โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ |
ผมไม่ศรัทธาซีอีโอ
แม้คนที่เรียกตัวเองอย่างนั้นบางคนจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจมโหฬาร
จนกลายเป็น อภิมหาเศรษฐีของโลกก็ตาม
แต่ความสงสัยของผมที่มีต่อซีอีโอนั้นกว้างกว่าประเด็นเพียงว่า
ผู้ว่าราชการจังหวัดควร เป็นซีอีโอหรือไม่
ผมอยากจะตั้งข้อสงสัยว่า แนวคิดเกี่ยวกับซีอีโอนั้น
อย่างดีที่สุดก็เป็นแนวคิดที่ล้าสมัยไปเสียแล้ว
อย่าว่าแต่ว่าเอาผู้บริหารกิจการสาธารณะเป็นซีอีโอเลย
แม้แต่เอาไปบริหารองค์กรธุรกิจ
ผมก็สงสัยว่าคุณลักษณะ
แบบนี้ไม่สามารถนำความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนแก่องค์กรได้
อะไรคือซีอีโอ
แปลตามตัวก็คือหัวหน้าฝ่ายบริหาร
อันเป็นตำแหน่งที่มีในองค์กรนานาชนิด
ทั้งภาคเอกชนและ ภาครัฐ เช่น
ประธานาธิบดีสหรัฐนั้นเป็นซีอีโอตลอดมา
หัวใจสำคัญของซีอีโออยู่ที่ว่าเขามักเป็นประธานของ
คณะกรรมการบริหารด้วย เช่น
นายกเทศมนตรีเป็นประธานของที่ประชุมเทศมนตรี
ฉะนั้นซีอีโอจึงเป็นทั้งหัวหน้าฝ่าย
บริหารและมีอิทธิพลสูงในการกำหนดนโยบายขององค์กรไปพร้อมกัน
การที่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจจะกลายเป็นซีอีโอนั้น
จะว่าเพิ่งเกิดไม่นานก็ได้
หรือจะว่าเกิดมานานแล้วก็ได้ เพราะ
คุณสมบัติสำคัญของซีอีโออยู่ที่ว่าได้บังคับควบคุมการวางนโยบายขององค์กรมากน้อยแค่ไหน
เต๊กกอซึ่งเป็นประธาน
บอร์ดลูกชิ้นอันมีภรรยาหลายคนร่วมนั่งอยู่ในบอร์ด
เป็นผู้กำหนดนโยบายขององค์กรว่าจะเปิดสาขาหรือขายแฟรนไชส์
อย่างไร, ให้ใคร, ด้วยอัตราเท่าใด ฯลฯ
ในขณะเดียวกันก็บริหารก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นในร้านสำนักงานใหญ่แลสาขาไป
พร้อมกัน นี่ก็ซีอีโอคนหนึ่ง
เช่นเดียวกับแป๊ะหลีเจ้าของหาบโอเลี้ยงข้างหอพักของผมสมัยเป็นนักเรียน
ก็เป็นซีอีโอ คนหนึ่งเหมือนกัน
ธุรกิจคนจีนในเมืองไทยนับแต่โบราณมาก็มักบริหารกันด้วยซีอีโอ
หรือประมุขของครอบครัว
ก็แค่นี้แหละครับ จะตื่นเต้นอะไรกันนักหนา
แต่จะพูดว่าซีอีโอเป็นบทบาทใหม่ของผู้บริหารองค์กรธุรกิจก็ได้
เพราะธุรกิจขนาดใหญ่แต่ก่อนนี้เขาจ้างคน
ที่เชื่อกันว่าเชี่ยวชาญหรือเก่งมาบริหารแทนเจ้าของ
นโยบายของบริษัทกำหนดกันขึ้นในบอร์ดซึ่งก็คือผู้ถือหุ้นใหญ่
แม้ผู้บริหารมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายด้วย
แต่เสียงของเขาไม่ใช่เสียงเด็ดขาด ธุรกิจใน 'เศรษฐกิจใหม่'
เปลี่ยน
สถานะและบทบาทของผู้จัดการและผู้อำนวยการองค์กรธุรกิจไปเป็นซีอีโอ
ธุรกิจใหม่เหล่านี้ไม่ต้องการทุนที่สูงมากนัก
เพราะทุนที่ต้องลงมากที่สุดไม่ได้อยู่ที่เครื่องจักร
หากอยู่ที่คน
ด้วยเหตุดังนั้นคนที่สามารถมองเห็นช่องทางทำกำไร
ในการผลิตสำหรับ 'เศรษฐกิจใหม่' ได้
จึงสามารถตั้งบริษัทและถือหุ้นใหญ่ได้สืบมา
และเป็นผู้รับส่วนแบ่งผลกำไร ไปสูงสุด
มีอำนาจในการบริหารและวางนโยบายของบริษัทเพื่อการแข่งขันได้สูงสุด
คนเหล่านี้จำนวนหนึ่งประสบความสำเร็จ
จนกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีของโลก
จะว่าด้วยความสามารถของตัวเอง ก็ใช่
ตรงที่สามารถมองทะลุระบบจนเห็นโอกาสใหม่ทางธุรกิจ
แล้วกระโดดลงไปคว้าโอกาสนั้นมาได้ แต่ปราศจาก
ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นในโลก
โดยเฉพาะในสหรัฐ สิ่งที่เขาเก็งว่าจะทำเงินได้มหาศาล
ก็คงนำไปสู่ความขาดทุนย่อยยับเท่านั้น
ผู้บริหารแบบซีอีโอไม่มาวุ่นกับการบริหารประจำวัน
แต่หน้าที่ของเขาคือการมองภาพรวมของโลกให้ออก
แล้วตัดสินใจลงทุนหรือลดต้นทุนหรือส่งเสริมการขายแบบไหน
ที่จะทำกำไรได้สูงสุด
เพื่อที่ว่าราคาหุ้นของบริษัทจะมี ราคาสูงอยู่ตลอด(เพราะทรัพย์สินส่วนใหญ่ของซีอีโอเองก็อยู่ในรูปของหุ้น)
ดังที่กล่าวแล้วว่าซีอีโอดังๆ
เหล่านี้ประสบความสำเร็จเพราะเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยน
และที่สำคัญไม่น้อยกว่ากัน
ก็คือระบบกฎหมายและระเบียบอื่นๆ
ตามไปคุมการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ
เหล่านี้ได้ไม่รัดกุมพอ เนื่องจากเป็นของ
ใหม่กว่าตัวกฎหมายเอง เช่น
จะคุมการผูกขาดกับซีอีโอบิลเกตส์ได้อย่างไร
ปิดด้านนี้ เล็ดด้านโน้นตลอดมา
หรือรัฐเฉื่อยชากับการผูกขาดของ 'ทีวีเสรี' เป็นต้น
คราวนี้ผู้บริหารบริษัทใหญ่ๆ
ทั้งหลายก็อยากเป็นซีอีโอไปหมด
และเกิดข้อสรุปว่าต้องเป็นซีอีโอเท่านั้นจึงจะสามารถบริหารงานในโลกยุคใหม่ได้
แม้ซีอีโอดังๆ
จะมองภาพรวมทะลุไปสู่โอกาสและมีความคิดริเริ่ม
แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นคนที่ลอย
ตามน้ำความเปลี่ยนแปลงที่คนอื่นนำทางไปก่อน
หรือที่ร้ายกว่านั้นก็เป็นเพียงการใช้วิถีทางเก่าๆ
ในธุรกิจแบบใหม่เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านี้ความสำเร็จของซีอีโอไม่ได้เกิดขึ้นจากบุคคลล้วนๆ
หากขึ้นอยู่อย่างมากกับเงื่อนไขแวดล้อม
ที่เอื้ออำนวยให้เกิดโอกาสใหม่ด้วย
เช่นลองมองเข้ามาในเมืองไทยบ้าง
ผมไม่คิดว่าซีอีโอที่ดังๆ
ทุกคนเป็นซีอีโอตามความหมายเดิม
จริงอยู่บรรยากาศใหม่ของธุรกิจเกิดขึ้นในเมืองไทยเช่นกัน
แต่ในขอบเขตที่จำกัดกว่ากันมาก เป็นต้นว่าในเมืองไทย
มีคนชั้นกลางเกิดและขยายตัวขึ้นมาก
คนเหล่านี้ต้องการสื่อที่แปลกใหม่กว่าที่เรามีอยู่
มีนักธุรกิจจำนวนหนึ่งที่มองเห็น โอกาสใหม่อันนี้
จึงทำให้เกิดหนังสือพิมพ์, ทีวี(หรือรายการทีวี)
หรือนิตยสารชนิดใหม่ขึ้น และสามารถช่วงชิงส่วนแบ่ง
ตลาดไปได้มหึมาพอสมควร
แต่ในด้านสื่อสารคมนาคม
ผมไม่คิดว่ามีซีอีโอที่เฉียบจริง
เพราะเทคโนโลยีการสื่อสารคมนาคมของเรานั้นเป็น
เทคโนโลยีพึ่งพาเต็มๆ เลย
ซีอีโอจึงไม่อาจใช้เทคโนโลยีบุกเบิกไปสู่โอกาสใหม่ได้จริง
โอกาสใหม่บรรลุได้ด้วยวิธี
เก่าแก่คือสายสัมพันธ์ทางการเมืองและการติดสินบน
ใครๆ
ก็มองเห็นช่องทางทำธุรกิจกับการสื่อสารคมนาคมแบบใหม่
แต่คนที่ทำได้จริงคือคนที่สามารถสร้างสายสัมพันธ์ทางการเมืองได้สำเร็จต่างหาก
ซีอีโอแบบนี้ไม่อาจนำความก้าวหน้า
แก่องค์กรไปได้อย่างยั่งยืน
ในที่สุดก็ต้องรักษาและเสริมสร้างสายสัมพันธ์ทางการเมืองที่ตนมีอยู่ให้เข้มแข็งเท่านั้น
แต่ก็กลายเป็นสูตรสำเร็จ ไปเสียแล้วว่า
ผู้บริหารที่มีอำนาจกำหนดนโยบายได้ค่อนข้างเป็นอิสระหรือซีอีโอเท่านั้น
จึงจะสามารถบริหารงาน ได้มีประสิทธิภาพ
แม้หลายครั้งด้วยกันซีอีโอเองไม่มีนโยบายอะไรเลย
หรือนโยบายที่มีอยู่ไม่ได้มาจาก
การมองภาพกว้างแล้ววิเคราะห์จนมองเห็นช่องทางพิเศษอย่างไร
สูตรสำเร็จเหล่านี้ทำให้หลงคิดไปว่า
ประสิทธิภาพของการบริหารขึ้นอยู่กับตัวบุคคลเพียงคนเดียว
ไม่ได้ขึ้น อยู่กับระบบ ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆ
ก็เช่น
เมื่อตอนที่กระทรวงมหาดไทยจะตั้งผู้ว่าฯซีอีโอ
มหาดไทยสนใจ ที่จะเลือกตัวบุคคลไปดำรงตำแหน่งมากกว่า
แต่ผมไม่ได้ยินเลยว่ามหาดไทยปรับเปลี่ยนระบบบริหาร
ในห้าจังหวัด นั้นอย่างไรสักอย่างเดียว เช่น
ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบสำนักนายกฯที่จะทำให้ทรัพยากร
ราชการทั้งหมด ของจังหวัด
อยู่ภายใต้การบังคับควบคุมของผู้ว่าฯซีอีโอ เป็นต้น
ผมไม่อยากยกตัวอย่างเฉพาะแต่ในเมืองไทย
แต่อยากสรุปว่าความเลอะเทอะเรื่องซีอีโอนั้นกระจายไปทั่วโลก
รวมทั้งในโลกตะวันตกเองด้วย ขาดความพร้อมในด้านอื่นๆ
ไม่ว่าซีอีโอที่เฉียบสักเพียงไหน
ก็คงมองไม่เห็นโอกาสใหม่
และริเริ่มอะไรที่มีประสิทธิภาพมากไปกว่าเดิมได้หรอก
ร้ายยิ่งไปกว่านั้น ซีอีโอทั้งหลาย
แม้แต่ในบรรดาซีอีโอที่ประสบ ความสำเร็จ (ซึ่งมีน้อย)
ก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป
ตรงที่ว่าแทนที่จะเสี่ยงคิดอะไรใหม่
ก็มักเลือกเดินบนเส้นทาง
ที่ได้พิสูจน์โดยความสำเร็จของคนอื่นแล้ว
แต่เส้นทางที่ถูกเหยียบย่ำมาแล้ว
มักไม่ได้นำไปสู่จุดหมายปลาย
ทางเดียวกับที่คนแรกเดิน
ขอให้สังเกตด้วยว่ายักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์อเมริกันนั้น
ยังไม่ได้คิดอะไรใหม่ขึ้นเลยนอกจาก
กลวิธีผูกขาดด้วยเทคโนโลยี
หรือการเสริมการขายแบบใหม่ๆ เท่านั้น
ในขณะที่ผู้ใช้ซอฟต์แวร์เริ่มมองเห็นแล้วว่า
ไม่มีประโยชน์ที่จะติดตามซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ไปอย่างไร้จุดหมาย
อะไรที่สนองความต้องการใช้งานของตนบริบูรณ์แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น
ที่สำคัญกว่าความไม่มีกึ๋นของวิธีคิด
ซีอีโอซึ่งหยุดนิ่งไปในที่สุด
เหมือนมนุษย์ที่ประสบความสำเร็จทั่วไปก็คือ
เป้าหมายของการดำเนินธุรกิจนั้นแคบมากๆ
นั่นก็คือแข่งขันกันทำกำไรสูงสุดจากต้นทุนต่ำสุด
และเพื่อบรรลุจุดประสงค์อันนี้ก็อาจหมายถึงการลดต้นทุน
การผลิตที่กระทบต่อผู้คน
ทั้งที่เป็นแรงงานและผู้บริโภค
ลดคุณภาพของสินค้าชนิดที่ผู้บริโภคไม่ทันรู้สึก
หรือเอาเปรียบ ผู้บริโภคด้วยประการต่างๆ
เท่าที่กฎหมายล้าสมัยยังตามไม่ทัน
และการโฆษณาชวนเชื่อ ซีอีโอคือนายทาสที่แท้จริง
ของโลกปัจจุบันที่ไม่มีทาสอย่างเป็นทางการเหลืออยู่ที่ไหนอีกแล้ว
ทราบใช่ไหมครับว่า
ซีอีโอที่ได้รับการยกย่องมากคนหนึ่งของออสเตรเลีย
แก้ปัญหาการใช้โทรศัพท์หยอดเหรียญ
ของบริษัทของเขาที่ได้รับสัมปทานไปอย่างไร
ปัญหาคือลูกค้าใช้โทรศัพท์นานในขณะที่ออสเตรเลีย
เหมือนไทย คือไม่คิดเงินตามเวลา
แก้ไขอะไรไม่ได้เพราะผิดสัญญาสัมปทาน
เขาเลยสั่งให้ช่างที่รับผลิตโทรศัพท์ของ
เขาเอาดีบุกหยอดลงไปในหูโทรศัพท์จนหนักหลายกิโล
ลูกค้าทนแบกหูโทรศัพท์คุยนานไม่ได้ ก็ต้องรีบวางเอง
เขา ได้รับการยกย่องอย่างสูงเลยว่าเฉียบมาก
ภายใต้ทรราชย์ของซีอีโอ
ผู้บริโภคคือไอ้หน้าโง่ที่ควรถูกรีดให้แบนเท่านั้น
แต่การบริหารรัฐกิจ
ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายกรัฐมนตรี
นั้นแตกต่างจากธุรกิจ เป้าหมายของ
การบริหารทั้งหลากหลายกว่าและซับซ้อนกว่านั้นมากนัก
การบริหารไม่ได้หมายความเพียงทำให้งานลุล่วงไป
แต่ต้องลุล่วงไปด้วยความพอใจแก่ทุกฝ่าย
ด้วยความเป็นธรรม
และด้วยศักยภาพที่งานนั้นจะได้รับการพัฒนาสืบต่อไป
ด้วยความคิดที่จะให้ผู้บริหารรัฐกิจในทุกระดับเป็นซีอีโอจึงเป็นความคิดตื้นเขิน
ไม่รู้จักซีอีโอ และไม่รู้จักรัฐกิจทั้งสองอย่าง
ท้ายที่สุดผมขอเรียนว่า
ผมไม่รู้สึกตะขิดตะขวงที่มีความเห็นอย่างเดียวกับคุณเสนาะ
เทียนทอง และสมุน
แต่ผมคงละอายมากถ้าความเห็นนั้นเกิดขึ้นด้วยกระบวนการของเหตุผลเดียวกัน
และคงจะแทบแทรกแผ่นดินหนีเลย
ถ้าด้วยแรงจูงใจเดียวกัน