ประเพณีปอยหลวง
ปอยหลวงเป็นประเพณีเฉลิมฉลองเสนาสนะที่สร้างขึ้นในวัด
เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ กำแพงวัดหรือ กุฏิ เป็นต้น (ทั้งนี้ มีกำหนดขึ้นมาภายหลังด้วยว่า
การจะมีปอยหลวงได้นั้น ของที่จะถวายควรจะมีราคาตั้งแต่หนึ่งแสนบาทขึ้นไป
ถ้าราคาต่ำกว่านั้นก็อนุญาตให้เพียงทำบุญถวายเท่านั้น) เพื่อถวายทานให้เป็นสมบัติในพระศาสนาต่อไป
การที่เรียกว่า ปอยหลวง
เพราะเป็นงานใหญ่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลเป็นจำนวนมาก มีกิจกรรมต่าง
ๆ ทั้งทางศาสนาและด้านมหรสพเพื่อความบันเทิง ทั้งยังต้องจัดการอำนวยความสะดวกด้านบริการแก่แขกต่างหมู่บ้านซึ่งจะมีทั้งสมณะและฆราวาสทุกเพศทุกวัย
ทางวัดและศรัทธาเจ้าภาพต้องดูแลให้ทั่วถึง
ในการเตรียมงานอันดับแรกต้องมีการประชุมปรึกษาหารือระหว่างทางวัดและคณะกรรมการหมู่บ้านฝ่ายต่าง
ๆ เพื่อแบ่งสรรหน้าที่กัน นับตั้งแต่เรื่องการพิมพ์ฎีกาแผ่กุศล งานส่วนใหญ่จะจัดเป็นหมวดหรือกลุ่มเพื่อให้ดำเนินการได้โดยสะดวก
เช่น กลุ่มพ่อบ้านมีหน้าที่ทางด้านจัดสถานที่ ติดต่อประสานงานกับชุมชนอื่น
กลุ่มแม่บ้านมีหน้าที่ด้านอาหารการกินที่จะใช้เลี้ยงพระสงฆ์ตลอดจนแขกเหรื่อที่จะมาร่วมงานในแต่ละวัน
กลุ่มหนุ่มสาวอาจมีหน้าที่บริการยกข้าวน้ำมาเลี้ยงแขก และอาจรวมถึงการติดต่อมหรสพที่จะมาเล่นในงานครั้งนั้น
ฝ่ายกลุ่มผู้เฒ่าชายส่วนใหญ่ก็จะได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ด้านศาสนพิธีและการต้อนรับแขกเหรื่อที่จะมาทำบุญร่วมกัน
และกลุ่มผู้เฒ่าหญิงก็มีหน้าที่แต่งดาเครื่องไทยทาน ของใช้ที่จะใช้ในพิธีทางศาสนา
สำหรับหญิงสาวจะได้รับการฝึกหัดให้เป็นช่างฟ้อนเพื่อฟ้อนรับครัวทานหรือไทยทานที่จะแห่เข้าสู่วัดในวันงาน
เมื่อแบ่งหน้าที่กันแล้วต่างฝ่ายก็จะไปจัดเตรียมวางแผนดำเนินงานในฝ่ายของตนตามที่ได้รับมอบหมาย
แต่ละฝ่ายจะมีการประสานงานกันตลอดเวลา ส่วนแต่ละครอบครัวก็จะเตรียมตัวก็เตรียมเครื่องปัจจัยไทยทาน
แต่งดา ต้นครัวทาน ซึ่งอาจทำเป็นการภายในครอบครัวหรือจัดทำร่วมกันเป็นกลุ่มก็ได้
เตรียมการต้อนรับญาติพี่น้องต่างบ้าน ซึ่งมักจะมานอนแรมเพื่อแอ่วปอยหลวงโดยเฉพาะ
ทางด้านอาหารการกินบางบ้านถึงกับต้องซื้อหมูหรือวัวเป็นตัวเพื่อล้มมา"เลี้ยงดู"แขกญาติพี่น้อง
ตลอดจนจัดหาที่นอนหมอนมุ้งเตรียมไว้ตามจำนวนคนที่คาดว่าจะมาเที่ยวงาน สิ่งสำคัญที่ทุกครอบครัวจะไม่ลืมคือ
การจัดหาเสื้อใหม่ผ้าใหม่สำหรับทุกคนในครอบครัวที่จะใส่ไปเที่ยวงาน โดยเฉพาะเด็กและหนุ่มสาวจะคึกคักเป็นพิเศษ
ดังนั้นตลาดในช่วงก่อนวันงานจะคึกคักไปด้วยผู้คนจับจ่ายสิ่งของตามความประสงค์ของตน
ก่อนที่จะมีงานพอยหลวงนั้น
จะมีการทานตุง และช่อ (ธงสามเหลี่ยม) เสียก่อนตุงนี้จะเป็นผืนผ้าที่ ถักทอด้วยด้ายซึ่งอาจมีการประดับด้วยดิ้นสีเงิน
สีทอง หรือสีอื่นๆ ที่สวยงาม บางผืนอาจทอเป็นรูป ปีนักษัตรที่ตนเกิด ความยาวของตุงประมาณ
๓-๔ วา และมีความกว้างประมาณ ๑ ใน ๑๖ ของความยาว ทุงนี้จะนำตุงไปปักเรียงรายกันไว้ตามถนนหนทางเข้าหมู่บ้าน
ส่วนช่อหรือธงสามเหลี่ยมซึ่งหากใช้เป็นการชั่วคราวก็จะตัดด้วยกระดาษ มีความยาวขนาดประมาณ
๑ ศอก กว้างประมาณ ๑ คืบ ก็ถวายทานพร้อมกับการตุง การถวายทานจะทำกันในพระวิหาร
พร้อมกับการตักบาตรทำบุญโดยปกติในวันสีล หรือวันธรรมสวนะ ก่อนที่จะถึงวันงานปอยหลวง
ดังนั้นที่เรียงรายสลับกันอย่างสวยงามสองข้างทางจะเป็นสัญลักษณ์ให้คนที่สัญจรผ่านไปมาได้ทราบว่าวัดแห่งนั้นกำลังจะมี
ปอยหลวง นอกจากจะมีการทานตุงผ้าแล้ว ทางวัดอาจจะจัดทำธงชาติและธงธรรมจักรอันเป็นสัญลักษณ์ของชาติและพระ
พุทธศานา ปักตลอดแนวตามบริเวณหน้าวัด หรือทางเข้าวัดทุกด้าน
สิ่งพิเศษที่จะต้องจัดเตรียมก่อนที่จะมีงานปอยหลวงตามความเชื่อในโบราณประเพณี
เมื่อจะมีงานพิธีต้องมีศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองให้งานดำเนินไปโดยราบรื่นไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคใด
ๆ ให้เดือดร้อน จึงมีการอัญเชิญพระอุปคุตมาคุ้มครองงาน พระอุปคุตนี้ได้ชื่อว่าเป็นอรหันต์ที่อาศัยอยู่ในสะดือทะเลเป็นผู้ที่สามารถปราบพระยามารที่อาจมาทำลายพิธีทำบุญนี้ได้
ในการอัญเชิญอุปคุตนนั้น ชาวบ้านนำขบวนแห่ไปอัญเชิญพระอุปคุตไปที่แม่น้ำแล้ว
ให้ตัวแทนลงไปงมก้อนหินขึ้นมาแล้วถามคนที่รอบนฝั่งว่า"ใช่หรือไม่" เมื่อคนบนฝั่งบอกว่าไม่ใช่ก็งมหาต่อไปอีกสองสามครั้ง
จนคนบนฝั่งบอกว่าใช่แล้ว ก็เชิญก้อนหินที่สมมุติว่าเป็นอุปคุตไปใส่พานที่เตรียมมาด้วย
จากนั้นก็พากันแห่เพื่อนำไปไว้บนหออุปคุตที่สร้างคล้ายศาลเพียงตา หลังคามุงด้วยผ้าขาวซึ่งจะตั้งไว้ที่ข้างวิหาร
บาตร กรวยดอกไม้ ธูป เทียน คนโทน้ำและสำรับอาหาร ๑ สำรับ และประตูรั้วปักสัปทนแทนร่มกันแดดกันฝน
และจะต้องถวายสำรับอาหารทั้งมื้อเช้า และเพล เมื่อเสร็จงานปอยหลวงแล้วก็จะมีพิธีอัญเชิญอุปคุตกลับไปสู่แม่น้ำที่นำมานั้น
สิ่งสำคัญที่อาจถือเป็นหัวใจของปอยหลวงคือต้นครัวทาน
ซึ่งชาวบ้านที่จัดงานและชาวบ้านจากต่างหมู่บ้านจะนำมาถวายทานกันแทบทุกครอบครัว
บรรยากาศที่สนุกสนานครึกครื้นที่สุดของงานคือช่วงที่มีการแห่ต้นครัวทานไปถวายวัด
ในช่วงบ่ายหรือเย็นจะมีการตีกลองฆ้อง และฟ้อนที่นิยมคือฟ้อนเล็บส่วนฟ้อนอย่างอื่น
เช่น ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนดาบ ช่างฟ้อนจะฟ้อนในบริเวณที่มีคนมุงดูครัวทานอย่างหนาแน่น
อย่างบริเวณประตูวัดก่อนที่เคลื่อนจะเข้าไปในวัดหรือลานวัด ระหว่างที่แห่ต้นครัวทาน
ศรัทธาเจ้าภาพอาจหงบ่านาว คือโปรยทาน(ใช้เงินเหรียญฝังไว้ในลูกมะนาว) ไปด้วยต้นครัวทานนี้อาจทำได้หลายรูปแบบตามแต่ความคิดสร้างสรรค์แต่ละคนจะคิดขึ้นมา
ถ้าต้นครัวทานของใครสวยงามก็จะเป็นที่ชื่นชมของบรรดาแขกเหรื่อตลอดจนบุคคลที่จะมายืนชมกันอย่างคับคั่ง
ต้นครัวทานคือจะต้องมียอด หรือเงินธนบัตรจำนวนต่าง ๆ ที่ใช้ไม้ตับหนีบไว้และเสียบที่ต้นเป็นช่อชั้นอย่างสวยงามนั้น
บรรยากาศในงานปอยหลวงนั้นจะคึกคักเต็มไปด้วยผู้คน
ทั้งคนแก่ หนุ่มสาว เด็กเล็ก พ่อค้าแม่ค้า ศรัทธาญาติโยม ตลอดจนพระสงฆ์องคเจ้าที่มาร่วมงานตามคำเชิญของวัดเจ้าภาพ
พระภิกษุที่ได้รับอารธนานิมนต์มาเป็นพิเศษเพื่อเป็นเจ้านั้น จะเป็นผู้ที่มีน้ำเสียงในการให้พรไพเราะมีโวหารที่สละสลวยเพราะจะต้องให้พรแก่ศรัทธาที่นำต้นครัวทานมาถวายทาน
เจ้าพรอาจจะพรรณนาถึงความงดงามของต้นครัวทานนั้น ๆ เพื่อให้ผู้ที่นำครัวทานมาถวายทานเกิดความปลาบปลื้มใจ
ผู้ที่เสร็จภารกิจทางด้านศาสนาแล้วก็จะไปนั่งชมมหรสพต่าง ๆ
ในเวลาประมาณ ๓-๕ วันที่จัดงานพอยหลวงนั้น
ทางวัดเจ้าภาพจะจัดอาหารเลี้ยงคนที่มาร่วมงานทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น
ชนิดกับข้าวที่นิยมทำเลี้ยงกัน เช่น ยำหนัง แกงหยวกกล้วยเป็นต้น ขนมที่นำมาเลี้ยง
ขนมศิลาอ่อน ขนมปาด ขนมเปียกปูนโรยมะพร้าว
สำหรับสถานที่เลี้ยงอาหารนั้นเป็นปะรำที่ต่อขึ้นง่าย
ๆ หลังคาทำเป็นถึมหรือแผงไม้ไผ่สานประกบใบตองทึง หรือกระดาษ ปะรำนี้ปกติใช้เป็นกองอำนวยการหรือศูนย์ประชาสัมพันธ์ซึ่งตั้งเครื่องกระจายเสียงและเป็นที่รับบริจาคกรณีพิเศษอื่น
ๆ ด้วยบนพื้นซึ่งใช้ตั้งขันโตกอาหารจะปูด้วยฟางก่อนที่อาหารจะปูเสื่อทับอีกทีหนึ่ง
แขกเหรื่อที่มาในงานจะนั่งตกวง คือล้อมวงกินอาหารแล้วดื่มน้ำที่น้ำต้นหรือคนโทที่ตั้งไว้เป็นจุด
ๆ หรืออาจดื่มที่หิ้งน้ำที่จัดตั้งไว้ตามบริเวณงานก็ได้
เมื่องานเฉลิมฉลองเสร็จสิ้นลงตามที่กำหนดไว้แล้ว
วันสุดท้ายหลังวันฉลองก็จะมีพิธีถวายทานศาสนวัตถุหรือศาสนสถานที่ร่วมมือกันและมีเจตนาจะถวายทาน
โดยในช่วงเช้าจะมีการทำบุญใส่บาตรแล้วปู่อาจารย์ก็กล่าวเวนทาน พระสงฆ์อนุโมทนาแล้วก็เป็นเสร็จพิธี