แต่งกายเลียนแบบพระ
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 208
บัญญัติว่า
"ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ
สามเณร
นักพรต
หรือนักบวชในศาสนาใด
โดยมิชอบ
เพื่อให้
บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น
ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินสองพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ"
กรณีที่พระภิกษุถูกจับสึกเพราะถูกดำเนินคดีอาญา
แล้วกลับมาแต่งกายเป็นพระภิกษุอีก
โดยอ้างว่ายินยอม
เปลื้องจีวรเพื่อต่อสู้คดี
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นคำพิพากษา
ศาลฎีกาที่
1789/2542 ว่า
ตาม
พ.ร.บ.คณะสงฆ์
พ.ศ.2505 มาตรา 29
การ
สละสมณเพศเพราะถูกจับในข้อหาคดีอาญาแยกได้เป็น
3
กรณี
คือ
1.
เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็น
สมควรให้ปล่อยชั่วคราวและเจ้าอาวาสไม่ยอมรับตัวไว้ควบคุม
พนักงานสอบสวนดำเนินการให้สละสมณเพศได้
2.
พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเห็นว่าไม่
ควรปล่อยชั่วคราวและไม่ควรมอบตัวให้เจ้าอาวาสรับตัวไป
ควบคุม
ก็ดำเนินการให้สละสมณเพศได้
และ
3.
พระภิกษุรูปนั้นไม่ได้สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งหรือ
เป็นพระจรจัด
ก็ดำเนินการให้สละสมณเพศได้
กรณีของจำเลยปรากฏว่า
ร.ต.ท. ส.
นำจำเลยไปพบ
พระ
ท.
เจ้าอาวาสวัดและมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะ
และพระ
ภิกษุผู้ใหญ่อีกหลายรูป
เพื่อสอบสวนจำเลยแล้วไม่ได้ความ
ชัดว่าขณะนั้นจำเลยจำพรรษาและสังกัดวัดใด
จำเลยยินยอม
สึกจากการเป็นพระภิกษุโดยเปลื้องจีวรออกแล้วแต่งกายด้วย
ชุดขาว
จึงถือได้ว่าจำเลยได้สละสมณเพศแล้วในขณะนั้นตาม
พ.ร.บ.
คณะสงฆ์ฯ
มาตรา 29 การที่จำเลยอ้างว่ายินยอมเปลื้อง
จีวรออกเพื่อต่อสู้คดี
ไม่เป็นเหตุให้จำเลยซึ่งได้สละสมณเพศแล้ว
กลับมาเป็นพระภิกษุใหม่อีก
ดังนั้น
เมื่อภายหลังต่อมาจำเลย
กลับมาแต่งกายเป็นพระภิกษุเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นพระ
ภิกษุ
จึงเป็นความผิดตาม
ป.อ. ม.208
คดีนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก
6
เดือนและไม่รอ
การลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ส่วนศาลฎีกาพิพากษา
แก้เป็นว่าให้จำคุก
3 เดือน
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
เล่ม 4 หน้า 175)
|