนอนี้ เนื่องด้วยบัดนี้หัวใจของเขานั้นเศร้าหมองเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า คำปฏิญาณมิได้บังคับมิให้พวกเรารอนี่ เป็นไปได้ว่าในวาลินอร์นั้นอาจจะให้อภัยพวกเรา และลืมเรื่องทั้งหลายไปจนหมดสิ้นแล้วก็ได้ พวกเราจะได้กลับไปสู่ที่ของเราด้วยความผาสุกเสียที แต่มายดรอสกับตอบว่าถ้าพวกเขายอมกลับสู่อามัน ก็มีเพียงความกรุณาของเหล่าวาลาเท่านั้นที่จะยอมวางมือจากพวกเขา ส่วนคำปฏิญาณของพวกเขานั้นย่อมยังคงอยู่ มีเพียงการทำคำปฏิญาณให้บรรลุเท่านั้นที่อยู่เหนือความหวังทั้งมวลของเขา ครั้นแล้วเขาก็กล่าวว่า ผู้ใดจะบอกได้ว่าจุดจบอันน่ากลัวเยี่ยงใดจะมาสู่พวกเรา หากพวกเราฝ่าฝืนอำนาจแห่งคำปฏิญาณในดินแดนของตน หรือหวังอยู่เสมอที่จะก่อสงครามขึ้นในอาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาอีกครั้ง? แต่มากลอร์ยังคงพูดอย่างใจอ่อนเช่นเดิมว่า แล้วถ้าองค์มานเวและวาดาร์จะทรงปฏิเสธการทำคำปฏิญาณซึ่งพวกเรากล่าวอ้างพระนามของทั้งสองพระองค์เป็นพยานให้สมบูรณ์ล่ะ คำปฏิญาณนั้นจะไม่ไร้ผลหรอกหรือ? มายดรอสจึงตอบว่า แต่ถ้าเสียงของเราส่งไปถึงองค์อิลูวาตาร์ที่ทรงอยู่พ้นวัฏจักรของโลกออกไปล่ะ? พวกเรากล่าวอ้างถึงพระองค์ด้วยความบ้าคลั่งของพวกเรา รวมทั้งกล่าวว่าหากเราทวนสัตย์ขอให้ความมืดอันเป็นนิรันดร์บังเกิดแก่พวกเราด้วย หากเราไม่รักษาสัญญา ทีนี้ผู้ใดจะปล่อยเรา? หากไม่มีผู้ใดปล่อยเรา มากลอร์กล่าว เช่นนั้นความมืดอันเป็นนิรันดร์ย่อมเป็นชะตากรรมของเรา ไม่ว่าเราจะทำคำปฏิญาณให้สำเร็จหรือว่าจะละทิ้งมันก็ตาม แต่มันก็คงเลวร้ายน้อยกว่าการที่เราละทิ้งมันนั่นแหละ ในที่สุดเขาก็จำนนต่อความปรารถนาของมายดรอส พวกเขาปรึกษากันว่าจะชิงซิลมาริลกลับมาเป็นของตนได้อย่างไร ครั้นแล้วพวกเขาจึงปลอมตัว และเดินทางมายังค่ายของเอออนเวในเวลาค่ำคืน หลังจากนั้นจึงย่องไปยังสถานที่ที่ซิลมาริลถูกรักษาไว้ และสังหารยามเสีย ในที่สุดพวกเขาก็ได้อัญมณีมาไว้ในครอบครอง ด้วยเหตุนี้ทั้งค่ายจึงกลายเป็นศัตรูกับพวกเขา ซึ่งพวกเขาเองก็พร้อมที่จะตายอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงต่อสู้ป้องกันตัวจนถึงที่สุด แต่เอออนเวก็มิอาจอนุญาตให้ผู้ใดสังหารบุตรของเฟอานอร์ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการปล่อยตัวไปโดยปราศจากการต่อสู้ใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งคู่ต่างก็เก็บซิลมาริลไว้กับตัวคนละดวง เนื่องจากพวกเขาได้ปรึกษากันแล้วว่า บัดนี้มณีนั้นเหลืออยู่เพียงสองดวง เนื่องด้วยดวงหนึ่งได้จากพวกเราไปแล้ว ส่วนในบรรดาพี่น้องทั้งหลายก็เหลือพวกเราอยู่เพียงสองคนเท่านั้น ดังนั้นย่อมเห็นได้ชัดว่านี่คือชะตาของเรา ที่จะแบ่งปันมรดกของบิดาเรานี้ร่วมกัน จาก : วัช - 17/11/2002 02:57 |
ข้อความ : แต่แล้วดวงมณีก็ได้แผดเผามือของมายดรอสจนเจ็บปวดเกินกว่าที่เขาจะทนรับได้ เขาเข้าใจแล้วในสิ่งที่เอออนเวได้กล่าวไว้ว่าสิทธิ์ของเขานั้นว่างเปล่าเสียแล้ว รวมทั้งที่ว่าคำปฏิญาณนั้นไร้ประโยชน์ด้วย ด้วยความทรมานและความสิ้นหวัง เขาจึงโจนลงสู่เหวลึกซึ่งเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและถึงแก่ความตายในที่สุด ส่วนซิลมาริลที่เขาครอบครองก็ตกลงสู่ใจกลางโลกนับแต่บัดนั้น
เป็นที่กล่าวขานกันว่ามากลอร์เองก็มิอาจที่จะทนรับความเจ็บปวดอันเกิดจากซิลมาริลทำร้ายได้เช่นกัน ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงโจนลงสู่ห้วงสมุทร หลังจากนั้นเขาก็เร่ร่อนไปตามชายฝั่ง ขับขานถึงความเจ็บปวดและความโทมนัสอยู่เคียงข้างเกลียวคลื่นนั้นเอง เนื่องจากเดิมทีมากลอร์นั้นก็เป็นนักขับลำนำผู้มีชื่อเสียงแห่งยุคโบราณผู้หนึ่งด้วยเช่นกัน ชื่อของเขาเป็นรองก็แต่ดายรอนแห่งโดเรียธเท่านั้น แต่กระนั้นเขาก็มิได้คืนกลับไปสู่ผองชนชาวเอลฟ์อีกเลย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วว่า ซิลมาริลทั้งหลายได้พบกับที่พำนักอันยาวนานของพวกมันแล้ว หนึ่งนั้นอยู่ในอากาศธาตุแห่งสวรรค์ หนึ่งนั้นอยู่ในเปลวอัคคีใจกลางโลก ส่วนอีกหนึ่งนั้นก็อยู่ใต้ผืนน้ำลึกสุดลึกนั้นเอง ในวันเหล่านั้น ได้มีการต่อเรือครั้งมโหฬารขึ้น ณ ชายฝั่งของทะเลตะวันตก หลังจากนั้นกองทัพของเหล่าเอลดาร์จำนวนมากก็ล่องเรือสู่ตะวันตก และมิเคยคืนสู่ปฐพีแห่งความร่ำไห้และการสงครามอีกเลย ส่วนเหล่าวานยาร์นั้นก็ได้กรีธาทัพกลับภายใต้ราชธวัชขาวของพวกเขา พร้อมกับนำชัยชนะกลับสู่วาลินอร์ด้วย แต่ความยินดีในชัยชนะของพวกเขานั้นกลับลดทอนลง เนื่องด้วยพวกเขากรีธาทัพกลับโดยปราศจากดวงมณีซิลมาริลซึ่งนำมาจากมงกุฎของมอร์กอธนั่นเอง พวกเขาล้วนตระหนักดีว่า อัญมณีเหล่านี้จะไม่ได้รับการค้นพบ หรือกลับมารวมกันได้อีกแล้ว เว้นเสียแต่โลกจะสลายและได้รับการสร้างใหม่เท่านั้น เมื่อเดินทางมาถึงแดนตะวันตกแล้ว เหล่าเอลฟ์จากเบเลเรียนด์ก็เข้าอาศัย ณ เกาะทอล เอเรสเซอา เกาะเอกาซึ่งมองเห็นได้ทั้งเบื้องบูรพาและประจิม จากที่แห่งนั้นพวกเขาสามารถเข้าสู่วาลินอร์ได้เสมอ มานเวทรงประทานความรักให้พวกเขาอีกครั้ง ส่วนเหล่าวาลาก็ทรงประทานอภัยให้ สำหรับเหล่าเทเลรีนั้นก็ได้ยกโทษให้แก่เรื่องโศกาในอดีต และคำสาปก็ได้รับการผ่อนพัก แต่ก็มิใช่ว่าเหล่าเอลดาลิเอจะปรารถนาที่จะละทิ้งฮิเธอร์แลนด์อันเป็นที่ซึ่งพวกเขาได้ทนทุกข์และพำนักกันมาอย่างยาวนานทั้งหมด มีบางส่วนที่ยังคงพำนักอยู่ในมัชฌิมโลกโดยไม่เร่งร้อนต่อไปอีกหลายยุค ในบรรดาเอลฟ์เหล่านั้นมีเคียร์ดัน นาวากร เคเลบอร์นแห่งโดเรียธ และกาลาดริเอล ภริยาของเขาซึ่งเป็นชาวโนลดอร์ที่พลัดถิ่นมายังเบเลเรียนด์ที่ยังเหลืออยู่คนสุดท้าย รวมทั้งยังมีกิลกาลัด จอมกษัตริย์และผู้ติดตาม เอลรอนด์ เอลฟ์กึ่งมนุษย์ซึ่งเลือกที่จะอยู่ในหมู่เอลฟ์ตามสิทธิ์ของเขารวมอยู่ด้วย สำหรับเอลรอสน้องชายของเขานั้นกลับเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในหมู่มนุษย์ และจากหนึ่งในพี่น้องทั้งสองนี้เองนี้เอง สายเลือดของเหล่าปฐมชนและเผ่าพันธุ์ผู้มีวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมาก่อนอาร์ดาจึงได้ตกทอดสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เนื่องด้วยพวกเขานั้นเป็นบุตรของเอลวิง บุตรีของดิออร์ซึ่งเป็นบุตรชายของลูธิเอน ราชธิดาของกษัตริย์ธิงโกลและเมเลียน กับเออาเรนดิล โอรสของอิดริล เคเลบรินดัล ผู้เป็นราชธิดาของกษัตริย์ทูร์กอนแห่งนครกอนโดลินนั่นเอง แต่สำหรับมอร์กอธนั้น เหล่าวาลาได้จับเขาโยนผ่านทวาราแห่งราตรีซึ่งอยู่พ้นกำแพงของโลกออกไปขังไว้ยังที่ว่างไร้กาล และวางกำลังเฝ้าดูกำแพงเหล่านั้นไว้ตลอดเวลา ส่วนเออาเรนดิลนั้นก็คอยจับตากำแพงแห่งนภาไว้ด้วยเช่นกัน แต่บัดนี้คำลวงซึ่งเมลคอร์ ผู้ทรงฤทธาและถูกสาปแช่ง มอร์กอธ เบาเกลีย เทพแห่งความสะพรึงกลัวและความเกลียดชัง ได้รับการหว่านลงในหัวใจของเหล่าเอลฟ์และเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย ได้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์อมตะและมิอาจทำลายได้เสียแล้ว มันยิ่งแตกหน่อเพิ่มขึ้นทุกที จนผลิผลแห่งความมืดออกมาในที่สุด แม้กระทั่งปัจจุบันเองก็ยังคงเป็นเช่นนั้น จาก : วัช - 17/11/2002 02:58 |
ข้อความ : ซิลมาริลลิออนจบลงแต่เพียงเท่านี้ หากมันได้แปรสภาพจากความสูงส่งและสวยงามเป็นความมืดดำ และล่มสลาย นั่นย่อมแสดงว่าชะตากรรมอันเก่าแก่ของอาร์ดานั้นได้เสียหายเสียแล้ว และถ้าความเปลี่ยนแปลงและการแก้ไขข้อบกพร่องอันใดจะตามมา องค์มานเวและวาร์ดาก็ควรจะทรงทราบ แต่ทั้งสองพระองค์ก็มิได้เปิดเผยสิ่งนั้นออกมา และสิ่งนั้นก็มิได้รับการกล่าวอ้างไว้ในคำพิพากษาแห่งมานดอสด้วย จาก : วัช - 17/11/2002 02:59 |
ข้อความ : ในที่สุดก็โพสต์ได้แล้วหลังจากอ่านและโพสต์ไม่ได้มาตั้งแต่วันพฤหัส นี่เน็ตผมเป็นอะไรเนี่ย =_+ !
ขอแก้คำผิดหน่อยนะครับ คำว่าโทรมนัสกรุณาแก้เป็นโทมนัส (อุตส่าห์ตรวจหลายรอบแล้วปล่อยหลุดไปได้ไงเนี่ย) คุณสาวน้อยกับคุณนานานะจังขยันแปลจังเลย ตอนนี้ผมแปลบทที่ 18 ว่าด้วยการล่มสลายของเบเลเรียนด์และมรณกรรมของฟินกอลฟินต่ออยู่ อย่างเพิ่งแย่งผมแปลหมดนะ ^_^ จาก : วัช - 17/11/2002 03:03 |
ข้อความ : เกร็ดความรู้แถมท้าย (มั่ง)
อันไกนอร์ (Angainor) โซ่ซึ่งจองจำเมลคอร์ไว้ในสงครามแห่งทวยเทพ อาวเลทรงสร้างขึ้นจากโลหะ 6 ชนิดอันได้แก่ ทองแดง เงิน ตะกั่ว ดีบุก เหล็ก และทองคำ ซึ่งพระองค์ได้ทรงหลอมโลหะทั้ง 6 ชนิดนี้เข้าด้วยกันก่อนจะนำไปหล่อเป็นโซ่และประทานนามว่าทิลคัล (Tilkal) สีของทิลคัลเป็นสีเขียวเรืองแสงหรือ สีแดงประกาย มันได้รวมเอาคุณสมบัติของโลหะทั้ง 6 ชนิดเอาไว้ด้วยกัน ดังนั้นมันจึงแข็งแกร่ง ที่สุด สุกใสที่สุด และเรียบที่สุด โลหะชนิดนี้มีแต่องค์อาวเลเท่านั้นที่จะหลอมมันขึ้นมาได้ โซ่เส้นนี้ถูกสร้างขึ้นประมาณวาเลียนศกที่ 1500- 2000 ในยุคแห่งพฤกษา จาก : วัช - 17/11/2002 03:28 |
ข้อความ : ว้าว คุณวัชแปลบทสุดท้ายจบแล้ว o_0 !! สำนวนเพราะมากเลยค่ะ
อ่านง่ายด้วย แต่จบเศร้าๆยังงายไม่รู้เนอะ เฮ้อ *_* แหะๆ ไม่ขยันมากหรอกค่ะ แต่ว่าพอมีเวลาว่างเยอะอ่ะค่ะ คุณวัชแปลบทที่18เลยค่ะ เดี๋ยวเราจะไปแปลบทที่9 ลงไปเรื่อยๆ เพราะว่าเป็นคนขี้ลืมน่ะ ถ้าแปลข้ามบทจะงงมากเลยค่ะว่าอะไรเป็นอะไร มาอ่านค่ะ จาก : นานานะจัง - 18/11/2002 09:50 |
ข้อความ : โอ้โห...แปลเก่ง + ขยันกันจัง เราเองยังไม่มีเวลาหา Silmarillion มาอ่านเลย เอาเป็นว่าลองมาอ่านที่นี่ดูก่อนแล้วกัน ..... จาก : Eowebriviel - 18/11/2002 14:19 |
ข้อความ : ง่า.. คุณวัช ทิศตะวันตกเนี่ยมันคือทิศประจิม น่อ ไม่ใช่ ปัจฉิม อันนั้นมันแปลว่า 'สุดท้าย' ตรงข้ามกับ 'ปฐม' อย่างเช่น ปัจฉิมนิเทศก์ อย่างเงี้ย
คุณวัชแปล 18 ใช่ปะ งั้นเราจะแปลช่วงระหว่างลูธิเอนกับกอนโดลิน บท 20-22 ก็ละกัน ตอนต้นๆ ปล่อยนู๋นานานะจังไป อิอิ... ^_^ จาก : สาวน้อยร้อยแปด - 18/11/2002 14:21 |
ข้อความ : ขอแปะรูปประดับกระทู้คุณวัชซะหน่อย ^_^ ชอบเออาเรนดิลเป็นพิเศษค่ะ
[img] http://www.lordotrings.com/nasmith/nasmith37.asp [/img] จาก : นานานะจัง - 18/11/2002 19:15 |
ข้อความ : เอ่อ คุณสาวน้อยครับ อันนี้เช็คในพจนานุกรมแล้วครับ เค้าบอกว่าปัจฉิมแปลว่าทิศตะวันตกด้วย ตอนแรกผมก็งงเหมือนกันแหละที่เห็นในมังกรหยกเขาเรียกอาวเอี๊ยงฮงว่าพิษปัจฉิม ผมก็เลยไปเปิดดูครับ ก็เลยรู้ว่ามันแปลว่าทิศตะวันตกได้ด้วย ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ท้วงมา จาก : วัช - 18/11/2002 23:14 |
ข้อความ : มันคงมีรากศัพท์จากคำเดียวกันมั้งคะ ปัจจิมกะปัจฉิมเนี่ย
*__* ว่าแต่ใครจำเพลงลูกเสือได้มั่งคะ "ทิศทั้งแปดทิศ ขอให้คิดจำให้เคยชิน บูรพาตรงข้ามทักษิณ...(ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว) .............................. อีสานตรงหรดี ท่องอีกทีจำให้ขึ้นใจ พายัพนั้นอยู่ทางไหน ตรงข้ามไปคืออาคเนย์" ประมาณเนี้ย จาก : นานานะจัง - 19/11/2002 17:14 |
ข้อความ : เขียนผิดค่ะ ๆๆ
"อุดรตรงข้ามทักษิณ" ตะหาก จาก : นานานะจัง - 19/11/2002 17:17 |
ข้อความ : นั่นแหละครับ วันนั้นผมนั่งเถียงกับน้องเรื่องปัจฉิม น้องมันก็ร้องเพลงนี้ให้ฟัง เดี๋ยวน้องผมไปเที่ยวกลับมาแล้วจะเอาเนื้อเต็มๆ มาเขียนให้ดูนะครับ จาก : วัช - 19/11/2002 19:47 |
ข้อความ : เหอๆๆ หน้าแตกดังเพล้ง ^_^"
คุณวัชยืนยันมั่นเหมาะยังงั้น เลยต้องไปเปิดพจนานุกรมบ้าง ปรากฏว่า "ปัจฉิม" แปลว่า "ชื่อทิศตะวันตก" จริงๆ ด้วย แต่ว่า "ปัจจิม" ไม่มีคำแปลค่ะ มีแต่ "ประจิม" แปลว่า "ทิศตะวันตก" แต่ว่าตัวอย่างที่เค้ายกมาเป็นความหมายที่สองหมดเลย เช่น ปัจฉิมชน ปัจฉิมวัย ปัจฉิมลิขิต ปัจฉิมวาจา ทำให้เราจำไปว่า ปัจฉิม แปลว่า สุดท้าย มาโดยตลอด แต่เรื่องพิษประจิม เราว่าตอนเราดูมังกรหยก เค้าก็พูดว่าพิษประจิมนะ แต่เราดูตั้งกะเวอร์ชั่นไป่เปียวเป็นก๊วยเจ๋งอ่ะ (-__-" เลยรู้กันหมดเลยว่าเราโบราณ) จาก : สาวน้อยร้อยแปด - 19/11/2002 23:42 |