ใครไร้เหตุผลกันแน่

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์           


          นายกรัฐมนตรีวิจารณ์ชาวบ้านแม่มูนมั่นยืนซึ่งกำลังเดินทางลงมาชุมนุมในกรุงเทพฯ ว่าไร้เหตุผล ทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น เพราะได้ตกลงกันแล้วว่าจะเปิดประตูระบายน้ำเป็นเวลา 4 เดือน แล้วศึกษาผลดีผลเสีย แต่ชาวบ้านกลับใช้วิธีกดดันให้รัฐบาลเปิดประตูระบายน้ำตลอด

        ผมคิดว่าท่านนายกฯไม่รู้ข้อมูลจริง หรือแกล้งไม่รู้ข้อมูลจริง และอยากเดาว่าได้ตัดสินใจไปเกิน 50% แล้วด้วยว่า จะไม่ยอมต่อข้อเรียกร้องของชาวบ้าน ฉะนั้นในคำวิจารณ์จึงสอดแทรกการปลุกระดมเอาไว้พร้อมเสร็จว่าทำ ความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เท่ากับปูทางให้ 'ผู้อื่น' ที่ว่านั้น ลุยชาวบ้านสมัชชาคนจนได้ถ้าขืนลงมาประท้วงหน้าทำเนียบอีก
แต่ใครเดือดร้อนครับ

        การประท้วงหน้าทำเนียบนั้น สมัชชาคนจนเคยทำมาเป็นปีแล้ว คำถามก็คือใครบ้างที่เดือดร้อน คนที่ต้องเดินผ่าน แถวนั้นอาจลำบากที่ต้องเดินหลบหลีกเพิงพักของผู้คน เหมือนลำบากที่ต้องหลบหลีกหาบเร่แผงลอยและรถยนต์ที่ปีน ขึ้นไปจอดบนทางเท้า อันเป็นความลำบากที่คนกรุงเทพฯ เคยชินเสียแล้ว ความจริงก็คือคนกรุงเทพฯ ไม่ได้มีปฏิกิริยา อะไรกับผู้ประท้วงหน้าทำเนียบ ผลสำรวจของโพลต่างๆ ก็ชี้ให้เห็นว่าความเห็นออกจะก้ำกึ่งกัน และส่วนใหญ่ยอมรับได้
นี่คือเหตุผลที่ต้องปลุกระดม

        สัญญาณที่ท่านนายกฯแสดงออกในครั้งนี้ได้รับการตอบสนองอย่างแข็งขัน คณะกรรมการแก้ไขปัญหาสมัชชา คนจนซึ่งมี นายปองพล อดิเรกสาร เป็นประธานรีบออกแถลงการณ์ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลได้ช่วยเหลือ ชาวบ้านปากมูล ไปอย่างไรบ้างแล้ว เช่น จ่ายค่าทดแทนและค่าช่วยเหลือไปแล้วรายละ 90,000 บาท แล้วก็ตั้งคณะกรรมการ และอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน  สิ่งที่แถลงการณ์นั้นไม่ได้บอกไว้ก็คือ มาตรการทั้งหมดที่กล่าวนั้น ทำกันมานานตั้งแต่ 2538 ก่อนหน้าที่รัฐบาลนี้จะขึ้นมาบริหารประเทศ และไม่ได้ผล จึงทำให้เกิดการประท้วงสืบเนื่อง มาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนคณะกรรมการและอนุกรรมการซึ่งตั้งขึ้นนั้นยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเดียว

        อย่างไรก็ตาม อ่านแต่แถลงการณ์ว่ารัฐบาลได้ทำโน่นทำนี่แล้ว ทำไมไม่เลิกประท้วงเสียที ก็สอดรับกับการปลุก ระดมของนายกรัฐมนตรีพอดีว่า พวกนี้ไร้เหตุผล และไม่น่าจะไปยอมอ่อนข้อให้ 'มัน' ต่อไป  รัฐมนตรีมหาดไทยออกมา ประสานเสียงล่าสุดว่า ตกลงกันว่าเปิดเขื่อนเพื่อศึกษา แต่ยังไม่รู้ผลการศึกษา จะให้เปิดเขื่อนถาวรได้อย่างไร แล้วสั่งสอน อบรมว่าสังคมไทยต้องเป็นสังคมที่จะต้องเรียนรู้ อย่าใช้ความรู้สึกและอารมณ์

        ท่านรัฐมนตรีควรเรียนรู้ในเบื้องต้นก่อนเลยว่า ในขณะที่ยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาของข้อตกลงให้เปิดเขื่อนเพื่อ การศึกษา กฟผ.ก็ปิดบานประตูเขื่อนไปบางบานแล้ว และในที่สุดก็ปิดหมด ถ้ายังไม่รู้ผลการศึกษาจึงตกลงให้เปิดเขื่อน ตลอดไม่ได้ ทำไมจึงปิดเขื่อนได้ ก็ไหนว่าผลการศึกษาสำคัญนักหนา ต้องเรียนรู้ไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึกไง  ท่านนายกฯ และสมุนของท่านควรรู้ หรือเลิกแกล้งไม่รู้เสียทีว่า จนถึงบัดนี้เห็นได้แน่ชัดแล้วว่า ผลการศึกษาที่จะเกิดขึ้นนั้นจะไม่ สามารถระงับความขัดแย้งได้ แต่ไม่ใช่เพราะชาวบ้านไร้เหตุผลหรือใช้แต่ความรู้สึกและอารมณ์ หากเป็น เพราะการศึกษาที่รัฐได้ลงทุนไปนั้นอีเหละเขละขละ อีเหละเขละขละทั้งการลงทุน และการดำเนินการ

        เริ่มต้นก็กำหนดโจทย์การศึกษาอย่างคลุมเครือ คือเปิดเขื่อนแล้วจะเกิดผลกระทบอย่างไร พูดอีกอย่างหนึ่งคือมี เขื่อนกับไม่มีเขื่อนจะต่างกันอย่างไร แต่ก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะดูความต่างของอะไร ระหว่างการปั่นไฟฟ้าร้อยกว่า เมกะวัตต์ต่อปี หรือวิถีชีวิต หรือประเภทและจำนวนของปลา หรืออะไรอีกบ้าง

        ฉะนั้นใครที่ได้ทุนไปศึกษา ก็จะเลือกศึกษาเฉพาะผลกระทบที่ตัวเห็นว่าจะช่วยส่งเสริมนโยบายของตัว กฟผ. จึงลงทุนจ้างนักวิชาการที่ตัวเชื่อใจ (การเป็นนักวิชาการที่ กฟผ.เชื่อใจถือเป็นเกียรติยศหรือการประณามกันก็แล้วแต ่จะคิดนะครับ) ไปศึกษาผลกระทบตามแนวของ กฟผ.   ผลการวิจัยที่จะออกมาจาก กฟผ.ก็แหงแซะอยู่แล้ว แทนที่ รัฐบาลจะบังคับให้ กฟผ.เอาเงินค่าวิจัยของตัวมาโปะรวมกับที่รัฐจะออกอีกส่วนหนึ่ง

        แล้วตั้งทีมวิจัยอันเป็นที่ยอมรับทั้งสองฝ่าย สร้างระบบตรวจสอบจากนักวิชาการภายนอกทีม ร่วมกันตั้งโจทย์การ วิจัย, วิธีการวิจัย และต้องเขียนรายงานผลการวิจัยฉบับร่วมอย่างน้อยหนึ่งฉบับ อันเป็นฉบับที่ทั้งสองฝ่ายและบุคคล ภายนอกสามารถเข้ามาท้วงติงได้เต็มที่(อย่างเดียวกับรายงานผลการวิจัยของคณะกรรมการเขื่อนโลกซึ่งธนาคารโลก                                                                                                                                                                                                                                                                       อุดหนุน) แต่ก็เปล่าทั้งเพ ใครเข้าถึงทุนได้ก็ทำกันไปอย่างอีเหละเขละขละ อันไม่มีทางที่จะเป็นเครื่องมือ ระงับความขัดแย้งได้เลย และแน่นอนว่าไม่พบหนทางของเหตุผลหรือการเรียนรู้สำหรับการวางนโยบายสาธารณะ

        เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่า ในกรณีนี้ความชัดเจนของโจทย์การวิจัยมีความสำคัญอย่างมาก เพราะการศึกษาผลกระทบ ของการเปิดเขื่อนด้วยเวลาเพียง 4 เดือนของฤดูฝน บังคับอยู่ในตัวแล้วว่าจะศึกษาอย่างกว้างขวางไม่ได้ เพราะถึง อย่างไรก็ไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริงซึ่งมีการหมุนเวียนเปลี่ยนผันของฤดูกาล

        ทั้งฤดูกาลทางธรรมชาติ และฤดูกาลของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมของคน โจทย์การวิจัยและวิธีวิจัย ที่ไม่ชัดไม่รอบคอบเพียงพอ จะไม่ให้คำตอบที่พอจะเอาไปกำหนดนโยบายสาธารณะได้

         การบริหารงานวิจัยตั้งแต่ระดับบนสุดก็เละเทะอย่างนี้แล้ว  ในขณะเดียวกัน รัฐก็อนุมัติงบประมาณ 10 ล้านบาท ให้มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีทำวิจัย คล้ายๆ กับว่า ม.อุบล เป็นคนกลางไม่เข้าใครออกใครทำนองนั้น แต่ก็ด้วยโจทย์ วิจัยที่คลุมเครือเหมือนเดิม

        ด้วยความเคารพและความรักที่มีต่อ ม.อุบลฯ ผมยังไม่ได้เห็นผลงานการศึกษาของนักวิชาการของ ม.อุบลฯ ในเรื่องนี้ จึงไม่ขอกล่าวถึง แต่(ขอย้ำอีกครั้งว่า) ด้วยความรักต่อ ม.อุบลฯ ผมเห็นว่าเขาบริหารการวิจัยอย่าง อีเหละเขละขละยิ่งไปกว่า กฟผ.เสียอีก

        อย่างน้อย กฟผ.เขายังมีเป้าของการวิจัย แต่ ม.อุบลฯ ดูเหมือนจะไม่มีเลย ผู้บริหารงานวิจัยประกาศ รับสมัครนักวิชาการที่อยากทำวิจัยเรื่องที่ตัวถนัดและเกี่ยวกับการเปิดเขื่อนแม่มูลเท่านั้น

        จึงมีโครงการวิจัยจากหลายสาขาซึ่งอาจมีคุณค่าทางวิชาการในตัวของมันเอง แต่ไม่อาจตอบคำถามได้ว่า แล้วเราควรหรือไม่ควรเปิดเขื่อนต่อไปดี ทั้งนี้ เพราะผู้บริหารงานวิจัยไม่ได้ร่วมกับนักวิจัยที่จะต้องตั้ง โจทย์ใหญ่ของการวิจัยร่วมกัน จะต้องทำโครงการวิจัยต่างๆ ที่จุดเน้นใด และด้วยวิธีใด จึงจะทำให้มีส่วนเข้ามา ช่วยตอบโจทย์ใหญ่ของการวิจัยได้

        ผลคือเละตุ้มเป๊ะ ผลงานวิจัยแต่ละชิ้นที่ออกมาอาจจะดีเลิศ แต่ขอโทษ ควรไปขอทุนจาก สกว.ทำเอง ไม่ควรมายุ่งกับทุนวิจัยเพื่อตอบปัญหาเฉพาะในกรณีนี้

        ผมจึงเชื่อว่าผลการศึกษาของ ม.อุบลฯ ในครั้งนี้ จะไม่ทำให้สังคมได้ตัดสินใจเรื่องเขื่อนด้วย การเรียนรู้ และใช้เหตุผล การบริหารงานวิจัยทั้งระดับสูงและระดับพื้นที่ของรัฐเองนั่นแหละที่ไร้เหตุผล และไม่เรียนรู้ กลไกของ รัฐอยู่ในมือของท่านนายกฯและรัฐมนตรี กลับไปสั่งสอนลูกน้องในสายงานของท่านถึงเรื่องเหตุผล และการเรียนรู้ให้ดีเถิด ไม่ต้องมาอบรมชาวบ้านหรอก ที่เขาประท้วงก็เพราะเขามีเหตุผลและความรู้อยู่มากทีเดียว ที่จะชี้ว่าการเปิดเขื่อนจะมีผลดีแก่ส่วนรวมมากกว่าการปิดเขื่อน

        ท่านเคยสนใจอยากเรียนรู้เหตุผลและความรู้เช่นนั้นของชาวบ้านบ้างไหม? ถ้าสังคมไทยจะเป็นสังคมแห่ง การเรียนรู้ ก็ไม่ควรจะหมายความแต่เพียงคนเล็กๆ ต้องเรียนรู้จากคนใหญ่ๆ ต่อไปอีก เพราะถ้ามีความหมายเพียงแค่นั้น คนไทยก็ถูกบังคับให้เรียนรู้จากพวกคนใหญ่คนโตตลอดมาหลายพันปีแล้ว ปัญหาจริงๆ คือคนที่อยู่ระดับบนๆ ของสังคมไทยต่างหาก ที่ไม่ยอมเรียนรู้อะไรเสียเลย โดยเฉพาะจากคนระดับล่าง

        แม้ในการประท้วงครั้งนี้ ถ้าท่านไม่ได้แกล้งโง่ ท่านก็ควรทราบว่าสมัชชาคนจนยื่นข้อเสนอให้เปิดเขื่อน ไม่แต่เฉพาะเขื่อนปากมูล แต่อีกหลายเขื่อน และข้อเสนอนี้วางอยู่บนการศึกษาของคณะกรรมการเขื่อนโลก ซึ่งได้มีการศึกษาเปรียบเทียบเขื่อนในโลกนี้หลายประเทศด้วยกัน  ความคิดว่าเขื่อนเป็นตัวขวางกั้น การพัฒนาที่แท้จริง นั้น ไม่ใช่ความคิดเลื่อนลอย แต่มีฐานอยู่บนการศึกษาเรื่องเขื่อนมาก่อนการศึกษาของ คณะกรรมการเขื่อนโลก เป็นเวลานาน  มีข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นตัน  การศึกษาเหล่านี้ก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะผลกระทบ ต่อวิถีชีวิต ของคนในพื้นที่อย่างเดียว

        แต่มีการศึกษาทั้งผลได้ผลเสียทางเศรษฐกิจของเขื่อน รวมทั้งตรวจสอบย้อนหลังผลการศึกษาที่เคยทำมาแล้ว พบข้อผิดพลาดและการประเมินที่เฉไฉมากมาย แม้แต่ด้านผลได้ด้านพลังงานก็มีการศึกษาเปรียบเทียบ กับแหล่งพลังงานอื่นๆ เหมือนกัน และพบว่าส่วนใหญ่ของเขื่อนขาดทุนทั้งนั้น

        ชาวบ้านไม่ได้โง่หรือไร้เหตุผลอย่างที่ท่านแกล้งสร้างภาพให้เขา ประสบการณ์การเรียนรู้ของเขาอาจไม่ได้ผ่าน งานวิชาการอย่างที่ผมอ้างถึง แต่มาจากชีวิตจริงของเขาและคนที่เขาได้ประสบพบเห็น ไม่ว่าจะมาจากไหน ผลสรุป ก็เหมือนกับงานวิชาการโดยสาระ

        ถ้าเรียกร้องให้สังคมไทยรู้จักเรียนรู้และใช้เหตุผล แทนความรู้สึกอารมณ์ ผมอยากจะถามว่ารัฐบาลได้มอบหมาย ให้ใครหรือหน่วยงานใดศึกษาเขื่อนในประเทศไทยย้อนหลังบ้างสักเขื่อนหนึ่ง ประเด็นเรื่องการพัฒนาด้วย เขื่อนเป็นประเด็นที่ถูกท้าทายทั้งจากนักวิชาการและชาวบ้านทั่วโลก

        คนมีเหตุผลและคนชอบเรียนรู้ไม่ทำอะไรเลยได้อย่างไร ในขณะที่ปิดตาปิดหูตัวเองอยู่นี้ ผมทราบมาว่ามี หน่วยงานนอกภาครัฐที่ใหญ่และทรงอิทธิพลมากๆ กำลังเสนอผลการศึกษาเพื่อผลักดันให้สร้างเขื่อน ทั่วลุ่มน้ำภาคเหนือและกลางนับเป็นสิบเขื่อน

        แต่ละเขื่อนต้องใช้เงินนับเป็นหมื่นล้านบาท รัฐบาลจะทำอย่างไร ยอมรับแผนการนี้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ของนโยบาย โดยไม่มีข้อมูลและแนวคิดทางเลือกเลยใช่ไหม

        ถ้าอย่างนั้นก็ไร้เหตุผล ใช้แต่อารมณ์ความรู้สึกบริหารบ้านเมือง  ท่านนายกฯและสมุนของท่านควรรู้ หรือเลิกแกล้งไม่รู้เสียทีว่า จนถึงบัดนี้เห็นได้แน่ชัดแล้วว่า ผลการศึกษาที่จะเกิดขึ้นนั้นจะไม่สามารถระงับความขัดแย้งได้ แต่ไม่ใช่เพราะชาวบ้านไร้เหตุผลหรือใช้แต่ความรู้สึกและอารมณ์ หากเป็นเพราะการศึกษา        ที่รัฐได้ลงทุนไปนั้นอีเหละเขละขละ อีเหละเขละขละทั้งการลงทุน และการดำเนินการ