PARADIGM SHIFT IN HEALTH CARE
สรุปจากเอกสารการสอน ของรองศาสตราจารย์ นายแพทย์ สุรเกียรติ อาชานุภาพ 6 มิถุนายน 2544
ในการให้บริการสุขภาพในอนาคต จะมีการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่อย่างน้อย 6 ข้อคือ
1. เปลี่ยนจากเน้นเรื่อง "สุขภาพเสีย (ill-health) หรือ โรค (disease)" เป็นเรื่อง "สุขภาพดี (good health) หรือ สุขภาวะ (well-being)" ซึ่งครอบคลุมมิติทาง กาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ กระบวนทัศน์ข้อนี้นับว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุด และเป็นตัวกำหนดของอีก 5 ข้อ
2. เปลี่ยนจากการเน้นเรื่อง "การรักษาโรค หรือซ่อมสุขภาพ" มาเป็นเรื่อง "การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค" หรือ "การสร้างสุขภาพ" ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนและทุกภาคของสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสุขภาพ
3. เปลี่ยนจากการบริการโดย "ใช้โรงพยาบาลเป็นฐาน (hospital-based)"" เปลี่ยนเป็น"ใช้ประชากรเป็นฐาน (population-based)" นั่นคือ จะต้องเสริมสร้างสถานบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิที่ตั้งอยู่ในชุมชนให้เข้มแข็ง
สถานบริการปฐมภูมินี้ จะต้อง
เป็นแนวหน้าที่มีพื้นที่และประชากร รับผิดชอบแน่ชัด
มีข้อมูลพื้นฐานของครอบครัวและชุมชน สำหรับการวางแผนและประเมินผล
มีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับชุมชน
ให้การดูแลสุขภาพอย่างบูรณาการ (Integrate) องค์รวม (Holistic) และอย่างต่อเนื่อง (continuity)
กระตุ้นและสนับสนุนให้ชุมชนสามารถดูแลสุขภาพตนเอง (Self care)
มีการเชื่อมต่อกับโรงพยาบาล ซึ่งเป็นแนวหลังให้แก่สถานบริการในชุมชน (Referal system)
4. เปลี่ยนจากเน้น "วิธีการทางการแพทย์ (Biomedical approach)" เป็น "วิธีการทางชีวะ-จิต-สังคม (Bio-Psycho-Social approach)" การบริการทางการแพทย์จะต้องคำนึงถึงมิติและปัจจัยทุกด้าน
การบริการจะต้องผสมผสานระหว่างการบริการทางการแพทย์(Biomedical care) และการช่วยเหลือทางด้านจิตใจและสังคม(Psycho-Social support)
ผสมผสานการแพทย์ปัจจุบัน และการแพทย์ทางเลือกอย่างเหมาะสม
เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ การพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้การดูแล ผู้ป่วยถึงแม้จะรักษาไม่ได้หรือสิ้นหวัง รวมทั้งส่งเสริมค่านิยมการตายอย่างธรรมชาติ หรือการตายอย่างมีคุณภาพและประหยัด
5. เปลี่ยนจากการบริการที่เน้น "แพทย์หรือผู้ให้บริการเป็นศูนย์กลาง" เป็น "ผู้ป่วยหรือผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง" โดยเน้นหลักการการบริการที่
ความเสมอภาค
คุณภาพ
ประสิทธิภาพ
มีความรับผิดชอบตรวจสอบได้
เคารพในสิทธิผู้ป่วย
6. เปลี่ยนบทบาทของแพทย์จาก "ผู้ให้บริการ (Provider)" เป็น " ผู้สนับสนุน(Supporter) และ ผู้กระตุ้นหรือพี่เลี้ยง (Facilitator)" โดย
ลดการผูกขาดในเรื่องของ ความรู้และ อำนาจ
ส่งเสริมบทบาทของทีมสุขภาพและการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและประชาชน