นักมาร์คซิสต์ต้องมองย้อนกลับไปถึง 6 ตุลาเพื่อต่อสู้ใหม่ในอนาคต ( ต่อ )

ใจ    อึ๊งภากรณ์
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


6 ตุลาคม 2519 อาชญากรรมของรัฐในการเมืองไทย

        ความสำคัญของการต่อสู้ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ต่อความขัดแย้งทางชนชั้น ในสังคมไทยจะเห็นได้จากกำลังใจของฝ่ายนักศึกษา กรรมาชีพ และชาวนา ที่พุ่งสูงขึ้นหลังชัยชนะ หลังจากนั้นไม่นานคนงานสิ่งทอร่วมกันนัดหยุดงานถึง 7 หมื่นคน พนักงานธนาคาร พนักงานหนังสือพิมพ์ ครูบาอาจารย์ และข้าราชการ ล้วนแต่ออกมา ประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมที่ไม่เคยได้ภายใต้เผด็จการ แต่ในขณะเดียวกัน ปฏิกิริยา ของชนชั้นสูงไทยที่เสียอำนาจบางส่วนไป ในช่วงนั้นก็ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน  โดยมีการใช้ลัทธิ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” เป็นข้ออ้างในการปกป้องอภิสิทธิ์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์  (2536)  ได้อธิบายในบทความ  “บันทึกความรุนแรงและรัฐประหาร 6 ตุลา” ว่า

 

“ผู้ที่ได้สูญเสียอำนาจทางการเมือง ในเดือนตุลาคม 2516ได้
แก่ทหารและตำรวจบางกลุ่ม ผู้ที่เกรงว่าในระบบประชาธิปไตย
ตนจะสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจไป ได้แก่พวกนายทุนเจ้าของที่ดินบางกลุ่ม
และผู้ที่ไม่ประสงค์จะเห็นระบบประชาธิปไตยในประเทศไทย กลุ่มเหล่านี้
ได้พยายามอยู่ตลอดเวลาที่จะทำลายล้างพลังต่างๆ ที่เป็นปรปักษ์แก่ตนด้วยวิธีต่างๆ”

        ในระยะสามปีหลัง 14 ตุลาคม 2516 ฝ่ายคนชั้นล่างไม่ว่าจะเป็นกรรมาชีพในเมืองหรือชาวนาในชนบท   พยายามขยายสิทธิเสรีภาพ และประชาธิปไตย ในรูปแบบที่มีความหมายจริงๆ จังๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ คือเขาพยายาม รวมตัว เรียกร้องความเป็นธรรม ทางชนชั้นในรูปแบบเศรษฐกิจปากท้องมากขึ้น มีการรวมตัวตั้งสหภาพแรงงาน และกลุ่มชาวนามากขึ้น และมีการประท้วงเรื่องค่าจ้าง สวัสดิการ และ ปัญหาราคาผลผลิตของชาวนาที่ตกต่ำ เป็นที่น่ารังเกียจอย่างยิ่งที่มีนักวิชาการ “ก้าวหน้า”ในปัจจุบันบางคนเช่น พิทยา ว่องกุล (2541) ที่เสนอว่า การเรียกร้องความเป็นธรรม ในสังคมในยุคนั้นเป็นเรื่อง ไม่รู้จักพอ มากเกินไป หรือ เป็นความผิด ข องนักศึกษา  และฝ่ายซ้าย ที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมประชาชนไทย  ที่ยังไม่พร้อมที่จะเห็นความเป็นธรรมในสังคม  (ซึ่งอดีตผู้นำนักศึกษา ที่เข้าสู่ศูนย์อำนาจวันนี้ บางคนก็คิดเช่นเดียวกัน โดยมองว่าการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อคนยากคนจน และความเป็นธรรมในช่วงก่อน เกิดเหตุการณ์  6 ตุลา เป็นเรื่อง “ซ้าย” สุดขั้ว ทำล้ำเส้น ไม่เข้าใจการสร้างแนวร่วม  โดยเฉพาะแนวร่วม กับฝ่ายอำนาจรัฐ และนายทุน เช่นเดียวกับปัจจุบัน ที่พวกเขาพยายามสร้างสัมพันธ์และเชื่อมต่ออยู่)

        ถ้าภายใต้ระบบประชาธิปไตยคนจนเรียกร้องความเป็นธรรมไม่ได้ ประชาธิปไตยนั้นไม่มีความหมายเลย  แนวคิดอย่างนี้ เป็นแนวคิด ที่ไหลไปในทิศทาง ที่ให้ความชอบธรรม กับการกระทำอันป่าเถื่อนของชนชั้นปกครองไทย ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519  และ ไหลไปโทษ ผู้ถูกกระทำ ที่ไม่มีส่วนในการใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด

        ขณะที่ชนชั้นล่างไทยพยายามแก้ปัญหาพื้นฐานของสังคมหลัง 14 ตุลาคม 2516  ชนชั้นปกครองไทย  ได้วางแผน  ทำลาย ขบวนการกรรมาชีพ และชาวนาอย่างโหดร้ายทารุนโดยการสร้างสิ่งที่ ตรอทสกี (ผู้นำการปฏิวัติรัสเซียร่วมกับเลนิน) เรียกว่า “ไม้กระบองเพื่อทำลายชนชั้นกรรมาชีพ” (Trotsky 1975) นั่นคือ ขบวนการม็อบชน ม็อบในรูปแบบฟาชิสต์ของพวก “นวพล” “กระทิงแดง” และ “ลูกเสือชาวบ้าน”

        ตรอทสกี เคยวิเคราะห์ขบวนการฟาชิสต์ (หรือที่เรียกว่า นาซี)  ในเยอรมันสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง  และการวิเคราะห์ของตรอทสกี มีประโยชน์ในการเข้าใจ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ในสังคมไทย  ขบวนการในเยอรมันและในไทยมีทั้งส่วนที่คล้ายกันและต่างกัน ส่วนที่ต่างกันคือไทยตอนนั้น ไม่ได้อยู่ ในสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรง อย่างเยอรมันในปี 1933  อย่างไรก็ตาม เราสามารถ ที่จะยกคุณสมบัติสำคัญสามประการ ของขบวนการฟาชิสต์ยุโรปสมัยนั้น มาทำความเข้าใจ กับขบวนการของไทยใน พ.ศ. 2519 ได้ดังนี้

1 ฐานสนับสนุนของขบวนการฟาชิสต์คือชนชั้นกลาง  หรือคนระดับปานกลาง ที่กำลังถูกบีบระหว่างนายทุนใหญ่  กับ ขบวนการกรรมาชีพ ท่ามกลางการต่อสู้ทางชนชั้น งานวิจัยของ โบวี่ (Bowie 1997) นักวิชาการสหรัฐที่อยู่ในเมืองไทยยุคนั้น  พบว่ากลุ่มลูกเสือชาวบ้าน  เป็นขบวนการ ที่มีรากฐานการสนับสนุน  ในหมู่ชาวบ้าน ระดับปานกลาง  กลุ่มนวพลในเมือง ก็เป็นกลุ่มของข้าราชการและนักธุรกิจระดับปานกลางเช่นเดียวกัน

2 กำลังหลักในการใช้ความป่าเถื่อนรุนแรงของขบวนการฟาชิสต์ อาศัยกรรมาชีพจรจัดและคนจน ที่ตกงาน  หรือไม่พอใจ กับระบบ แต่ไม่ได้เป็นส่วนของกรรมาชีพที่มีองค์กรจัดตั้งแบบสหภาพแรงงาน มาร์คซ์เคยเรียกกลุ่มนี้ว่าเป็น  “ชนชั้นอันตราย ขยะของสังคม” (มาร์คซ์ กับ เองเกิลส์ 2541) นักศึกษา อาชีวะ ที่เข้าไปเป็นหน่วยกระทิงแดง เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด

3 ขบวนการฟาชิสต์  จะมีพลังจริงต่อเมื่อชนชั้นนายทุนที่เป็นชนชั้นปกครองสนับสนุนขบวนการเหล่านั้น ความโหดร้าย ของกลุ่มอันธพาลสามกลุ่ม ที่เกิดขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม 2519  และช่วงก่อนหน้านั้น เกิดขึ้นได้ เพราะมีการสนับสนุน จากชนชั้นปกครองไทยทุกฝ่าย โดยไม่มีข้อยกเว้น กอ.รมน. และ องค์กรอื่นๆ ของรัฐไทยได้สนับสนุนและพัฒนาอันธพาลสามกลุ่มด้วยเงิน อาวุธ การอบรม และกำลังใจ (ป๋วย 2536)

        ตรอทสกี อธิบายว่าชนชั้นปกครองจำใจใช้ม็อบฟาชิสต์ “เสมือนคนที่ปวดฟันไปหาหมอฝัน” (Trotsky 1975) คือจริงๆ  แล้ว ชนชั้นปกครองไม่ไว้ใจ เกลียดชัง และดูถูกบุคคลที่เป็นสมาชิกกลุ่มอันธพาลเหล่านี้ แต่จำใจต้องใช้เขาเพื่อทำลายขบวนการนักศึกษา กรรมาชีพ และชาวนา และในกรณีไทยพอใช้งานเสร็จก็มีการพยายามยุบทั้งสามองค์กร หรือปล่อยให้หายไปตามธรรมชาติ  แทนที่ จะสนับสนุนต่อไป (Bowie 1997)

        เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นข้อมูลหลักฐานจากโลกจริงทีโต้แย้งกับข้อเสนอของนักวิชาการสำนัก “ประชาสังคม”  ที่เชื่อว่าคนชั้นกลาง เป็นกลุ่มที่สนับสนุนและผลักดันการพัฒนาของระบบประชาธิปไตย เพราะในปี 2519  ชนชั้นกลางไทย เป็นฐานสนับสนุน อันธพาล สามกลุ่ม ที่มีส่วนร่วมสำคัญในการทำลายประชาธิปไตยและการเอาเผด็จการรัฐบาลขวาจัดของ ธานินทร์ กรัยวิเชียร เข้ามาแทนที่รัฐบาลประชาธิปไตย

จุดอ่อนของฝ่ายมวลชน

        ก่อนที่จะพิจารณาจุดอ่อนของฝ่ายมวลชนในเรื่องเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เราจำเป็นที่จะต้องย้ำว่าการต่อสู้ของนักศึกษา กรรมกร และ ชาวนา และการต่อสู้ของสหายในพรรคคอมมิวนิสต์ไทย ซึ่งรวมถึงนักศึกษาทั้งหลายที่เข้าป่าหลัง 6 ตุลาคม 2519 เป็นการต่อสู้ที่มีความชอบธรรม เพราะเป็นการต่อสู้เพื่อพัฒนาประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่และความเสมอภาคของสังคมไทย ส่วนผู้นำของฝ่ายตรงข้ามล้วนแต่ต่อสู้เพื่อปกป้องอภิสิทธิ์อันไม่ชอบธรรมของพวกเขาเท่านั้น

        แต่การต่อสู้ของฝ่ายเรามีจุดอ่อนหลายประการที่เราควรศึกษาเพื่อที่จะปรับแนวการต่อสู้ในปัจจุบันดังนี้

1 ขบวนการนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตย  ไม่ชัดเจนว่าสู้เพื่ออะไรนอกจากระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาในระบบทุนนิยม และ พอได้สิ่งนี้มาเข้าใจว่ายังไม่เพียงพอ  แต่ไม่ชัดเจนว่าควรสู้ต่อไปในรูปแบบไหน  ความไม่ชัดเจน ของนักศึกษา เป็นเรื่องธรรมดา ของคนหนุ่มสาวที่เริ่มการต่อสู้ แต่ในเมืองไทยมีองค์กรหนึ่ง ที่มีภาระหน้าที่ที่จะนำทางให้คนหนุ่มสาว  องค์กรนี้ คือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่ปรากฏว่าพรรคนำนักศึกษา ในทางที่ผิดพลาดเพราะเดินแนวทางลัทธิเหมาเจ๋อตง และเผด็จการสตาลิน ไม่สนใจที่จะสู้ในเมืองเพื่อยับยั้งเหตุการณ์นองเลือด  และ ปล่อยให้นักศึกษา และกรรมาชีพในเมืองต้องสู้แบบบริสุทธิ์มือเปล่า

2 พรรคคอมมิวนิสต์เสนอการต่อสู้เพื่อ“ประชาชาติประชาธิปไตย” การเสนอแนวทางต่อสู้เพื่อประชาชาติประชาธิปไตย หรือเพื่อแค่ขั้นตอนประชาธิปไตยรัฐสภา ในระบบทุนนิยม โดยทำแนวร่วมกับนายทุน  เป็นแนวคิดเชิง “ทฤษฎีขั้นตอนประวัติศาสตร์แบบกลไก” ของสำนัก สตาลิน-เหมา เจ๋อ ตุง  เพราะสำนักนี้ มองว่าขั้นตอนการต่อสู้ เพื่อสังคมนิยมเป็นขั้นตอนในอนาคตอันห่างไกล สาเหต ุหลักที่พรรคแบบสตาลินเสนอยุทธศาสตร์แนวนี้  ก็เพราะสตาลินต้องการสร้างรัสเซียเป็นมหาอำนาจ และไม่ต้องการสร้างศัตรู กับประเทศประชาธิปไตยทุนนิยม หรือ  ชนชั้นนายทุนในประเทศด้อยพัฒนาอย่างจีน  แนวคิดนี้เป็นแนวคิด ของชนชั้นข้าราชการเผด็จการ ที่ขึ้นมามีอำนาจในรัสเซีย หลังความล้มเหลวของการปฏิวัติรัสเซียประมาณปี 1928 (ใจ 2542)

        การเสนอเป้าหมายการต่อสู้แค่ขั้นตอนประชาชาติประชาธิปไตยเป็นการย้อนยุคแนวคิดมาร์คซิสต์ เพราะ มาร์คซ์ เลนิน และ ตรอทสกี ได้พัฒนาแนวคิดจนพ้นขั้นตอนประวัติศาสตร์แบบกลไกในช่วงระหว่างปี 1848 จนถึง 1917 และมีข้อสรุปในปัจจุบันว่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศพัฒนาหรือด้อยพัฒนา  ชนชั้นกรรมาชีพในเมือง ต้องนำการปฏิวัติ เพื่อเลยขั้นตอน ประชาชาติประชาธิปไตย ไปสู่สังคมนิยมอย่างต่อเนื่อง (ใจ 2542)  สิ่งเหล่านี้ อาจดูเหมือนทฤษฎี ที่ไม่เกี่ยวกับโลกจริง แต่ถ้าเราอธิบายเป็นรูปธรรมชาวมาร์คซิสต์จะมองว่า การล้มเผด็จการทหารในปี 2516 ทำให้ประชาธิปไตยแบบทุนนิยมไทยเกิดขึ้น แต่ประชาธิปไตยแบบนี้ ไม่เพียงพอที่จะสร้างความเป็นธรรมในสังคมอย่างจริงจังได้    ดังนั้นต้องมีการต่อสู้ต่อไป อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสังคมนิยม แต่แนวของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่เน้นการสร้างแนวร่วมระหว่างกรรมกร ชาวนา นายทุนน้อย และนายทุนชาติ เพื่อสู้กับ “จักรวรรดินิยมอเมริกาและทาสรับใช้ของมัน”  โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างระบบทุนนิยม “แท้และอิสระ” ในไทย เพียงแต่สร้างความสับสนให้กับนักศึกษา และกรรมาชีพในเมืองเท่านั้น

3 พรรคคอมมิวนิสต์หลงคิดว่าเมืองขึ้นกับชนบท แนวคิดที่ให้ความสำคัญกับชนบทไทย ทั้งๆ  ที่เหตุการณ์สำคัญทางการเมือง ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นในเมือง (เช่น การปฏิวัติ 2475 การล้มเผด็จการเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้น)  ลอกแบบโดยตรง จากพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ แนวเหมา เจ๋อ ตุง  แต่แนวของเหมา เป็นแนวที่เกิดจากการชี้นำของสตาลิน  ที่สั่งให้พรรคจีน สลายตัว เข้าไปอยู่กับ พรรคนายทุนจีน ซึ่งมีผลทำให้พวกคอมมิวนิสต์จีนในเมืองต่างๆ ถูกฆ่าตายเป็นแสน  อุบัติเหตุ ทางประวัติศาสตร์ อันนี้ถูกแปรรูปไปเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองของเหมา และถูกลอกแบบในพรรคไทยโดยที่ไม่มีการคิดพิจารณาแต่อย่างใด

        ในรูปธรรมแนวคิด “ชนบทล้อมเมือง” ของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยมีผลทำให้พรรคถอนกำลังออกจากเมืองไม่เอาใจใส่กับกรรมาชีพ ไม่เตรียมที่จะต้านภัยเผด็จการด้วยการนัดหยุดงาน และปล่อยให้นักศึกษาและกรรมาชีพถูกปราบปราม  สาเหตุที่ตั้งข้อกล่าวหานี้ได้ ก็เพราะการนัดหยุดงานต้านภัยเผด็จการไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน ก่อนหน้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ไม่กี่เดือนกรรมาชีพ 5  แสนคน ได้ออกมานัดหยุดงานทั่วไป เพื่อประท้วงค่าครองชีพที่แพงขึ้นเรื่อยๆ

ประเมินการต่อสู้ยุค 6 ตุลา

        ถ้ามองจากแง่ลบ เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ได้ทำลายขบวนการฝ่ายก้าวหน้า และอุดมการณ์สังคมนิยมในไทย  และทำให้การต่อสู้ ของกรรมาชีพ อ่อนแอลง ซึ่งมีผลกระทบจนถึงทุกวันนี้ และชนชั้นปกครองไทยโดยเฉพาะซีกก้าวหน้าฉลาดสายปฏิรูป  สามารถ ที่จะปั้นระบบประชาธิปไตยไทย ไปในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ต่อชนชั้นของเขา การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในปี 2540  เป็นผลงานล่าสุด ของชนชั้นปกครองซีกก้าวหน้าดังกล่าว  เพราะประเด็นสำคัญที่สุด ในรัฐธรรมนูญใหม่  คือการสร้างความมั่นคง ให้กับรัฐบาลนายทุน และนักเลือกตั้งมืออาชีพ เพื่อการพัฒนา สถาบันการเมืองของนายทุนให้ทันสมัย  (Connors 1999)  ไม่ใช่เรื่องสิทธิเสรีภาพ นามธรรม ที่พิมพ์บนแผ่นกระดาษ และไร้ความหมายในรูปธรรม ช่วงเวลาผ่านมา เกือบ 4 ปีคงจะพิสูจน์ได้ดี ปัญหาความยากจน ไม่ได้รับการแก้ไข ผู้ใช้แรงงานยิ่งประสบกับความยากลำบาก และถูกลอยแพ

        แต่ถ้ามองจากอีกแง่หนึ่งที่เป็นแง่บวก การต่อสู้ของคนชั้นล่าง และ การต่อสู้ของผู้ที่เข้าป่าหลัง 6 ตุลาคม 2519  มีผลทำให้ชนชั้นปกครองไทย ต้องประนีประนอมครึ่งทาง  ต้องยอมเปิดกว้าง ทางประชาธิปไตยรัฐสภา  และที่สำคัญ คือ ชนชั้นปกครอง ไม่ได้มีอำนาจพอที่จะกำหนดอนาคตทุกอย่างได้อย่างเบ็ดเสร็จ เช่น  ไม่สามารถคุมปฏิกิริยา จากประชาชน ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ไม่สามารถควบคุมสิ่อมวลชน  และไม่สามารถยับยั้งวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยได้เป็นต้น

บทเรียนสำหรับอนาคต

        6 ตุลาคม 2519 สอนให้เราเข้าใจว่าชนชั้นปกครองไทย ไม่มีวันสละอภิสิทธิ์อันไม่ชอบธรรมของเขาอย่างง่าย ๆ  และ เขาพร้อมที่จะใช้ ความโหดร้ายป่าเถื่อน  ในการปกป้องอภิสิทธิ์ดังกล่าวเสมอ ดังนั้นเราต้องเลิกแนวคิดต่อสู้แบบบริสุทธิ์มือเปล่า  โดยเฉพาะแนวคิดที่ปฏิเสธเรื่องชนชั้น  นอกจากนี้ เราต้องเข้าใจว่า ระบบประชาธิปไตยทุนนิยม   ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นระบบ ที่ตอบสนองผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน ถ้าเราจะสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์  เราต้องต่อสู้เพื่อสังคมนิยม และในการต่อสู้ดังกล่าวเราต้องเข้าใจว่าชนบทขึ้นกับเมือง

        ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและการเมืองสูง  ในยุคเศรษฐกิจขยายตัว ชนชั้นนายทุนไทย เกือบจะไม่ให้อะไร กับชนชั้นกรรมาชีพและชาวนายากจนเลย แต่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจชนชั้นนายทุนพยายามซ้ำเติมความเดือดร้อนของกรรมาชีพ และคนจน โดยการโยนภาระหนี้สินและภาระแก้วิกฤตให้กับพวกเรา  สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่คิดเปลี่ยนสังคม ชนชั้นปกครองหวังว่า 6 ตุลาคม 2519 จะสอนให้เราจำนนและกลัวความรุนแรง  เรามีหน้าที่ที่จะรื้อฟื้นการต่อสู้เพื่อสังคมนิยมเพื่อไม่ให้สหายเก่า และวีรชนของประชาชนในอดีตต้องเสียสละ ไปอย่างสูญเปล่า

หนังสืออ้างอิง

ขอขอบคุณ  www.thaitopic.com

กลับไป หน้าแรก