ตัวตลกหายไปไหน

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์           


        ท่านประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมบ่นต่อสื่อมวลชนว่า คำปรึกษาของสภา ไม่ได้รับความใส่ใจจาก รัฐบาล เพราะรัฐบาลมองสภาเป็นเหมือนตัวตลกเท่านั้น  ท่านนายกรัฐมนตรีตอบโต้ด้วยการโยนกฎหมาย เล่มโตลงบนโต๊ะดังปัง ท่านกล่าวว่า ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัว ตามกฎหมายแล้วรัฐบาลไม่ต้องเชื่อฟังคำปรึกษา รัฐบาลมีหน้าที่แต่เพียงรับคำปรึกษามาซุกกระเป๋าไว้เท่านั้น แล้วก็ทำอะไรไปตามที่รัฐบาลเห็นสมควร

        คงไม่มีใครแย้งท่านนายกฯได้ แต่หลายคนคงนึกเอะใจว่าเอ คุณชวน หลีกภัย กลับขึ้นมาเป็นนายกฯ อีกเมื่อไหร่กันหว่า  ผมเชื่อว่า สาธารณชนไทยคงอยากรู้อยากเห็นเหมือนผมนั่นแหละว่า แล้วคำปรึกษาของสภาที่ส่ง แก่รัฐบาลมีถ้อยความว่าอย่างไร ผมไม่ทราบว่าสภาได้พยายามเผยแพร่รายงานชิ้นนั้นแก่สังคมแล้วหรือยัง ถ้าได้พยายามแล้วผมก็อยากจะกราบเรียนว่าล้มเหลวไม่เป็นท่าเลย เพราะผมได้ถามพรรคพวกหลายคนแล้ว ว่ารู้เนื้อความอะไรในนั้นบ้าง ก็ยังไม่พบใครที่รู้สักคน

        อย่างไรก็ตาม ผมยังติดใจความเปรียบของท่านประธานสภาที่ปรึกษา ซึ่งกล่าวว่ารัฐบาลมองเห็นสภาเป็นเพียง ตัวตลก เพราะผมคิดว่าเป็นความเปรียบที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับหน้าที่และบทบาทของสภาที่ปรึกษา หรือที่จริง แล้วองค์กรอิสระทั้งหลายในรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็น กกต., กสช., กรรมการสิทธิมนุษยชน, ผู้ตรวจการรัฐสภา ฯลฯ น่าจะมีหน้าที่และบทบาทเป็นตัวตลกทั้งนั้น

        ผมไม่ทราบว่าหน้าที่และบทบาทของตัวตลกในวัฒนธรรมฝรั่งเป็นอย่างไร แต่ตัวตลกในการแสดงตามขนบไทย นั้นมีบทบาทและหน้าที่อันสำคัญอย่างยิ่ง ชนิดที่เรียกว่าขาดไม่ได้ทีเดียว พระราม นางสีดา หนุมาน ก็มีความสำคัญชนิด ขาดไม่ได้ แต่ตัวตลกก็เหมือนกัน โขนไม่เป็นโขนถ้าไม่มีตัวตลก ตัวตลกไทยไม่มีหน้าที่และบทบาทในเรื่อง ของการแสดงเอาเลย หมายความว่าถึงตัดตัวตลกออกไป รามเกียรติ์ก็ยัง ดำเนินเรื่องต่อไปได้เหมือนเดิมเปี๊ยบ และด้วยเหตุดังนั้นตัวตลกจึงไม่เคยมีบทไว้ให้เล่น ซึ่งก็คือไม่มีข้อบังคับกำกับ ควบคุมให้ทำอะไรหรือไม่ทำอะไรตายตัว ตัวตลกจึงอยู่เหนือกวีผู้แต่งบทการแสดง แต่ไม่ว่าตัวตลกจะพูดอะไรหรือไม่พูด อะไร ทศกัณฐ์ก็ยังคงจะลักนางสีดา เอาไปพยายามทำเมียอยู่นั่นเอง

        ตรงกันข้ามกับการมีตัวตลกเพื่อเสริมเรื่องสานอารมณ์ของการแสดง ตัวตลกมักทำหรือพูดอะไรที่ไม่ 'เข้าเรื่อง' และทำอะไรที่ทำลายอารมณ์ของฉากนั้นๆ ไปเสียฉิบ สถานะอันสูงส่งของตัวเอกในเรื่องถูกตัวตลกปลิ้นให้เห็น ความเป็นมนุษย์ขี้เหม็นเหมือนเราๆ ท่านๆ อยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาอยากให้เศร้า ตัวตลกชี้ให้เห็นอีกมุมหนึ่งของสภาพ เดียวกันที่น่าขำ เพราะอะไรๆ ในโลกนี้ก็มีมุมให้มองมากกว่าหนึ่งเสมอ เมื่อเขาฮึกเหิม ตัวตลกกลับแสดงความขลาด กลัวอย่างที่มันมักจะซุกอยู่ในมุมลึกของหัวใจมนุษย์ทั่วไป

        สิ่งที่ดีเลิศจะถูกตัวตลกตั้งข้อสงสัยว่าอาจชั่วสุดสุด ก็ได้ในอีกเงื่อนไขหนึ่ง   สิ่งที่ชั่วสุดสุด กลับน่าพึงปรารถนา ของตัวตลกในอีกสถานการณ์หนึ่ง เพราะตัวตลกอยู่เหนือสถานการณ์ของการแสดง เหมือนพระเจ้าที่อยู่เหนือ สถานการณ์ของโลก ดังนั้น ตัวตลกตัวหนึ่งในหนังชวาก็เป็นที่เชื่อกันว่าคืออวตารของพระเจ้าเพราะหน้าที่หลักของ ตัวตลกในการแสดงของไทยคือการทำให้ผู้ชมมองไปยังทางเลือกอื่น อารมณ์(อันแปรปรวนเป็นธรรมดาของมนุษย์) อื่น ค่านิยมอื่น มุมมองอื่น เงื่อนไขอื่น และอะไรที่เป็นอื่นๆ ทั้งหลายซึ่งคนฉลาดไม่ควรหลับตาให้โดยสิ้นเชิง

        ผมอยากจะนอกเรื่องตรงนี้ด้วยว่า ละครน้ำเน่าทางทีวีนั้นตื้นเขิน ก็เพราะตัวตลกไม่สามารถสืบต่อบทบาท ผู้เสนออีกมุมหนึ่งให้แก่ผู้ชมได้ ตัวตลกได้แต่ทำตัวเองให้ตลกซึ่งก็มักเป็นตลกดาษๆ แม้ไม่ให้หน้าที่มองทางเลือกอื่น แก่ตัวตลก ก็น่าจะมีใครสักคนในละครทีวีที่ทำหน้าที่นี้ แต่ไม่มีใครสักคน ไม่ว่าผู้แสดง ผู้เขียนบท ผู้สร้าง ผู้กำกับ หรือเจ้าของสถานี ที่เข้าใจว่าละครดีไม่เคยเสนออะไรจากมุมเดียว

        ทำไมตลกจึงสามารถทำทุกอย่างที่กล่าวมาแล้วได้ อธิบายตามความเห็นของฝรั่งคนหนึ่ง(เดอ โบโน) แต่ต้องเตือนว่าอย่ารีบเชื่อ เพราะผมยังไม่เห็นว่าผลการวิจัยด้านประสาทวิทยาที่เขายกขึ้นมานั้นสนับสนุน ความคิดของเขาได้จริง ตลกกับความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องเดียวกัน คือแทนที่จะคิดตามครรลองของตรรกะ ปกติที่เราเคยชิน กับกระโดดไปที่จุดสุดท้ายแล้วไหลย้อนกลับมาที่ครรลองปกติ จึงทำให้เกิดญาณทรรศนะที่ มองเห็นจุดอ่อนจุดแข็งของครรลองตรรกะได้เด่นชัดกว่า และด้วยเหตุดังนั้นจึงสามารถเสนอมุมมองใหม่ วิธีใหม่ เป้าหมายใหม่ กระบวนการใหม่ ฯลฯ ได้

        เพราะตัวตลกไทยมีหน้าที่และบทบาทดังที่กล่าวแล้ว เขาจึงแทบจะไม่ได้พูดกับตัวละครอื่นบนเวทีเอาเลย ผู้ฟังที่เป็นเป้าหมายหลักของคำพูดตัวตลกก็คือผู้ชม นั่นคือเหตุผลว่าทำไมตัวตลกจึงพูดลามปามกับลูกกษัตริย์ที่ เร่ร่อนพเนจรร่วมกันในป่าได้ ก็เพราะตัวตลกไม่ได้กราบบังคมทูลเจ้านายองค์นั้น แต่หากกำลังพูดกับยายเมี้ยน ข้างเวทีต่างหาก    แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมด้วยว่า ผู้ชมในการแสดงแบบไทยไม่ได้ถูกแยกออกไปอยู่ อีกโลกหนึ่งจากการแสดงบนเวที ผู้ชมและเวทีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้ชมจึงมีอิทธิพลต่อการแสดงบนเวที อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ชมอาจโห่ฮาให้แก่ตัวผู้ร้าย แสดงความชื่นชมตัวเอกด้วยเสียงอันดัง

        หรือแสดงอาการเบื่อหน่ายการแสดงให้เห็นอย่างออกหน้า ผู้ชมมีอำนาจเข้าไปกำหนดสิ่งที่แสดงบนเวทีด้วย ความคิดและอคติของตนเอง ดังเช่นในการแสดงในพิธีศพ พิธีแต่งงาน พิธีมงคลอื่นๆ ล้วนมีข้อกำหนดว่าจะแสดงตอน ใดของเรื่องใดไม่ได้ เป็นต้น

        ผมจึงเห็นว่า หน้าที่และบทบาทแท้จริงของสภาที่ปรึกษา ก็คือหน้าที่และบทบาทของตัวตลกในการแสดง แบบไทยนั่นเอง ถึงจะรายงานให้รัฐบาลทราบตามกฎหมาย แต่ผู้ฟังคำปรึกษาซึ่งเป็นเป้าหมายหลักไม่ใช่รัฐบาล หากเป็นยายเมี้ยนข้างเวทีคนเดิม

        สภาที่ปรึกษาต้องพูดกับสาธารณชนชาวไทย แสดงอีกด้านหนึ่งอีกมุมหนึ่งของนโยบายให้คนไทยได้รู้ได้คิด ชี้ให้เห็นทางเลือกของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และเป้าหมายอื่นของเศรษฐกิจและสังคมที่สังคมไทยน่าจะใฝ่หา

        เพื่อจะทำอย่างนี้ได้ สภาที่ปรึกษาเพียงแต่รวบรวมคนหลายประสบการณ์และหลากปูมหลังมาไว้ด้วยกัน เท่านั้นไม่พอ ต้องลงทุนลงไปในการศึกษาวิจัยให้มาก สร้างทางเลือกที่มีฐานอยู่บนความรู้และประสบการณ์ ที่หลากหลายของสมาชิก อย่าลงทุนกับรถประจำตำแหน่งเกินไป เพราะงบฯสร้างความรู้ที่เป็นทางเลือกนั้นขาดแคลน อย่างหนักในสังคมไทย และปราศจากความรู้จากการศึกษาวิจัยอย่างจริงจัง สิ่งที่สภาที่ปรึกษาพูดกับสาธารณชน ก็จะเป็นเพียงตลกดาษๆ เหมือนละครทีวีเท่านั้น

        ทำอย่างนี้ได้ต่างหากที่จะทำให้นายกรัฐมนตรีที่เชื่อว่ามี 11 ล้านเสียง หรือนายกรัฐมนตรีเจ้าหลักการทารก ไร้เดียงสา จะไม่อาจออกมาบอกปัดง่ายๆ เพียงว่าได้รับรายงานไว้แล้วตามกฎหมาย ที่สำคัญกว่านายกฯจะฟังหรือ ไม่ฟังก็คือ สังคมไทยได้เรียนรู้และมีอำนาจเข้าไปต่อรองเชิงนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่

        ถ้าสภาที่ปรึกษาไม่ยอมเป็นตัวตลก สังคมไทยก็ได้แต่รอคอยตัวตลกจากทำเนียบรัฐบาล ซึ่งไม่เคยทำตลกเป็น สักหนเดียว นอกจากตลกเดะๆ ของละครทีวีเท่านั้น

        ดังที่ผมกล่าวแล้วว่าไม่แต่เพียงสภาที่ปรึกษาเท่านั้น แต่องค์กรอิสระต่างๆ ที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญก็ควรมี หน้าที่และบทบาทเหมือนตัวตลกในการแสดงแบบไทย นั่นก็คือต้องพูดกับสังคมด้วยความรู้จริงซึ่งได้จากการลงทุนด้านการศึกษาวิจัยอย่างเต็มที่

        โดยเฉพาะองค์กรที่โดยธรรมชาติของงานแล้วย่อมจะต้องเพาะศัตรูที่มีอำนาจการเมืองในมือ เช่น กกต. หรือ ป.ป.ช. หรือ กสช. เป็นต้น การได้สังคมไว้หนุนหลังเท่านั้น ที่จะทำให้องค์กรเหล่านี้สามารถคานอำนาจ อันล้นเหลือ และป่าเถื่อนของนักการเมืองได้  การเปิดตนเองแก่สังคมให้โปร่งใสอย่างเต็มที่จึงเป็นปัญญาญาณที่จะช่วย ให้มีพลังในการทำงานได้จริง

        เริ่มต้นก็ทำลับๆ ล่อๆ อย่าง กกต.ชุดใหม่เสียแล้ว ก็รู้ได้เลยว่าไม่คิดถึงการคะคานกับนักการเมืองทุจริตจริง และถึงจะกลับใจมาคะคานในภายหน้าก็จะไม่มีพลังไว้ต่อกรกับความสามานย์ของนักการเมืองได้

        เราชอบตัวตลก และขอให้มีตัวตลกในเมืองไทยมากๆ เถิด แล้วการเมืองไทยจะได้รับการปฏิรูปเองอย่างแน่นอน