โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ |
วรรคตอนหรือความเงียบมีเสียงดังไม่น้อยกว่าถ้อยคำ
เพราะถ้าเงียบผิด ถ้อยคำก็ให้ความหมายผิด หรือไม่ให้
ความหมายที่เข้าใจได้เลย
วรรคตอนจึงเป็นตัวแทนของกระบวนการคิด
ถ้าไม่จับให้ผู้อ่านเข้ามาอยู่ในลู่ของ
กระบวนการคิดเดียวกัน
ก็สื่อความกันได้ไม่ทั่วถึงตามต้องการ
เมื่อตอนที่เรามีอักษรไทยใช้แรกๆ
อักษรไทยไม่ทะเยอทะยานเข้ามากำกับกระบวนการคิดของผู้อ่าน
หมายความ ว่าผู้อ่านรับมาได้แต่ถ้อยคำ
จำเป็นต้องสร้างกระบวนการคิดที่ทำให้ถ้อยคำเหล่านั้นมีความหมายเอาเอง
จารึก
สุโขทัยนั้นไม่มีเครื่องหมายวรรคตอนแต่ประการใด
เขียนอักษรต่อกันเป็นพืด เช่นจารึกหลักที่หนึ่ง (ถ้าไม่ปลอม)
ว่า "พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์แม่กูชื่อนางเสือง"
จะเข้าใจความข้อนี้ได้อย่างน้อยสองอย่าง
อย่างแรกก็คือการบอกชื่อพ่อ ชื่อแม่ให้ผู้อ่าน
อย่างที่สองก็คือหลอกพ่อว่า พ่อ กูชื่อศรีอินทราทิตย์
แล้วก็หลอกแม่ว่า แม่ กูชื่อนางเสือง ถ้าอ่านตาม
ความหมายอย่างที่สอง
ผู้อ่านก็ต้องนึกว่าเอ๊ะอ้ายหมอนี่จะเอายังไงแน่วะ
แต่ความทั้งหมดในจารึกบังคับให้ผู้อ่าน
ที่ต้องการรู้เรื่องสร้างกระบวนการคิดเดียวกับผู้เขียนจึงจะรู้เรื่องได้
นั่นก็คือเขาต้องการบอกชื่อพ่อชื่อแม่ของเขา
การที่จารึกไม่ยอมวรรคนั้น
ไม่ใช่เฉพาะแต่จารึกสุโขทัย
ก่อนหน้านั้นขึ้นไปคือจารึกแขก, จารึกเขมร และจารึกมอญ
ที่พบในแถบนี้ก็ไม่มีการเว้นวรรคเหมือนกัน
ยกเว้นแต่ต้องการจารึกโศลกสันสกฤตเท่านั้น
มักอธิบายกัน ว่าเพราะจารึกบนศิลา
เสียดายที่ว่างจึงต้องจารึกต่อกันเป็นพืดไม่ให้เสียที่ว่างบนหิน
ผมไม่ค่อยเชื่อคำอธิบายอย่างนี้นัก
เพราะจารึกบนหินในสมัยหลัง เช่น อยุธยาและรัตนโกสินทร์ก็มีการเว้นวรรค
ทั้งๆที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีใหม่ในการสะกัด
หินเกิดขึ้นต่างไปจากสุโขทัย ฉะนั้น
ที่สุโขทัยไม่เว้นวรรคจึงไม่ใช่เพราะเขาเสียดายหินอย่างแน่นอน
เขาไม่เว้นวรรค
ก็เพราะเขาไม่รู้จักการเว้นวรรคล่ะสิครับ
ข้อนี้ไม่แปลกประหลาดอะไร
ตัวอักษรโบราณในเอเชียที่ไม่รู้จักเว้นวรรคในเวลาเขียนร้อยแก้วนั้นมีถมถืดไป
เช่น อักษรจีนที่เขียนในสมัยโบราณก็ไม่เว้นวรรค
แม้ฉบับพิมพ์ (แบบแท่นหมุน) รุ่นแรกๆ
ก็ไม่เว้นวรรคตามต้นฉบับเดิม
เพิ่งมาสมัยหลังเท่านั้นที่เติมเครื่องหมายวรรคตอน
จนกลายเป็นที่รังเกียจแก่นักจินตศึกษาบางกลุ่มที่เคร่งครัดกับ
ต้นฉบับเดิม แต่เขียนหนังสือโดยไม่วรรคนั้นอึดอัด
อย่างน้อยก็อึดอัดแก่ผู้อ่านที่ต้องทั้งอ่านถ้อยคำและ
สร้างกระบวนการคิดเพื่อถอดความไปพร้อมกัน ฉะนั้น
จึงมีบางคนสร้างเครื่องหมายบางอย่างขึ้นมาแบ่ง
ถ้อยคำ และประโยคออก
เพื่อช่วยคนอ่านให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
มหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามณี
คงเป็นนักเขียนไทยคนแรกที่ทำอย่างนั้น
เพราะในจารึกหลักที่ 2 ของสุโขทัย
ท่านก็ใช้เครื่องหมายคือตัวกลมๆ
มาแยกประโยคแต่ละประโยคออกจากกัน (ในครึ่งหลังของจารึก)
แม้กระนั้นในทุกวันนี้
นักอ่านจารึกก็ยังเถียงกันว่าท่านหมายความว่าอะไรกันแน่ในหลายที่
ผมเข้าใจว่าตัวกลมๆของท่านในเวลาต่อมาได้
พัฒนากลายเป็น "ฟองมัน" หรือ "ตาไก่"
เพื่อบอกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของข้อความ
แต่ตอนนั้นภาษาไทยใช้การเว้นวรรค
เพื่อแยกความออกจากกันแล้ว "ฟองมัน"
จึงถูกใช้เพื่อแยกเรื่องออกจากกันแทนแยกประโยค
มาถึงสมัยพระมหาจักรพรรดิ
จารึกพระเจดีย์ศรีสองรักษ์ชี้ให้เห็นว่าอักขรวิธีไทยรับเอาการเว้นวรรคมา
เป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้แล้ว
การเว้นวรรคนี้เอามาจากไหน?
ผมเห็นทางมาเป็นสองทาง หนึ่งก็คือการเขียนร้อยกรอง
ไม่ว่าในภาษาแขกหรือ ภาษาไทย ล้วนจำเป็นต้องเว้นวรรค
เพราะในร้อยกรองนอกจากมีความซึ่งต้องประกอบด้วยคำและกระบวนการคิด
แล้วยังมีจังหวะ
ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านหรือผู้ขับหายใจ, สอดใส่อารมณ์
และสร้างความเสนาะ โดยปกติแต่ละวรรคของ
ร้อยกรองก็มักจะเขียนให้สุดความหนึ่งๆ (จะเป็นประโยค,
อนุประโยคหรือวลีก็ตามแต่เพียงพอสำหรับการรับ
ของสมองที่หนึ่ง เป็นเหมือนจังหวะหายใจของสมอง)
อยู่แล้ว
ภาษาความเรียงจึงอาจลอกเลียนวิธีการนี้มาแบ่งความใน
ข้อเขียนของตนบ้าง
เพราะเป็นสัญลักษณ์ที่เข้าใจกันดีอยู่แล้ว
อีกทางหนึ่ง
คือการวรรคคำในการเขียนภาษาบาลีหรือสันสกฤต
เพราะสองภาษานี้ต้องเขียนแยกคำเป็นคำๆ
เหมือนภาษาอังกฤษ
ไม่อาจเขียนต่อกันเป็นพืดเหมือนภาษาไทย, เขมร, มอญ,
จีนได้ การเว้นวรรคจึงเป็น ที่รู้จักกันอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม
ผมออกจะสงสัยว่าทางที่สองนี้ไม่ใช่ทางมาของเว้นวรรคในภาษาไทย
เพราะคนในแถบ
บ้านเราเขียนภาษาสันสกฤตและบาลีมานานหลายร้อยปีแล้ว
โดยไม่ได้กลืนการเว้นวรรคเข้ามาในภาษาพื้นถิ่นเลย
อีกอย่างหนึ่ง การเว้นวรรคของบาลี-สันสกฤตไม่ใช่การแยกความ
แต่เป็นการแยกคำ ในขณะที่เว้นวรรคในภาษาไทย
คือการแยกความ ซึ่งตรงกับวิธีเขียนร้อยกรองมากกว่า
ผมจึงออกจะเชื่อว่าทางมาของเว้นวรรคคือการเขียนร้อยกรอง
ฉะนั้น นับตั้งแต่อยุธยาเป็นต้นมา
คนไทยก็อ่านร้อยแก้วภาษาไทยอย่างโล่งอกมากขึ้น
การเว้นวรรคเป็น
เครื่องหมายวรรคตอนเกือบจะอย่างเดียวของอักขรวิธีไทย
ส่วนฟองมันอังคั่นและโคมูตร (ขี้งัว) นั้น
ไม่ใช่เครื่องหมาย วรรคตอนแท้
เป็นเครื่องหมายบอกความเริ่มต้นและลงท้ายของหนังสือทั้งเล่มหรือร้อยกรองทั้งบท
แม้มีการเว้นวรรคแล้ว
แต่คนไทยก็ยังมีส่วนอึดอัดอยู่อีกแหละครับ
เพราะร้อยแก้วภาษาไทยนั้นไม่รู้จักการย่อหน้า
หรือพูดให้ถูกจริงก็คือ แทบจะไม่ใช้การย่อหน้าเอาเลย
เขาใช้คำมาแทนย่อหน้าเช่น "อนึ่ง"
หรือคำที่กร่อนมาจาก อันหนึ่งนั่นเอง) หรือ "แล"
เป็นต้น
ทั้งสองคำนี้แยกความหลักจากความหลักอีกอันหนึ่ง
หรือแยกความหลักจากความรอง หรือแยกความรองจาก
ความรองได้หมด
ซึ่งถ้าเป็นในปัจจุบันเราก็ใช้การย่อหน้าแทน
ผมทำใจให้กลับไปเป็นคนอยุธยาหรือต้นรัตนโกสินทร์ไม่เป็น
ฉะนั้น ด้วยใจของคนไทยปัจจุบัน อ่านงานเขียนของ
เขาแล้วก็อึดอัดครับ
คือทำใจไม่ถูกว่าตรงนี้ต้องเปลี่ยนกระบวนท่าในการรับสารจากจุดเดิมเป็นจุดใหม่หรือยัง
เพราะ
ไม่มีย่อหน้ามาเตือนสติเหมือนภาษาไทยปัจจุบัน
ผมขอเดาว่าการใช่ย่อหน้าแบบที่คนปัจจุบันคุ้นเคยนั้น
ฝรั่งเป็น คนนำเข้ามาสู่ภาษาไทย
ฝรั่งคนนั้นคือหมอบรัดเลย์
แต่ที่แกนำเข้ามาเพราะแกตั้งใจใช้เครื่องหมายวรรคตอน
แบบฝรั่งในภาษาไทย
หรือเพราะความจำเป็นในการทำหนังสือพิมพ์ไม่ทราบได้
แต่หนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์เดอร์ส์
ของแกถือได้ว่าเป็นผู้นำการใช้ย่อหน้าในภาษาไทย
อย่างไรก็ตาม
เมื่อแกนำเอากฎหมายตราสามดวงไปพิมพ์
แกก็ไม่ได้ทำอย่าง คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ กล่าวคือ
ไม่ได้จับแยกข้อความด้วยย่อหน้าเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น
แกลอกต้นฉบับมาเป๊ะทุกอย่าง รวมทั้งข้อความยาวสามถึง
ห้าหน้าที่ไม่มีย่อหน้าเลยด้วย
การพิมพ์ทำให้เกิดมาตรฐานขึ้นในอักขรวิธีไทย
การวรรคและการย่อหน้าถี่ขึ้นแพร่หลายในงานพิมพ์สืบต่อมา
คนในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา
เลิกเขียนข้อความยาวเหยียดโดยไม่มีย่อหน้าแล้ว
พอมาถึงรัชกาลที่ 6 มีนักเรียนนอก
กลับมาเขียนภาษาไทยมากขึ้น
ก็มีการนำเอาเครื่องหมายวรรคตอนฝรั่งเข้ามาใช้ในภาษาไทยด้วย
และในช่วงนั้นมาถึง หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ดูเหมือนตำราเรียนภาษาไทยจะยอมรับเครื่องหมายวรรคตอนฝรั่งเข้ามาใช้เต็มประตู
เช่น ตำราของพระยาอุปกิตศิลปสาร เป็นต้น
แม้มีตำรารองรับ
แต่คนไทยที่เขียนหนังสือเป็นมากขึ้นกลับไม่ได้ใช้เครื่องหมายวรรคตอนของฝรั่ง
คนที่ใช้มี จำนวนน้อย แม้ในปี 2530
ราชบัณฑิตออกหนังสือว่าด้วยหลักเกณฑ์การใช้เครื่องหมายวรรคตอน
ซึ่งก็เอามาจาก ฝรั่งเป๊ะแล้ว
ก็มีคนใช้เครื่องหมายวรรคตอนน้อยมากจนถึงทุกวันนี้
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ผมคิดว่าที่เขาไม่ใช้ก็เพราะไม่จำเป็น
ซึ่งราชบัณฑิตก็เห็นอย่างเดียวกัน แต่กำหนด
หลักเกณฑ์ขึ้นสำหรับคนที่คิดว่าจำเป็นจะได้ใช้ตรงกันไม่ลักลัน
แต่ผมยังเห็นเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ เครื่องหมาย
วรรคตอนที่ราชบัณฑิตกำหนดขึ้น
และที่ท่านแต่ก่อนนับตั้งแต่ ร.6 ลงมา
ได้ใช้ในงานเขียนของท่านกันอยู่บ้างแล้วนั้น
เหมือนฝรั่งจนเกินความจำเป็นในภาษาไทย ผมมี
ลัทธิของเพื่อน ฉบับพิมพ์ครั้งแรก
ปรากฏว่ามีเครื่องหมาย วรรคตอนแบบฝรั่งเต็มเพียบ
และอาศัยกฎเกณฑ์การใช้แบบฝรั่งเพียบเหมือนกัน
เกินความจำเป็นก็คือรุงรังแหละครับ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนเขียนหนังสือ
ผมคิดว่าวรรคและย่อหน้าอย่างเดียวไม่พอสำหรับภาษาไทยปัจจุบัน
ซึ่งมีอนุประโยคขยายประโยคประธานอยู่เป็นประจำ
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
เราคิดอะไรซับซ้อนกว่าคนแต่ก่อน หรือไม่ผมวัดไม่ได้
แต่วิธีแสดงออกของเราทางภาษากลับนิยมสร้างประโยคที่มีความซับซ้อนขึ้นมาก
แทนที่จะ แบ่งออกเป็นประโยคประธานหลายๆ ประโยค
อะไรขยายอะไร อะไรเชื่อมกับอะไร อะไรต่อกับอะไร ฯลฯ
ชักจะทำความสับสนให้มากขึ้น
ที่วรรคเอาไว้ในต้นฉบับ
แต่เป็นวรรคที่ต้องขึ้นบรรทัดใหม่พอดี
ผู้พิมพ์คอมพิวเตอร์ต้องวินิจฉัยเอาเอง
ว่าตรงนี้วรรคหรือไม่ได้วรรค และผู้พิมพ์คอมพิวต์กับผมมักวินิจฉัยภาษาไม่ค่อยตรงกัน
ทำให้ได้ความไปอีกอย่างหนึ่ง หรือไม่ได้ความเอาเลย
ผมจึงคิดว่าควรใช้เครื่องหมายวรรคตอนของฝรั่งเข้ามาช่วย
แต่ใช้เพียงไม่กี่อย่าง เช่น จุลภาค (หรือคอมม่า) และมหภาค
(ฟุลสต๊อบ) ก็อาจจะพอ
ผมคิดเองไม่ตลอด
จึงอยากเรียกร้องให้ราชบัณฑิตลองคิดใหม่
แทนที่จะถอดเครื่องหมายวรรคตอนของฝรั่ง มาทั้งกระบิ
คงจะดีกว่าที่เริ่มด้วยการวิเคราะห์ว่าภาษาไทยควรจะมีเครื่องหมายวรรคตอนเท่าที่จำเป็นกี่อย่าง
ใช้อย่างไร
ส่วนรูปแบบของเครื่องหมายจะยืมของฝรั่งมาใช้ก็ได้
เพราะเป็นที่คุ้นเคยอยู่บ้างแล้ว
แต่อย่าบังคับให้ใช้นะครับ ทำเหมือน พ.ศ.2530
นั่นแหละครับ คือใครเห็นว่าภาษาเขียนของตัวควรมี
เครื่องหมายวรรคตอนมากขึ้นก็ใช้
ใครเห็นไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้