ในปี ค.ศ. 1965 Madalie ได้แบ่งระดับปฏิบัติงานของแพทย์เวชปฏิบัติครอบครัวออกเป็น 5 ระดับ คือ
1) The symptomatic
2) The case
3) The whole person
4) The family
5) The community
ต่อมา ในปี ค.ศ. 1968 Mc Whinney เสนอแนวคิด แบ่งการดูแลผู้ป่วยออกเป็น 3 ระดับกว้างๆ คือ
1) The clinical
2) individual
3) Ecologic
ในที่สุด Mc Whinney ได้นำเอาพฤติกรรมของบุคคลมารวมเข้ากับการแพทย์คลินิค และสรุปว่าการวินิจฉัยโรคนั้น ต้องมีความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ป่วย ต้องมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแพทย์และผู้ป่วย รวมทั้งต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสังคมอื่นๆ อีกมากมาย จึงสรุปแสดงการดูแลในระดับต่างๆ ไว้ดังนี้
A.
ระดับบุคคล
(Individual level) ประกอบด้วย 1. The case approach 2. The whole person approach ถือเป็น holistic care ระดับบุคคล |
|
B. ระดับครอบครัว (Family level) ประกอบด้วย 1. Family-oriented approach 2. Family-as-a-unit approach |
|
C. ระดับชุมชน (Community approach) ประกอบด้วย 1. The practice 2. The contiguous group 3. Relationship networks 4. Special groups or communities |
โดยทั่วไป ผู้มารับบริการที่สถานพยาบาล หรือคลินิกต่างๆ มักได้รับการดูแลในระดับบุคคล (individual) เท่านั้น ถ้าเป็นรพ.ใหญ่ๆ อาจกระทำเพียง Case approach คือ รักษาเฉพาะ โรค แต่อันที่จริงแล้ว การดูแลในระดับปฐมภูมินั้นสามารถดูแลในระดับบุคคลและครอบครัวได้อย่างเหมาะสมเมื่อนำหลักการของเวชศาสตร์ครอบครัวมาเป็นแกนในการวางแผนงาน
ในที่นี้จะขอกล่าวในรายละเอียดของระดับบุคคลและครอบครัวเท่านั้น เพื่อให้เห็นภาพการดูแลผู้ป่วยแบบเวชปฏิบัติครอบครัว
1. The case approach
การดูแลผู้ป่วยในปัจจุบันมักเน้นที่ โรค พยายามสืบค้นทางร่างกาย และห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ได้หลักฐานแห่งการเกิดโรค การดำเนินโรค เมื่อโรคหาย แพทย์ก็สบายใจ โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงสภาวะในด้านอื่นๆของผู้ป่วย บ่อยครั้งที่พยาธิสภาพของอวัยวะ หรือโรคไม่สัมพันธ์กับความทุกข์ที่มีผู้ป่วยมีอยู่
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาของผู้ป่วยก็ควรเริ่มจากอาการสำคัญของผู้ป่วยเป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกันแพทย์ผู้ดูแลก็ไม่ควรจะลืมว่า นอกจากการสืบค้นและหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้ได้คำตอบต่างๆแล้ว การสื่อสาร พูดคุย และอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติได้เข้าใจในความผิดปกติของตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญ และยังต้องมองเลยไปถึงสาเหตุ และปัญหาที่มาจากพฤติกรรม จิตใจอารมณ์ และสภาพสังคมของผู้ป่วยด้วย ว่ามีผลกระทบต่อการเกิดอาการสำคัญนั้นๆ หรือจะมีผลทำให้การดูแลผู้ป่วยไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรหรือไม่
การ approach ในระดับนี้ มุ่งเน้นที่การสืบค้น และดูแลแก้ไขเกี่ยวกับอาการสำคัญของผู้ป่วยเป็นหลัก ถือเป็นขั้นตอนเริ่มแรกของการดูแลแบบเวชปฏิบัติครอบครัว
2. The whole person approach
ในการ approach ระดับนี้ เรามองไปถึงสภาพจิตใจอารมณ์ และสังคมของผู้ป่วยว่ามีผลกระทบซึ่งกันและกันภายในตัวผู้ป่วยซึ่งแยกออกจากกันได้ยาก ดังนั้น ต้องคำนึงถึง 3 สิ่งที่สัมพันธ์กัน คือ ร่างกาย จิตใจ สังคม เสมอ บางครั้งอาจมีอย่างใดอย่างหนึ่งเด่นกว่าอย่างอื่นๆ ก่อให้เกิดอาการสำคัญที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์ เมื่อเราได้ดูแลในเรื่องนั้นแล้ว เราก็ต้องดูในจุดที่เหลือต่อๆไป ควรตั้งใจดูแลทั้ง 3 ด้านไปด้วยกัน
ดังนั้นจึงกล่าวว่า เป็นการดูแลแบบ holistic ในระดับบุคคล คือ physical & psycho-social approach ในแต่ละบุคคล
พื้นฐานสำคัญในการดูแลระดับนี้คือ ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย ทักษะการซักประวัติ การสังเกต ให้คำแนะนำ ให้ความรู้ของแพทย์ ดังนั้นแพทย์ก็ควรฝึกฝนในเรื่องเหล่านี้ให้สามารถกระทำได้ดี เพื่อเป็นประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยต่อไป
3. Family oriented approach
การดูแลรักษาส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับครอบครัวนี้ หมายถึง ความพยายามที่จะเข้าใจถึงความสัมพันธ์และผลกระทบของโรค และตัวผู้ป่วยต่อความเป็นไปภายในครอบครัว ข้อมูลของครอบครัวที่ได้ในระดับนี้ จะเป็นข้อมูลที่ได้รับจากการบอกเล่าจากตัวผู้ป่วยเองเท่านั้น เป็นความคิดของตัวผู้ป่วยคนเดียว โดยที่แพทย์ยังไม่ได้ไปสอบถามสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัว ซึ่งบางครั้งอาจแตกต่างจากพฤติกรรมจริงๆ หรือเป็นความคิดที่ผู้ป่วยตีความเข้าข้างตัวเอง หรือกล่าวโทษผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ถือว่าข้อมูลที่ได้เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยเข้าใจและรับรู้ ถ้าเป็นจุดที่มีผลกระทบต่อสุขภาพกาย หรือจิต ก็ต้องพยายามแนะนำ อธิบายและคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ผู้ป่วยด้วย
การที่แพทย์ช่วยในส่วนของการให้คำแนะนำ สนับสนุนให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว แต่สถานการณ์อาจไม่เป็นไปในทางที่เราต้องการ อาจยิ่งแย่ลง เป็นเหตุเราต้องดำเนินการขั้นตอนการดูแลรักษาในระดับต่อไป คือการถือเอาครอบครัวทั้งครอบครัวเป็นหน่วยบริการ เราจะต้องทำความเข้าใจ และตกลงกับผู้ป่วยก่อนที่จะเข้าเยี่ยม และสอบถามข้อมูลจากสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัว
4. Family-as-a-unit approach
การดูแลในระดับนี้ คือการถือเอาครอบครัวเป็นหน่วยของการรับบริการ เป็นการดูแลแต่ละบุคคลในครอบครัวของผู้ป่วยที่เราสนใจ โดยใช้หลักของ The whole person approach ในการ approach สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวนั้นๆ เมื่อได้ข้อมูลแล้วก็ให้นำมาประมวลเป็นข้อมูลของครอบครัว ถือว่า ครอบครัวเสมือนเป็นผู้ป่วย 1 ราย จะช่วยให้เราสามารถแก้ปัญหาได้ครอบคลุมทั้งจากปัจจัยภายใน และภายนอกครอบครัว รวมทั้งสามารถดำเนินการส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคได้ด้วย
คัดย่อบางส่วนจากเอกสารประกอบการสอนของ
ศ.เกียรติคุณ นพ.ม.ร.ว. ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์