พิพากษาไม่เกินคำขอ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 192 บัญญัติว่า
"ห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดั่งที่กล่าวในฟ้อง
ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น
เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้
ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
ในกรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียด
เช่น
เกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่กระทำความผิด
หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์
กรรโชก รีดเอาทรัพย์
ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้
ยักยอก รับของโจร
และทำให้เสียทรัพย์
หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาท
มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ
ทั้งมิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอ
หรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ
เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุ
ให้จำเลยหลงต่อสู้
แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับ
ความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงบางข้อดั่งกล่าวในฟ้อง
และตามที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่ใช่เป็น
เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ
ห้ามมิให้ศาลลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้น
ๆ
ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม
แต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด
ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยฐานความผิดที่ถูกต้องได้
ถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง
แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้"
โจทก์บรรยายฟ้องในข้อเดียวกันว่า
จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายทั้งสองโดย
เจตนาฆ่าและคมมีดถูกผู้เสียหายทั้งสองบริเวณคอ
ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่
1 ใช้
อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่
1
แล้วเดินตามไปฟันผู้เสียหายที่
2
ขณะกำลังเดินเข้าไปในงาน
มีปัญหาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดกี่กรรม
และศาลลงโทษได้กี่กรรม
ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่
2987/2543 ว่า
ฟ้องข้อ
ข.
โจทก์บรรยายให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายทั้งสองโดย
เจตนาฆ่าและคมมีดถูกผู้เสียหายทั้งสองที่บริเวณคอ
รายละเอียดบาดแผลปรากฏตามผล
การตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง
ซึ่งปรากฏว่าผู้เสียหายที่
1 มีบาดแผลที่บริเวณ
คอหนึ่งแผล
และผู้เสียหายที่ 2
มีบาดแผลที่บริเวณคอสองแผล
อันเป็นการกระทำต่อผู้เสียหาย
แต่ละคนแยกออกจากกันได้
จำเลยที่ 1
ใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่
1 แล้วเดินตามไปฟัน
ผู้เสียหายที่ 2
ขณะกำลังเดินเข้าไปในงาน
ห่างประมาณ 5 เมตร
เป็นการฟันผู้เสียหายทั้งสอง
คนละคราวกัน
การกระทำของจำเลยที่ 1
จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ศาลชั้นต้น
พิพากษาลงโทษจำเลยที่
1
ฐานพยายามฆ่าเป็นสองกระทงความผิด
จึงมิใช่เป็นการพิพากษา
เกินคำขอหรือมิได้กล่าวในฟ้องตาม
ป.วิ.อ.ม.192 วรรคแรก
หมายเหตุ
คดีนี้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลาย
กรรมต่างกันเพียง 2 ข้อ
คือ ข้อ ก.จำเลยทั้งสองร่วมกันพาอาวุธมีดติดตัวไปในเมืองและ
ชุมนุมชนโดยไม่มีเหตุสมควร
และข้อ ข.จำเลยทั้งสองร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง
สำหรับความผิดตาม ป.อ.ม.371
นั้นความผิดคนละกระทงกับความผิดฐานพยายามฆ่าอยู่แล้ว
มีปัญหาแต่เพียงว่า
ความผิดฐานพยายามฆ่าเป็นความผิดกรรมเดียว
หรือสองกรรม
แต่ตามลักษณะการบรรยายฟ้องของโจทก์น่าจะแสดงให้เห็นว่า
ประสงค์ให้ลงโทษฐาน
พยายามฆ่ากรรมเดียวหรือไม่
และที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษสองกรรมจะเกินคำขอหรือไม่
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นคำพิพากษาฎีกานี้แล้ว
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ปี 2543 เล่ม 3 หน้า 189)
บันทึก
นอกจากนี้
แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมและมิได้อ้าง
ป.อ.ม.91
ศาลจะพิพากษาลงโทษหลายกรรมได้หรือไม่
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในคำพิพากษา
ศาลฎีกาที่ 1223/2543 ว่า
โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมและมิได้อ้าง
ป.อ.ม.91 แต่คำฟ้อง
ก็ได้ระบุมาแจ้งชัดว่าจำเลยออกเช็ค
2 ฉบับ
ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลาย
กรรมต่างกันตามเช็คแต่ละฉบับ
ศาลลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม
ป.อ.
ม.91 ได้ ทั้ง ป.วิ.อ.ม.158(6)
เพียงแต่บัญญัติให้โจทก์อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่า
การกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดเท่านั้น
หาได้บัญญัติให้จำต้องอ้างถึงบทมาตราเกี่ยวกับการ
ลงโทษหลายกรรมด้วยไม่
ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฎีกา
แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย
ศาลฎีกาปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้
หมายเหตุ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยสองกรรม
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3
วินิจฉัยว่า
ตามคำฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าการกระทำของจำเลยเป็น
ความผิดหลายกรรมต่างกัน
และในคำขอท้ายฟ้องก็ไม่ได้อ้าง
ป.อ.ม.91 เท่ากับโจทก์ไม่
ประสงค์ให้ศาลลงโทษจำเลยหลายกระทง
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย
สองกระทงจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ
ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.ม.192
วรรคแรก พิพากษา
แก้เป็นลงโทษกระทงเดียวและให้รอการลงโทษ
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดย
ไม่ต้องรอการลงโทษ
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
และพิพากษา
แก้เป็นให้ลงโทษจำเลยสองกระทง
ดังเหตุผลที่ระบุข้างต้น
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ปี 2543 เล่ม 3 หน้า 112)
Thailegal
18/01/44
|