วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร หรือ "โชติการาม"
วัดเจดีย์หลวง เป็นวัดที่มีเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด เชียงใหม่ ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง วัดนี้สร้างขึ้นในรัชกาล ของพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์ เม็งราย พระองค์โปรดฯ ให้ช่างสร้างเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ สูงถึง 88 เมตร ฐานกว้างด้านละ 54 เมตร แล้วเสร็จ เมื่อปี พ.ศ. 1954 ต่อมาในสมัยพระนางจิระประภา ครองเมืองเชียงใหม่ ได้เกิดแผ่นดินไหวทำให้ยอด เจดีย์หักโค่นลง เมื่อปี 2008 วิหารด้านหน้าของวัดนี้ เจ้าคุณอุบาลี คุณปรมาจารย์ (สิริจันทะเถระ) และ เจ้าแก้วนวรัฐ เป็นผู้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2471 หน้าประตูทางเข้าวิหาร มีบันไดนาคเลื้อยลงมางดงามยิ่ง ใช้หางเกี่ยวกระหวัดขึ้นไปเป็นซุ้มประตูวิหาร นาคคู่นี้ เป็นฝีมือเก่าแก่มากที่มีตั้งแต่เดิม ได้ชื่อว่าเป็นนาคที่ สวยที่สุดของภาคเหนือ


หน้าประตูทางเข้าวิหาร มีบันไดนาคเลื้อยลงมางดงามยิ่ง ใช้หางเกี่ยวกระหวัดขึ้นไปเป็นซุ้มประตูวิหารมหาเจดีย์หลวง

มหาเจดีย์หลวง เป็นมหาเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่ของ เมืองเชียงใหม่ เป็นเจดีย์รูปทรงปราสาท โดยอาศัย องค์ประกอบของเจดีย์ทรงระฆังมาผสม แสดงให้เห็น ถึงช่วงปรับเปลี่ยนของรูปแบบเจดีย์รูปทรงปราสาท ในพุทธศตวรรษที่ 21 เป็นวิวัฒนาการของศิลปะล้านนา สะท้อนทัศนคติที่ยึดมั่นตามประเพณีชาวล้านนาอย่าง ชัดเจน เช่น การนำองค์ประกอบของเจดีย์ทรงระฆัง ที่นิยมในยุคเดียวกัน มาไว้เหนือเรือนธาตุสี่เหลี่ยมของ เจดีย์รูปทรงปราสาท


มหาเจดีย์หลวงในมุมด้านทิศเหนือ

มหาเจดีย์หลวง สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้า แสนเมือง (พ.ศ. 1928-1944) กษัตริย์แห่งนพบุรี ศรีนครพิงค์เชียงใหม่เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พระเจ้ากือนา พระราชบิดา ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ต่อมาได้ สร้างเพิ่มเติมให้เป็นมหาเจดีย์สูงใหญ่เสียดฟ้า สูงใหญ่ พอที่จะให้คนที่อยู่ไกลสองพันวาสามารถมองเห็นได้ แต่พระเจ้าแสนเมืองมาเสด็จสวรรคตเสียก่อน พระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวีผู้เป็นมเหสีได้สืบทอด เจตนารมย์สร้างต่อ จนเสร็จในรัชสมัยพระเจ้าสาม ฝั่งแกน ใช้เวลาสร้าง 5 ปี


เสาอินทขีล หรือเสาหลักเมืองที่อยู่ในมณฑปเยื้องหน้าพระวิหาร มีพญากุมภัณฑ์ 2 ตน ผู้คอยรักษาเสาอินทขีล อยู่ข้างหน้าด้านเหนือและใต้ของพระวิหาร ด้านทิศใต้มณฑปมีต้นยางใหญ่ สูงไม่ต่ำกว่า 40 เมตร ความยาวรอบ ๆ ต้น ประมาณ 10 เมตร กล่าวกันว่าปลูกในสมัยพระเจ้ากาวิละ (พ.ศ. 2324-2358)

มหาเจดีย์หลวงที่พระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวี ทรงก่อสร้างนั้น ประดับด้วยโขงประตูทั้งสี่ด้าน มี พระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่งในโขงทั้งสี่ด้าน มีรูป พญานาคปั้นเต็มตัวและหัวห้าหัว รูปปั้นราชสีห์สี่ตัว ตั้งอยู่ตรงสี่มุมของมหาเจดีย์ กล่าวกันว่า รอบ ๆ ฐานพระมหาเจดีย์หลวงนี้ แต่เดิมมีรูปปั้นพญาช้าง 8 เชือก มีชื่อต่าง ๆ กัน คือ เมฆบังวัน ข่มพลเสน ดาบแสนค้ำ หอกแสนคัน กลอนแสนแหล้ง หน้าไม้ แสนเกียง แสนเขื่อนค้าน และไฟแสนเตา ยามใดมี ข้าศึกมาถึงเมือง เจ้าเมืองและเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ก็จะเขียนชื่อพญาช้างทั้ง 8 เชือกนี้ และพญาช้างเผือกอีก 2 เชือก ที่ประตูหัวเวียง คือ พญาช้างปราบจักรวาล และพญาช้างปราบเมืองมารเมืองยักษ์ พร้อมกับพญา ราชสีห์สองตัวที่อยู่หัวเวียงใส่วอไปบูชาที่ประตูเมือง แจ่งเมือง และที่กลางเมืองทุกแห่ง เชื่อว่าจะสามารถ ป้องกันข้าศึกได้


พระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่งในโขงทั้งสี่ด้านของมหาเจดีย์หลวง

มีการปฏิสังขรณ์ ในสมัยพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. 1985-2030) ในสมัยพระเจ้ายอดเชียงรายได้ปิดทอง ภายในซุ้มจรนัมของเจดีย์หลวงทั้งสี่ด้าน ในสมัย พระเจ้าเมืองแก้ว ได้สร้างหอพระแก้วและอัญเชิญ พระแก้วมรกตมาประดิษฐานอยู่ที่ซุ้มจระนำ ด้านทิศ ตะวันออกของเจดีย์หลวงนี้ถึง 79 ปี อีก 1 ปี ประดิษฐานอยู่ในวิหารหลวง สร้างมหาวิหารหลวง แล้วอัญเชิญพระอัฏฐารสมาเป็นพระพุทธปฏิมาประธาน เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมริดปางห้ามญาติสูง 18 ศอก พร้อมทั้งพระอัครสาวกโมคคัลลาน์ สารีบุตร ซึ่งหล่อขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1954 โดยพระนางติโลกจุฑาฯ ทรงซ่อมแซมทองจังโกและปิดทององค์มหาเจดีย์


มหาเจดีย์หลวงในมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

ในสมัยพระนางจิรประภา รัชกาลที่ 15 แห่ง ราชวงศ์เม็งราย เกิดพายุฝนตกหนัก แผ่นดินไหว พระมหาเจดีย์หลวงได้พังทลายลงมาเหลือเพียงครึ่งองค์ จากนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไปนานกว่า 4 ศตวรรษ พระมหาเจดีย์หลวงที่เห็นปัจจุบันกรมศิลปกรเพิ่งจะ บูรณะปฏิสังขรณ์เสร็จไปเมื่อ พ.ศ. 2535 นี่เอง
Chiang Mai City Tourist Map

Information
: Tourism Authority of Thailand Tourist Service Center
: Hotel & Resorts in Chiang Mai