ประวัติศาสตร์ล้านนา

อาณาจักรล้านนามีประวิติศาตร์ที่รุ่งเรืองมาแต่โบราณ แต่น่าเสียดายที่บันทึกประวิติศาสตร์เหล่านั้น
ถูกเผาทำลายไปแทบจะหมดสิ้นโดยผู้ปกครองจากต่างแดนที่งี่เง่าที่เข้ามาปกครองล้านนา เพื่อทำลายรากฐานของสังคม
พระธรรมคัมภีร์ ตำรับตำรามีค่าของล้านนา ถูกพวกมันเผาทิ้งแทบไม่มีเหลือให้คนรุ่นหลังได้รับรู้
กำเนิดอาณาจักรล้านนา
ตั้งแต่โบราณมาดินแดนในแถบล้านนาประกอบไปด้วยเมืองใหญ่น้อยที่กระจัดกระจายอยู่ไม่ได้รวม
กลุ่มกันเป็นอาณาจักรจุดเริ่มต้นของอาณาจักรเกิดจากการรวบรวมเมืองใหญ่น้อยเข้าด้วยกันโดย
พญามังรายซึ่งพระองค์เริ่มสร้างอาณาจักรด้วยการรวม ๒ แคว้นใหญ่ก่อนคือ แคว้นโยน (โยนก) และแคว้นหริภุญไชย ตามด้วยผนวกเขลางค์นครซึ่งเป็นพันธรัฐของหริภุญไชย ในระยะสร้างอาณาจักร รัฐล้านนาขยายอาณาเขตไปสู่เมืองทางตอนเหนือ ด้วยการสถาปนาอำนาจในเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ชายขอบ เช่น เชียงตุง เมืองนาย

พญามังราย (พ.ศ.๑๘๐๔-๑๘๕๔) ปฐมกษัตริย์แห่งล้านนา พญามังราย หรือ เม็งราย ทรงสร้างอาณาจักรล้านนา โดยผนวกเข้ากับแคว้นโยนกับแคว้นพิงค์เข้าด้วยกัน จากนั้นขยายอาณาเขต ต่อออกไปโดยรบชนะเมืองเขลางค์ (ลำปาง) อาณาจักรล้านนาในขณะนั้น ประกอบด้วยเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย เป็นส่วนสำคัญ ของล้านนา นอกจากนั้น ในสมัยนี้ยังได้สร้างเครือข่ายทางการเมือง โดยส่งเครือญาติออกไปสร้างเมืองนาย ซึ่งเป็นหัวเมืองไต (ไทใหญ่) ตำนานกล่าวว่า การส่งขุนเครือ โอรส ไปปกครองเมืองนายจึงมีกษัตริย์เชื้อสายราชวงค์มังรายปกครอง ตำนานเมืองเชียงตุงได้กล่าวถึง พญามังรายรบชนะชาวพื้นเมือง "ลัวะ" ทรงสร้างเมืองเชียงตุง พร้อมกับส่งท้าวน้ำท่วมไปครองเชียงตุง กษัตริย์เมืองเชียงตุงจึงมีเชื้อสายราชวงศ์มังราย เช่นเดียวกับเมืองนาย อย่างไรก็ตาม ทั้งเมืองนายและเชียงตุง มีความสัมพันธ์กับเชียงใหม่ ในฐานะบ้านพี่เมืองน้องที่เป็นพันธมิตรทางการเมือง และสร้างความผูกพัน ทางความเชื่อทางพระพุทธศาสนาร่วมกัน ทางเชียงใหม่ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของเมืองดังกล่าว ด้านการปกครอง เชียงใหม่มีฐานเป็นศูนย์กลางของอาณาจักร พญามังรายทรงบริหารราชการบ้านเมืองที่เชียงใหม่ ตลอดพระชนม์ชีพ ส่วนเมืองลำพูนทรงแต่งตั้งอ้ายฟ้าปกครอง โดยอยู่ในฐานะเป็นเมืองบริวารของเชียงใหม่ ซึ่งเชียงใหม่ปกครองอย่างใกล้ชิดเสมือนเมืองแฝด ระยะนี้ลำพูนเป็นศูนย์กลางทางศาสนา ขณะที่เชียงใหม่ เป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครอง ส่วนเมืองเชียงรายมีความสำคัญอันดับรองจากเชียงใหม่ พญามังรายจึงส่งขุนคราม โอรสไปปกครอง สมัยพญามังรายพบว่าดินแดนล้านนา แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ตอนบน (แคว้นโยน) มีเชียงรายเป็นศูนย์กลาง ส่วนตอนล่างมีเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง ลักษณะเช่นนี้สืบมา อีกหลายรัชกาล นอกจากนั้นเมืองอื่น ๆ จะส่งโอรสหรือญาติตลอดจนขุนนางที่ไว้วางใจไปปกครอง ตามลำดับความสำคัญของเมือง
กฏหมายล้านนา พญามังรายปกครองโดยใช้กฎหมายที่เรียกว่า "มังรายศาสตร์" ซึ่งสันนิษฐานว่ารับอิทธิพลจาก กฎหมายของมอญที่หริภุญไชย (ลำพูน) มังรายศาสตร์คงใช้สืบต่อกันมาตลอดสมัยราชวงศ์มังราย ด้านทำนุบำรุงพุทธศาสนา พญามังรายได้รับอิทธิพลพระพุทธศาสนาจากหริภุญไชย พระองค์โปรดให้สร้างเจดีย์กู่คำ เลียนแบบเจดีย์กู่กุด (อยู่ที่ลำพูน) สร้างวัดกานโถม (ช้างค้ำ) พร้อมกับสร้างเจดีย์ สร้างพระพุทธรูป และกัลปนาที่ดินและข้าพระด้วย ด้านความสัมพันธ์กับอาณาจักรใกล้เคียง
สามกษัตริย์สหายร่วมน้ำสาบาน พญามังรายมีความสัมพันธ์อันดีต่อพุอขุนรามคำแหง และพญางำเมือง (แห่งเมืองพะเยา) กษัตริย์ทั้งสามพระองค์ อยู่ในฐานะพระสหายร่วมน้ำสาบาน การเป็นไมตรีที่ดีต่อกันนั้น ก็เพื่อร่วมมือกันต่อต้านภัยจากมองโกล
สงครามล้านนา - มองโกล กองทัพมองโกลแผ่อิทธิพลไปครึ่งโลกและได้เริ่มส่งกองทัพมาตีได้น่านเจ้า พ.ศ.๑๗๙๖ ได้ฮานอย (เวียตนาม) พ.ศ.๑๘๐๐ และได้พุกาม (พม่า) พ.ศ.๑๘๓๐ ซึ่งในปีที่พุกามแตก กษัตริย์ทั้งสามพระองค์ได้ทำสัญญาเป็นไมตรีกัน ในการป้องกันภัยจากมองโกล นอกจากพญามังรายจะใช้นโยบายเป็นไมตรีกับสุโขทัยและพะเยาแล้ว ยังใช้การทำสงครามอีกด้วย สงครามมองโกล การทำสงครามกับมองโกลมีข้อสังเกตว่าจะเกิดขึ้นหลังก่อตั้งอาณาจักรล้านนา เข้าใจว่าเป็นช่วงที่อิทธิพลของมองโกลลดลงอย่างมาก หลังจากสิ้นพระชนม์ของกุบไลข่าน ในปี พ.ศ.๑๘๓๗ การทำสงครามนั้น พญามังรายจะส่งกำลังไปช่วยเหลือเมืองที่รบกับมองโกล เช่นใน พ.ศ.๑๘๓๙ มองโกลยึดเมืองเชียงรุ่ง (เชียงรุ้ง ในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาของจีนในปัจจุบัน) พญามังรายยกทัพไปตี เอาเมืองเชียงรุ่งคืนมาได้ และในปี พ.ศ.๑๘๔๒ พญามังรายคงส่งกองทัพไปช่วยไทใหญ่ที่เมืองชอกเส ที่กำลังต่อสู้กับกษัตริย์พุกาม เพราะกษัตริย์พุกามทรงเป็นมิตรและหนุนมองโกล มองโกลโต้ตอบการกระทำของพญามังราย โดยส่งกองทัพใหญ่มา ในพ.ศ.๑๘๔๔ แต่ประสบความล้มเหลว กองทัพพญามังรายจึงร่วมกับกองทัพเมืองเชียงรุ่งตีบุกเข้าไปในยูนนาน การทำสงครามระหว่างเชียงใหม่ กับมองโกลคงมีต่อมาหลายปี สงครามครั้งสุดท้ายราว พ.ศ.๑๘๕๔ โดยเชียงใหม่และเชียงรุ่งส่งบรรณาการ ให้มองโกล ตั้งแต่ พ.ศ.๑๘๕๕ เชียงใหม่คงส่งบรรณาการไปจีนในบางโอกาส เมื่อถึงสมัยพญากือนาก็ยุติ การส่ง

พญาไชยสงคราม (พ.ศ.๑๘๕๔-๑๘๖๘) พญาไชยสงครามประทับที่เชียงใหม่เพียง ๔ เดือนเท่านั้น พระองค์ก็ย้ายที่ประทับไปเชียงราย ส่วนเชียงใหม่ทรงแต่งตั้งท้าวแสนพูปกครอง อย่างไรก็ตามแม้ว่ากษัตริย์จะไม่ประทับที่เชียงใหม่ แต่เชียงใหม่ก็คงดำรงสิทธิธรรมอยู่ ในสมัยพญาไชยสงคราม ได้เริ่มประสบปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติจากขุนเครือพระอนุชา ซึ่งสามารถยึดเมืองเชียงใหม่ได้สำเร็จ แต่ก็ถูกกำจัดไปได้โดยท้าวน้ำท่วม โอรสพญาไชยสงคราม ซึ่งยกทัพมาจากเมืองฝางตีเชียงใหม่กลับคืนมาได้ ความชอบของท้าวน้ำท่วมครั้งนี้ได้รับการแต่งตั้งให้ครองเชียงใหม่ อย่างไรก็ตาม ต่อมาพญาไชยสงครามรู้สึกระแวงว่าท้าวน้ำท่วมจะเป็นกบฏ จึงส่งไปครองเมืองเชียงตุง ส่วนเมืองเชียงใหม่ พญาแสนพูได้แต่งตั้งให้เป็นอุปราชเป็นครั้งที่ ๒ อำนาจกษัตริย์จึงเริ่มถูกท้าทายจากพระบรมวงศานุวงศ์ พญาไชยสงครามสิ้นพระชนม์ที่เมืองเชียงราย

พญาแสนพู (พ.ศ.๑๘๖๘-๑๘๗๗) รัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์มังราย พระองค์แต่งตั้งให้ท้าวคำฟูโอรส ครองเมืองเชียงใหม่ ส่วนพระองค์ประทับที่เมืองเชียงราย และในราว พ.ศ.๑๘๗๐ ทรงสร้างเมืองเชียงแสนในบริเวณเมืองเงินยาง หลังจากสร้างเชียงแสนแล้ว พญาแสนพูประทับที่เมืองเชียงรายตลอดพระชนม์ชีพ

พญาคำฟู (พ.ศ.๑๘๗๗-๑๘๗๙) รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์มังราย พญาคำฟูประทับที่เมืองเชียงแสน ส่วนเมืองเชียงใหม่ ทรงแต่งตั้งให้ท้าวผายูปกครอง อาณาจักรล้านนาในสมัยนี้ มีความเข้มแข็ง เห็นได้จากนโยบายขยายอาณาเขตไปทางตะวันออก โดยเริ่มทำสงครามกับพะเยา สามารถยึด เมืองพะเยาได้ เมืองพะเยาจึงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ของอาณาจักล้านนานับแต่นั้นมา หลังจากยึดพะเยาได้แล้ว พญาคำฟูขยายอำนาจไปยังเมืองแพร่ แต่ไม่ประสบผล แสดงให้เห็นว่าการรวบรวมหัวเมืองต่าง ๆ ทางตะวันออก ของล้านนา ไม่ใช่กระทำได้ง่าย ๆ และการย้ายที่ประทับของกษัตริย์มายังแคว้นตอนบนถึง ๓ รัชกาลติดต่อกัน ก็เป็นเหตุผลด้านยุทธศาสตร์ พญาคำฟูสิ้นพระชนม์ที่เมืองเชียงคำ

พญาผายู (พ.ศ.๑๘๗๙-๑๘๙๘) เสนาอามาตย์ทั้งหลายอภิเษกท้าวผายูเป็นกษัตริย์ล้านนา พญาผายูไม่เสด็จไปประทับที่เมืองเชียงแสน ดังเช่น พญาคำฟู พระองค์ประทับที่เชียงใหม่ เหตุที่ย้ายที่ประทับลงมาเชียงใหม่ อาจเป็นเพราะเขตทางตอนบน มีความมั่นคง โดยสามารถสร้างเมืองเชียงแสนเป็นปราการป้องกันศึกฮ่อได้อย่างเข้มแข็ง และสามารถผนวก พะเยาได้ ในขณะเดียวกันพญาผายูทรงสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเชียงของในเขตลุ่มน้ำกก โดยการ อภิเษกกับพระนางจิตราเทวีราชธิดาของเจ้าเมืองเชียงของ พญาผายูครองเมือง "ชอบด้วยทศพิธราชธรรม ยินดีในวรพุทธศาสนา" ทรงสร้างวัดลีเชียงพระ (วัดพระสิงห์ฯ) ให้เป็นวัดสำคัญในเชียงใหม่ ทรงอาราธนามหาอัคญะจุฬเถระจากเมืองหริภุญไชยมาเป็นสังฆราชาอยู่ที่ วัดลีเชียงพระ การส่งเสริมพระพุทธศาสนาของพญาผายูเป็นพื้นฐานในการขยายตัวของพุทธศาสนา ซึ่งเริ่มเจริญรุ่งเรืองอย่างเด่นชัดในสมัยพญากือนา

พญาแสนเมืองมา (พ.ศ.๑๙๒๘-๑๙๔๔) พญาแสนเมืองมาเป็นโอรสของพญากือนา ในทันที่ที่พญากือนาสิ้นพระชนม์ ท้าวมหาพรหม พระอนุชาของพญากือนาซึ่งครองเมืองเชียงราย ได้ยกทัพมาแย่งชิงเมืองเชียงใหม่ แต่ประสบความล้มเหลว ท้าวมหาพรหมจึงไปขอความช่วยเหลือจากสมเด็จพระบรมราชาที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ.๑๙๒๙ กองทัพอยุธยาจึงยกมาตีล้านนา โดยเข้าปล้นเมืองลำปาง ซึ่งไม่สำเร็จ กองทัพอยุธยาเป็นฝ่าย ล่าถอยกลับไป ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่อยุธยาขึ้นมาทำสงครามกับล้านนา ส่วนท้าวมหาพรหมภายหลังขัดแย้ง กับพญาใต้ จึงกลับมาล้านนา พญาแสนเมืองมาส่งให้ไปครองเมืองเชียงรายเช่นเดิม หลังจากที่อยุธยาตีล้านนาไม่สำเร็จ พญาแสนเมืองมาได้ขยายอำนาจลงสู่ทางใต้เมื่อได้โอกาส เพราะสุโขทัย ขอกำลังกองทัพล้านนาลงมาช่วยต่อสู้กับอยุธยา แต่สถานการณ์เปลี่ยนแปลง เพราะสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ สิ้นพระชนม์เสียก่อน ฝ่ายสุโขทัยจึงหันมาโจมตีกองทัพล้านนา กองทัพล้านนาพ่ายแพ้เสียหายมาก ในราว พ.ศ.๑๙๓๐ หรือ พ.ศ.๑๙๓๑ นับแต่นั้นมาพญาแสนเมืองมาไม่ออกรบอีกเลย แต่จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระราชกรณียกิจที่สำคัญคือ ทรงเริ่มสร้างเจดีย์หลวง (พ.ศ.๑๙๓๔) ซึ่งไม่แล้วเสร็จในรัชสมัยของพระองค์ และทรงหุ้มพระธาตุเจดีย์ในวัดพระธาตุหริภุญไชยด้วยแผ่นทองคำหนักสองแสนหนึ่งหมื่น (๒๕๒ กิโลกรัม)

พญาสามประหญาฝั่งแกน (พ.ศ.๑๙๔๕-๑๙๘๔) เป็นโอรสของพญาแสนเมืองมา ขึ้นครองราชย์ในขณะที่พระชนมายุเพียง ๑๓ พรรษา การขึ้นครองราชย์ได้รับ การสนับสนุนจากอา ภายหลังพระองค์ปูนบำเหน็จให้ โดยแต่งตั้งให้เป็นเจ้าสี่หมื่นครองเมืองพะเยา ท้าวยี่กุมกาม เจ้าเมืองเชียงรายซึ่งเป็นพระเชษฐาของพญาสามประหญาฝั่งแกนไม่พอใจที่ไม่ได้ครองราชย์ จึงขอกองทัพจากสุโขทัยไปช่วยรบแย่งชิงเมืองเชียงใหม่ ผลท้าวยี่กุมกามพ่ายแพ้หนีไปพึ่งเจ้าเมืองสุโขทัย สงครามล้านนา - จีน หลังจากเสร็จศึกกับสุโขทัยแล้ว พญาสามประหญาฝั่งแกนก็ผจญกับการรุกรานจากฮ่อ สาเหตุที่ฮ่อยกมาตี ล้านนา เพราะว่าล้านนาไม่ส่งส่วยให้ นับตั้งแต่สมัยพญากือนาแล้ว ในพ.ศ. ๑๙๔๗ - ๑๙๔๘ พญาสามประหญาฝั่งแกนทำ สงครามกับฮ่อ ซึ่งส่งกองทัพมาล้อมเมืองเชียงแสน สงครามครั้งนี้ พญาสามประหญาฝั่งแกนเกณฑ์ทัพจาก เชียงใหม่ เชียงแสน ฝาง เชียงราย เชียงของ และพะเยา นับเป็นสงครามครั้งใหญ่ กองทัพฮ่อเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ถูกกองทัพล้านนาติดตามขับไล่จนสุดดินแดนสิบสองปันนา และยังได้ตั้งเมืองยอง เป็นเมืองขึ้นตรงต่อเชียงใหม่ ให้เป็นเมืองหน้าด่านตอนบนเพื่อต่อต้านฮ่อ ในต้นรัชสมัยจึงมีสงครามทั้งจากด้านใต้และด้านเหนือ แต่หลังจากยุติสงครามกับฮ่อ บ้านเมืองก็มีความสงบสุข ตลอดมา

พระเจ้าติโลกราช (พ.ศ.๑๙๘๔-๒๐๓๐) พระเจ้าติโลกราช เดิมชื่อ ท้าวลก เป็นโอรสอันดับที่ ๖ ในจำนวน ๑๐ องค์ของพญาประหญาฝั่งแกน ได้รับแต่งตั้งครองเมืองพร้าว ต่อมาท้าวลกกระทำผิดอาชญาจึงถูกลงโทษไปอยู่เมืองยวมใต้ (แม่สะเรียง) ใน พ.ศ.๑๙๘๔ ท้าวลกกระทำการแย่งชิงราชสมบัติภายใต้ความช่วยเหลือของนายสามเด็กย้อย ขุนนางในเมืองเชียงใหม่ พญาสามประหญาฝั่งแกนยอดกระทำพิธีมอบเมืองให้ท้าวลก การแย่งชิงราชสมบัติ ของพระเจ้าติโลกราชได้รับการต่อต้านจากท้าวช้อยพระอนุชา ซึ่งครองเมืองฝาง ท้าวช้อยแข็งเมือง พระเจ้าติโลกราชส่งกองทัพไปปราบสำเร็จ ท้าวช้อยได้ชักให้สมเด็จพระบรมราชาที่ ๒ กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ยกทัพมาตีเชียงใหม่ในปี พ.ศ.๑๙๘๕ แต่ก็ต้องแตกพ่ายกลับไป หลังจากขับไล่กองทัพอยุธยาไปแล้ว พระเจ้าติโลกราชทรงสร้างความมั่นคงภายในอาณาจักรล้านนา โดยใช้ เวลาประมาณ ๑๐ ปี อาณาจักรล้านนาก็มีความเข็มแข็ง ดังจะเห็นได้ว่าพระเจ้าติโลกราชสามารถยึดเมืองน่าน เมืองแพร่ สำเร็จ เมื่อพระเจ้าติโลกราชสร้างความเข้มแข็งภายในอาณาจักรแล้ว จึงขยายอำนาจลงทางใต้ ทรงทำสงครามกับอยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถติดต่อกันประมาณ ๒๔ ปี
สงคราม ล้านนา - สยาม
สงคราม 24 ปี เริ่มต้นมีลำดับดังนี้
พ.ศ.๑๙๙๔ พิษณุโลกสวามิภักดิ์ พระยายุทธิษเฐียรเจ้าเมืองพิษณุโลกเข้าสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าติโลกราช และร่วมกันตีปากยม (พิจิตรตอนใต้) ได้
พ.ศ.๒๐๐๓ พระยาเชลียงสวามิภักดิ์ พระยาเชลียงสวามิภักดิ์กับล้านนา ในปีต่อมาพระยาเชลียงนำพระเจ้าติโลกราชมาตีเมืองพิษณุโลกและเมืองกำแพงเพชร แต่ไม่สำเร็จ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงแก้ไขการขยายอำนาจของพระเจ้าติโลกราช โดยเสด็จขึ้นมาครอง เมืองพิษณุโลก
พ.ศ.๒๐๐๖ กษัตริย์อยุธยาใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายเมืองเชียงใหม่ กองทัพล้านนาได้เปรียบกองทัพอยุธยาพระบรมไตรโลกนาถออกผนวช (พ.ศ.๒๐๐๘) เพื่อขอบิณฑบาตรเมืองเชลียง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงใช้ไสยศาสตร์โดยส่ง "ชีม่าน" มาทำลายต้นนิโครธ ซึ่งเป็นศรีเมืองอยู่ที่แจ่งศรีภูมิ พร้อมกับกราบทูลให้ พระเจ้าติโลกราชสร้างวังขึ้นที่นั่น เพื่อเป็นการสร้างความอ่อนแอภายในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งผู้คนในสมัยนั้น มีความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์มาก หลังจากสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถครองเมืองพิษณุโลกแกล้ว ก็ทรงยับยั้งกองทัพล้านนาได้ใน
พ.ศ.๒๐๑๘ ยุติสงคราม สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถยึดเมืองเชลียงคืนมาได้ อยุธยาและล้านนายุติสงครามต่อกัน

ลาวเข้าสวามิภักดิ์ล้านนา พระเจ้าติโลกราช ได้ปกป้องล้านช้าง (หลวงพระบาง) ให้รอดพ้นจากการคุกคามของไดเวียด ไดเวียดทำสงครามขยายอิทธิพล รุกรานหลวงพระบาง พ.ศ.๒๐๒๓ จนหลวงพระบางเสียแก่ไดเวียด กษัตริย์ลาวสิ้นพระชนม์พร้อมกับโอรสอีก ๒ พระองค์ โอรสองค์สุดท้ายคือพระยาซายขาว ได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าติโลกราชจนปลอดภัย จักรพรรดิเลทันห์ตองพิโรธยกทัพมาโจมตีล้านนา โดยยกจากหลวงพระบางมาทางเมืองน่าน กองทัพล้านนา ตอบโต้จนฝ่ายไดเวียดเสียหายยับเยินพ่ายแพ้กลับไป ชัยชนะครั้งนี้พระยาซายขาวกษัตริย์ลาวพระองค์ใหม่มา สวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าติโลกราช และราชสำนักจีนพระราชทานรางวัลและเกียรติยศให้

ปกครองไทยใหญ่ อิทธิพลของพระเจ้าติโลกราช จึงแผ่ไปอย่างกว้างขวาง ด้านตะวันตกยังขยายออกไปถึงรัฐชาน (ฉาน) ได้เมืองไลคา เมืองนาย เมืองสีป้อ เมืองยองห้วย เป็นต้น พระเจ้าติโลกราชได้กวาดครัวเงี้ยวเข้ามาไว้ในบ้านเมืองล้านนาถึง ๑๒,๓๒๘ คน ด้านเหนือตีได้เมืองเชียงรุ่ง เมืองยอง ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวถึง การกวาดต้อนชาวลื้อบ้านปุง เมืองยอง มาไว้ที่ลำพูน

สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลก
พุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าติโลกราชในสมัยพระเจ้าติโลกราช พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองยิ่ง พระองค์ทรงเลื่อมใสและทำนุบำรุงพระพุทธ ศาสนา ทรงสนับสนุนคณะสงฆ์นิกายสีหล โดยพระองค์อาราธนาพระมหาเมธังกร พระภิกษุนิกายสีหลจาก เมืองลำพูนมาจำพรรษาที่วัดราชมณเฑียร และทรงสถาปนาให้พระมหาเมธังกรเป็นพระมหาสวามี และพระองค์ ทรงผนวชชั่วคราว ณ วัดป่าแดงมหาวิหารอีกด้วย การสนับสนุนคณะสงฆ์นิกายสีหลทำให้พุทธศาสนาลังกาวงศ์ ใหม่เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เป็นที่เลื่อมใสของผู้คน และมีพระภิกษุบวชใหม่ในนิกายสีหลเพิ่มขึ้น นิกายสีหลเน้น การศึกษาภาษาบาลี และการปฏิบัติพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง ทำให้การศึกษาเล่าเรียนด้านปริยัติธรรมเจริญ ก้าวหน้าอย่างสูง และจากความขัดแย้งระหว่างนิกายสีหลและนิกายรามัญ คณะสงฆ์นิกายรามัญก็พยายามศึกษา ปริยัติธรรมเช่นเดียวกัน ส่วนพระเจ้าติโลกราชก็ทรงส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียนทางปริยัติธรรม ทรงยกย่องพระ ภิกษุที่มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก พระภิกษุในสมัยพระเจ้าติโลกราชจึงมีความรู้สูง ที่มีชื่อเสียงเช่น พระธรรมทิน พระญาณกิตติเถระ พระสิริมังคลาจารย์ การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลก จากการที่พระภิกษุล้านนามีความเชี่ยวชาญในภาษาบาลี และพระไตรปิฎกอย่างสูง และการศึกษาปริยัติธรรม อย่างละเอียดลึกซึ้ง จึงเกิดการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นในปี พ.ศ.๒๐๒๐ ที่วัดมหาโพธาราม (วัดเจ็ดยอด) ใช้เวลา ๑ ปีจึงสำเร็จ ซึ่งนับเป็นสังคายนาครั้งที่ ๘ ของโลก พระไตรปิฎกฉบับที่ชำระในสมัยพระเจ้าติโลกราช

เอื้อเฟื้อข้อมูลโดยหนังสือประวัติศาสตร์ล้านนาไทย