แม่น้ำรูบิคอนของทุนนิยมอเมริกัน

โดย นิธิ  เอียวศรีวงศ์           


        ว่ากันว่าตึก WTC เป็นสัญลักษณ์ของทุนนิยมอเมริกัน การถล่มตึกนี้จึงเท่ากับถล่มทุนนิยมอเมริกันไปพร้อมกัน แต่ทุนนิยมอเมริกันถูกถล่มจากผู้ก่อการร้ายหรือจากอะไรกันแน่? ทุนนิยมอันแข็งแกร่งของอเมริกันถูกค้ำยัน ไว้ด้วยตึกระฟ้าเพียงสองตึกเท่านั้นเองละหรือ?

        รัฐบาลสหรัฐได้ขอร้องสื่อมวลชนว่า อย่าแพร่ภาพการตอบโต้ของนายบิน ลาเดน ทางโทรทัศน์ เพราะซีไอเอ วิเคราะห์ว่าการปรากฏตัวของเขาอาจส่งสารบางอย่างแก่สมาชิกของกลุ่มทั่วโลก หรือส่งสารที่เรียกร้องการสนับสนุน จากประชาชนทั่วไปในโลก  ไม่ใช่รัฐบาลสหรัฐไม่เคยแทรกแซงสื่อมาก่อน ตรงกันข้ามแทรกมาตลอดเลยก็ว่าได้ แต่ด้วยวิธีที่แนบเนียนซับซ้อนและสกปรกกว่านี้มากนัก ไม่เคยขอร้องอย่างตรงไปตรงมาเข่นนี้เลย แสดงว่ารัฐบาลสหรัฐ เชื่อในเสียงสนับสนุนนโยบายของตนอย่างท่วมท้นในสังคมอเมริกัน เสียจนไม่ต้องกังวลกับหลักการเสรีภาพของสื่อ ซึ่งฝังรากในสังคมอเมริกันมานานอีกต่อไป 

        สื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องนี้อย่างไร? เขาจัดการประชุมหารือในหมู่ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ด้านความมั่นคงแห่งชาติของรัฐบาล  แล้วก็เห็นพ้องต้องกันว่าจะไม่นำวิดีโอเทปปราศรัยของบิน ลาเดน ออกอากาศอีก จนกว่าจะผ่านการกลั่นกรองตรวจสอบ(ของใครไม่ทราบ) เสียก่อน  พูดอีกอย่างหนึ่งคือ สื่ออเมริกันประกาศเซ็นเซอร์ ตนเองตามคำสั่งของรัฐหน้าตาเฉย สิทธิเสรีภาพของประชาชนอเมริกันที่จะได้รับรู้ข่าวสารทุกแง่ทุกมุม เพื่อการตัดสินใจ ทางการเมืองถูกละเลยทอดทิ้ง หรือพูดให้ชัดกว่านั้นคือถูกขยี้ทิ้งใต้ฝ่าเท้าอย่างไม่ไยดี อันที่จริงในการประชุมเพื่อ ตัดสินใจเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับทุนนิยมอเมริกันในครั้งนี้ ไม่มีตัวแทนของฝ่ายประชาชนเข้าไปร่วมด้วยเลย สักคนเดียว

        เหตุใดผู้บริหารระดับสูงของสื่อจึงตัดสินใจเช่นนั้น รัฐบาลอเมริกันไม่มีอำนาจตามกฎหมายหรืออำนาจเถื่อน ใดๆ ที่จะคุกคามสื่อได้ สื่อเองต่างหากที่อยากแสดงท่าทีร่วมมือกับรัฐบาลอย่างคึกคักด้วยการเข้าไปร่วมทำสงคราม โฆษณาชวนเชื่อกับประชาชนอเมริกันเอง แต่การกระทำของสื่อในครั้งนี้อธิบายด้วยความรักชาติอย่างเดียวไม่พอ เพราะในประเพณีทางภูมิปัญญาการเมืองของทุนนิยมอเมริกันนั้น ปฏิเสธการใช้ความเท็จเพื่อการปลุกปั่นให้แก่ ชาติตลอดมา (แม้ในความจริงอาจทำอยู่เสมอโดยไม่เปิดเผย)

        อำนาจรัฐไม่อาจอธิบายการที่สื่ออเมริกันทรยศหักหลังประชาชนได้ แต่อำนาจเงินอธิบายได้ดีกว่ามาก ประชาชน อเมริกันกว่า 90% ยังเห็นด้วยกับการเปิดสงครามโดยไม่ประกาศกับอัฟกานิสถาน สื่อทีวีอเมริกันกำลัง 'แข่งขัน' กันเพื่อแย่งการยอมรับของตลาด ความไม่ร่วมมือบิดเบือนข้อมูลข่าวสารย่อมเสี่ยงต่อการบอยคอตของตลาดอเมริกัน และหมายถึงการถอนโฆษณาและราคาหุ้นของบริษัทในตลาดตกวินาศสันตะโรตามมา การทรยศหักหลังประชาชน จึงเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุดและน่าจะทำกำไรได้สูงสุด

        อารมณ์ของสังคมอเมริกันในยามนี้อาจทำลายฐานทางเศรษฐกิจของสื่อได้ง่ายๆ และประเพณีประชาธิปไตยใดๆ ก็ไม่มีพลังพอจะปกป้องบุคคลหรือองค์กรใดจากการ "เฆี่ยนสาธารณะ" (lynching) ได้อีกแล้ว ดังที่คอลัมนิสต์คนหนึ่ง ของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นถูกไล่ออกจากงานเพราะเขียนบทความวิพากษ์บุคลิกผู้นำของประธานาธิบดี เมื่อวันที่ตึก WTC ถูกถล่มแม้แต่อำนาจของรัฐอเมริกันที่ใช้เพื่อควบคุมสื่อของโลกก็ผ่านเงินตรา เพราะกระทรวงต่างประเทศกำลังจะซื้อ เวลาของสถานีโทรทัศน์ในกาตาร์ ซึ่งเป็นผู้เผยแพร่วิดีโอเทปปราศรัยของฝ่ายบิน ลาเดน ในที่สุดอเมริกันจะเป็นแหล่ง รายได้หลักของสถานี และมีอำนาจต่อรองกับสถานีว่า อะไรเผยแพร่ได้ และอะไรเผยแพร่ไม่ได้ (สื่อไทยคิดให้ดีๆ ว่าจะรายงานข่าวความขัดแย้งระหว่างกลุ่มบิน ลาเดน และสหรัฐต่อจากนี้ไปได้อย่างเที่ยงธรรม และรับใช้คนไทย ด้วยความซื่อสัตย์ได้อย่างไร ข่าวที่สำนักข่าวระหว่างประเทศป้อนให้เวลานี้ยังวางใจได้ต่อไปหรือ มีหนทางใดบ้าง ที่สื่อไทยจะเจาะไปหาแหล่งข่าวอื่น เพื่อสร้างสมดุลของข่าวบ้าง มิฉะนั้นเมื่อใดที่ฝรั่งสายตาสั้น คนไทยก็ตาบอด)

        สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจอารมณ์ของสังคม เพราะเข้าใจแล้วก็ทำกำไรได้ ในขณะที่สื่อสมัครใจป้อนความเท็จ ที่สังคมอยากได้ยิน พ่อค้าอีกคนหนึ่งพิมพ์รูปบิน ลาเดน ลงบนกระดาษชำระ เพื่อทำให้ประชาชนทุกคนที่ยอมเสียเงิน 5 เหรียญสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการชำระแค้นของชาติในครั้งนี้ได้อย่างเท่าเทียมกัน กลไกที่จะทำกำไรงามๆ จากอารมณ์อันนี้ของผู้คนสลับซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน จนในที่สุดอารมณ์แค้นนี้ก็ยากที่จะสงบลงได้ เพราะตลาดจะ ไม่ยอมให้สงบ จะมีคนอีกหลายฝ่ายที่ทำกำไรกับอารมณ์นี้คอยกระพือโหมเลี้ยงเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ทั้งนี้ ยังไม่ได้พูดถึงมาตรการ 'ฉุกเฉิน' อีกหลายอย่างที่รัฐและรัฐบาลอเมริกันกระทำในเวลานี้

        เช่นมีใครรู้บ้างว่าผู้ต้องหาจำนวนเป็นร้อยที่ถูกจับกุมในช่วงนี้ ได้รับความคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญครบถ้วนกระบวน ความหรือไม่ บางรายถูกจับกุมโดยไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าถูกควบคุมตัวอยู่ที่ไหน (เกือบจะไม่ต่างจากกฎหมายความมั่นคง ของมาเลเซียและสิงคโปร์ที่อเมริกันเคยโจมตีมาเลย) และในท่ามกลางอารมณ์ที่ต้องการหาเหยื่อความแค้น ให้ได้ของสังคมเช่นนี้ จะเหลือหลักประกันอะไรอีกในกระบวนการยุติธรรมที่คนเหล่านี้ควรได้รับ

        รัฐสภาเพิ่งผ่านกฎหมายอนุญาตให้สำนักงานความมั่นคงแห่งรัฐซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ สามารถดักฟังโทรศัพท์ และใช้มาตรการที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลอีกหลายอย่าง เพื่อป้องปรามการก่อการร้าย  อเมริกันจะเอาชนะ ผู้ก่อการร้ายได้ด้วยแสนยานุภาพหรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่ผู้ก่อการร้ายเอาชนะอเมริกันได้แล้วอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพราะ ตึกระฟ้าถูกถล่ม ตึกแค่นี้อเมริกันจะสร้างใหม่อีกเมื่อไรก็ได้ และไม่ใช่ความสำเร็จในการก่อการร้าย เพราะไม่มีใครในโลก ยอมรับการก่ออาชญากรรมต่อผู้บริสุทธิ์อย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้ แต่ทุนนิยมอเมริกันปราชัยเพราะทุนนิยมอเมริกัน ได้ก้าวมาถึงจุดที่ไม่สามารถทำทีร่วมเดินทางไปกับประชาธิปไตยได้อีกแล้วต่างหาก  เพียงแต่ถล่มตึกระฟ้าเท่านั้น อเมริกันก็ยอมระงับใช้มาตรการประชาธิปไตยไปหลายอย่าง ไม่ใช่เพื่อป้องกันปราการของประชาธิปไตยคือ ความมั่นคงของสหรัฐเอง (อย่างที่รัฐบาลอเมริกันมักยกขึ้นอ้างเมื่อเข้าสงครามในอดีต) แต่เพราะนายทุนอเมริกัน ต้องการจะทำกำไรมากกว่าต้องการผดุงหลักการของสังคมประชาธิปไตย   นับเป็นโอกาสเปิดครั้งแรกที่นายทุน สามารถทำได้อย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมาโดยได้รับความร่วมมือจากรัฐและสังคมอย่างเต็มที่

        ในศตวรรษก่อนประชาธิปไตยเคยเป็นเครื่องมืออย่างดีสำหรับการทำกำไรของระบบทุนนิยม ผู้คนไม่รู้สึกว่า ทุนนิยมเป็นอันตรายก็เพราะเชื่อมั่นในพลานุภาพของประชาธิปไตยว่า ถึงที่สุดแล้วก็จะสามารถรวมหัวกัน เข้าไปควบคุมนายทุนได้ในระดับหนึ่ง ในขณะที่สิทธิเสรีภาพของประชาธิปไตยถูกเน้นในด้านสิทธิเสรีภาพใน การบริโภค แต่คนก็ยังรู้สึกว่ายังมีสิทธิเสรีภาพด้านอื่นๆ ซึ่งถึงแม้ตัวไม่ได้ใช้(หรือไม่ได้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ) ก็ยังประกันเอา ไว้ในรัฐธรรมนูญ

        เมื่อทุนนิยมยิ่งเติบใหญ่ขึ้น แม้แต่เทคโนโลยีและความรู้ซึ่งฝ่ายทุนเป็นผู้สร้างขึ้นก็ไม่เพียงพอเสียแล้ว ที่จะทำให้ ทุนสามารถอ้อมปราการของประชาธิปไตยไปสู่ผลกำไรได้สะดวก ความขัดแย้งระหว่างทุนและประชาธิปไตยมองเห็น ได้เด่นชัดมากขึ้น ความหายนะที่ทุนนิยมกระทำให้เกิดแก่ทรัพยากร และวิถีชีวิตของผู้คน ทำให้เกิดกระแสต่อต้าน ระบาดกว้างขวางขึ้นทั่วโลก ทั้งในสังคมอเมริกันเองด้วย  การต่อต้านนี้อาศัยสิทธิเสรีภาพของประชาธิปไตย เป็นฐานให้เคลื่อนไหวได้ และตราบเท่าที่สิทธิเสรีภาพนี้ยังได้รับความเคารพ(อย่างน้อยเคารพแต่ในนามก็ยังดี) ก็ยังพอมีความหวังได้ว่า ทุนนิยมอเมริกันจะสามารถปรับตัวโดยสงบ บรรเทาผลกระทบอันร้ายแรงต่อผู้คนลงได้ และยังทำกำไรต่อไปได้แม้ไม่มากเท่าที่คาดหวัง  ถ้าเป็นเช่นนั้น ทุนนิยมอเมริกันคงจะอยู่ต่อไปอีกนาน

        แต่ปฏิกิริยาจากการถล่มตึก WTC ในสหรัฐ กลับชี้ให้เห็นว่า ทุนนิยมอเมริกันเลือกที่จะไม่ปรับตัวอย่างสงบ แต่หวัง จะฉวยโอกาสสงครามกับผู้ก่อการร้ายพิชิตศัตรูของตัวด้วยวิธีที่อยู่เหนือประชาธิปไตย เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า การสิ้นสุดของทุนนิยมอเมริกันในศตวรรษที่ 21 จะนำมาซึ่งความรุนแรงในหลายรูปแบบ และศตวรรษที่ 21 จะไม่เป็น ศตวรรษที่ดีไปกว่าศตวรรษก่อนหน้านั้นในแง่ของสงคราม, การนองเลือด, ความอดอยากหิวโหย, และการกดขี่บีฑากัน ด้วยความรุนแรง  ความรุนแรงที่ทุนนิยมอเมริกันกระทำต่อประชาชนผู้ยากไร้ของอัฟกานิสถานในครั้งนี้ยังถือ ได้ว่าเป็น เรื่องเล็กมาก เมื่อเทียบกับความรุนแรงที่ทุนนิยมอเมริกันจะกระทำต่อประชากรโลกในอนาคต รวมทั้งประชากร อเมริกันเองด้วย  ก่อนที่ทุนนิยมอเมริกันจะถูกกำราบลง


มติชน วันที่ 19 ตค.44