โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ |
ผมอยากจะเดาว่าแนวคิดเรื่อง "งานใช้สมอง"
เข้ามาสู่สังคมไทยเมื่อสัก 100 ปีมานี่เอง
คงจะเอามาจากฝรั่ง แต่ฝรั่งเริ่มคิดว่ามีงานประเภท "ใช้สมอง"
ซึ่งแยกจากงานอื่นๆ ตั้งแต่เมื่อไร ผมไม่ทราบ
เราใช้แนวคิดเรื่อง "งานใช้สมอง" เพื่ออธิบายว่า
ใครควรได้รับค่าตอบแทนมากน้อยต่างกัน
ใช้สมองมากก็ได้ค่าตอบแทนสูง
ใช้สมองน้อยก็ได้ค่าตอบแทนต่ำ
ไม่ใช้เลยก็ต่ำสุดสุดไปเลย
ผมนึกไม่ออกว่าในวรรณคดีหรือเอกสารเก่าๆ ของไทย
มีการแบ่งงานออกเป็น "ใช้สมอง" กับ "ใช้แรงกาย"
และเมื่อนึกด้วยสามัญสำนึกก็คิดว่าคนไทยสมัยก่อนรัชกาลที่
5 ไม่น่าจะแยกประเภทของงานออกเป็น ใช้สมอง
กับไม่ใช้สมอง คนทำนาก็ใช้แรงกายส่วนหนึ่ง
และใช้สมองอีกส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน
เช่นตัดสินใจว่าจะใช้ข้าวพันธุ์ใด
สำหรับที่นาซึ่งลุ่มดอนไม่เหมือนกัน
หรือเมื่อน้ำท่วมฝนแล้ง
ก็ต้องคิดว่าจะเก็บข้าวส่วนที่พอเก็บได้ตรงไหนบ้าง
ปีนี้ผัวถูกเกณฑ์ไปสงคราม มีแรงงานน้อยลง
ก็ต้องคิดว่าจะลงแรงทำนาสักเท่าไรจึงจะพอกิน
และจะหาแรงงาน ทดแทนได้อย่างไร
มันไม่น่าจะมีงานอะไรในโลกที่ไม่ใช้สมองเลย
และไม่น่าจะมีงานอะไรในโลกที่ไม่ต้องออกแรงเลย
เป็นขุนน้ำขุนนาง
ก็มีหน้าที่ร่วมขบวนแห่ในเวลาเสด็จพระราชดำเนินทางบกทางน้ำเป็นพิธีกรรม
อย่านึกว่ามีน้อย นะครับ
งานอย่างนี้ในสมัยนั้นเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งมีกฎระเบียบวางไว้เคร่งครัด
และก็มีกันเป็นประจำทั้งปีด้วย แม้แต่ที่
เข้าเฝ้าทุกวันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะไปฟังข้อราชการ
จำนวนไม่น้อย เข้าไปเพื่อให้พระเจ้าแผ่นดินเห็นหน้า
เหมือน ข้าราชการสมัยนี้แหละครับ
คือทำงานออกแรงอย่างเดียวโดยไม่ต้องใช้สมองอะไร
ผมเข้าใจว่าในยุโรปสมัยโบราณก็เหมือนกันอย่างนี้
ถ้าไม่นับพระสงฆ์คาทอลิกจำนวนน้อยนิดเดียว
ที่คร่ำเคร่งกับการศึกษาค้นคว้าตำรับตำราแล้ว
ก็ไม่มีการแบ่งงานออกเป็นใช้สมองหรือไม่ใช้สมองแต่อย่างใด
ทุกคนทำงานที่ใช้สมองและร่างกายเหมือนๆ กัน
หลังปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้ว
เมื่อเราแยกงานออกจากชีวิตส่วนอื่นๆ
ทั้งหมดต่างหากที่ทำให้มีการแบ่งงานออกเป็นใช้สมองและใช้ร่างกาย
ภารโรงใช้ร่างกาย
ในขณะที่ศาสตราจารย์ใช้สมอง หรือกรรมกรใช้ร่างกาย
แต่ซีอีโอใช้สมอง ฟังดูก็น่าจะแบ่ง
ได้อย่างนั้นนะครับ แต่มาคิดๆ ดู
ผมรู้สึกว่ามีอะไรที่แปร่งๆ อยู่ในนั้นด้วย
ภารโรงถูกจัดว่าเป็นแรงงานใช้ฝีมือ แต่ที่จริง
แล้วเขามีฝีมือคือกวาดบ้านถูเรือน
ตลอดจนรับใช้ปรนนิบัติเป็น ทั้งหมดนี้ถือเป็นทักษะ
เพียงแต่เห็นกันว่าทักษะอย่างนี้ เรียนกันง่าย
คนไม่มีทักษะด้านนี้เลยเรียนเดี๋ยวเดียวก็ทำเป็นแล้ว
แต่ลองวิเคราะห์ทักษะหรือฝีมือของเขาว่าใช้สมองหรือไม่
ผมคิดว่าใช้ส่วนที่เรียกว่าความจำอย่างมาก เช่น
เขาไม่ต้องคิดว่าควรจับไม้กวาดทางด้ามหรือทางปลายดี
ก็เพราะประสบการณ์ทำให้เขาจำได้ว่า
ต้องจับด้ามแล้วเอา ขนมันกวาดน่ะสิ งานอื่นๆ
ของเขาก็ล้วนมาจากสมองส่วนที่เป็นความจำทั้งนั้น
คราวนี้หันมาดูศาสตราจารย์บ้างว่าใช้สมองส่วนไหน
ผมคิดว่าก็ใช้ส่วนเดียวกันนั่นแหละ
เพียงแต่จำกันคนละเรื่อง เท่านั้น
ส่วนใหญ่ที่ศาสตราจารย์สอนหรือแม้แต่เขียน
ศาสตราจารย์ก็ไม่ได้คิดเอง
แต่จำจากที่คนอื่นเขาคิดไว้แล้วทั้งนั้น
ที่คิดเองก็มีแต่น้อยครับ
เหมือนภารโรงก็ต้องคิดเองจากความรู้เดิมของเขาเหมือนกัน
เช่นยักย้ายการชำระล้างรอยเปื้อน ที่ต่างชนิดกัน
เป็นต้น เอาเข้าจริงแล้ว
แม้หลังปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้ว ผมก็ยังไม่เห็น "งานใช้สมอง"
ล้วนๆ หรืองานใช้ ร่างกายล้วนๆ เลย ก็ผสมปนเปไปกับทุกๆ
ตำแหน่งงานในโลกนี้ทั้งนั้น
ทั้งหมดที่พูดมาถึงตรงนี้
ผมไม่ได้ต้องการจะบอกว่าในสมัยโบราณ
เราให้ค่าตอบแทนเสมอกันหรือให้ค่าตอบแทน
ตามความจำเป็นของชีวิตแต่ละคนนะครับ
นอกจากสังคมคอมมิวนิสต์บรรพกาลคือเมื่อเรายังอยู่ในถ้ำแล้ว
ผมไม่เห็น
มีสังคมไหนในสมัยไหนที่จ่ายค่าตอบแทนแก่งานได้เท่าเทียมกัน
หรือตามความจำเป็นของแต่ละคนจริงเลย
สังคมไทยโบราณก็จ่ายไม่เท่ากัน
มีตั้งแต่ได้มากมายอู้ฟู่ไปจนถึงแทบไม่พอยาไส้
อย่างไรก็ตาม
เมื่อไม่มีการแบ่งประเภทของงานเป็นใช้สมองและไม่ได้ใช้สมอง
เขาจะจ่ายค่าตอบแทนลดหลั่น กันด้วยมาตราอะไร?
ผมเข้าใจว่าในเมืองไทยสมัยโบราณเขาจ่ายค่าตอบแทน (อันที่จริงไม่มีใครจ่าย
แต่เป็นเรื่องของ โอกาสที่จะแสวงหาได้จากงาน)
กันตามลำดับของอำนาจและเกียรติยศ
คนมีอำนาจและเกียรติยศมากก็จะได้รับ
ค่าตอบแทนสูงตามอำนาจและเกียรติยศอันสูงส่งของตน
อำนาจและเกียรติยศนี้มาจากไหน ? โดยสรุปก็คือมาจาก
กำเนิดบ้าง, จากสายสัมพันธ์กับอำนาจบ้าง,
จากการพระราชทานบ้าง, จากสถานะของตนในความสัมพันธ์
เชิงอุปถัมภ์กับผู้อื่นบ้าง และแน่นอน
มาจากอำนาจดิบบ้าง (เช่นหัวหน้าของโจร) (บางท่านอาจนึกสงสัยว่า
เอ๊ะ ในสังคมไทยโบราณนี่
คนดีและการทำความดีไม่นำมาซึ่งอำนาจและเกียรติยศบ้างเลยหรือ
ผมขออธิบายว่านำ มาแน่ครับ
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีสังคมไทยเหลือให้เรารู้จักในทุกวันนี้หรอกครับ
แต่ผมจัดทางมาแห่งอำนาจ
นี้ไว้ในสถานะของเขาในความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์
หมายความว่าแม้ตัวเขาอาจไม่ได้ต้องการความสัมพันธ์
เชิงอุปถัมภ์กับคนอื่น
แต่คนอื่นมองเขาอย่างที่อยากจะพึ่งพา
เช่นพึ่งพาหมอยาสำหรับโลกียสุข, พึ่งพาหลวงพ่อ
สำหรับโลกุตรสุข เป็นต้น)
คนเหล่านี้แหละครับที่ได้ส่วนแบ่งของทรัพย์มากกว่าคนอื่นๆ
ผมออกจะสงสัยด้วยว่า
แนวคิดการแบ่งปันค่าตอบแทนของงานในสังคมไทยปัจจุบัน
แม้ว่าจะมีการอ้างถึงงาน ใช้สมองอยู่บ่อยๆ (โดยตรงบ้าง
โดยอ้อมบ้าง) ก็ตาม
แต่เอาเข้าจริงเราก็ยังเคยชินกับการแบ่งปันทรัพย์สินหรือ
ค่าตอบแทนกันตามระดับของอำนาจและเกียรติยศเหมือนเดิม
ข้าราชการจะอ้างเสมอเวลาขอปรับซีตำแหน่งว่า
เมื่อเปรียบเทียบกับตำแหน่งที่มีซีระดับสูงแล้วตัวมี
ผู้ใต้บังคับ บัญชา มากกว่า
จึงน่าจะปรับซีให้เท่ากับตำแหน่งในกระทรวงอื่น
นั่นก็คือวัดกันด้วยอำนาจบังคับบัญชา ไม่ใช่วัดกัน
ที่งานว่าใช้สมองมากหรือใช้สมองน้อยกว่ากัน
และน่าสนใจด้วยนะครับที่เมื่อได้รับการปรับซีแล้ว
ก็มักจะร้องขอให้มี การปรับชื่อตำแหน่งด้วย เช่น
จากหัวหน้ากองเป็นผู้อำนวยการกอง,
จากผู้อำนวยการเป็นประธานอำนวยการ ฯลฯ หรืออะไรอื่นๆ
ที่แสดงเกียรติยศได้สูงๆ ขึ้นไป
คนที่จบด๊อกเตอร์มา
ไม่ว่าจะรับเขาเข้าไปล้างส้วมหรือทำอย่างอื่น
ก็มีหลักประกันแล้วว่าเขาจะต้องได้รับ
ค่าตอบแทนเท่านั้นเท่านี้
เป็นการจ่ายค่าตอบแทนตามเกียรติยศ
ไม่ใช่ตามงานที่เขาทำ
ระบบอย่างนี้ทำให้ทุกคนแฮ็ปปี้
เพราะมันสอดคล้องกับวิธีคิดที่สืบเนื่องมาแต่โบราณ
คำว่าทุกคนแฮ็ปปี้นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะคนที่ได้รับค่าตอบแทน
ตามความคาดหวังเท่านั้น
หมายถึงคนที่ได้รับน้อยกว่าก็พอใจไปด้วย
จบปริญญาโททำงานหนักเกือบตาย แต่กลับได้
เงินเดือนน้อยกว่าด๊อกเตอร์ซึ่งเดินไปเดินมา
ปริญญาโทก็พอใจว่าก็เขาจบ ดร.แล้วนี่หว่า
ผมไม่ทราบหรอกว่าในสังคมอื่น
เขามีแนวคิดในการจ่ายค่าตอบแทนหรือแบ่งปันทรัพย์สินกันอย่างไร
แต่ผมเชื่อ
แน่ว่าไม่มีสังคมใดสักสังคมเดียวที่จ่ายค่าตอบแทนกันด้วยการแยกประเภทงานเป็นใช้สมองหรือไม่ใช้สมอง
หรือสมอง ดีสมองไม่ดี
เพราะในทุกสังคมแนวคิดการแบ่งปันทรัพย์สินมีความซับซ้อนกว่านั้นมากนัก
ถึงไม่เหมือนไทยก็ไม่ง่ายๆ อย่างเดะๆ เช่นนั้นแน่นอน
ฉะนั้น เอาเข้าจริง "งานใช้สมอง"
นอกจากไม่สามารถแยกประเภทของงานได้จริงแล้ว
ก็ยังเป็นเพียงข้ออ้างไป อย่างนั้นเอง
ไม่มีใช้ที่ไหนจริงในโลก