โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ |
อาจารย์เกษียร เตชะพีระ
เรียกนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันว่า
ทักษิโณมิกส์ (Thaksinomics) ซึ่งมีหัวใจ
สำคัญคือด้านหนึ่งอุปถัมภ์ค้ำจุนทุนบริวารซึ่งเป็นสมัครพรรคพวกเอาไว้ในขณะที่อีกด้านหนึ่งดึงเอาคนระดับล่างเข้ามา
เป็นพวกด้วยการเสริมพลังทางเศรษฐกิจให้แก่คนกลุ่มนี้
ดูๆ ก็มีเหตุผลดี
เพราะการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เป็นเสรีนิยมอย่างอเมริกัน
ตามที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้ทำไป ไม่ทำให้
เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นอย่างยั่งยืน
ตรงกันข้ามพลังทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่ทุนบริวารซึ่งสร้างเศรษฐกิจ
ไทยให้โต มาจนถึงทุกวันนี้ได้
ฉะนั้นก็ไม่ควรทำร้ายทุนบริวารอีกต่อไปแต่ควรหันกลับมาอุปถัมภ์ค้ำจุนให้เป็นพลังร่วมฟื้นฟู
เศรษฐกิจจะดีกว่า และไหนๆ
ก็จะอุปถัมภ์ทุนบริวารกันแล้ว
ก็เอาทุนบริวารที่เป็นสมัครพรรคพวกไม่ดีกว่าหรือ
ในขณะที่เศรษฐกิจของตลาดส่งออกกำลังฟุบอยู่ในช่วงนี้
อย่างไรเสีย ก็ต้องหาตลาดอื่นมาทดแทน จะทดแทน
ได้มากได้น้อยก็พอช่วยทุเลาไปได้บ้าง
และตลาดอะไรจะดีไปกว่าตลาดภายในซึ่งมีคนระดับล่างเป็นคนส่วนใหญ่เล่า
ฉะนั้น
จึงเสริมพลังทางเศรษฐกิจให้แก่คนระดับล่างด้วยกลวิธีต่างๆ
นอกจากทำให้ตลาดภายในเข้มแข็งขึ้นแล้ว
ยังได้คะแนนสนับสนุนทางการเมืองท่วมท้นอีกด้วย
ทุกอย่างดูจะแฮปปี้ดีและรัฐบาลสามารถเสนอโครงการ
ที่ตอบสนองคนสองกลุ่มนี้ได้หลายโครงการ เช่น
โครงการสร้างถนนแก้จนทั่วพระราชอาณาจักร
นโยบายนี้ถูกฝ่ายค้าน โจมตีว่าเก่าแก้ล้าสมัย
หลายรัฐบาลเคยทำมาแล้ว
แต่ที่จริงไม่เหมือนกับที่เคยทำมาแล้วทีเดียวนัก
กล่าวคือ
แทนที่จะทุ่มเงินห้าหมื่นล้านบาทไปช่วยอุ้มอุตสาหกรรมส่งออกซึ่งกำลังเผชิญกับการหดตัวของตลาดต่างประเทศ
รัฐบาลเอาเงินนี้เทลงไปให้เกิดการจ้างงานในชนบท
แต่ก็ไม่ได้เทลงไปในมือของชาวบ้านโดยตรง
หากเทลงไปในมือ ของผู้รับเหมา
ตั้งแต่ระดับใหญ่ถึงระดับท้องถิ่นซึ่งเป็นของผู้นำระดับหัวคะแนน
การสร้างถนนทำให้เกิดการจ้างแรงงาน
เงินก็จะไหลลงสู่มือชาวบ้านบ้าง
กำลังซื้อก็จะเกิดมีมากขึ้นในชนบท
แม้ไม่อาจทดแทนการหดตัวของตลาด
สหรัฐและญี่ปุ่นได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วย
บรรเทาความเดือดร้อนลงไปได้นิดหน่อย
อย่างน้อยก็ในหมู่ชาวบ้านระดับล่าง
และผู้รับเหมาซึ่งมีเส้นสายถึงอำนาจ
แฮปปี้ทั้งสองฝ่ายตามนโยบายทักษิโณมิกส์
ทุนบริวารก็ได้ ชาวบ้านระดับล่างก็ได้
ข้อเสียอยู่ตรงที่ว่า
เงินจำนวนนี้จะหมุนรวดเร็วไหลกลับเข้าสู่เมือง
โดยตลาดล่างก็ขาดกำลังซื้ออีกตามเคย
แต่ถ้าจะให้ตลาดล่างมีกำลังซื้ออย่างยั่งยืน
แทนที่จะสร้างถนน
ก็ต้องคิดถึงสิ่งอื่นซึ่งจะสร้างความเข้มแข็ง
ด้านการผลิตของชาวบ้าน
นับตั้งแต่การพัฒนาฐานการผลิตเดิมของชาวบ้าน
ไปจนถึงลงทุนทางด้านสังคมเพื่อ
ให้ชาวบ้านสามารถพัฒนาความเข้มแข็งของบุคคลและชุมชนได้
แต่หากทำอย่างหลังนี้
ทุนบริวารก็ไม่ได้ส่วนแบ่งที่น่าพอใจ
การสร้างถนนจึงทำให้ได้ทั้งสองฝ่าย และอย่างน้อย
ชาวบ้านก็น่าจะรู้สึกว่าดีกว่าไม่ได้อะไรเสียเลย
จะยั่งยืนหรือไม่ยั่งยืนก็พอมีเงินจับจ่ายใช้สอยคล่องขึ้นสักระยะหนึ่ง
ทักษิโณมิกส์น่าจะมีฐานการเมืองที่แข็งแกร่งไปอีกนาน
ถ้าประนีประนอมผลประโยชน์ของสองกลุ่มนี้ได้ตลอดไป
แต่นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะทุนบริวารไม่ได้มีผลประโยชน์สอดคล้องกับประชาชนระดับรากหญ้าจริง
(แม้ได้อยู่ ร่วมกันมานานก็ตาม)
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่คนระดับล่างลุกขึ้นมาทวงสิทธิและผลประโยชน์ของตนเสมอบ่าเสมอไหล
่กับคนกลุ่มอื่นเช่นทุกวันนี้
นโยบายเหล้าเสรีเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นชัดว่าแล้ววันหนึ่งก็สุดหนทางที่จะประนีประนอมผลประโยชน์ของคนสอง
กลุ่มนี้ได้
ชาวบ้านระดับล่างได้เรียกร้องให้รัฐเปิดทำเหล้าเสรีมานานแล้ว
เหตุผลที่รัฐผูกขาดเหล้าแล้วขายสัมปทานให้
นายทุนเพียงไม่กี่รายได้ผลิตเหล้านั้นฟังไม่ขึ้นสักข้อเดียว
เหล้าของนายทุนไม่ได้ปราศจากอันตรายต่อสุขภาพของ
ผู้บริโภคแต่ประการใด ตรงกันข้าม
กลับมีโทษอย่างเห็นได้ชัด
การผูกขาดและขายสัมปทานไม่ได้ทำให้การบริโภค
สุราลดลง
เพราะเหล้าโดยเฉพาะเหล้าขาวไม่เคยขาดตลาด
การผูกขาดและขายสัมปทานไม่เคยทำให้มีการพัฒนาการ
ผลิตสุราถึงระดับที่สามารถออกไปแข่งขันในตลาดโลกได้จริง
และแน่นอนว่า ค่าสัมปทานและการผูกขาดจะทำให้
เหล้าเหล่านี้ราคาถูกและเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคย่อมเป็นไปไม่ได้
ตรงกันข้ามเหล้าที่ชาวบ้านผลิตเองด้วยกรรมวิธีที่เคยทำสืบเนื่องมาหลายชั่วคนกลับมีโทษน้อยกว่า
เช่น มีส่วนผสมของเมทธีลแอลกอฮอล์น้อยกว่า
ถึงชาวบ้านผลิตเหล้าได้โดยเสรีก็ไม่น่าจะทำให้การบริโภค
เพิ่มขึ้นไปกว่า ปัจจุบันมากนัก
เหล้าเสรีจะทำให้เกิดการแข่งขันกันภายในจนได้ราคาที่เป็นธรรม
(คาถาการแข่งขันโดยเสรีน่าจะใช้
ท่องบ่นในเรื่องนี้ได้ถนัดกว่าเรื่องอื่น
เพราะต้นทุนเทคโนโลยีเพื่อการผลิตค่อนข้างต่ำ
ไม่มีใครแขนยาวกว่าคนอื่น มากนัก)
และเพราะต้องแข่งขันจึงทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพจนสักวันหนึ่งก็จะสามารถออกไปแข่งขันในตลาดโลกได้
หรืออย่างน้อยก็เจาะช่องว่างในตลาดโลกสำหรับเหล้าพื้นบ้านไทยได้
คุณภาพของเหล้ากลั่นและเหล้าหมักนั้นนอกจากขึ้นกับกรรมวิธีแล้ว
ยังขึ้นกับคุณสมบัติของเชื้อส่าเหล้า เชื้อที่จะ
ทำให้เกิดกลิ่นและรสหอมหวนชวนดื่มนั้นเกิดขึ้นได้จากการคัดพันธุ์ในระยะเวลาอันนาน
การเปิดเหล้าเสรีทำให้ชาวบ้าน
ได้โอกาสในการคัดพันธุ์เชื้อส่าเหล้าของตระกูลขึ้น
สามารถสืบต่อให้ลูกหลานได้โดยโจรวิทยาศาสตร์
ยังไม่อาจ ขโมยไปได้ง่ายๆ
นี่คือการพัฒนาจากฐานภูมิปัญญาเดิมของประชาชนนั่นเอง
แต่ ครม.ปู๊นๆ
เพิ่งลงมติอนุญาตให้ทำเหล้าเสรีได้
โดยจำกัดไว้ไม่ให้มีแอลกอฮอล์เกิน 15% แปลว่า ครม.
ยอมต่อแรงกดดันของชาวบ้าน
แต่สงวนรักษาผลประโยชน์ของทุนบริวารไว้อย่างเหนียวแน่น
เพราะมติ ครม.ดังกล่าว แปลเป็นภาษาเหล้าได้ว่า
เฉพาะเมรัยหรือเหล้าหมักประเภทต่างๆ นั้นเปิดเสรี
เช่น กะแช่ หวาก น้ำตาลเมา อุ ฯลฯ
เพราะเหล้าหมักทำอย่างไรก็ไม่มีแอลกอฮอล์เกิน 15% ไปได้(แม้แต่เบียร์ที่ลงทุนหมักสองครั้งหรือที่เรียกว่า
strong beer ก็มีแอลกอฮอล์ประมาณ 12-15% เท่านั้น)
ชาวบ้านอาจทำไวน์จากผลไม้ได้
แต่ไวน์ผลไม้ไม่ได้อยู่ในจารีตสุรา เมรัยของไทย
ทำไปก็อาจหาตลาดในท้องถิ่นไม่ได้
ต้องพึ่งตลาดที่กว้างกว่าท้องถิ่น
จึงเกินทุนของชาวบ้านจะทำใน เชิงพาณิชย์ได้
ส่วนเหล้าหมักที่คนไทยทำเก่ง เช่น
กะแช่ ก็มีตลาดแคบในท้องถิ่นเท่านั้น
เนื่องจากชาวบ้านยังไม่อาจหยุดการบูด ของกะแช่ได้
ทำได้หนึ่งไหก็ต้องขายให้หมดหนึ่งไหในหนึ่งวัน
มิฉะนั้นจะเปรี้ยวจนกินไม่ลง หากจะหยุดการบูดของ
กะแช่ก็ต้องลงทุนกรองเอาตัวเชื้อส่าเหล้าออก
ซึ่งเป็นการลงทุนที่สูงเกินไปสำหรับชาวบ้าน
วิธีเดียวที่คนไทยรู้จักในการผลิตเหล้าให้ตลาดที่กว้างขึ้น
และเก็บเหล้าที่ผลิตได้ไว้นานคือการกลั่นเหล้าหมัก
ให้กลายเป็นเหล้ากลั่น
คนไทยคงกลั่นเหล้ากินมานานแล้วเหมือนคนชาติอื่นๆ
ในเอเชีย แต่เหล้ากลั่นย่อมมีปริมาณ แอลกอฮอล์เกิน 15%
อย่างแน่นอน ท่านกลับไม่ยอมให้ผลิต
เพื่อสงวนส่วนนี้ไว้ให้แก่ทุนบริวารของท่าน
ตกเป็นว่า คนไทยก็ต้องซื้อเหล้าเลวๆ ของนายทุนต่อไป
แม้มีความรู้จะผลิตเหล้าดีๆ บริโภคเองได้ก็ตาม
ฉะนั้น หลังมติ ครม.ไม่นาน
บริษัทโรงเบียร์ใหญ่แห่งหนึ่งจึงประกาศจะผลิตเหล้าขาวทันที
ก็ของมันชัวร์แล้วว่า
ตลาดเหล้าขาวได้รับการปกป้องพิทักษ์รักษาให้ทุนบริวารได้ขูดรีดอย่างมั่นคง
นี่เป็นกรณีที่ประนีประนอมผลประโยชน์
ของสองฝ่ายได้ไม่ลงตัว
เพราะชาวบ้านทั่วประเทศประกาศเดินหน้ากดดันให้เปิดการผลิตเหล้าเสรีต่อไป
ไม่ยอมรับมติ ครม.ที่ปิดกั้นภูมิปัญญาของเขาเช่นนี้อีกแล้ว
เดาไม่ถูกว่ากรณีนี้จะสิ้นสุดอย่างไร
ระหว่างนี้สรรพสามิตและชาวบ้านก็จะขัดแย้งกันรุนแรงมากขึ้น
แต่ที่พอจะเดา
ได้ก็คือกรณีที่ไม่อาจประสานประโยชน์ของสองฝ่ายได้ลงตัวเช่นนี้จะมีติดตามมาอีกหลายกรณี
โรงไฟฟ้าเอย ท่อก๊าซเอย ป่าชุมชนเอย (ซึ่งแม้ออกกฎหมายมาแล้วก็ยังมีกรณีที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านและทุนบริวาร
ได้อยู่ดี) กสช.เอย กทช.เอย ฯลฯ
ทักษิโณมิกส์จะลงเอยอย่างไรเดาไม่ถูกแต่ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะดำรงความเป็นขวัญใจของคนสองกลุ่มที่ไม่ได้
มีประโยชน์สอดคล้องกันเลยนี้ได้เกิน 4 ปี