หลักภาษาซินดาริน

กลับหน้าหลัก ( พื้นฐานเสียงซินดาริน   หลักภาษาซินดาริน   สรุปภาษาซินดาริน   ศัพท์ภาษาซินดาริน )


คำนำหน้านาม (Article)

คำนำหน้านาม (Article)
เหมือนกับในภาษาเควนยา คือใช้ตัว i เป็นคำนำหน้านาม เช่น Edhel (Elf, an Elf), i Edhel (the Elf)
สำหรับคำที่เป็นพหูพจน์จะใช้คำนำหน้านามเป็น in เช่น Edhil (Elves), in Edhil (the Elves)
นอกจากนี้แล้วสำหรับคำนามที่ขึ้นต้นด้วยสระ i แล้ว คำนำหน้านามอาจกลายเป็น ir ได้ เช่น ir Ithil = (the Moon)
คำนำหน้านามยังอาจไปรวมกับคำบุพบทที่อยู่ก่อนหน้ามันได้ด้วย ในกรณีนี้จะไม่มีการแยกเอกพจน์หรือพหูพจน์ เช่น
nan (to the) มาจากบุพบท na (to) (เทียบได้กับ ana ในเควนยา)
ben (in the, as the) มาจากบุพบท be (according to) (เทียบได้กับ ve ในเควนยา)
nuin (under the) มาจากบุพบท nu (under) (เทียบได้กับ nu ในเควนยา)
erin (on the) มาจากบุพบท or (over, on) (เทียบได้กับ or ในเควนยา)
uin (of the) มาจากบุพบท o (from, of) (เทียบได้กับเสียง o ในสัมพันธการกของเควนยา??)
แต่ไม่ใช่ว่าบุพบททุกคำจะสามารถรวมคำนำหน้านามเข้าไปได้เช่น dan (against) จำเป็นต้องแยกเป็น dan i(n) (against the)

สัมพันธการก (Genitive)
คำแสดงความเป็นเจ้าของสำหรับคำนามทั่วไปที่ไม่ใช่คำเฉพาะ จะใช้ตัว en (of the) นำหน้านามที่เป็นเจ้าของ
เช่น Conin-en-Annûn (Princes of the  West) เจ้าชายแห่งตะวันตก
Narn e-Dinúviel (Tale of the  Nightingale) ตำนานแห่งไนติงเกล (อย่าลืมเรื่องการแปลงเสียงนะครับ)
สำหรับคำนามที่เป็นคำเฉพาะ การแสดงความเป็นเจ้าของไม่จำเป็นต้องมีคำช่วย สามารถรู้ได้จากการเรียงลำดับคำเลย
เช่น Ennyn Durin (Gates of  Durin) ประตูแห่งดูริน, Aran Moria (Lord of  Moria) จ้าวแห่งมอเรีย
ในบางครั้งยังสามารถใช้คำนำหน้านาม i, in ช่วยทำให้คำนามเป็นคำเฉพาะและแสดงสัมพันธการกได้ด้วยเช่น
Condir i Drann (Mayor of  the Shire) นายกเทศมนตรีแห่งไชร์ (ไชร์ในภาษาเอลฟ์คือ Trann)
Annon-in-Gelydh (Gate of  the Noldor) ประตูแห่งโนลดอร์


การแปลงรูปตามจำนวน (Numbers Morphology)

การเปลี่ยนเสียงสระ
การแปลงรูปคำนามตามจำนวน เป็นพื้นฐานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของภาษาซินดาริน ซินดารินแบ่งประเภทของคำนามตามจำนวนออกเป็นสองประเภทเท่านั้นคือ เอกพจน์ และ พหูพจน์ ในการแปลงรูปคำนามตามจำนวนของซินดารินนี้ มีวิธีการต่างกับภาษาเควนยาโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งนี้ก็ยังอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน คือการเพิ่มเสียงอี (i) เข้าไปในคำที่เป็นพหูพจน์ อย่างในเควนยา จะเป็นการเพิ่ม i เข้าไปท้ายคำ แต่ในซินดาริน จะเปลี่ยนเสียงสระคำ โดยการใส่เสียงอีเข้าไปในสระทุกตัวของคำ ผลก็คือสระอา (a) จะกลายเป็นเอ (e), เอ (e) กลายเป็นอี (i), โอ (o) กลายเป็น อวี (y) เป็นต้น ทั้งนี้ต้องดูด้วยว่าสระนั้นเป็นสระของพยางค์สุดท้ายหรือเปล่า ซึ่งวิธีการเปลี่ยนเสียงสระในคำพหูพจน์โดยสรุป จะเป็นดังตารางต่อไปนี้

สระ พยางค์อื่น พยางค์สุดท้าย
a a => e a => ai
ar => er
ang => eng
al => eil
e e => e e => i
é => í
ie => i
i i => i i => i
o o => e (oe, ö) o => y
ó => ý
io => y
u u => y u => y
ú => ui
y y => y y => y
ý => ý
au au => oe au => oe
ae ae => ae ae => ae
ai ai => ai ai => ai, î
ei ei => ei ei => ei
ui ui => ui ui => ui

ตัวอย่าง

tâl [ทาล] (foot) => tail [ไทล์] (feet)
adan [อดัน] (man) => edain [เอไดน์] (men)
narn [นาร์น] (tale) => nern [แนร์น] (tales)
fang [ฟัง] (beard) => feng [เฟง] (beards)
alph [อัลฟ์] (swan) => eilph [เอลฟ์] (swans)
edhel [เอเล] (elf) => edhil [เอิล] (elves)
certh [แคร์ธ] (rune) => cirth [เคียร์ธ] (runes)
amon [อะมอน] (hill) => emyn [เอมวิน] (hills)
tulus [ทุลุส] (poplar) => tylys [ทวิลวิส] (poplars)
ylf [อิวลฟ์] (cup) => ylf [อิวลฟ์] (cups) จะเห็นว่าเอกพจน์กับพหูพจน์ไม่ต่างกัน อาจต้องดูคำนำหน้านามประกอบจึงจะรู้
naug [เนาก์] (dwarf) => noeg [โนยก์] (dwarves)

กรณีพิเศษของสระควบกล้ำ ai
ปกติแล้วคำเอกพจน์สระ ai ก็จะยังคงเป็นสระ ai เหมือนเดิมในพหูพจน์ เว้นแต่บางคำอาจแปลงไปเป็น î หรือ ý ได้ ขึ้นอยู่กับสระดั้งเดิมของศัพท์คำนั้นในภาษาซินดารินแบบเก่าก่อนยุคที่สาม คำที่สระ ai จะกลายเป็น î นั้น คำศัพท์ดั้งเดิมมักจะอยู่ในรูป -i-ia เช่น ศัพท์ซินดารินใหม่ fair [ไฟร์] (mortal man) มาจากศัพท์เดิมคือ firia แปลงเป็นพหูพจน์จะได้ fîr หรืออย่างคำว่า gwain [ไกวน์] (new) มาจากศัพท์เดิมคือ winia แปลงเป็นพหูพจน์จะได้ gwîn

ศัพท์ประเภทนี้ได้แก่ cair => cîr (ship), fair => fîr (mortal man), gwain => gwîn (new), lhain => lhîn (lean, thin), mail => mîl (dear), paich => pich (juice)
ส่วนคำที่จะมีรูปพหูพจน์เป็น ý นั้น จะมีคำศัพท์เดิมอยู่ในรูป -o-ia หรือ -u-ia เช่น คำศัพท์ fair อีกคำหนึ่งที่แปลว่าขวา (right) รูปพหูพจน์คือ fýr มีศัพท์เดิมคือคำว่า foria หรืออย่างคำว่า rain รูปพหูพจน์คือ rýn มีศัพท์เดิมคือคำว่า runia
ศัพท์ประเภทนี้ได้แก่ fair => fýr (right), rain => rýn (spoor, tract), tellain => tellyn (sole of foot)

หนึ่งพยางค์หรือสองพยางค์?
คำศัพท์บางคำดูเหมือนจะมีสองพยางค์ ทำให้เราเข้าใจการแปลงเป็นพหูพจน์ผิดไปได้ ทั้งนี้เป็นเพราะจริง ๆ แล้วศัพท์คำนั้นมีพยางค์เดียว แต่พยางค์สุดท้ายที่เกิดขึ้นมานั้น เป็นการพัฒนาให้ออกเสียงคำได้ง่ายในภายหลัง เช่น dagor [ดากอร์] (battle) ถ้าเราไม่รู้มาก่อน เราอาจจะแปลงเป็นพหูพจน์โดยเปลี่ยนสระตามตารางข้างบน ก็จะได้ degyr ซึ่งมันผิด เพราะที่จริงแล้วพหูพจน์ของคำดังกล่าวคือ deigor [เดย์กอร์] (battles) อันเนื่องมาจาก ต้นกำเนิดของคำนี้คือ dagr ตอนนี้เราคงจะพอเห็นแล้วว่า dagr เปลี่ยนไปเป็น deigr ได้อย่างไม่ต้องสงสัย...(อ้าว!) ...สงสัยมั้ย...(สงสัยสิ ก็ไหนบอกว่า a ต้องเปลี่ยนเป็น ai ไง)... อย่าสงสัยเลย อธิบายอีกนิดละกัน เราอาจคิดว่า dagr น่าจะกลายเป็น daigr แต่จริง ๆ แล้วสระ a ปกติแล้วมันจะเปลี่ยนไปเป็น ei แต่ที่เราเห็นคำอื่น ๆ มันเป็น ai ในภายหลังเป็นเพราะว่าการพัฒนาของเสียงพยางค์ท้ายของภาษาซินดาริน มีแนวโน้มทำให้ ei กลายเป็น ai ทีนี้กลับมาดูคำว่า deigr ปรากฏว่ามีการพัฒนาเสียงบางอย่าง ทำให้เกิดพยางค์ท้ายขึ้นจนกลายเป็น deigor ดังนั้นเมื่อสระท้ายกลายเป็น o แล้ว การแปลงจาก ei ไปเป็น ai จึงไม่เกิดขึ้น จึงได้รูปสุดท้ายเป็น deigor เช่นนี้เอง

คำศัพท์ที่ประเภทนี้ได้แก่ badhor => beidhor (judge), bragol => breigol (sudden), dagor => deigor (battle), glamor => gleimor (echo), gollor => gyllor (magician), hador => heidor (thrower), hathol => heithol (axe), idhor => idhor (thoughfulness), ivor => ivor (crystal), lagor => leigor (swift), maethor => maethor (warrior), magol => meigol (sword), magor => meigor (swordsman), nadhor => neidhor (pasture), nagol => neigol (tooth), naugol => noegol (dwarf), tadol => teidol (double), tathor => teithor (willow), tavor => teivor (knocker), tegol => tigol (pen)
ในทางกลับกัน คำบางคำดูเหมือนมีพยางค์เดียว แต่รูปพหูพจน์กลับมีสองพยางค์ ทั้งนี้เนื่องจากคำนั้นแต่เดิมมีสองพยางค์ แต่ต่อมาได้ถูกลดรูปลงเหลือพยางค์เดียว แต่เวลาแปลงเป็นพหูพจน์แล้ว จะมีรูปสองพยางค์เหมือนอย่างเดิม
คำศัพท์ประเภทนี้ได้แก่ ael -> aelin (pool, mere), âr (aran) => erain (king), bôr => beryn (trusty man), êl => elin (star), fêr => ferin (beech-tree), ôr (orod) => eryd (ered) (mountain), tôr => teryn (brother), thôr (thoron) => theryn (eagle)

ศัพท์เดิมเป็นเสียงพยัญชนะ
ปรากฏการณ์แปลก ๆ ในการแปลงคำเป็นพหูพจน์อีกอย่างคือ เราพบว่ามีคำบางคำที่ลงท้ายด้วย u หรือ a ไม่สามารถใช้วิธีการเปลี่ยนสระ ตามแบบตารางการเปลี่ยนสระข้างบนนี้ได้ คือตัว u หรือ a ที่ลงท้าย มันไม่ยอมกลายเป็น y หรือ ai แต่กลับกลายเป็น u กับ i แทน ถ้าจะอธิบายถึงสาเหตุแล้ว ต้องย้อนกลับไปถึงที่มาของคำในภาษาซินดารินแบบเก่าอีกครั้งหนึ่ง เราจะพบว่าบางคำที่ลงท้ายด้วย u หรือ a นั้น ก่อนหน้านั้นมันเป็นเสียงพยัญชนะลงท้าย w และ gh ซึ่งต่างก็มีที่มาที่ไปในการแปลงรูปเป็นพหูพจน์ดังนี้

  1. คำ(ซินดารินแบบเก่า)ที่ลงท้ายด้วย w
    ในภาษาซินดารินแบบเก่าจะมีคำที่ลงท้ายด้วย w จะว่าไปแล้วเสียงพยัญชนะ w ก็คือเสียงสระ u แบบกึ่งเสียงนั่นเอง สำหรับคำที่ลงท้ายด้วย w นั้น เมื่อแปลงเป็นพหูพจน์แล้ว เสียงสระนี้จะออกมาเต็มเสียง เช่น curw [คุรว์] (craft) จะกลายเป็น cyru [ควิรู] (crafts) สังเกตว่าพยางค์อื่นก็เปลี่ยนเสียงสระตามปกติเว้นแต่ตัวสุดท้ายที่กลายเป็นสระ u
    ในยุคที่สาม คำศัพท์นี้ได้เปลี่ยนไปโดยตัว w ท้ายคำได้ถูกแปลงไปเป็น u ดังนั้น คำศัพท์คำนี้ในยุคที่สามจึงเป็น curu และมีรูปพหูพจน์เป็น cyru แทนที่จะเป็น cyry
    คำศัพท์ที่เคยลงท้ายด้วย w ได้แก่ anu => einu (a male), celu => cilu (spring, source), coru => cyru (cunning), curu => cyru (craft), galu => geilu (good fortune), gwanu => gweinu (death), haru => heiru (wound), hethu => hithu (foggy), hithu => hithu (fog), inu => inu ( female), malu => meilu (fallow, pale), naru => neiru (red), nedhu => nidhu (cushion), pathu => peithu (level space, sward), talu => teilu (flat), tinu => tinu (spark, small star)
  2. คำ(ซินดารินแบบเก่า)ที่ลงท้ายด้วย gh
    ในภาษาซินดารินแบบเก่าจะมีคำที่ลงท้ายด้วย gh เป็นเสียง [เกอะ] ลงท้ายคำ แต่อันนี้การแปลงเป็นพหูพจน์ไม่ได้ทำให้ gh นี้กลายเป็นสระแต่อย่างใด แต่อย่างน้อยก็อาจมีผลในการออกเสียง เช่น felgh [เฟลก์] (cave) เมื่อแปลงเป็นพหูพจน์จะเป็น filgh [ฟิลก์] (caves) คาดว่าเสียง gh ในคำพหูพจน์นี้ จะได้รับอิทธิพลเสียงอี i จากสระตัวอื่นมาพอสมควร ตัว gh ที่ออกเสียงเป็น [เกอะ] แบบสั้น ๆ ในเอกพจน์อาจจะออกเสียงเป็น [กิ] แบบสั้น ๆ ในพหูพจน์ก็เป็นได้
    ต่อมาในยุคที่สาม เสียง [ก] ตรงท้ายคำได้หายไป ในกรณีนี้ felgh จึงกลายเป็น fela และมีรูปพหูพจน์เป็น fili แทนที่จะเป็น filai ด้วยเหตุดังที่ได้อธิบายมานี้เอง
    คำศัพท์ที่เคยลงท้ายด้วย gh ได้แก่ fila => fili (cave), thela => thili (spear-point), thala => theili (steady), tara => teri?, teiri? (still)

พหูพจน์ (Plurals)

ยังไม่จบกับเรื่องของพหูพจน์ ขอแยกต่างหากออกมาจากเรื่องการแปลงรูปตามจำนวนนะครับ

พหูพจน์ที่ลงท้ายด้วย -in
คำพหูพจน์บางคำไม่มีการเปลี่ยนเสียงสระอย่างปกติตามหัวข้อข้างต้น แต่คำพหูพจน์จะถูกลงท้ายคำด้วย -in แทน ไม่มีใครรู้ว่าทำไมบางคำจึงมีรูปพหูพจน์พิเศษแบบนี้ ได้แต่สันนิษฐานกันไป H.K. Fauskager ได้เขียนไว้ในโฮมเพจของเขาว่า อาจจะเป็นเพราะคำ ๆ นั้น เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาอื่น ไม่ใช่เป็นคำศัพท์ดั้งเดิมของซินดาริน คำศัพท์ประเภทนี้ เช่น Drû (wose) ในคำว่า Drúedain (Wild Men) มีรูปพหูพจน์คือ Drúin คำนี้คาดว่าจะมาจากภาษาของคนป่าคำว่า Drughu, หรือคำว่า Conin (princes) คำนี้ไม่ทราบรูปเอกพจน์ แต่เดาว่าน่าจะเป็นคำว่า caun ซึ่งก็ยืมมาจากภาษาเควนยาคำว่า cáno, หรือคำว่า Lómin (echoes) มาจากเอกพจน์ Lóm (echo) ซึ่งเป็นภาษาโดเรียธริน

คำพหูพจน์ที่เกิดก่อนเอกพจน์
โดยทั่วไปแล้ว คำศัพท์เอกพจน์จะเกิดก่อน แล้วจึงมีการแปลงรูปเพื่อให้ได้คำเป็นพหูพจน์อีกทีหนึ่ง แต่สำหรับคำนามบางอย่างแล้ว จะเป็นพหูพจน์โดยธรรมชาติ แล้วคำนามคำนั้นในแบบเอกพจน์จึงค่อยเกิดตามมาทีหลัง และจะเทียบวิธีการแปลงกับตารางการแปลงเสียงสระเอกพจน์-พหูพจน์ข้างต้นไม่ได้ คำศัพท์ประเภทนี้ เช่น filig (small birds) มีรูปเอกพจน์คือ filigod, หรือคำว่า lhaw (ears) มีรูปเอกพจน์คือ lhawig สังเกตได้ว่า -od ใช้สร้างคำเอกพจน์จากคำที่เป็นพหูพจน์ ส่วน -ig ใช้สร้างคำเอกพจน์จากคำที่เป็นทวิพจน์

ลักษณาพหูพจน์ (Class Plural)
นอกจากการเปลี่ยนสระเพื่อแสดงความเป็นเอกพจน์-พหูพจน์แล้ว ยังมีคำอีกประเภทที่แสดงถึงจำพวก, กลุ่ม, ประเภท, ความเป็นหมวดหมู่หรือลักษณะของคำนามนั้น ๆ การทำคำนามให้เป็นลักษณาพหูพจน์ทำได้โดยการเติมปัจฉิมบท (postposition) ต่อไปนี้ -ath, -rim, -hoth เข้าไปท้ายคำ


เท่านี้ก่อนนะครับ ที่เหลือจะค่อย ๆ ทะยอยเขียนมาอีกที