อัปปรียชนกับปฏิรูปการเมือง

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์           


        จริงอย่างที่นักวิชาการที่ผมนับถือท่านหนึ่งกล่าวไว้ นั่นก็คือรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 เขียนขึ้นด้วยสมมติฐานว่า นักการเมืองเป็นอัปปรียชน พึงถูกขจัดออกไปจากวงการเมืองแล้วการเมืองก็จะได้รับการปฏิรูปไปสู่การเมือง ที่มีคุณประโยชน์ต่อบ้านเมือง

        อย่างไรก็ตาม คนเราวางเงื่อนไขสำหรับอนาคตจากประสบการณ์ในอดีตเสมอ จึงเป็นธรรมดาที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ย่อมเอาพฤติกรรมของนักการเมืองในตอนนั้นเป็นตัวตั้ง แล้วเขียนกฎระเบียบที่จะป้องกันมิให้นักการเมือง กระทำพฤติกรรมที่ชั่วร้ายได้ง่ายๆ อีกต่อไป  ถามว่านักการเมืองในช่วงนั้น 'อัปปรีย์'(แปลตามตัวอักษรว่าไม่น่ารัก) จริงหรือไม่? ก็คงปฏิเสธว่าไม่จริงได้ยากภาพนักการเมืองของผู้ร่างรัฐธรรมนูญก็คือต้องวางรั้ววางกำแพงไว้ปิดกั้น อย่าให้พวกอัปปรีย์ทำชั่วได้ง่ายๆ บางคนอาจคิดไกลไปถึงว่าเมื่อทำชั่วได้ยากแล้ว พวกอัปปรีย์คงออกจากวงการเมือง ไปหาทางทำอัปปรีย์ในธุรกิจอย่างอื่นต่อไป จะเกิดช่องว่างให้คนที่ไม่อัปปรีย์เข้าสู่วงการเมืองได้มากขึ้น

        ควรกล่าวด้วยว่า จะจำกัดความอัปปรีย์ไว้ที่นักการเมืองอย่างเดียวก็ไม่เป็นธรรมแก่นักการเมืองนัก เพราะที่จริงแล้ว มีวงจรของความอัปปรีย์ที่เชื่อมโยงไปถึงนักธุรกิจ, นายธนาคาร, ข้าราชการ หรือแม้แต่สังคมระดับบนๆ พัวพันแน่นหนา อยู่มาก จะตัดวงจรความอัปปรีย์แต่เฉพาะนักการเมืองจึงไม่เพียงพอ แต่จะเขียนรัฐธรรมนูญอย่างไรจึงสามารถล้อม รั้วล้อมกำแพง ป้องกันและขจัดความอัปปรีย์ออกไปจาก 'การเมืองไทย' ในความหมายกว้างได้หมด เหมือนการปฏิรูป การเมืองในสังคมอื่นและสมัยอื่น การปฏิรูปการเมืองทำได้สำเร็จก็ต่อเมื่อมีการปฏิรูปทางสังคม, การศึกษา, เศรษฐกิจ, ธุรกิจ, ศาสนา, วัฒนธรรม ฯลฯ ไปพร้อมกัน ดูเหมือนผู้ร่างรัฐธรรมนูญก็เข้าใจข้อนี้ดี จึงได้พยายามกำหนดเงื่อนไข การปฏิรูปอื่นๆ ไว้ในรัฐธรรมนูญอยู่บ้างเหมือนกัน เช่น ปฏิรูปการศึกษาและปฏิรูปการปกครอง เป็นต้น

        วิธีล้อมรั้วล้อมกำแพงอัปปรียชนของรัฐธรรมนูญก็คือ เพิ่มความเสี่ยงในการหากำไรจากการเมือง เช่น บังคับให้ แจ้งทรัพย์สิน ไม่อนุญาตให้ไปดำรงตำแหน่งทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลังออกจากตำแหน่ง ทำให้การดำรงตำแหน่ง บริหารต้องหลุดจากตำแหน่งทางนิติบัญญัติ เพื่อบังคับให้ต้องทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพและสุจริต เพราะไม่อาจ กลับเข้าดำรงตำแหน่งได้อีกถ้าถูกปลด  

        แต่การเมืองในระบบคือเวทีต่อรองอำนาจและผลประโยชน์ของคนกลุ่มต่างๆ ฉะนั้นถ้าข้อกำหนดเหล่านี้ประสบ ความสำเร็จ เราคงจะพบว่าวิธีกอบโกยของอัปปรียชนจนต้องเปลี่ยนจากการทุจริตโดยตรง มาเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย กล่าวคือออกกฎหมายหรือสร้างนโยบายที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของธุรกิจของตน หรือนายอุปถัมภ์ของตน และใน ทุกวันนี้ก็มีทั้งกฎหมายและนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันไม่น้อย ที่อาจตั้งข้อสงสัยในแง่นี้ได้อย่างชัดแจ้ง เช่น กฎหมาย เหมืองแร่ที่กำลังจะออกใหม่, การเปิดทีวีมีโฆษณาช่องใหม่, กฎหมายโทรคมนาคมฉบับใหม่ ฯลฯ เป็นต้น

        ในอีกด้านหนึ่งของความพยายามจะควบคุมอัปปรียชนคือการตรวจสอบ รัฐธรรมนูญได้สร้างกลไกการตรวจสอบ ไว้มากพอสมควร นับตั้งแต่การตรวจสอบในระบบที่ระบบรัฐสภาทั่วไปมักมี ยังรวมถึงการมีศาลรัฐธรรมนูญและศาลอาญา ฝ่ายการเมืองอีกด้วย นอกจากนี้มีการตั้งองค์กรตรวจสอบที่เป็นอิสระอีกหลายองค์กร  ที่นับว่าเป็นก้าวสำคัญคือ การอนุญาตให้ประชาชนเข้ามาร่วมตรวจสอบและมีบทบาททางการเมืองโดยตรง เช่น เข้าชื่อกันถอดถอนจากตำแหน่ง เข้าชื่อกันเสนอกฎหมาย นำเรื่องขึ้นฟ้องร้องศาลปกครอง เสนอเรื่องให้ ป.ป.ช.พิจารณาไต่สวน ฯลฯ เป็นต้น

        มาตรการทั้งหมดที่รัฐธรรมนูญได้วางเอาไว้นี้ ใช้กันมาเกือบ 5 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใกล้จุดหมาย คือการปฏิรูปการเมืองได้กี่มากน้อย ไม่ใช่เพราะมาตรการเหล่านี้ไม่ดีหรือไม่มีผู้ใช้ช่องทางนี้ในการตรวจสอบ หรือผลักดันนโยบาย ตรงกันข้ามมีผู้ใช้ช่องทางนี้มาก แต่กลับได้ผลไม่สู้มากนัก

        รั้วและกำแพงที่ล้อมไว้โดยรัฐธรรมนูญตั้งไว้ถูกอัปปรียชนอ้อมไปหมด หรือบางกรณีก็กระโดดข้ามไปหน้าตาเฉย เช่น การห้ามนักการเมืองเข้า ดำรงตำแหน่งทางธุรกิจหลังออกจากตำแหน่งทางการเมือง ก็ไม่ได้มีผู้ปฏิบัติตามอย่าง เคร่งครัดนัก การห้ามไม่ให้ผู้บริหารดำรงตำแหน่งทางนิติบัญญัติ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเลี่ยงความเสี่ยงจาก การหลุดตำแหน่งด้วยการทำดี แต่กลับเป็นการสมยอมและสวามิภักดิ์ต่อมาเฟียพรรค ซึ่งเรียกร้อง ผลประโยชน์หรือ ปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทบริวาร โดยไม่ต้องเข้าไปดำรงตำแหน่งบริหารเลย

        อำนาจบริหารถูกใช้ไปในทางบั่นรอนความยุติธรรมในสังคมอย่างโจ่งแจ้ง บุคคลและองค์กรที่คุมระเบียบต่างๆ ถูกแทรกแซงจนรวนเร-ออกคำวินิจฉัยไปด้วยอคติสี่อย่างน่าเกลียด นอกจากออกกฎหมายหรือสร้างนโยบาย ที่เอื้อประโยชน์ตนเองและพรรคพวกดังที่กล่าวแล้ว จนเห็นได้ว่า แทบจะไม่มีพลังอะไรในสังคม ไม่ว่าภายในระบบ การเมืองหรือนอกระบบ ที่จะคอยทัดทานถ่วงดุลฝ่ายบริหารได้อีกต่อไป นี่เป็นสภาพที่น่ากลัวทั้งแก่บ้านเมืองและ แก่ระบอบประชาธิปไตยที่ยังอ่อนแอของเราเอง

        องค์กรอิสระที่เป็นแนวคิดใหม่ของรัฐธรรมนูญ และเคยเป็นความหวังของประชาชนกำลังทำลาย ศรัทธาของ สาธารณชนลงทุกวัน เพราะมีความพยายามของอำนาจการเมืองที่จะ 'ล็อกสเป๊ก' กรรมการขององค์กรเหล่านี้ น่าเศร้าด้วยที่ความพยายามเหล่านี้ประสบความสำเร็จในหลายกรณี นั่นคือที่มาของการใช้อำนาจวินิจฉัยที่คับแคบ เพราะต้องมองก่อนว่า จะต้องไม่ไปเหยียบตาปลาของอัปปรียชน

        ส่วนบทบาททางการเมืองโดยตรงของประชาชนก็นับว่าน่าสังเวช การเสนอกฎหมายด้วยรายชื่อ 50,000 ถูกสร้าง อุปสรรคให้ทำได้โดยยากด้วยระเบียบที่ไม่จำเป็นหลายประการ ในขณะที่ร่างกฎหมายซึ่งสามารถฝ่าฟันระเบียบนี้ เข้าสู่สภาได้ก็ต้องถูกประกบด้วยร่างกฎหมายของฝ่ายราชการเสียจน แทบจะไม่มีทีท่าว่าจะผ่านออกมาตาม  ความต้องการของประชาชนได้

        แม้รัฐธรรมนูญกำหนดให้ประชาพิจารณ์เป็นส่วนหนึ่งของการทำโครงการขนาดใหญ่ในท้องถิ่น แต่จนบัดนี้ยังไม่มี รัฐบาลใดออกกฎหมายรองรับการทำประชาพิจารณ์ ต้องอาศัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งมีมาก่อนรัฐธรรมนูญ อันเป็นระเบียบที่มีจุดมุ่งหมายให้การทำประชาพิจารณ์เป็นเพียงการ 'ทำความเข้าใจ' กับประชาชนในพื้นที่เท่านั้น

       ส่วนการเสนอเรื่องให้องค์กรอิสระตรวจสอบอัปปรียชนก็ดำเนินเรื่องกันล่าช้าจนกว่ารัฐบาลของ อัปปรียชน   จะพ้นจากอำนาจไปแล้ว เรื่องจึงขยับเขยื้อนได้ เช่น การตรวจสอบเรื่องทุจริตยาในกระทรวงสาธารณสุข และการตรวจสอบ เรื่องผักสวนครัวรั้วกินได้เป็นต้น ผู้คนพากันลืมเรื่องเดิมไปหมดแล้ว และเกิดความประทับ ใจว่าถ้ามีอำนาจเสียอย่าง ทำอะไรก็ไม่มีวันจับได้

        กล่าวโดยสรุปก็คืออัปปรียชนยังคงกระทำการอัปปรีย์ต่อไป อาจด้วยวิธีการที่ยอกย้อนขึ้นเพื่อเดิน อ้อมรั้วและกำแพงที่รัฐธรรมนูญสร้างเอาไว้

        ส่วนคนน่ารักอื่นๆ นอกวงการเมืองก็เข้าสู่เวทีการเมืองไม่สู้มากนัก ซ้ำเข้ามาเป็นรองกลุ่มอัปปรียชนในทุกทาง และในทุกเวทีด้วย ไม่ว่าจะเป็นวุฒิสภา, สภาผู้แทนฯ, องค์กรอิสระ, หรือ ครม.

        จะทำอย่างไรกันดี?  ผมสารภาพว่ามองไม่เห็นทางใดเลยในเวลานี้  การแก้รัฐธรรมนูญควรทำด้วยความระมัดระวัง เพราะเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญนั้นต้องดูเป็นองค์รวมมากกว่าดูเป็นมาตราๆ ถึงอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐธรรมนูญ ได้พยายามสร้างรั้วสร้างกำแพงไว้แน่นหนาแล้ว ก็ยังไม่ได้ผล แม้กระนั้นก็ยังถูกโจมตีว่าทำให้คนน่ารักไม่ยอม เข้าสู่วงการเมือง ถ้าสร้างรั้วสร้างกำแพงให้หนาและสูงกว่านี้ แทนที่จะกีดกันอัปปรียชนออกไป อาจให้ผล ตรงกันข้ามคือยิ่งกันคนน่ารักออกไป ในขณะที่ล้อมพวกอัปปรียชนให้ทำอัปปรีย์ต่อไปตามสบาย โดยคนอื่นมองไม่เห็น หรือยุ่งไม่ได้

        ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า การปฏิรูปการเมืองจะสำเร็จได้ ต้องมีสังคมหรือการเมืองภาคประชาชนที่เข้มแข็ง แต่ในปัจจุบันสังคมไทยและการเมืองภาคประชาชนของไทยก็ต้องจัดว่ามีความคึกคักอยู่มากพอสมควร โดยเฉพาะเมื่อ เปรียบเทียบกับอีกหลายสังคมของเอเชีย ความเข้มแข็งอาจมีไม่มากนัก เพราะไม่สามารถเชื่อมโยงกันกับทุกกลุ่ม ของสังคมได้ ด้วยเหตุผลหลายประการเช่นได้พื้นที่ในสื่อน้อย เป็นต้น

        ผมคิดว่าการปฏิรูปการเมืองได้เดินมาถึงจุดที่ดูเหมือนจะสะดุดเสียแล้ว เราไม่อาจพร่ำพูดหลักการเช่นสังคม เข้มแข็งเหมือนท่องมนต์แล้วจะแก้ปัญหาได้ น่าจะถึงเวลาที่ต้องมาช่วยกันคิดให้กระจ่างว่าปัญหาอยู่ตรงไหน และจะต้อง ทำอย่างไรจึงจะพ้นจากวังวนของการเมืองน้ำเน่าออกไปได้  ถ้าเราไม่สำนึกและร่วมมือกันคิดให้ดี อัปปรียชนพันธุ์เก่า และพันธุ์ใหม่จะผสมพันธุ์กันกลายเป็นอัปปรียชนที่สังคมไม่มีทางขจัดออกไปได้ตลอดกาลนาน