โครงการแปลวรรณกรรมไทยกัมพูชา
สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยและสมาคมนักแปลแห่งประเทศไทย ร่วมมือกับสำนักศิลปกรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม จัดโครงการแปลวรรณกรรมไทยกัมพูชา โดยจัดแปลวรรณกรรมไทย-กัมพูชาเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ผลงานของนักเขียนและกวีไทยกัมพูชา
เรื่องสั้น
1.
โลกใบเล็กของซัลมาน โดย กนกพงศ์ สงสมพันธ์
2.
ผ้าทอลายหางกระรอก โดย จำลอง ฝั่งชลจิตร
3.
มีดประจำตัว โดย ชาติ กอบจิตติ
4.
สินน้ำใจ โดย ประชาคม ลุนาชัย
5.
แล้วหญ้าแพรกก็แหลกลาญ โดย อัศศิริ ธรรมโชติ
1.
หญ้าไม้กวาด โดย กานติ ณ ศรัทธา
2.
นครเมฆา โดย โชคชัย บัณฑิต
3.
เมธีแห่งท้องทุ่ง โดย ไพวรินทร์ ขาวงาม
4.
แขนของคำ โดย เรืองเดช จันทรคีรี
5.
พระ โดย ละไมมาด คำฉวี
1.
20 YEARS OF WAITING FOR LOVE BY MR.
YOU BO
2.
WHO AM I BY
MISS POL PISEY
3.
THE QUEEN OF THE TRASH MOUTAIN BY MR.
VAR SAMATH
4.
THE WOOD SAY GOOD-BYE TO THE
BY MR.
SOU CHAMROEUN
5.
WE ARE THE WINNERS BY MR. VEN SON
1.
CAMBODIA-THAI LITERATURE BY PROFESSOR YIV SENGVANSAY
2.
TONGUE , THE DESIRE OF HEARTS BY MISS POL PISEY
3.
TIME TO CALL FOR MY MOTHER BY MR. VAR SAMART
4.
NATURAL AND CULTURAL TREASURES BY MR.
SOU CHAMROEUN
5.
BRAHMA BY MR. VEN SON
เรืองเดช จันทรคีรี
ควันสีเทาถูกปล่อยออกจากปล่อง
หวูดโรงงานกังวานก้องเร่งร้องสั่ง
คนงานพาร่างผอมใกล้ผุพัง
เดินไปยังประตูใหญ่เหมือนปากยักษ์
กากอาหารจานหนึ่งในตอนเช้า
รีดเป็นแรงระดมเข้าเครื่องจักร
ลูกสูบดันคันชักเดินดังชึกชัก
เกร็งกล้ามเนื้อเหงื่อทะลัก-หนักและนาน
คนเหล่านี้มีคำอยู่คำหนึ่ง
หญิงสาวซึ่งซมซานจากอีสาน
ทิ้งนาเช่าเข้ากรุงเทพฯเที่ยวหางาน
ทำด้วยการทุ่มแรงกายขายแรงกิน
คำจึงคือเครื่องจักรกลสองแรงแขน
ถูกลากแล่นต่อลมไปไม่หมดสิ้น
ทุกข์ร้อนหนาวผ่าวพิษไข้คำเคยชิน
เข็นชีวิตแหว่งวิ่นข้ามคืนวัน
วันหนึ่งคำขณะที่นั่งทอผ้า
เกิดหน้ามืดตามัวมือไม้สั่น
สะดุ้งวูบตะครุบด้ายสายพานพัน
พอเสียงสั่นขาดลงก็แหลกลาญ
เลือดกระเซ็นเปื้อนเส้นด้ายจนแดงคล้ำ
จากมือที่เคยทำเคยไถหว่าน
จากมือที่ทอผ้าพรรณตระการ
มือแห่งงานวันนี้ถูกตัดไป
แขนของคำเหลือแค่ข้อศอกสั้น
แขนของคำของนั้นอยู่ที่ไหน
แขนที่ขาดของเธออยู่ที่ใคร
เสื้อสีสวยที่คุณใส่สิแขนคำ.
-00000- Top
ละไมมาด คำฉวี
ซื้อพระส่องพระไม่เห็นพระ
เห็นแต่ดิน,
โลหะ เป็นรูปร่าง
บอดด้วยทิพย์แห่งธรรมถูกอำพราง
หวังแต่รูปที่จะสร้างอิทธิฤทธิ์
ให้เมตตา,
ปาฏิหาริย์ ให้คนรัก
ให้หนังเหนียว, มีดหัก, ยิงผิด
ดีชั่วอยู่กับตัวต่างไม่คิด
ยกดินทรายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นบูชา.
-00000- Top
ไพวรินทร์ ขาวงาม
ฟังผู้เฒ่าเล่าถึงแต่ท้องทุ่ง
ครั้งเคยรุ่งพรรณราย
รายรวงข้าว
อร่ามเหลืองเรืองรวงเคยหน่วงราว
จะจูบด้าวคารวะธรณิน
ว่าจบจากโรงเรียนแห่งทุ่งกว้าง
เคยจดทิศจำทางได้ทั้งสิ้น
เคยท่องลมทวนน้ำระรื่นริน
เคยอ่านฟ้าเขียนดินด้วยยินดี
ด้วยสอบผ่านวิชาแห่งทุ่งข้าว
จึงรู้จักเรื่องราวแห่งท้องที่
แม้ต่ำต้อยๅก็ยิ่งใหญ่เมื่อได้พลี
โลกทัศน์เมธีแห่งทุ่งไกล
แต่โลกนี้เมธีก็มีทุกข์
เมื่อหิวโหยโอยอุกกระอักไข้
ขาดที่พึ่งธรรมชาติก็ขาดใจ
ขาดศรัทธาเพื่อนไทยก็ขาดธรรม
โอ้เรืองรัดพัฒนาท้าสวรรค์
ระเริงชั้นเทพสนุกทุกเช้าค่ำ
แต่ทิ้งชั้นชาวมนุษย์ผู้ตรากตรำ
ให้ใจขุ่นหน้าคล้ำลำเค็ญคาว
ฟังผู้เฒ่าเมธีแห่งท้องทุ่ง
เล่านิทานโค้งรุ้งและทุ่งข้าว
ว่ารุ้งเพชรเจ็ดสีมณีพราว
ต้องแหลกร้าวพร้อมรวงที่ร่วงโรย
ว่ารวงข้าวรอรุ้งเฉาทุ่งร้าง
ยิ่งรอยิ่งอ้างว้างร้างระโหย
ว่าแส้หิวหวดโหดให้โอดโอย
ว่าทุกข์โบยบีฑาทั้งตาปี
ผู้เฒ่าว่า โค้งเคียวไม่เกี่ยวข้าว
โค้งรุ้งไม่พุ่งราวรัศมี
เมื่อทุ่งนาไม่อุดมด้วยข้าวดี
ทุ่งใจจึงมีทุกข์อุดม
วันนี้เมธีแห่งท้องทุ่ง
มิอาจรอโค้งรุ้งเพราะขื่นขม
อำลาโค้งเคียวสนิมที่กร่อนคม
มาโง่งมในเมืองใหญ่ ใกล้กะลา
-00000- Top
กานติ ณ ศรัทธา
กอหญ้าไม้กวาดไกววาดลม
น้อมก้มคารวะแก่ขุนเขา
คารวะน้ำไหลในลำเนา
และก้อนหินแก่เก่านับล้านปี
เธอยืนอยู่ยืนยันแม้วันเศร้า
เธอยืนอยู่หงอยเหงาฤาที่นี่
ท่ามกลางลมพริ้วไหวร่ายบทกวี
ท่ามใบไม้หลากสีเขียนชีวิต
และนั่นไงแมงปอก็บินมา
เล่านิทานทุ่งหญ้าเจิดจ้าวิจิตร
นั่นสายน้ำเซาะไหลอยู่ใกล้ชิด
สร้างเสียงเพลงศักดิ์สิทธิ์นิมิตมนต์
กอหญ้าไม้กวาด
เธอไหววาดชีวาท้าแดดฝน
ท้าน้ำเชี่ยวบางฤดูสู้โดยตน
สู้เพื่อพ้นทุกข์ยากหรืออย่างไร
หลบแล้ว วันนี้ที่เชิงเขา
ข้าพเจ้านั่งเหงาราวโหยไห้
พบกอหญ้าไม้กวาดก็กวาดใจ
สะอาดชื่นสดใสขึ้นทันที
ต้นหญ้าไม้กวาด
เธอไหววาดราวพู่กันสร้างสรรค์สี
แต่งระบายภาพฝันชั้นกวี
มองเห็นภาพงามนี้ที่หัวใจ
ขณะหินในแม่น้ำยังหนักแน่น
ขณะน้ำยังแล่นระเริงไหล
และขุนเขาผงาดเงื้อมเอื้อมฟ้าไกล
ข้าพเจ้าสลายไปในสายลม
-00000-
Top
โชคชัย บัณฑิต
เขาพระสุเมรุเป็นหลักโลก ดิสนีย์แลนด์อุปโลกน์ดังโตรกผา
ทิ่มกลางห้างสรรพสินค้า ลดชั้นหลั่นมาเมฆาลัย
วานิชธนกรคือสักกะ ทรัพย์คือสรณะแห่งสมัย
ทวยเทพเที่ยวเหาะด้วยเหมาะใจ บันไดช่วยเลื่อนบ้างเคลื่อนลิฟท์
ภูษาผ้าทรงแต่งองค์ไล้ ฟากฟ้าสุราลัยชวนให้จิบ
เหาะเลื่อนเคลื่อนผ่านอาหารทิพย์ ค่อยหยิบสุพรรณบัตรจากหัตถ์มา
มุมโน้นต้นกัลปพฤกษ์ นึกพลางอ้างบัตรจากหัตถา
แจ้งเลขเอกสิทธิ์อิสรา สรรพสิ่งยิ่งค่าก็มาคัล
บัดเดี๋ยวหัสนัยใกล้โสณ๊ เข่นบัณเฑาว์เคาะตีที่เบื้องบั้น
โทรสรรพรับส่งถึงองค์พลัน ให้ภาพสวรรค์พอบันเทิง
คือนรกนกหนูซูเปอร์มาเก็ต กุ้งปูหมูเป็ดระเห็จเถิง
ทั้งผักทั้งเนื้อรอเชื้อเพลิง เยือหนาวราวเพิ่งน้ำเจิ่งภพ
เลือกเสาะเลือกหาภักษาหาร จอมเขาจักรวาลไพศาลระบบ
เปี่ยมทุนหนุนค่าองคพายพ สยบวิถีโลกียวัตร
ออกห้างย่างเท้าเอ๋ยชาวฟ้า กรุงเทพอนาถาประสาสัตว์
รถเมล์-รถเก๋งต่างเร่งรัด ออกไปแออัดยัดโลกันตร์
ตราบพระสุเมรุไม่เอนโยก บริโภคนิยมไม่เคยยั่น
ต่างอยู่ร่วมยุคอยู่ทุกวัน แต่เหมือนต่างกัลป์ต่างชั้นฟ้า
-00000- Top
จำลอง
ฝั่งชลจิตร
มือน้อยน้อยค่อยวาดมาดกระสวย
อีกมือช่วยกระชับด้ายไกวประกบ
คอยประคบคัดเส้นเป็นดอกดวง..*
ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านผู้แต่งกวีบทนี้จะเคยได้มาพบเห็นสองมือของกานดา
ตอนที่สาวน้อยเธอกระตุกกระสวยหรือเปล่า ถึงได้เขียนมันออกมาได้เช่นนั้น
กานดาเด็กสาววัยสิบเก้า ลูกสาวชาวเกาะกลางทะเลสาบ ผิวเนื้อคล้ายสีน้ำผึ้ง คล้ำหวาน ผมยาวเหมือนสาหร่าย เด็กสาวกระตุกกระสวยพุ่งไปตามรางไม้ ดึงเส้นด้ายขวาง เมื่อเธอเหยียบกี่ตึง
เส้นด้ายสีขาวจากกระสวยถึงเหนี่ยวไปอัดเป็นผืนผ้าทีสะเส้น ๆ
เธอกระตุกกระสวยเหล็กหัวท้ายแหลมกลับอีกครั้งแล้วเหยียบกี่อีกที ทำกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น รวดเร็วจนเสียงกี่ดังกึงกัง ๆ ออกไปไกล
สาวน้อยดูรีบร้อนนัก จึงเหยียบกี่กระตุกจนนับไม่ทัน เมื่อดังผสานกับกี่ตัวอื่น ๆ
กว่าสามสิบตัว
เสียงดังเหมือนกับโรงงานทีเดียว
เธอยกมือชื้นเหงื่อเช็ดหน้าผาก
ก่อนเม็ดเหงื่อจะทันไหลเข้าตา
ดึงผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บไว้ขอบสะเอวขึ้นซับซ้ำ พอแห้งสนิทจึงกระตุกกระสวยกราวใหญ่
กานดารีบร้อน เธอมีนัดที่ท้ายเกาะ เลิกทอผ้าต้องแวะไปท่าน้ำท้ายวัด จรูญบอกจะนำเรือพายมารออยู่ที่นั้น
ตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่าจะเข้าไปเที่ยวในทะเลสาบก่อนตะวันตกดิน นึกขึ้นมาเท่านี้เธอก็ยิ้มยินดี เมื่อลมโชยผ่านมา กลิ่นเหงื่ออวลตลบ ปนเปกับกลิ่นหอมของเนื้อแรกสาว
จรูญ คนรักวัยแก่กว่ากันห้าปี เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขชาวเกาะ เพียงแต่อยู่คนละด้าน เกิดและเติบโตท่ามกลางเสียกี่กระตุก กลิ่นหอมของเส้นด้าย
ตาจันพ่อของเขาเป็นช่างทอฝีมือดีที่สุดในหมู่คนทอผ้าด้วยกัน
ด้วยทอผ้ามานานนักตั้งแต่ก่อนสงครามญี่ปุ่น ช่างทอรุ่นนั้นล้มหายตายจากไปก็มาก ที่เหลืออยู่ก็เลิกกันไปบ้าง เพราะเมื่อสิ้นสงครามใหม่ ๆ
ไม่มีใครทอผ้า
เส้นด้ายก็ซื้อยากเย็น
เจ็ดปีหลังสงครามเลิก
ว่างเว้นการทอกันทั้งเกาะ
คุณหญิงภรรยาของคหบดีท่านหนึ่งในตัวจังหวัดกลัวว่าศิลปกรรมพื้นบ้านเกี่ยวกับการถักทอจะสูญหาย จึงมอบกี่ให้เจ็ดกี่พร้อมเงินอีกจำนวนหนึ่งสำหรับซื้อเส้นด้วย
ชาวเกาะพอได้ทำทุนทอผ้าและให้เด็กรุ่นใหม่ฝึกฝนการทอไปด้วย
ถึงกระนั้นบางครอบครัวก็เลิกไปอย่างแน่นอน หันมาซื้ออวน แห
ทำโพงพาง โดยเฉพาะครอบครัวที่อยู่ริมน้ำ บางรายทำสวนละมุด ทุเรียน ส่วนครอบครัวของกานดา พ่อของเธอซื้อเรือเล็กมาลำหนึ่ง
สำหรับออกไปดักโพงพางและราวเบ็ดในทะเลสาบ กานดาอยู่บ้านเปล่า ๆ
ก็เลยรับจ้างทอผ้าไปวัน ๆ
เพิ่งเลิกซิ ? แฟนหนุ่มออกปากถาม
เมื่อกานดาเดินยิ้มมาที่ท่าวัดซึ่งเขานั่งกุมไม้พายอยู่
จ้ะ
รีบ ๆ ให้หมดเส้นด้าย เด็กสาวตอบ มาคอยนานหรือยัง ?
ครู่นี้เอง
คงเหนื่อยมากซิท่า ? เขาลุกขึ้นยืน ลงเรือเร็ว ๆ มัวชักช้าโอ้เอ้
เดี๋ยวก็ค่ำมืดหรอก
กานดาก้าวตามเขาไปในเรือลำไม่ใหญ่โตนัก เขานำเรือออกจากท่าวัด ไม้พายวาดน้ำจ๋อมๆ
จนน้ำหมุนเป็นเกลียว
เรือพายมุ่งไปในทะเลสาบ
มองเห็นทิวไม้แนวหญ้าสีเขียว ๆ อยู่ไม่ไกลนัก เด็กสาวเอามือราน้ำเบา ๆ
นี่ เขาทัก เมื่อไม่พายก็อย่าราน้ำซี
ก็ได้ เธองอนนิดหนึ่ง
นัยน์ตามีแววอบอุ่นยิ่งนัก
ดวงตะวันลอยอยู่เหนือแนวไม้
นกเป็ดน้ำโผบินขึ้นมาเป็นฝูง
คนตกใจคนจากเมืองซึ่งเช่าเหมาเรือหางยาวมาเที่ยว ขนอาหารมื้อเย็นมากินแกล้มทิวทัศน์ เรือพายห่างจากเกาะ มองเห็นทิวโกงกางเขียว ๆ
หลังคาบ้านทำด้วยดินเผาสีเหลืองสุก
พอจรูญนำเรือเข้าแนวสาหร่ายเรี่ย
ๆ น้ำ เด็กสาวร้องถาม
ให้ช่วยมั๊ย
ไม่ต้องหรอก
เพียงแต่หันหน้ามาทางคนพายก็หายเหนื่อยแล้ว เสียงของเขาอ่อนหวาน เด็กสาวยังใจหาย
ไม่ล่ะ กานดาขวยดายประสาสาว
ไม่ยอมหันกลับไปมองเขา
ถ้าขี้โกง
เขาเสียงแข็งทันที ก็หยุดที่นี่แหละ
คืนนี้จะนอนบนเรือ
ให้อาบน้ำค้าง
ให้ปลิงมันขึ้นมากัด แต่ปลายเสียงนุ่มเนียนอยู่ลึก ๆ
กานดานั่งหัวหน้ามาทางเขา ซ่อนความพึงพอใจไว้ใต้ใบหน้าง้ำ
ในใจรู้สึกมีความสุขเมื่ออยู่ใกล้เขา
เด็กสาวรู้สึกอบอุ่นพอ ๆ กับนั่งข้างเตาถ่านไม้โกงกาง
ในหมู่คนหนุ่มรุ่นเดียวกัน จรูญเป็นหนุ่มที่มีอนาคตที่สุด ทอผ้าทำมาหากินจรูญไม่เคยแพ้ใคร ตาจันได้ถ่ายทอดเคล็ดวิธีทอผ้าให้เขาจนหมด และเขาก็รับเอามาอย่างสมใจพ่อ แน่นอนว่าเขาต้องเป็นคนที่มีฝีมือที่สุดต่อไป
เขาต้องเดินทางบ่อยครั้งเพื่อไปสาธิตการทอผ้าตามที่ต่าง ๆ
โดยเฉพาะตามงานเทศกาล
กรุงเทพฯก็เคยขึ้นไปทออวดผู้สนใจ
หน้าที่ประจำอีกอย่างหนึ่งก็คือ
เขาเป็นครูนอกระบบของโรงเรียนบนเกาะ
สอนวิชาทอผ้าให้เด็กโดยไม่เอาเงินเดือน แต่บางครั้งเขารู้สึกน้อยใจ พอเด็ก ๆ
โตขึ้นก็พากันไปเรียนหนังสือที่อื่นหมด
การสอนวิชาทอผ้าเป็นเพียงการสอนให้เด็กเอาคะแนนจากหมวดวิชาหัตถกรรมเท่านั้นเอง จะเหลือเด็กอีกกี่คนที่อยู่กับบ้าน
ถึงกระนั้นจะมีสักกี่คนที่ทนนั่งอยู่หลังกี่เพื่อการทอผ้ารับจ้างหลาละเจ็ดบาทสิบบาท
เดือนแปดนี้พี่จะบวช
เขาบอกคนรัก
ขณะลอยเรือไว้บนแผ่นสาหร่าย พอเดือนสิบสองหลังออกพรรษา
พี่จะแต่งงาน เขายิ้ม
คลึงไม้พายที่วางขวางแคมเรืออยู่ไปมา
เด็กสาวหน้าแดงปลั่ง แดงพอ ๆ
กับดวงตะวันที่ชะลออยู่ริมฟ้าขับหมู่เมฆาจนเป็นสีชมพูอมแดง นกเป็ดน้ำบินผ่านไปเป็นฝูงพลันชวนกันหลบหายไปในพงหญ้า
ไม่เร็วไปหรือทิด ? กานดาอดหัวเราะเขาไม่ได้ ให้เส้นผมมันขึ้นเต็มหัวเสียก่อน
สาบสบงจีวรคงไม่ทันออกหมด
ชาวบ้านเขาจะนินทากันให้อาย
อ้ายทิดรูญมันบวชเพื่อจะเบียดหาใช่แทนคุณน้ำนมสักหยดไม่
เขาโพล่งออกมาด้วยอารมณ์หนุ่ม จ้วงไม้พายลงน้ำออกแรงงัดจนเรือไหววูบ
ช่างเขาปะไร
เราหมั้นกันแล้ว
ใครเขาก็รู้กันตลอด
หัวเกาะท้ายเกาะ
รอให้นานกว่านี้ไม่ได้หรือ
ให้เส้นผมขึ้นเต็มหัวเสียก่อน
ตัดผมสักครั้งก็ยังดี
สาบพระสาบสงฆ์จะได้หมด
กานดาแย้งเมื่อเขาพายเรืออ้อมหมู่ไม้
นกเป็ดแดงฝูงหนึ่งกำลังดำหัวกินดอกสาหร่าย พอได้ยินเสียงคนผ่านมาก็บินพรึบ ๆ
ขึ้นฟ้า ส่งเสียงร้องแพ็บ ๆ
หายไปท่ามกลางแผ่นฟ้าสีครึ้ม นกพวกนี้ทำรังอยู่ในกอหญ้ารกกลางทะเลสาบ มีจำนวนเป็นหมื่น ๆ
ตั้งแต่ทะเลน้อยถึงลำปำ
ยิ่งฤดูสาหร่ายออกดอกออกลูก
นกพวกนี้ชุกชุมที่สุด
นกเป็ดหอม
นกเป็ดลายจะมาเมื่อปลายฤดูฝน
จนทะเลสาบมีเสียงอึงมี่เล่ากันว่า
นกเป็ดหอม นกเป็ดลาย มาจากทางเหนือของจีน เกาหลี ญี่ปุ่น พอถึงฤดูแล้งก็พากันบินกลับถิ่นฐาน
เหลือแต่นกเป็ดแดงกับนกเป็ดผีให้เฝ้าทะเลสาบ หากไม่ถูกมือดีดับชีพเสียก่อน
กลับเถิดจ๊ะ กานดาบอกแฟนหนุ่ม เดี๋ยวมืดค่ำลงจริง ๆ ดอก
ไม่อยากกลับ
อยากนอนฟังเสียงนกที่นี่
เข้าล้อเล่นแต่ท่าทีขึงขัง
ก็ลองดู หากไม่ถูกปืนก่อนบวช
เขาคัดท้ายเรือกลับหลังจากน้ำวน
รีบพายกลับเกาะซี่งมองเห็นหลังคาบ้านอยู่รำไร สายลมจากแนวไม้พัดเอากลิ่นดอกไม้ดอกหญ้ามาหอม
ๆ หอมเหมือนกลิ่นแก้มสาวคนรัก
เอาเถอะ
เมื่อถึงวันแต่งงาน
พี่จะทอผ้าถุงผ้าเสื้อให้แฟนใส่อวดคน เขาบอกหญิงสาว ใคร ๆ
ก็คงชมว่าเจ้าสาวของพี่สวยนัก
ให้มันจริง ๆ เถอะ
กลัวแต่ว่าจะหาผ้าทอไม่ได้แม้ฝ่ามือเท่านั้น ลำพังเก็บเอาไว้สักผืนยิ่งยากเย็นแสนเข็ญ พอทอเสร็จเขาก็มารับไป
จะดูเส้นดูลายก็ไม่ได้ดู
พ่อของพี่ยังบ่นอยู่เลย
หากมีวิธีการอื่นหาเงินจะเลิกทอผ้าแล้ว เธอแย้งเหมือนหมิ่นเขา
ก็บ่นไปตามประสาแก่ เขาตัดบท
ตรงท่าน้ำวัดที่พระสงฆ์รูปหนึ่งถือถังน้ำลงมาตักน้ำไปรดต้นไม้ เขาเทียบเรือให้แฟนสาวขึ้น มะรืนนี้ข้ามเรือไปดูหนังกันมั๊ย
? เขาเอ่ยปากชวนเมื่อหันหัวเรือออกมา
ไม่ว่างจ๊ะ
ต้องรีบทอผ้าเก็บเงิน
กานดาส่งยิ้มให้ก่อนที่เขาจะพ้นท่าน้ำไปไกล ทิ้งรอยพายพุ้ยน้ำไว้เป็นสะดือกลม เมื่อพ้นน้ำสีคล้ำเหมือนกับสีท้องฟ้า
ยี่สิบปีหลังสงครามญี่ปุ่นสิ้นสุดลง ชาวเกาะเริ่มหัวมาทอผ้ากันอีก
คนที่มีกี่อยู่แล้วเริ่มแต่งกี่เอาออกมาใช้ คนที่ยังไม่มีก็สร้างมันขึ้นมา ราคาผ้าดีขึ้น เส้นด้ายสำหรับทอหาซื้อได้ไม่ยาก
สัปดาห์หนึ่งได้ยินเสียงกี่ดังเพิ่มขึ้นตัวหนึ่ง พอทอเสร็จก็เก็บเข้าตู้ วันดีคืนดีเอามานั่งเล็งดอกเล็งลายพินิจดูความซับซ้อนของลายราชวัตร
ความสวยเรียบของลายหางกระรอกพร่องเงินขาดทองเมื่อไหร่
เอาข้ามเรือไปขายในจังหวัดก็พอมีคนซื้อ
เพราะผ้าทอจากทะเลสาบมีชื่อเสียงอยู่แล้ว
กี่กระตุกเพิ่มเป็นร้อยในจำนวนครอบครัวทั้งหมดบนเกาะกว่าสี่ร้อยครอบครัว เกาะเล็ก ๆ ที่ยืนสงบอยู่ปากทะเลสาบแห่งนี้ หนึ่งนาทีไม่เคยขาดเสียงกี่กระตุก
นายซ้วนมีกี่ทอผ้าถึงสามสิบกี่
ชาวบ้านผู้ใดไม่มีเงินพอที่จะสร้างกี่ก็มาทอผ้ารับจ้าง
คนจีนชื่อหว่าจากตัวเมืองเป็นตัวแทนจำหน่ายผ้า
เขาเคยบอกว่าเขาส่งผ้าไปขายที่กรุงเทพฯด้วย พร้อม ๆ กับเป็นผู้ซื้อด้ายมาจำหน่ายอีกด้วยเช่นกัน
บ่อยครั้งที่คนจีนคนนั้นนั่งเรือหางยาวมาที่บ้านนายซ้วน หอบเส้นด้ายเป็นลัง ๆ
ก่อนขนผ้ากลับไป สี่ห้าปีให้หลังนายซ้วนตายเมียของแกกับลูกชายรับช่วงแทน
กานดาเข้าทอผ้าจ้างที่บ้านนายซ้วนมาหกเจ็ดปี ทอมาตั้งแต่เนื้อสาวยังไม่แตก จากค่าจ้างหลาละสามบาทจนถึงเจ็ดบาทสิบบาท
คนจีนที่ชื่อหว่ายังคงไปมาที่เกาะบ่อย
ๆ เขาลงทุนสร้างกี่ให้ชาวบ้านที่ไม่มีกี่
ส่วนเขาจะหาด้ายมาป้อน
คนทอรับค่าจ้างเป็นหลา ๆ ตาจันพ่อของจรูญมีกี่อยู่สองตัว เป็นกี่ดั้งกี่เดิมที่ทอมาก่อนสงคราม สองพ่อลูกยังทออยู่ทุกวัน เมียกับตาจันพอได้ผลัดกันยามเหนื่อย ส่วนจรูญไม่รอให้ใครมาเปลี่ยน วันหนึ่งทอผ้าได้ถึงหกหลาเจ็ดหลา เขาทอได้รวดเร็วและสวยงามที่สุด แต่นั่นแหละทุกๆ
สัปดาห์เขามักได้ยินข่าวจากคนจีน
ชื่อหว่าเกี่ยวกับราคาเส้นด้ายที่เปลี่ยนไป โรงงานทางกรุงเทพฯไม่ยอมปล่อยเส้นด้ายให้พ่อค้าย่อย จะซื้อก็ต้องซื้อกันทีละเป็นร้อยๆ
กิโลกรัม พันกิโลกรัม
อั๊วมีเงินน้อย
ขายผ้าก็ได้กำไรผืนละไม่กี่บาท ชาวจีนชื่อหว่าเริ่มพูดกับคนทอผ้าที่บ้านนายซ้วน วันที่เขานั่งเรือหางยาวมาที่เกาะ เห็นทีว่าอั๊วต้องเลิกแน่
ๆ ถ้าด้ายมันขึ้นราคาไม่หยุดอย่างนี้
ซื้อก็ยากด้วย คนทอผ้ารับจ้างทุกคนรู้สึกใจหายยิ่งการทอผ้ากำลังดีอยู่ด้วย นับตั้งแต่สมเด็จฯ ท่านทรงมอบ เสื้อพระราชทาน ให้เป็นชุดประจำชาติ ชาวบ้านทอผ้ากันแทบไม่ว่างเลย ผ้าจากเกาะนำไปตัดเป็น เสื้อพระราชทาน
ได้สวยงามที่สุด
กี่กระตุกเพิ่มขึ้นกว่าพันกี่แล้วด้วยซ้ำ
แต่อั๊วไม่อยากเห็นงานศิลปะพื้นบ้านที่ดีอย่างนี้ต้องหยุดไป คนจีนหยุดคำพูด
หัวไปสำรวจใบหน้าที่มีแววดีใจปรากฏขึ้นทุกดวง อั๊วจะต้องรักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้ให้ลูกหลาน แต่อั๊วอยากขอร้องคนทอผ้าทุกคนนะ ทุกคนที่เอาด้ายไปจากอั๊วต้องขายผ้าให้อั๊ว
นับจากนั้นเป็นต้นมา ตาจันกับจรูญ แม้แต่เจ้าของกี่คนอื่น ๆ
ซึ่งไม่มีกำลังเงินมากพอที่จะไปซื้อด้ายมาจากโรงงานครั้งละมาก ๆ
ก็ตกเป็นลูกจ้างของคนจีนชื่อหว่าไปโดยปริยาย
ตกลงราคาค่าจ้างกันตามแต่ลายไหนทอยากทอง่าย
พี่ตั้งใจจะทอผ้าหางกระรอกไว้ผืนหนึ่ง จรูญบอกกานดาในศาลาวัดที่ชาวเกาะทำบุญเลี้ยงพระ ทอให้สวยที่สุด
คงสวยดีจังนะ กานดานึกชมเขา เห็นทอให้เจ้าสาวรายอื่นมานักต่อนักแล้ว
แต่คราวนี้ต้องสวยที่สุดเพราะทอให้เจ้าสาวของตัวเอง เขายิ้มด้วยความภูมิใจ มาลับดอกพิกุลที่กานดาเก็บมันมาร้อยหอมระรื่น เธอคล้องเป็นกำไลมือ
กานดาเก็บดอกพิกุลที่ร่วงอยู่ตามโคนต้นในลานวัดนี้เอง
วันที่เถ้าแก่หว่ามา
พี่จะขอซื้อเขา เมื่อสิ้นคำพูดนี้
กานดารู้สึกรักเขามากขึ้นกว่าวันไหนๆ
ตอนบ่ายวันหนึ่งหลังจากนั้นห้าหกวัน คนจีนชื่อหว่านั่งเรือหางยาวมาที่เกาะอีกครั้ง เอาด้วยมาเต็มลำเรือ เขามาเก็บผ้าทอที่บ้านตาจัน
เถ้าแก่หว่าครับ
ผ้าสองหลานี้ผมขอซื้อนะครับ
จรูญยกผ้าทอลายหางกระรอกสีฟ้าปนขาว
ซึ่งเขาบรรจงทออย่างดีที่สุดสำหรับเจ้าสาวของเขา และตัดมันเก็บไว้ต่างหาก
เอาซี
อั๊วหักค่าแรงลื้อสองหลานะ
สิบแปดบาท เขายิ้มยินดีกับจรูญ
อั๊วคิดกะลื้อแค่
แค่สองร้อยยี่สิบเท่านั้น!
ใบหน้าของเขาอวบอูมขาวเป็นมัน
อะไรกันเถ้าแก่
ทำไมแพงอย่างนี้ ?
จรูญโพล่งออกไปพลางดึงกระสวยกราวใหญ่ ก็ตอนที่เขาทอเองเมื่อไม่กี่เดือน ราคามันหลาละเจ็ดสิบบาทแค่นั้นเอง เขารู้ราคามันดีเพราะทอผ้าขายมาจนมือด้านแล้ว
เจ็ดสิบบาทก็ยังเป็นราคาขายที่ได้กำไรมากมาย
ลื้อน่ะไม่รู้อะไร ชายจีนพยายามชี้แจง พลางตบไหล่เขาเบา
ๆ เชื่ออั๊วซี ด้ายมันแพงที่สุดตั้งแต่อั๊วซื้อมา แล้วอีกอย่างหนึ่ง ลื้อเชื่อมั๊ย ?
เขามองหน้าจรูญ ก่อนที่จะกล่าวต่อไป
ลื้อเชื่อมั้ย
ลื้อจะได้ผ้าทอผืนที่ดีที่สุดบนเกาะนี้เลยทีเดียวนะ เขาลูบหลังจรูญอีกครั้ง พลันหัวเราะจนแก้มกระเพื่อม
ไม่มีใครได้ยินเสียงพูดของชายหนุ่ม แม้แต่ตาจันพ่อของเขา ซึ่งนั่งอยู่ข้าง
-00000- Top
ชาติ กอบจิตติ
เรามาถึงงานเลี้ยงเวลาหนึ่งทุ่มตรงพอดี
ลูกชายของผมมีอาการตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนภรรยาผมดูจะเร่งร้อนผิดปกติสักหน่อย ผมเข้าใจว่าเธอคง หิว มากกว่าอย่างอื่น
เพราะงานเลี้ยงเช่นนี้เธอเคยผ่านมากับผมนับครั้งไม่ถ้วนซึ่งไม่จำเป็นจะต้องตื่นเต้นอีกเลย
ภายในห้องโถงใหญ่สว่างไสวด้วยไฟโคมระย้าย้อยห้อยอยู่กลางห้อง เสียงเปียนโนคลออยู่เบา ๆ
ผู้คนค่อนข้างหนาตา เสียงพูดคุย ,
เสียงน้ำแข็งกระทบแก้ว , เสียงเครื่องดื่มรินไหล คละเคล้าเข้าหูอย่างไม่เป็นระเบียบ
พรมหนานุ่มสีแดงเลือดคนรองรับรองเท้าที่เคลื่อนไหวไป-มา
ผมมองหาเจ้าภาพแต่ก็ไม่เห็น
จึงพาลูกชายและภรรยาเดินเข้าทักทายผู้คนพอเป็นพิธีก่อนขอตัวเดินจากไปยังโต๊ะของเรา
ถ้าเป็นโอกาสอื่นผมคงต้องยืนดื่มพูดคุยกับคนอื่น ๆ สักเล็กน้อย เพื่อรอคอยพิธีเริ่มต้นของงาน
แต่วันนี้ ผมจำเป็นต้องแนะนำอะไรบางอย่างให้ลูกชายเข้าใจ
ผมไม่อยากให้เกิดความผิดพลาดขึ้นก่อนถึงเวลานั้น
คืนนี้จะเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญของเขา มันจะบ่งชี้ว่าลูกชายของผมจะเป็นคนในระดับผมได้หรือ
ไม่หรือว่าเขาจะล้มเหลวกลายเป็นพวกมนุษย์ชั้นต่ำ ซึ่งผมและภรรยาไม่อยากให้ลูกเป็นเช่นนั้น
ดังนั้นผมจำเป็นต้องสร้างความรู้สึกที่ดีให้เขา
เพื่อเขาจะได้เป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบในระดับเราสืบต่อไปในอนาคต
ดื่มเสียหน่อยสิ ผมส่งแก้วเครื่องดื่มให้ลูก
ซึ่งหยิบจากถาดของคนรับใช้ประจำงาน
ค่อย ๆ จิบนะ เสียงภรรยาผมเตือนเบา ๆ เธอคงเกรงว่าลูกชายจะมึนเมาก่อนถึงเวลา อันควร
เมื่อเรามาถึงโต๊ะที่เจ้าภาพจัดเตรียมไว้ คนรับใช้ประจำโต๊ะโค้งให้ แล้วเลื่อนเก้าอี้บุนวมให้นั่งทีละคน ท่าทีเขาดูสภาพนุ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว
ผมทรุดกายลงนั่งอย่างสบาย แล้วค่อย ๆ ดึง มีดประจำตัว ออกจากปลอก วางลงบนที่วางมีดบนโต๊ะ ภรรยาผมเปิดกระเป๋าถือหยิบ มีดประจำตัว ของเธอขึ้นมา ดึงมีดออกปล่อยปลอกร่วงลงกระเป๋า เธอวางมีดเปลือยลงบนที่วางเบื้องหน้า
มีดของเธอรูปร่างเรียวเล็กบอบบางด้ามงาสวยงาม
เป็นธรรมดาของผู้หญิงที่ชอบของสวยของงาม
แต่ความคมของมันไม่ผิดกับความสวยของงูที่ซ่อนพิษไว้
เอามีดออกมาวางซิจ๊ะ
ภรรยาผมเตือนลูก
อาการตื่นประหม่ายังไม่เหือดไปจากเขา เขาค่อย ๆ
ดึงมีดขึ้นมามือสั่นเล็กน้อย
ใบมีดสะท้อนไฟวูบเข้าตาผมแล้ววางลงบนที่รองรับอย่างเคอะเขิน
มีดประจำตัว ของเขาที่วางสงบคอยเหยื่ออยู่เบื้องหน้านั้น ผมเป็นคนพาเขาไปเลือกซื้อให้เอง หลังจากเขาได้รับอนุญาตให้มีมีดประจำตัวไว้ในครอบครองได้ซึ่งน้อยคนนักจะได้รับโอกาสงดงามเช่นนี้
ถ้าเทียบกับจำนวนพลเมืองทั้งหมดที่มีอยู่ในเมืองของเรา เราเป็นกลุ่มคนเพียงหยิบมือเดียวที่มีสิทธิ์มีมีดประจำตัว ที่เหลือนอกนั้นเป็นมนุษย์ชั้นต่ำ
ตรวจดูให้เรียบร้อย ลูกจะต้องใช้มันได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะหิวหรือไม่ก็ตาม จำไว้ว่ามีดของลูกจะต้องตื่นอยู่เสมอ
ผมจดจำคำของพ่อมาตลอดและถึงวันนี้ผมกำลัง ถ่ายทอดให้ลูกชายฟัง
จำเอาไว้
มีดต้องคมอยู่ตลอดเวลาพร้อมที่จะจ้วงเฉือนได้ทุกเมื่อ
ผม ผมไม่กล้าทำครับ
พูดอะไรอย่างนั้นลูกเอ๋ย
แม่เป็นผู้หญิงแท้ ๆ แม่ยังไม่เคยนึกกลัว
ครั้งแรกพ่อก็เคยพูดแบบนี้แหละ
เอาไอ้นี่อีกสองแก้ว ผมชูแก้วขึ้นโดยมิได้หัวไปมองคนรับใช้ประจำโต๊ะ
ผมรู้ว่าเขาต้องพร้อมที่จะรับคำสั่งอยู่ตลอดเวลา เขาเป็นไอ้คนประเภทที่ไม่มีสิทธิ์มีมีดประจำตัว
เขารู้ตัวดีว่าจะต้องไม่ทำอะไรให้คนอย่างผมโกรธ
ระวังไอ้แก่นั่นไว้
ถึงเวลาแล้วอย่าไปยืนใกล้มันเหลี่ยมมันจัด
คนที่ใส่ชุดสีครีมนั่นไง
ภรรยาผมแอบชี้
อย่าไปมองมัน ฟังพ่อ มันชอบทำมีดของมันร่วงอยู่เรื่อย ตอนชุลมุนกัน บางทีโดนนิ้วพวกเรากันเองขาด หลายคนเคยโดน
ขอบใจ
เอ้าดื่มเสียอีกแก้ว
เดี๋ยวคงได้เวลา ผมส่งแก้วเครื่องดื่มให้ลูก
ถึงลูกจะคบค้ากับไอ้พวกที่มีมีดประจำตัวด้วยกันแต่ก็อย่าไว้ใจใคร ภรรยาผมเสริมขึ้น
ตอนออกไปคอยระวังตัวไว้
อย่าอยู่ห่างพ่อกับแม่นัก
สวัสดีค่ะ ภรรยาผมยกมือไหว้ ผมเอี้ยวตัวมองเบื้องหลัง
สวัสดีครับ ผมลุกขึ้นยืน เราเขย่ามือกัน
ลูกรู้จักกับลุงเขาเอาไว้สิ
ลูกชายผมยกมือไหว้
ครับ นี่ลูกชายผมเอง
เขาเพิ่งได้รับสิทธิ์ให้มีมีดประจำตัวได้ในวันนี้
อ๋อ เอ
มีดประจำตัวสวยดีนี่
เขาเหลือบมองที่โต๊ะพลางเอื้อมหยิบขึ้นมาลูบคลำเล่น
บ๊ะ คมดีเสียด้วย เขาพูดกับลูกผม
คุณพ่อพาผมไปเลือกครับ
คืนนี้เลยพามาลอง
เขาพูดกับผมในขณะวางมีดลงที่เดิม
ครับ ครั้งแรกของเขา
เอ้อดี
นั่งตรงนี้พอดีใกล้โต๊ะอาหาร
สุนกแน่พ่อหนุ่ม เขาหัวเราะให้ลูกชายผมอย่าง กันเองก่อนเดินผละไป คนรับใช้ประจำโต๊ะหลบตาลงต่ำยามเมื่อเขาเดินผ่าน
แกมีบริษัทส่งมนุษย์ชั้นต่ำออกขายทั่วโลก
คงร่ำรวยน่าดูใช่ไหมพ่อ?
อะไรกันร่ำรวย
ภรรยาผมแทรกขึ้นมา
คำว่าร่ำรวยนั้นเอามาใช้วัดจำนวนเงินของแกไม่ได้หรอก
แกเป็นเจ้าภาพงานนี้
นี่เนื่องในโอกาสอะไรครับ?
ไม่มีอะไรสำคัญ
เพียงแต่สังสรรค์กันธรรมดา ๆ
แม่กับพ่อคิดว่าไหน ๆ วันนี้ลูกก็มีมีดประจำตัวแล้ว จึงอยากให้ลูกลองใช้มัน ครั้งแรกคิดว่าจะให้ลูกลองที่บ้าน แต่คิดอีกทีว่าพามางานเลี้ยงนี้น่าจะสนุกกว่า
ภรรยาผมอธิบายให้ลูกฟังยืดยาว เขานั่งฟังเนือย ๆ ผมคิดว่าเขาน่าจะกระตือรือร้นมากกว่านี้
ผมค่อนข้างจะวิตกว่าเขาจะกลายเป็นไอ้พวกมนุษย์ชั้นต่ำ
แววตาเขาไม่หิวกระหายเหมือนอย่างพวกเรา เขาน่าจะรู้ว่าเขามีโอกาสดีเพียงใดที่สามารถมีมีดประจำตัวได้
มีคนอีกจำนวนมหาศาลที่พยายามไขว่คว้าหามีดประจำตัวแต่ไร้ผล บางคนลงทุนถึงขนาดเป็นนายหน้าค้า-ขายพ่อแม่ , พี่น้องตัวเอง เพื่อจะได้สิทธิ์ในการมีมีดประจำตัว บางคนวิ่งเต้นเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อให้ทางโน้นรับรองในการขอสิทธิ์มีมีดประจำตัว
หลายคนยอมอยู่นอกกฎหมายเพื่อแสวงหามีดประจำตัว
แต่ลูกชายผมคงไม่ได้คิดถึงความยากลำบากเหล่านั้น เพียงแต่ผมยกบริษัทในเครือให้เขาสองบริษัทเท่านั้น
เขาก็ได้รับสิทธิ์ในการมีมีดประจำตัวทันที
หรืออาจจะเป็นเพราะมันง่ายเกินไปเขาถึงไม่ค่อยสนใจ
ทุกอย่างจะเรียบร้อยลูก
ไม่มีอะไรน่ากลัว
แม่กับพ่อจะคอยดูแลลูกตลอดเวลา
เสียงภรรยาผมสรุปให้ลูกฟัง
ผมทำไม่ได้หรอกแม่
มันน่าขยะแขยง น่ารังเกียจ
ถ้าแกจะผ่าเหล่าผ่ากอก็ตามใจแก
คิดให้ดีก็แล้วกัน
เพราะนั่นหมายถึงวิถีชีวิตแกจะต้องเปลี่ยนไป เป็นไอ้พวกมนุษย์ชั้นต่ำ อีกหน่อยถ้าแกมีเมียมีลูก
อดอยากเข้าก็ต้องเอาลูกมาขายเป็นสินค้าข้างถนน ให้คนที่มีมีประจำตัวเขาซื้อไปแล่เนื้อเถือหนัง ดูดเลือดดูดสมองมากิน รึตัวแกเองก็เถอะ
ถึงเวลานั้นอย่ามาร้องโอดโอยกับฉันก็แล้วกัน ฉันช่วยอะไรแกไม่ได้
ผมไม่ได้ตั้งใจขู่ลูกเลยเพียงแต่เล่าความจริงให้เขาฟัง
แต่ในน้ำเสียงอาจจะมีอารมณ์ขุ่นมัวปะปนอยู่ข้าง
ลูกก็เคยเห็นไม่ใช่หรือจ๊ะ
เวลามีนายหน้านำพวกมนุษย์ชั้นต่ำมาขายที่บ้านเราน่ะ
ลูกสังเกตบ้างหรือเปล่าว่าพวกมนุษย์ชั้นต่ำที่เราซื้อไว้ครั้งละคนสองคนนั้นมันหายไปไหนหมด
ภรรยาผมพูดเสียงกรีดกรายกับลูกฟังคล้ายเธอกำลังข่มขู่พวกมนุษย์ชั้นต่ำ
ผมทราบครับ
ผมถึงว่ามันน่าขยะแขยง
น่าสงสารเขาด้วย
ลูกยังไม่เคยลองน่ะสิลูกถึงพูดแบบนี้ พ่อเองอยากให้ลูกได้ลองเหมือนกัน
แต่ติดว่าตอนนั้นลูกยังไม่มีมีดประจำตัว วันนี้ถึงได้พามาลองดู เอาน่าลองดูสักที ถ้าไม่ชอบหรืออย่างไรพ่อก็ไม่ว่า ตกลงนะลูกนะ ผมใช้น้ำเย็นเข้าลูบ เขาไม่ตอบอะไรเพียงแต่นั่งก้มหน้านิ่ง
ดื่มเสียอีกหน่อยสิ
มันจะช่วยให้ดีขึ้น ผมบอก
เขายกแก้วขึ้นจิบแล้ววางลง สายตาเขามองที่คนรับใช้ประจำโต๊ะ
ผมรู้ว่าลูกชายผมกำลังมีเมตตาต่อพวกมนุษย์ชั้นต่ำ
เสียงเปียโนหยุดเล่น
ไฟหรี่ลง
ผู้คนที่ยืนคุยต่างรู้นัยกัน
พวกเขาค่อย ๆ แยกย้ายกลับนั่งตามโต๊ะของตัวเอง
เพียงครู่เดียวก็เงียบสงบอยู่ในความสลัวราง ไฟบนเวทีเปิดส่องลงเป็นวงกลม เจ้าภาพเดินมาหยุดยืนกลางแสงไฟ เสียงเขาดังขึ้นอย่างผู้มีอำนาจ ตามลักษณะของพวกเรา
สวัสดีท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย
ผมขอรบกวนเวลาอันมีค่าของท่านสักเล็กน้อย ก่อนจะถึงเวลาอาหารที่ผมจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเรา
ภรรยาผมจัดแจงผูกผ้ากันเปื้อนให้ลูกชาย
ซึ่งเธอเองเป็นคนเลือกซื้อมาสำหรับวันนี้โดยเฉพาะ เธออวดผมเมื่อตอนเย็น มันเป็น ผ้ากันเปื้อน ที่ตัดเย็บด้วยฝีมือประณีต สีเทาทึม แลดูสง่าตามแบบฉบับของลูกผู้ชาย
ผมจัดแจงผูกผ้ากันเปื้อนให้ตัวเอง
โดยมีคนรับใช้ประจำโต๊ะคอยช่วยเหลือผูกตรงด้านหลังคอให้
ภรรยาผมผูกให้ลูกเสร็จก็จัดการผูกให้ตัวเธอเอง รวดเร็วชำนิชำนาญเช่นเดียวกับแม่บ้านทั่วไปของคนในระดับเรา ที่ต้องใช้ ผ้ากันเปื้อน เป็นประจำยามที่ต้องทำครัวเอง
ทุกคนต่างสาละวนกับการผูกผ้ากันเปื้อนอยู่ในความสลัว
ราวกับกุ๊กภัตตาคารกำลังเตรียมตัวก่อนจะสับหมูหรือสับเนื้อ
แต่เกรงว่าเลือดของสัตว์บนเขียงจะกระเซ็นมาเปื้อนเสื้อผ้าอันสะอาดสะอ้านของเขา
ไชโย ไชโย ไชโย
เสียงตะโกนก้องห้อง
สิ้นเสียงโห่ร้องไฟในห้องค่อย
ๆ สว่างขึ้น จนจัดจ้าแลเห็นทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน
ประตูทางด้านขวามือเปิดออกทุกคนมองไปที่ประตู
ร่างของชายคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงโลหะกำลังถูกเข็นเข้ามา ร่างกายเขาไม่มีอะไรปกปิด
นอกจากปลอกเหล็กที่ยึดไว้ตรงกลางลำตัวและตามแขน , ขา
ส่วนหัวถูกคลุมไว้ด้วยกล่องโลหะสี่เหลี่ยมครอบมาถึงคอยึดติดกับเตียง ไม่มีใครเห็นหน้าเขา ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร
เตียงแรกผ่านไป
เตียงที่สองเข็นตามเข้ามา
ทุกสิ่งคล้ายกับเตียงแรก
ผิดแต่ว่าร่างที่นอนเปลือยอยู่บนเตียงนี้เป็นผู้หญิงเท่านั้นเอง
ทำไมต้องเอากล่องเหล็กครอบหัวไว้ด้วยล่ะพ่อ? ลูกชายผมถามขึ้น
มันเป็นกฎ
การที่เราจะกินคนด้วยกันเราจะต้องไม่สงสารมัน ไม่ต้องเห็นดวงตาอ้อนวอนของมัน ไม่ได้ยินเสียงร้องขอชีวิตของมัน
สงสารมันไม่ได้หรอก
ไอ้พวกมนุษย์ชั้นต่ำพวกนี้มันเกิดมาเพื่อให้คนอย่างพวกเรากิน ถ้าเราสงสารมันเราก็ไม่มีความสุข
ภรรยาผมเสริมให้ลูกฟัง
ดูจากรูปร่างของคนทั้งสองที่นอนอยู่บนเตียงกลางแสงไฟ
เห็นได้ชัดว่าเจ้าภาพมีการเตรียมการเป็นอย่างดี ร่างทั้งสองพ่วงพีน่าลิ้มรส ขนตามตัวถูกโกนออกจนเกลี้ยงร่างกายชำระล้างขาวสะอาด
ผิวของหญิงสาวเป็นสีชมพูนวลปลั่งด้วยเลือดฝาดภายใน
แน่นอน งานระดับนี้คงไม่อยากให้มีที่ติ
ร่างทั้งสองนอนหายใจอยู่กลางแสงไฟ ล้อมรอบด้วยสายตาที่หิวกระหาย
ครับถึงเวลารับประทานอาหารร่วมกันแล้วครับ ขอเชิญทุกท่านรับประทานได้เลย ขอบคุณครับ เสียงเจ้าภาพกล่าวอำลาเวที
สิ้นเสียงประกาศผู้คนเริ่มเคลื่อนไหวคึกคัก
ไปกันเถอะเรา เดี๋ยวจะไม่ทัน ภรรยาผมเตือนพลางหยิบมีดของเธอ แล้วลุกขึ้นยืน
ผม
ผม
ไม่กล้าครับ ลูกชายผมเสียงสั่น
เอ๊
อะไรกันอีกเล่า ผมชักอารมณ์เสีย
ไปเถอะลูก
ไม่ลองไม่รู้หรอก
ดูคนอื่นเขาสิออกไปกันหมดแล้ว ภรรยาผมฉุดมือลูกให้ลุกขึ้น
อย่าลืมมีด ผมเตือนลูกด้วยเสียงดุ ๆ
ดูซิ ถ้าไม่อร่อยจริง คนเขาไม่มารุมกินกันขนาดนี้หรอก ได้ยินเสียงภรรยาผมบอกลูกเบา
ๆ ขณะเดิน
ผมมาถึงโต๊ะอาหารก่อนภรรยาและลูก ถึงตอนนี้ผมไม่ได้สนใครอีกแล้ว
หยิบจานได้ก็ตรงรี่ไปที่เตียงหญิงสาวหาที่ว่างเข้าแทรก นมทั้งสองข้างโดยเฉือนออกไปแล้วเลือดไหลออกมาไม่หยุด ร่างนั้นสะบัดดิ้นอยู่เร่า ๆ
แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของปลอกเหล็กได้
ผมเลือกเชือดเอาเนื้อบริเวณสีข้าง เนื้อตรงนั้นกระตุกสั่นเป็นริ้ว ๆ
ขึ้นมา
มันเต้นสู้กับคมมีดของผมอย่างสนุกสนาน ผมแล่เนื้อชิ้นนั้นขาดออกจากลำตัว วางหมับลงบนจานตัวเอง มีเลือดติดมาด้วยพอคละเคล้า
ใครคนหนึ่งสับฉับลงบนข้อมือ เลือดกระเซ็นมาถูกใบหน้าผม ผมหันไปมอง เขาเอ่ยขอโทษ แล้วชี้ให้ผมดูข้อมือที่ขาดออกจากแขน มันยังเต้นกระตุกได้ เราหัวเราะให้กันอย่างรื่นเริง เขาหยิบข้อมือที่ยังกระตุกเต้นนั้นขึ้นใส่จาน
ผมชอบกินนิ้วมือ มันมีเอ็นกรุบกรับดีเวลาเคี้ยว เขาบอกผมพร้อมรอยยิ้มสมใจ
ผมหันกลับมามองที่ร่าง
มันแหว่งเว้าไปอย่างน่าใจหายรวดเร็วกันจริง ๆ มองเห็นแต่ มีดประจำตัว วาววับ วุ่นวาย เชือดเฉือน เถือกเถือลงไปบนร่างแทนไม่มีที่ว่าง
ผมเร่งมือแล่เนื้อตรงสะโพกออกมาชิ้นเขื่องพอสมควรยกใส่จาน
ถึงตอนนี้ท้องได้ถูกแหวะออกจนเหวอะหวะไส้ทะลุทะลักออกมาคลุกเคล้ากับเลือด
ผมไม่ค่อยชอบกินเครื่องในนักและคิดว่าเนื้อในจานผมคงพออิ่ม จึงล่าถอยกลับมายังโต๊ะ
อุ๊ย
มีตัวอ่อนอยู่ในท้องด้วย
เสียงผู้หญิงกรี๊ดกร๊าดดีใจ
ผมไม่ได้หันกลับไปมอง ไม่สนใจใครอีกต่อไป นอกจากเนื้อแดงสดบนจานของตัวเอง ค่อยเดินประคองมันกลับมายังโต๊ะ
ภรรยาและลูกชายผมยังไม่กลับมา
ผมเรียกคนรับใช้ประจำโต๊ะมาปลดผ้ากันเปื้อน ซึ่งเปรอะเลือดออกจากตัว เขาลนลานเข้ามาอย่างพินอบยิ่งกว่าเดิม ภาพที่เขาเห็นคงทำให้เขาตกใจ และมันคงสอนให้เขาเชื่อฟังผมเป็นอย่างดีทีเดียว
ถ้าเขายังไม่อยากเป็นอย่างร่างที่ถูกรุมทึ้งอยู่นั่น
เอาอย่างเดิมมาแก้ว ผมสั่งเขาเมื่อผ้ากันเปื้อนพ้นตัว
ผมนั่งจิบเครื่องดื่มรอภรรยาและลูก สักครู่ทั้งสองกลับมา ภรรยาผมเดินนำหน้า ในจานของเธอพูนด้วยเนื้อเคล้ากับเลือด ดูเหมือนจะมีกระดูกอ่อนปนมาด้วย ลูกชายด้วยเดินตามหลังมาติด ๆ
ใบหน้าเขาซีดเผือดคล้ายจะเป็นลมในจานที่ถืออยู่มีเพียงนิ้วหัวแม่เท้าอันเดียว
ไอ้เซ่อเอ๊ย
แย่งมาได้แค่นี้เรอะวะ
ผมเกิดโทสะจนระงับไม่อยู่
รู้สึกอับอายที่ลูกชายผมทำให้ผมต้องเสียหน้า
คุณก็
ใจเย็น ๆ สิ ลูกเรามันไม่เคย ภรรยาผมพูดกับผมด้วยเสียงนุ่มนวล
ผมหวนนึกถึงตัวเองเมื่อครั้งแรกที่พ่อพาไปกินคน
ตัวเองก็ไม่ต่างกับลูกชายในตอนนี้มากนัก นึกเช่นนี้จึงค่อยสงบลง รู้สึกสงสารลูกชายขึ้นมา
คนรับใช้ประจำโต๊ะปลดผ้ากันเปื้อนให้ทั้งสอง
พ่อขอโทษ
กินดูลูก ลองดู ผมบอกลูกด้วยความสำนึกผิด
ลูกชายผมค่อยมีใบหน้ายิ้มขึ้นมาหน่อย เขาพยักหน้ารับ แล้วจ้องมองผม
คล้ายจะลอกเลียนกิริยาที่ผมจะจัดการกับเนื้อสดในจาน
มือซ้ายของผมหยิบส้อมขึ้นมาจิ้มลงบนเนื้อ มือขวาผมถือมีดประจำตัว เถือเนื้อนั้นให้ขาดจากกันพอดีคำ ใส่เนื้อเข้าปากเคี้ยวอย่างช้า ๆ
เพื่อดูดซับรสชาติของมันให้ถ้วนทั่ว
นุ่ม นุ่มจริง ๆ
เขาคงขุนเอาไว้นาน ผมบอกกับภรรยา
คุณว่าอะไรนะ? เธอเงยหน้าขึ้นถาม
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ฟังผม
ภายในปากเธอแดงเหมือนคนกินหมากสมัยโบราณ
ผมว่ามันนุ่ม
ค่ะ ๆ เธอพยักหน้ารับ แล้วก้มลงหั่นเนื้อในจานของเธอ ยกขึ้นใส่ปาก
ดิฉันตัดเอากระดูกซี่โครงอ่อนมาด้วย
อยากจะเสริมจมูกให้โด่งอีกหน่อย
คุณว่าดีไหมคะ? เธอพูดขณะเคี้ยว
แล้วแต่คุณเถอะ
อ้าวลูก ทำไมไม่กินล่ะ มัวมองอะไรอยู่ กินสิลูกอร่อยนะ
เธอพูดกับลูกทั้งที่ปากยังไม่ว่าง
ลูกชายผมลังเลอยู่นิดหนึ่ง เขาค่อย ๆ
เฉือนหนังตรงโคนหัวแม่เท้าขึ้นมานิดหน่อย
แต่ค้างมือไว้
ลองแตะ ๆ ดูก็ได้
อย่าไปคิดถึงศีลธรรมให้มากนัก
ศีลธรรมมันเป็นเรื่องของไอ้พวกมนุษย์ชั้นต่ำ
กินซะลูก
แม่ขอร้อง
อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เขายกส้อมที่จิ้มหนังหัวแม่เท้าขึ้นใส่ปาก ทันทีที่ลิ้นเขาสัมผัสรส ผมเห็นใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไป
ราวกับว่าเขาได้พบสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอะเจอ ดวงตาเขาวาววามฉายแววแห่งความดุร้ายออกมา
เขาจ้องมองหัวแม่เท้าในจานอย่างหิวกระหาย
ผมยิ้มให้กับภรรยา เธอเองก็ลอบมองลูกอยู่เช่นกัน เธอยิ้มตอบ
ลูกชายผมใช้ส้อมจิ้มหัวแม่เท้าขึ้นมาทั้งดุ้น อ้าปากกว้างแล้วยัดมันหายเข้าไป เขาเคี้ยวมันอย่างตะกละตะกลาม
เขาคงรู้ซึ้งถึงรสชาติเนื้อคนแล้ว สีหน้าเขาไม่เหลือวี่แววความเป็นคนขี้สงสารมนุษย์ชั้นต่ำอยู่เลย
ดิฉันบอกคุณแล้วว่าให้เวลากับลูกหน่อย ภรรยาผมพูดขึ้นอย่างภาคภูมิ ผมไม่ตอบอะไร ยังคงมองลูกชายอย่างชื่นชม
ลูกชายผมเคี้ยวเนื้อหัวแม่เท้าอย่างเอร็ดอร่อย
สักครู่หลังจากที่เขาดูดซึมรสชาติอันหอมหวานของมันแล้ว เขาปลิ้นกระดูกหัวแม่เท้าออกมาจากปาก
มันขาวสะอาดไม่มีเศษเนื้อหรือคราบเลือดติดอยู่เลย เขาคงดูดซับมันจนหมดน้ำ ก่อนเค้นคายกระดูกออกมา สักครู่เขาคายเล็บเท้าตามออกมา ในปากยังเคี้ยวเอื้องเนื้ออยู่
ผมรู้ว่าเขายังไม่อยากกล้ำกลืนมันลงคอ เพราะความเสียดายรสชาติของเนื้อคนนั่นเอง
พ่อบอกลูกแล้วว่าลูกจะไม่ผิดหวัง
นี่เพียงแค่หัวแม่ตีนเท่านั้นนะ
พ่อจะบอกให้ ผมสัพยอก
ลูกชายผมมองตอบ ใบหน้าเขาเหมือนสำนึกผิด ที่ไม่ยอมเชื่อเสียแต่แรก
ไม่เช่นนั้นเขาคงจะได้เนื้อมากินอีกมากกว่านี้ น้ำตาเขาซึมเอ่อ
ผมไม่แน่ใจว่ามันเอ่อท้นขึ้นมาเพราะความสำนึก
หรือว่ามันท้นขึ้นมาเพราะความเอร็ดอร่อยที่เขาได้รับ ในที่สุดเขากระเดือกกลืนเนื้อในปากอย่างแสนเสียดาย
เดี๋ยวผมจะออกไปเอาอีก
เขาขยับตัวจะลุกขึ้น
ไม่ต้องไปหรอกลูกเอ๋ย
ป่านนี้เหลือแต่กระดูกแล้ว
ผมแบ่งเนื้อในจานให้ลูกชายอีกเล็กน้อย เฝ้าดูเขาเคี้ยวกินอย่างหมดห่วง
รักษามีดประจำตัวเอาไว้ให้ดี
มันเป็นสิทธิ์ที่เจ้าจะได้กินเนื้อคนด้วยกัน ผมบอกกับลูกในขณะที่ตัวเองกำลังแล่เนื้อในจาน
แม่ขอผมอีกหน่อย เสียงลูกชายผมเว้าวอนฟังน่าเอ็นดู
สักครู่ผมเหลือบมองลูกชาย
เนื้อในจานของเขาหมดแล้ว
แต่ในมือเขายังกระชับ มีดประจำตัว แน่น
เขากำลังจ้องมองคนรับใช้ประจำโต๊ะ
ด้วยสายตาที่ผมรู้ว่าเขาต้องการอะไร
ผมยิ้มให้กับตัวเองขณะก้มลงมองเนื้อในจาน ผมค่อย ๆ ผ่านมันออกเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วจิ้มขึ้นมาเคี้ยวช้า ๆ อย่างพ่อบ้านที่มีความสุขกับครอบครัวอันอบอุ่น
-00000- Top
อัศศิริ
ธรรมโชติ
นายให้มาบอกให้แกออกไปจากที่แห่งนี้
พรุ่งนี้นายจะมาจัดการไร่และบ้านหลังนี้ด้วย คนมาเยือนอยู่กลางแจ้งบอกด้วยเสียงเรื่อย
ๆ
นายก็บอกกันไว้เหมือนกัน
บอกให้รักษาบ้านและที่ดินตรงนี้ด้วยชีวิต คนนั่งอยู่หัวบันได พูดตอบกลับลงมาด้วยเสียงเรื่อย ๆ ปานกัน
แต่นายของแกอยู่ในเมือง
เขาจะช่วยอะไรได้
ถึงแกตายก็คงไม่ได้เห็นซาก
คนมาเยือนพูดขึ้นอีก
ทั้งคำพูดด้วยเสียงหัวเราะแปร่งปร่า
ช่างเถอะ เรื่องนี้ นาคก็รู้นี่น่า ชีวิตเรามันเป็นของนาย
คนมาเยือนที่ถูกเรียกว่านาค
ยืดไหล่ผึ่งผาย
ตั้งตัวตรงนิ่งอยู่ตรงกลางแจ้งลานบ้านคล้ายเสาที่ถูกปักลึกลงไปในดิน
กางเกงขาก๊วยหลวมโพลกสีดำสนิทเนื้อเดียวกับเสื้อ
พร้อมผ้าขาวม้าเคียนเอวถูกลมทุ่งพัดชายพลิ้ว ปลิวไหวคล้ายธงโบกสะบัด
ร่างตระหง่านทอดเงาอยู่เหนือหย่อมหญ้าสีเขียว ที่เส้นสายของมันไหวเต้นไปตามแรงลมบ่าย
เศษฝุ่นปลิวคว้างอยู่กลางลมและไอแดดระอุ ตะวันลอยตัวสูงละลิบลิ่ว ประหนึ่งจะหลบซ่อนเปลวอันร้อนแรงของมันเอง
เราต้องทำ
มันเป็นหน้าที่ของเรา-เหิน
วันนี้วันสุดท้ายแล้วนายยื่นคำขาดถ้าแกอยู่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้
ลูกเมียของเราก็อยู่ไม่ได้สบายอย่างทุกวันนี้ คนชื่ออนาคพูดพลางเอามือทั้งสองกระชับผ้าขาวม้า ตั้งตัวตรงและยืดอกขึ้นไปอีก
คนชื่อเหินนั่งชันเข่าอยู่ตรงหัวบันไดชานบ้าน เขาสวมกางเกงขาก๊วยเหมือนกัน
แต่พาดผ้าขาวม้าไว้กับไหล่อันกว้างและเปลือยเปล่า เรือนกายของเขาบึกบึน ทะมัดทะแมงแข็งขัน ไม่แพ้กันกับคนมาเยือน เขานั่งยืดตัวตรง นั่งเหมือนกับตอไม้ แสงแดดลอดชายคา กระทบตาวาววามที่ทอดต่ำลงเบื้องล่าง เหมือนอย่างไม่มีวันกระพริบไหว
รู้แล้วล่ะ
กันก็เหมือนแกนั่นแหละ
ทุกอย่างขึ้นกับนาย
หน้าที่ของเรา นายก็มาก่อนเรา ว่าแต่จะเอาไง เหินตัดบท
นาคหัวเราะหึหึ ก้มหน้า เอาฝ่าเท้าเขี่ยดินเล่นก่อนเงยหน้าแล้วหัวเราะหึหึอีก
แกคนเดียวนะ เหิน นาคว่า
แกกี่คนล่ะ เหินถาม
ก็ต้องคนเดียวซิ นาคตอบ
อันที่จริงมีหลายคน
แต่กันไม่ให้มาหรอกพวกเด็ก ๆ
และอีกอย่างมันเป็นการเอาเปรียบแกเกินไป นาคว่าต่อ
ขอบใจ ปืนหรือดาบล่ะ ตอนนี้เหินลุกขึ้นยืน ร่างทะมึนตระหง่านอยู่บนหัวบันได
ดาบสิ มันเงียบดี นาคพูด กลั้วเสียงหัวเราะ
เหินนิ่ง
แล้วหัวเราะหึหึบ้าง
ก่อนถาม แกฆ่าคนติดตะรางมั้ย?
ไม่ นายเขาช่วย แกล่ะ
เหมือนกัน เรื่องของนาย ทั้งสองนิ่ง
ไปละนะ นาคว่า คืนนี้ใกล้ ๆ สางกันจะมา
เมื่อเหินพยักหน้า
นาคก็เอี้ยวตัวกลับ
เดินดุ่มมุ่งหน้าแกว่งแขนด้วยท่าทางสบาย ๆ
คล้ายเดินเล่นชมไร่ออกไปทางประตูรั้ว
ธรรมชาติของเขาดูเหมือนจะกลับคืนมา
เช่นเดียวกันกับเหินที่ทรุดตัวลงนั่งคว้าใบจากมวนยาแล้วจุดพ่นควันเอ้อระเหย
ดวงตะวันถีบตัวสูงขึ้นไปอีก ประกายแดดระยิบเหนือทุ่งและบ้านไร่ วูบวาบคล้ายเปลวไฟ
เหินจับตามองตามร่างของคนมาเยือน
ซึ่งค่อยห่างไกลออกไปพร้อมกับระบายลมหายใจออกมากับควันบุหรี่ มันเป็นหน้าที่ของเรานาคเอ๋ย
เหินพึมพำ
เหินเห็นนาคเดินย้อมกลับเข้ามาในความคิด ณ
หน้าประตูรั้วไร่ ในคืนอันเก่านั้น นาคยังหนุ่มฟ้อไล่เรี่ยกันกับเขา นายคนพี่เดินนำหน้ากันมากับนายคนน้อง ขณะที่เหินกุลีกุจอออกไปรับ
เหิน รู้จักกับนาคเสีย คนของพี่ฉัน นายของเขาแนะนำ
รอยยิ้มระหว่างกัน
เมื่อแรกพบของวันนั้นคือความเป็นเพื่อน คือความเข้าใจรู้หน้าที่และรู้ความรู้สึก
และต่างก็มองเห็นความสลักสำคัญในแห่งหนตำแหน่งที่อยู่ในที่ที่เดียวกันคือเป็นคนของนายทั้งสอง
แกกินเหล้าหรือเปล่า?
เหินถาม
ตอนที่นายทั้งสองพากันคล้อยหลังขึ้นเรือน
ก็เป็นบ้าง นาคหัวเราะหึหึ
ก่อนจะว่า ฉลองกันเย็นนี้เลยเป็นไง
ความเป็นเพื่อนได้เดินคืบหน้าไปเรื่อย ๆ
คล้ายต้นไม้ที่ลงรากชิดติดกัน
แล้วเกี่ยวพันเข้ากัน
เพื่อความมั่นคงของลำต้นทั้งสอง
บ่อยครั้งที่เหินรู้สึกว่า
เขากับนาคเป็นเหมือนคน ๆ เดียวกัน
มีความบึกบึน
แข็งแกร่งแห่งเรือนกายคล้ายกัน
มีวัย อายุไล่เลี่ยกัน มีครอบครัวที่ให้นายเลี้ยงดูเหมือนกัน นายให้บ้านอยู่ขอเมียให้เขาสองคนคล้าย ๆ
กัน
นอกจากนี้ต่างก็มีหน้าที่สำคัญไม่ต่างกัน คือ
การพิทักษ์คุ้มครองติดสอบห้องตามนายไปพร้อม ๆ กันด้วย ไปทุกแห่ง
ทุกหย่อมหญ้าที่นายทั้งสองไปด้วยกันเหมือนฝาแฝด เหินคิดว่านายของตนเหนือชีวิต และยิ่งใหญ่อย่างไร นาคก็คิดว่านายของตนเป็นอย่างนั้น เรามันลูกผู้ชาย นายเป็นผู้มีพระคุณ ตายแทนได้ นาคเคยพูดเหมือนที่เขารู้สึก
เหินคาดหมายไม่ได้ว่า
เหตุใดที่ทำให้นายทั้งสองซึ่งเป็นพี่น้องคลานตามกันออกมานั้นต้องบาดหมาง
หันหลังให้กันเหมือนตายจากนายคนน้องของเขาทิ้งงานไร่อพยพเข้าเมืองใหญ่ในวันหนึ่ง
พร้อมด้วยครอบครัวของนายและครอบครัวของเขาเอง พร้อมกับถ้อยคำสั้น ๆ ที่นายบอก พี่ชายฉันมันทรยศ เราต้องไปอยู่ในเมือง และวันหนึ่งต่อมาเขาก็ได้รับถ้อยคำสั้น
ๆ จากนายอีก ไปเฝ้าบ้านเก่าที่ไร่ไว้ อย่าให้ใครเข้าไปครอบครองได้
พี่ชายฉันมันจะรุกที่และเอาบ้านหลังนั้น และต้องรักษามันไว้ด้วยชีวิต เข้าใจมั๊ยเหิน?
เหินกราบเท้าของนาย
และลาลูกเมียกลับมาไร่
พร้อมกับถ้อยคำสั้น ๆ ที่ซึมซาบและจดจำอยู่จนเดี๋ยวนี้
การกลับมาบ้านไร่ของเหินครั้งใหม่
นาคกลายเป็นคนต้องห้ามสำหรับการคบหาด้วยเป็นคนของ ศัตรู เขาไม่ได้พบหน้านาค นับแต่เหตุการณ์ครั้งกระนั้น
แต่ทุกครั้งที่คิดถึงความระมัดระวังและหวาดระแวง ก็ดูเหมือนมากั้นกลางความเป็นเพื่อนเอาไว้ นายของนาคเป็นคนอื่น และนาคก็กลายเป็นคนของ คนอื่น แล้ว เหินรู้และสำนึกในข้อนั้น ก็เหมือนกับเขาที่เขารู้สึกสำนึกและจดดจำในพระคุณอันท่วมหัวแห่งผู้เป็นนายของเขา
มันเป็นหน้าที่ของเรา
นาคเอ๋ย
เหินพึมพำขึ้นมาอีก
นาคหันหลัง
เดินห่างเหินออกมาเรื่อย ๆ
จนพ้นเลยรั้วไร่ด้วยหัวใจขัดข้องและครุ่นคิดหนัก เหินเอ๋ย แกควรจะไปเสีย นาครำพันในใจ
ที่จริงเขาก็คิดเห็นแก่ตนเองไปอย่างนั้น ทั้งที่รู้ว่าไม่มีวันเป็นไปได้
เหินคือลูกผู้ชายที่จะไม่ละทิ้งหน้าที่และไม่คืนคำสั่งหันหลังให้นายของเขา เฉกเช่นตัวเขาเอง ณ
บัดนี้เขารู้จักเหินดี
นับตั้งแต่วันแรกพบ
วันที่เขาติดสอยห้อยตามมากับนายของเขามาดำเนินงานในไร่กว้างร่วมกับนายของเหิน เมื่อนายทั้งสองมีผลประโยชน์ร่วมกัน รักกัน เขากับเหินถึงได้มาพบกัน รู้จัก และรักกันด้วย เมื่อนายแตกแยก และหันหลังให้กัน
เขากับเหินก็ต้องหันหลังและแยกกันไปเป็นของธรรมดา ชีวิตของเราทั้งสองต่างก็เป็นของนาย เกือบทุกอย่างนายให้และสร้างขึ้น
แม้แต่ความเป็นเพื่อนของเราก็เกิดมาจากนาย
อย่างที่เหินพูดเมื่อกี้ถูกแล้วนายมาก่อน มาก่อนเขาทั้งสองคน ก่อนลูกและเมีย
นายแตกแยกกันด้วยเรื่องอะไร
นาคสุดวิสัยที่จะรู้ได้
เรื่องราวของนายดูเป็นเรื่องของฟ้าดิน อยู่นอกเหนือจากคนอย่างเขาที่จะเข้าไปล่วงรู้ เขาคงรู้แต่หน้าที่
และความเป็นลูกผู้ชายที่ให้ไว้กับนายคนเดียว ก็เหมือนเหินนั่นแหละ คำสั่งของนายย่อมศักดิ์สิทธิ์
น้องชายฉันมันทรยศ
ที่ดินและบ้านแห่งนั้นเป็นของฉันทุกอย่าง นาคได้รับคำบอกเล่าจากนายสั้น
ๆ และต่อมานายก็สั่งสั้น ๆ อีก ถึงเวลาไปบอกไอ้เหินได้แล้วให้มันออกไป
พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปจัดการที่กับบ้านหลังนั้น
นิทานเก่า ๆ จากคำบอกเล่าของแม่
ผุดแว่บขึ้นมาในสมองของนาคขณะเดินผ่านกระท่อมของชาวไร่และละเมาะไม้สองข้างทาง นิทานที่แม่เล่าแต่ครั้งนาคยังเล็ก หลายเรื่องเป็นเรื่องความผูกพันและความจงรักภักดีระหว่างนายกับบ่าว
นายผู้มีพระคุณมีคำสั่งอันศักดิ์สิทธิ์ และบ่าวผู้ซื่อสัตย์ ผู้ปฏิบัติตามหน้าที่ เป็นตัวอย่างอันดีสำหรับสอนใจคน แม่รู้ไว้ด้วยเถอะฉันเหมือนบ่าวในนิทานที่แม่เล่าอยู่บ่อย
ๆ นั่นแหละ นาคพูดอยู่ในหัวใจของตัวเอง
นาคเงยหน้ามองตะวันที่ดูเหมือนกำลังจะโน้มตัวลงต่ำ คล้อยไปทางอีกฟากหนึ่งแล้ว
นึกถึงและอดเสียดายความเป็นเพื่อนที่จะต้องสะบั้นแหลกหักยับเยิน เมื่อตอนใกล้ฟ้าสางคืนวันนี้ไม่ได้ อันที่จริงมันก็ขาดไปนานแล้ว นาคคิด ขาดนับตั้งแต่นายขาดกัน และเหินกลายเป็นคนของ คนอื่น แม้จะไม่แหลกหักยับเยินเหมือนอย่างที่จะเกิดขึ้นในคืนวันนี้ก็ตาม
ใครจะแพ้-ชนะ
นาคยังไม่ได้คิดหรอก
และเขาคิดว่าเหินเองก็ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ คล้ายกับว่า มันเป็นเรื่องของกาลเวลาและฟ้าดิน
ทั้งเขาและเหินไม่ควรจะไปตัดสินล่วงหน้าเมื่อยังไม่ได้เกิดขึ้น
มันเป็นหน้าที่ของเรา
เหินเอ๋ย
และแกก็ควรจะไปเสีย ในใจของนาคอดคิดอย่างเห็นแก่ตัวไม่ได้ขึ้นมาอีก
เมื่อรู้ตัวว่าจะสับสน
นาคก็สะบัดหัว ยืดตัวตรง เดินดิ่งไปข้างหน้า
ใกล้ฟ้าสางคืนนั้น
นาคก็เข้าเรือนกลางไร่
ที่เหินจุดตะเกียงรอรับไว้แล้ว
ประกายดาบในมือคนทั้งสองวาววับจับแสงตะเกียงลาน เกิดประกายวูบวาบ คล้ายแสงแปลบปลาบที่ขีดผ่านท้องฟ้า เสียงโลหะกระทบกัน สะเก็ดไฟปลิวกระจาย คล้ายดวงดาวเปล่งแสงก่อนร่วงหล่นลงมา เสียงหอบหายใจอันถี่กระชั้น
และเสียงตึงตังโครมครามของฝาบ้านและกระดานเรือนสั้นดังอยู่หว่างความวิเวกของกลางคืน
แสงตะเกียง-ไหวเต้นเมื่อลมทุ่งกรรโชก เป็นบางครา
สะบัดผ่านใบหน้าและเรือนกายของมนุษย์ทั้งสองในเรือนอันอ้างว้างให้เห็นชัดเป็นบางครั้ง-ดวงตาที่เขม็งมีจุดสีแดงดังตาสัตว์
หยาดเหงื่อที่ชุ่มโชกไหลเยิ้มขอบแก้มและริมฝีปาก เป็นประหนึ่งปีศาจที่กระหายเลือด และหยดเลือดสีแดงเกาะตามริ้วรอยใบหน้า พะเนินอก ลำแขน
และอาบปลายดาบขาวสะท้อนชัดตัดเปลวไฟจากตะเกียงที่พรายผ่าน-สว่างวาบแล้วก็ดับวูบ
ที่ตรงนี้
พลันก็วูบสว่างที่ตรงนั้น
บางที่ก็ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บางทีก็ฉายฉานผ่านไปเพียงชั่วครั้งเดียว แต่ทุก ๆ แห่งมีเลือดและเสียงดาบกระทบกัน เสียงหอบหายใจอันสะท้อนถี่
และเสียงครึกโครมครืนครันที่เกิดจากเสียงลั่นของฝาบ้านและกระดานเรือน
เสียงเหล่านี้เงียบลง
เมื่อฟ้าสางเต็มที่แล้ว
ดวงจันทร์ลับทิวไม้ไปแล้วที่ท้ายไร่
ท่ามกลางเสียงไก่ขันของวันรุ่งอรุณ
นาคโซเซอยู่ที่หัวบันไดบ้าน
ยืนรับเสียงไก่ขันเมื่อวันรุ่งอรุณด้วยดวงตาพร่าพราย
ดาบชุ่มเลือดในมือขวาปักปลายจมอยู่กับพื้นเรือนเบื้องหลังออกไปไม่ไกลนักมีร่างของเหินนอนเหยียดยาวสงบนิ่ง แสงตะเกียงลานค่อย ๆ
เจือจางลงตามลำแสงของยามเช้าที่ค่อย ๆ เข้มขึ้น
นาคยืนอยู่ในที่เห็นยืนอยู่เมื่อบ่ายวานนี้! ผ้าขาวม้าเคียนเอว และกางเกงขาก๊วยที่หลวม
โพลกของเขาเต็มไปด้วยหยาดเลือดอันเกิดจากรอยแผลตามลำแขน และแผงอกที่เปลือยเปล่า เช่นเดียวกับใบหน้าที่มีสีแดง ซึมออกเป็นแห่ง ๆ
เขาก้าวลงบันได้ด้วยมือเปล่า
ปล่อยให้ดาบปักปลายคาค้าง
สั่นไกวอยู่กับพื้นเรือน
ก้าวลงได้ไม่กี่ขั้น
เขาก็หล่นลงสู่พื้นดินตรงลานบ้านกลิ้งไปติดกอหญ้า แน่นิ่งอยู่ตรงนั้น เหินไปแล้ว
นาคนอนคิดด้วยหัวใจอันระรวย พรุ่งนี้นายก็จัดการไร่ได้ทุกอย่าง
ตามที่นายต้องการหน้าที่ของเราเสร็จสิ้นแล้ว
นาคเพิ่งจะรู้ว่าความเป็นเพื่อนระหว่างเขากับเหินนั้นไม่มีวันสิ้นสุด
สิ่งที่สิ้นขาดไปคือลมหายใจของเพื่อนต่างหาก ความรัก ความเข้าใจ
และความเป็นลูกผู้ชายด้วยกันยังคงอยู่แม้จนขณะนี้
ขณะที่เหินไม่มีชีวิตและชีวิตเขาก็กำลังจะไม่มี นาครู้สึกว่าน้ำตาของตัวเองกำลังไหลอาบพรากใบหน้า ปนกับเลือดและเหงื่อ
นิทานเก่า ๆ ของแม่ลอยเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
เรื่องราวพิสดารเหล่านั้นเป็นเรื่องระหว่างนายกับบ่าว ที่เขาได้รับคำบอกเล่ามาจากแม่อย่างจำเจ
แม่จะบอกทุกครั้งว่าให้จดจำเป็นตัวอย่างสำหรับการสร้างความดีของคนเรา ภาพของนาย ภาพของเมีย ของลูก และภาพของเหินปรากฏเด่นชัด ทั้ง ๆ ที่เขาซบหน้าติดอยู่กับกอหญ้า
สุดท้ายก็ภาพของแม่ที่ล่วงลับไปแล้วนานแจ่มชัดอยู่กับนิทานเหล่านั้น แม่
นิทานของแม่ถูกแล้ว
แต่ฉันก็คิดว่าโชคดี
ที่ไม่ได้เล่านิทานเหล่านั้นให้ลูก ๆ ของฉันฟัง นิทานที่แสนจะเจ็บปวดอย่างฉันในขณะนี้ นาคร้องไห้
เขาคิดว่าความเจ็บปวดนั้นเกิดมาทั้งร่างกายและจิตใจของเขา เขารู้สึกไม่เพียงว่า
ตัวเองกำลังเสียเลือดที่กำลังไหลออกจากร่าง แต่กำลังเสียลูก เสียเมีย และได้เสียเพื่อนไปแล้ว คือ
เหิน
นายล่ะนายของเขา เขาก็กำลังจะสูญเสียนายในขณะนี้ เพียงแต่ว่าเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดที่สูญเสียไปเหมือนกับเพื่อนและลูกเมีย
เมื่อวาระสุดท้ายได้เดินทางมาถึง
นาคคิดว่าตนเองดีเสียด้วยซ้ำต่อการที่จะสูญเสียนายไปเสียทีหนึ่ง เหินเมื่อใกล้ตายก็คงคิดไม่ต่างไปจากเขา
นาคคิดและรู้สึกว่าพันธะทั้งหลายแหล่กำลังสูญสิ้นไปโดยปริยาย ความรู้สึกใหม่คือ
การเป็นอิสระจะมาบังคับและเป็นนายเขาทั้งสองต่อไปอีกแล้ว ณ
บัดนี้
มือทั้งสองของนาคกำเกร็งกอหญ้าแพรกแหลกยับเยินเป็นทางก่อนลมหายใจสุดท้ายจะหลุดออกจากร่างไป
-00000- Top
ประชาคม
ลุนาชัย
ลุงสวงก้าวออกจากบ้านขณะเมียแกกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว นั่นคงเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของคนงานทั้งสองก่อนที่พวกเขาจะเดินทางกลับบ้านเกิดที่ภาคอีสาน
คนงานทั้งสองของแกตื่นนอนแต่เช้าตามปกติ
จัดแจงนำเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางแล้วออกมานั่งก่อไฟผิงใต้ต้นมะม่วง ลุงสวงเหลือบมองราวเสื้อผ้าที่เคยห้อยรุงรังเหนือเพิงพักคนงาน บัดนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า แกพยักหน้าหงึก ๆ
อย่างเข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
ทั้งสองดีใจที่จะได้กลับบ้านไปพบหน้าพ่อแม่ญาติพี่น้อง
ลมหนาวปลิดใบแห้งมะม่วงสองต้นหน้าบ้านร่วงหล่นลงมาเป็นระยะ ๆ หยาดน้ำค้างชื้นพื้นหญ้าสองฟากทางเดินเท้าที่ทอดจากหน้าบ้านสู่ท้ายไร่ ลุงสวงเปลือยเท้าหนาเตอะย่ำไปบนพื้นหญ้า ทอดตามองท้ายไร่ ทว่าหมอกหนาขึงม่านจนแกมองไม่เห็นป่าอ้อยเขียวครึ้ม นอกจากเงาเลือนลางเบื้องหน้า
ผ่านแปลงผักที่กำลังชูใบรับน้ำค้าง
หยุดมองผักสวนครัวที่เมียแกปลูกไว้สำหรับทำกับข้าวและตัดส่งตลาดขายแก้ขัดสนไปบ้างบางครั้ง
บนเนื้อที่ไร่เศษที่เหลือจากปลูกหอมหัวใหญ่นั้นมีทั้งคะน้า กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี
ลมหนาววูบผ่าน
ลุงสวงสะท้านเยือก
รีบยกแขนสองข้างขึ้นกอดอก
ห่อไหล่ลู่ลง ผมสีดอกเลาสะบัดปลิว ริมฝีปากสั่นระริก ยังดีที่เสื้อกันหนาวสองชั้นช่วยแกไม่ให้เยือกเย็นกว่าที่เป็นอยู่ แก่ป่ายเท้าไปตามคันดินกลางไร่
อันเป็นกิจวัตรยามเช้าที่เคยปฏิบัติสืบมาเป็นนิสัย ไม่ว่าหน้าแล้งที่พืชผักในไร่เหลือน้อยหรือต้นหน้าหนาวที่ผืนไร่ของแกยังสดเขียวไปทุกหย่อม
สองสามเดือนก่อน ลุงสวงเดินเล่นออกกำลังกายในยามเช้าเช่นวันนี้
แต่ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันลิบลับ
ตอนนั้นรอบกายแกเต็มไปด้วยต้นหอมที่กำลังงอกงาม แกจะมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความวาดหวัง
ทว่าบัดนี้เหลือเพียงผืนดินโล่งเปล่ากับริ้วรอยการเก็บเกี่ยว
นึกพลางเดินพลางก่อนชะงักเท้านิ่งหยุดอยู่กับที่ เหลือบมองรอยแตกบนร่องดินที่ต้นหอมเคยสดเขียว
หวนนึกถึงภาพการทำงานของแกกับเมียและลูกจ้างทั้งสอง
นึกถึงหยาดเหงื่อแรงงานที่ช่วยกันฟูมฟักมันตั้งแต่เป็นลูกกล้าต้นเล็ก ๆ
กระทั่งเติบใหญ่
แกเคยอิ่มเอมกับภาพหวังที่วาดไว้ในใจ ว่าปีนี้แกคงได้กอบกู้หนี้สิน มีเหลือเป็นทุนสำรองทำไร่ปีหน้า ไม่อับอายขายหน้าเพื่อนชาวไร่ด้วยกัน
แต่สุดท้ายผลที่แกได้รับช่างชวนหดหู่ท้อแท้เสียเหลือเกิน
ทำไร่ขาดทุนประการเดียวนั้นแกไม่เจ็บปวดเท่าใดนัก
แต่ความผิดหวังด้านอื่นที่ถาโถมเข้ารุมนี่สิยากยิ่งที่แกจะทำใจได้ ความจริงปีนี้แกไม่ตั้งใจจะลงหอมหัวใหญ่มากมายขนาดนี้หรอก
แกขาดทุนติดต่อกันมาหลายปีจนเข็ดขยาด
ตั้งใจปลูกผักเพียงไร่สองไร่ขายกินประทังชีวิตไปวัน ๆ
ผลักภาระหนี้สินทั้งหมดให้ลูกสาวลูกเขยช่วยสะสาง
ลูกสาวลูกเขยของแกแยกไปเช่าที่ดินต่างอำเภอทำไร่เมื่อสองปีก่อน ที่กว่าห้าสิบไร่ของมันลงหอมหัวใหญ่ทั้งหมดเป็นที่ทราบกันดีว่าไร่ใหม่
ๆ ต้นทุนไม่สูง
ไม่สิ้นเปลืองค่าปุ๋ยและยาฆ่าแมลงเหมือนที่เก่า ดูแลรักษาง่าย ทั้งต้นก็งาม หัวใหญ่ได้น้ำหนัก
แกหวังว่าเพียงไม่กี่ปีมันคงมีกำไรช่วยล้างหนี้สินให้แกได้
นึกถึงความหลังบางช่วงแล้วลุงสวงก็ได้แต่แค้นใจ ปีที่พืชไร่แกงาม
หอมลงหัวสมบูรณ์พร้อมเก็บเกี่ยวออกได้ทันราคา ช่วงนั้นแกยังไม่มีหนี้สิน ไม่เคยบากหน้าไปขอทุนจากใคร
มีแต่เถ้าแก่ปากคลองตลาดนั่นแหละเป็นฝ่ายมาหาแกถึงบ้าน บางรายถึงกับหอบเงินมาให้ล่วงหน้า
แกยังจำไอ้เตียวเล้งตอนที่มันจน ๆ ได้ดี เมื่อหลายปีก่อนชาวไร่แถบนี้ไม่เคยมีใครทำส่งมันสักเจ้า มันแวะเวียนมาหาแกที่บ้านนับสิบเที่ยว
ส่งผมนะลุง ส่งผม
เห็นใจผมบ้านเถอะนะ ท่าทางมันน่าสงสาร แทบจะก้มกราบเท้าแกเลยทีเดียว มันวิงวอนตื๊อจนแกใจอ่อน
ในที่สุดหอมทั้งยี่สิบไร่ของแกเมื่อบรรจุเข่งเสร็จก็ประทับชื่อส่งไอ้เตียวเล้งเจ้าเดียว
ช่วงสามสี่ปีที่พืชไร่แกออกได้ราคา
ไอ้เตียวเล้งถึงกับมีเงินสร้างตึกใหม่
ทั้งยังเที่ยวออกทุนให้ชาวไร่ย่านนี้อีกหลายสิบเจ้า มันยิ่งใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ
ขณะแกได้เพียงรถเครื่องคันเดียวซึ่งต่อมาทำเป็นสามล้อบรรทุกผัก
ยามไร่แกดีใคร ๆ ก็ตามง้อขอซื้อ พอตกอับขาดทุนซ้ำซาก
เถ้าแก่ที่เคยมาอ้อนวอนต่างปฏิเสธเป็นเสียงเดียว
เมื่อถึงคราวแกเป็นฝ่ายบากหน้าไปขอความช่วยเหลือ ไอ้เตียวเล้งกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่
นับวันมันจะบีบบังคับแกเหมือนลูกไก่ในกำมือ
นับแต่ปีที่ลูกสาวแต่งงาน ฐานะการเงินของลุงสวงตกต่ำลงเรื่อย ๆ
เมื่อลูกสาวออกเรือนแยกไปทำไร่ต่างหาก
แกตั้งใจวางมือจากทำไร่เพราะรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ สังขารนับวันร่วงโรย ไฟแห่งความทะเยอทะยานก็แทบสิ้นเชื้อ
ใช่สิ
วัยต้นเจ็ดสิบของแกควรถึงเวลาพักผ่อน เมียแกปีนี้ก็หกสิบห้า แม้ร่างกายนางยังดูแข็งแรง ยกจอบขุดดินสู้งานในไร่ได้ทั้งวัน แต่นางทำงานหนักมามาก
กำลังใจก็ถูกบั่นทอนด้วยความผิดหวังปีแล้วปีเล่า นางควรได้พักผ่อนในบั้นปลายชีวิตพร้อม ๆ
กับแก
แต่ทว่าลูกเขยเจ้ากรรมนั่นสิไม่ยอมให้แกกับเมียอยู่ว่าง
ลองสู้อีกสักปีสิพ่อ ปล่อยไร่ว่างเอาไว้ทำไมไม่เสียดายหรือ เผื่อเคราะห์ดีมีกำไรพ่อจะได้มีเงินใช้หนี้
หากเหลือมากพ่อก็อาจมีรถกระบะมาขับเล่นก็ได้
ลูกเขยสรรหาคำมายั่วยุแกได้ไม่ซ้ำ
ฉันจะเข้ากรุงเทพฯหาคนงานมาให้
เรื่องทุนฉันจะประกันกับไอ้เตียวเล้งมันเอง ทำเถอะพ่อ ดีกว่าอยู่ว่าง
คำยุแหย่ของเจ้าลูกเขยได้ผล ถึงปลายเดือนสิบฝนทิ้งช่วง แกกับเมียลงมือเพาะกล้าหอมเตรียมไว้ จ้างรถมาตีดิน
อีกไม่กี่วันถัดมาลูกเขยก็นำคนงานสองคนมาส่ง
ทั้งคู่เป็นเด็กหนุ่มอายุน้อย
สอบถามได้ความว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน
ลูกเขยแกรับมาจากสำนักจัดหางานย่านหัวลำโพง ทั้งสองเพิ่งเข้ากรุงเทพฯครั้งแรก คนพี่อายุสิบแปดคนน้องย่างสิบหก ทั้งคู่ผิวคล้ำ หน้าซื่อ ท่าทางตื่นกลัว
เคยทำไร่มาก่อนหรือเปล่าล่ะ แกถาม มองหน้าทั้งสองสลับไปมา
คนพี่ฝืนยิ้ม
เงยหน้าขึ้นตอบแกไม่เต็มเสียง
เคยทำแต่นา บ้านผมไม่มีไร่
มาแล้วต้องทำงาน จะพากันหลบหนีไม่ได้เด็ดขาด
อยู่จนหอมในไร่ออกหมดนั่นแหละถึงจะให้กลับ
ถ้าอยู่ไม่ครบก็ไม่มีเงินให้แม้แต่บาทเดียว แกอธิบายถึงเงื่อนไขเหมือนเคย ปฏิบัติต่อคนงานรุ่นก่อน ๆ
ซึ่งก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร
คนงานแกทุกรุ่นต่างอยู่ครบตามสัญญา
ในปีที่แกมีกำไรมากนอกจากเงินเดือนแล้ว แกยังซื้อของฝากของขวัญให้เป็นสินน้ำใจ แม้ปีที่ขาดทุนแกก็ยังส่งค่ารถ
ถือว่าคนงานมาอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขเสมือนคนในครอบครัวของแก
แต่พี่น้องคู่นี้ยังดูเด็กนัก ท่าทางขลาดกลัว แกไม่แน่ใจว่ามันจะสู้งานหนักได้หรือเปล่า
เมื่อเห็นแกทำท่าไม่เต็มใจรับ ลูกเขยคล้ายอ่านความในใจแกออก รีบตกปากเป็นประกัน
อยู่ได้น่าพ่อ ลูกอีสานสู้งานทุกคนอยู่แล้ว จริงไหม
ไอ้หนุ่ม ลูกเขยแกตบหลังคนพี่ พูดกระเซ้าคนน้อง ก่อนจากไปลูกเขยแกให้โอวาททั้งสองยกใหญ่
เอ็งไม่ต้องกลัวหรอก พ่อแกใจดีจะตาย งานดีขยันก็ได้เงินเดือนมาก หากขี้เกียจคอยแต่จะกลับบ้านท่าเดียวก็อาจจะได้น้อยหน่อย อยู่กับพ่อเอ็งสองคนต้องขยัน ตั้งใจทำงาน
ทั้งสองคล้ายเชื่อฟังลูกเขยแกทุกอย่าง
หรืออาจเพราะความเป็นเกษตรกรที่ฝังในสายเลือดของมัน
นับแต่ลงทำงานวันแรกทั้งคู่ทำงานอย่างแข็งขัน แกกับเมียแทบไม่ต้องบอกสอนอะไรมาก พอยกร่องเสร็จนำกล้าหอมลงปักดำ เมื่อหอมทั้งไร่ตั้งตัว มันออกไร่ทำงานกันแต่เช้ามืด ไม่รอให้เมียแกปลุกเหมือนคนงานรุ่นก่อน ๆ
พักกินข้าวไม่ว่าเป็นเช้าหรือบ่าย
นั่งพักเพียงไม่กี่นาทีก็ออกไร่ทำงานต่อ
ได้ลูกจ้างขยันอย่างนี้ก็สบายใจ ถือเป็นบุญของเรา ลุงสวงเปรยกับเมีย นางเองดูจะชอบใจสองพี่น้องมากกว่าแกเสียด้วยซ้ำ
เพราะทั้งสองทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับนางตลอดทั้งวัน
ไม่เคยได้ยินมันพูดมันบ่นอะไรเลย ใช้ให้ทำอะไรก็ก้มหน้าก้มตาทำ คนงานว่านอนสอนง่ายอย่างนี้หายากนะแก นางเอ่ยชมทั้งสองไม่ขาดปาก ลุงสวงก็ได้แต่วาดหวัง หากไร่แกมีกำไรคงได้ตบรางวัลให้พี่น้องคู่นี้อย่างเต็มที่
หลังกินข้าวมื้อเย็น
สองพี่น้องชอบนั่งคุยกันที่แคร่ใต้ต้นมะม่วง บางครั้งลุงสวงก็เข้าร่วมวงคุย แนะให้ทั้งสองไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง
ระยะทางจากไร่ถึงตลาดอำเภอประมาณสามสี่กิโลเมตรถือว่าไม่ไกลนักสำหรับคนบ้านนอกที่คุ้นเคยการเดินเท้ามาแต่เล็กจนโต
ทว่าทั้งสองไม่เคยไปเที่ยวตามที่แกแนะนำเลยสักครั้ง รีบเข้านอนแต่หัวค่ำทุกวัน
คนพี่รูปร่างสูงโย่ง ผิวเข้มกว่าคนน้องเล็กน้อย ยิ้มง่ายอารมณ์แจ่มใส ทำงานคล่องแคล่วแต่ละเอียด ส่วนคนน้องไม่ค่อยพูดจา ค่อนข้างขี้อาย แต่ก็สู้งานไม่แพ้พี่ชาย
ลุงสวงนึกนิยมน้ำอดน้ำทนลูกข้าวเหนียวสองพี่น้องอยู่ในใจ นึกอายเหมือนกันที่ตอนแรกแกดูพวกมันผิดไป
ลุงสวงคิดวางแผนไว้ลึก ๆ ว่า หากปีนี้ไร่แกมีกำไร
ปีหน้าคงต้องการแรงงานสองพี่น้องคู่นี้อีก แกจะต้องหาทางซื้อใจมันไว้ เงินเดือนต้องให้มันสมน้ำสมเนื้อ
ส่วนสินน้ำใจนั้นหากเป็นไปได้แกจะซื้อสร้อยทองให้คนละบาททีเดียว
จนกระทั่งหอมงวดแรกทยอยออกจากไร่
เป็นช่วงราคากำลังดิ่งเหวลดลงเหลือกิโลกรัมละไม่กี่บาท ซ้ำร้ายหอมแกยังเน่าไส้ เสียหายนับสิบไร่
แกคิดคำนวณเท่าไหนก็มองเห็นแต่หนทางขาดทุน ยิ่งหอมในไร่เหลือน้อย แกยิ่งกลัดกลุ้มกระวนกระวาย ทั้งหนักใจหนี้สินที่พอกพูนจากปีก่อน ๆ
และค่าจ้างคนงานที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า
จะให้มันเดือนละเท่าไหร่ดี วันแล้ววันเล่า
แกครุ่นคิดถึงเงินเดือนคนงานไม่อาจปลงตก
จะให้อัตราเดียวกับที่เคยจ้างก็นึกอายใจ เพราะค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นกว่าปีก่อน ๆ
มาก
ครั้นจะให้มากก็ไม่รู้จะหามาจากไหน
ทั้งสองคนรักหอมทุกต้นเหมือนกับที่แกรัก
หวังได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าเช่นเดียวกับที่แกหวัง ขณะคิดถึงเรื่องเงินเดือน ภาพการทำงานของคนทั้งสองยังตรึงใจแกอยู่เสมอไม่ว่ายามที่มันเดินจับหนอนหลอดหอม แกเห็นมันค่อย ๆ
เด็ดดึงก้านใบหอมอย่างทะนุถนอม
ระวังไม่ให้สะเทือนถึงลำต้น
หรือยามสับร่องก็บรรจงวางจอบลงอย่างระมัดระวัง
ทำงานแต่เช้าเลิกค่ำมืดอย่างไรไม่เคยปริปากบ่น
ข้าวปลาที่เมียแกจัดหาให้จะถูกปากหรือไม่ มันก็ทนอยู่กินตามมีตามเกิด
กลับบ้านไปแล้วจะพากันมาเยี่ยมลุงกับป้าหรือเปล่าล่ะไอ้หนู แกถามเมื่อหอมจวนหมดไร่
คนพี่ยิ้มกว้าง
ขณะคนน้องง่วนอยู่กับการคัดเบอร์หอมหน้าเคร่ง
ปีหน้าจะกลับมาช่วยลุงทำไร่อีกหรือเปล่า แกถามย้ำทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าแกคงไม่มีโอกาสจ้างคนทำไร่อีกแล้ว
ไม่รู้พ่อแม่จะให้มาอีกหรือเปล่า ต้องแล้วแต่
คนพี่ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ แกพยักหน้าแล้วแค่นยิ้ม
หากคำพูดนี้ออกจากปากคนอื่นแกก็คงคิดว่า ไอ้นี่ฉลาด เข้าใจหาคำตอบไม่ผูกมัดตัวเอง แต่สำหรับพี่น้องคู่นี้ แกเชื่อน้ำใสใจจริงของมัน
ทั้งสองคงคิดถึงบ้านไม่น้อย ทันทีที่หอมเข่งสุดท้ายพ้นจากไร่ คนน้องท่าทางคึกคักขึ้นทันตา
ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมมาตลอดห้าเดือนเริ่มมีรอยยิ้ม หลังเลิกงานแกได้ยินมันแผดเสียงร้องเพลงลูกทุ่งหมอลำอย่างมีความสุข
และเจ้าคนน้องนี่เองเป็นคนเอ่ยทวงสัญญาจากแก
ให้ลุงเข้ากรุงเทพฯคิดบัญชีกับเถ้าแก่ก่อน แกขอผัดสองวัน แต่ไม่ใช่รอเงินจากเถ้าแก่นั่นหรอก
เพราะแกแน่ใจว่านอกจากจะไม่มีเหลือแล้ว แถมยังจะเข้าเนื้ออีกเป็นหมื่น
เมื่อถึงกรุงเทพฯการณ์เป็นตามที่แกคาดไว้ ไอ้เตียวเล้งต้อนรับแกอย่างเหยียดหยาม
ติดลบอีกสองหมื่นลุง มันผลักบัญชีให้แกดู ก่อนสำทับ ปีหน้าลุงไม่ต้องมาเอาที่ฉันอีกแล้วนะ เอาที่ใครฉันไม่ห้าม แต่ลุงต้องส่งผักใช้หนี้ฉัน
ไอ้เตียวเล้งไล่เบี้ยอย่างไม่เกรงใจ ลุงสวงได้แต่ก้มหน้านิ่ง
ข่าวว่าไร่ลูกสาวลุงดีไม่ใช่หรือ
ทำไมลุงไม่เอาที่เขามาใช้หนี้ฉันบ้างล่ะ ดูสิ
หนี้ลุงแสนกว่าเข้าไปแล้ว ถ้าปีหน้าลุงยังไม่มีปัญญาใช้ ฉันเห็นทีจะคิดดอกลุงร้อยละยี่สิบ
มันไล่นิ้วให้แกดูตัวเลขหนี้สินติดค้าง ลุงสวงนั่งอึ้งด้วยความแค้นใจ
แกคอตกจากกรุงเทพฯ
บากหน้าสู่ไร่ลูกสาวด้วยต้องการเงินเร่งด่วนมาจ่ายคนงาน
ทำไมพ่อไม่เอาล่วงหน้าที่เถ้าแก่ล่ะ หอมฉันยังออกไม่หมดจะเอาเงินจากไหนมา ลูกเขยแกเสียงเขียว พยายามบิดพลิ้ว ลุงสวงถึงกับร้อนวูบวาบในใจ
แกรู้ดีว่าหอมของมันออกได้ราคา เป็นหอมเบอร์ใหญ่ราคาไม่ตกทั้งนั้น
และที่ยังเหลืออีกหลายสิบไร่ก็ยังไม่ได้ถอนไม่มีเสียหายแม้แต่ตารางวาเดียว อย่างน้อยมันควรมีกำไรเป็นแสน ลำพังเงินเล็กน้อยแค่นี้น่าจะแบ่งให้แกได้
คนงานมันจะกลับบ้าน มึงต้องหาให้กูก่อน จะให้มันกลับตัวเปล่าได้ยังไง ก็มึงไม่ใช่หรือเป็นเจ้ากี้เจ้าการพามา แกขึ้นเสียงบ้าง โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง ลูกสาวตัวดีก็เข้าข้างผัว มองแกเหมือนคนแปลกหน้าไปอีกราย
ทุ่มเถียงนานเกือบชั่วโมง กว่าสองผัวเมียจะยอมแกอย่างไม่ค่อยเต็มใจ สุดท้ายแกได้เงินมาแค่หมื่นถ้วน ๆ
พกความแค้นเต็มอกกลับบ้าน สิ้นศรัทธาต่อน้ำจิตน้ำใจคนร่วมโลก
เข้าใจเจตนาลูกเขยได้แจ่มแจ้งก็วันนี้นี่เองที่มันยุให้แกทำไร่ก็เพราะไม่อยากแบกภาระหนี้สินแทนแกนั่นเอง หากแกมีกำไรขึ้นมามันก็พลอยได้อาศัย และเมื่อโชคร้ายล่มจม
แกกับเมียต้องหาทางชดใช้หนี้สินกันตามลำพัง
ลูกสาวลูกเขยแกไม่ผิดอะไรกับไอ้เตียวเล้ง พอได้ดีมีเปรียบเข้าไม่มีเสียล่ะที่มันจะหวนนึกถึงความหลังครั้งเก่า เมื่อคนเราคิดถึงแต่ตัวเองกันทั้งโลก แล้วทำไมแกต้องคิดถึงคนอื่น
เมื่อหมอกสางม่าน ป่าอ้อยท้ายไร่ค่อย ๆ
เขียวครึ้มเด่นชัด
แสงแดดอบอุ่นขึ้นเป็นลำดับ
ลุงสวงเหลียวซ้ายแลขวา
คล้ายแว่วยินเสียงใครตะโกนเรียก
พอหันมองทางหัวไร่ก็เห็นเมียยืนป้องปาก พลางกวักมือไหว ๆ เรียกแก
นางคงห่วงคนงานจะถึงกรุงเทพฯมืดค่ำ ลุงสวงพยักหน้าหงึก ๆ อย่างเข้าใจดี ใช่สิ
สองพี่น้องต้องนั่งรถหลายต่อทีเดียวกว่าจะถึงบ้าน
ลุงสวงขยับสาวเท้าเดินก้มหน้างุด ๆ แกหัวเราะหึ ๆ
ออกมาคนเดียว
เมื่อนึกถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับเงินเดือนคนงาน
ตอนแรกแกเป็นทุกข์เป็นร้อนแทบนอนไม่หลับ สองพี่น้องทำงานกับแกมาห้าเดือนเศษก็แค่ให้มันคนละพันบาทต่อเดือน
บวกลบกับจำนวนเงินที่แกมีอยู่และที่ได้มาจากลูกสาวท่าไหนก็ไม่ลงตัว จนกระทั่งทบทวนถึงน้ำจิตน้ำใจที่คนอื่น ๆ
ปฏิบัติต่อแก
ไม่ว่าไอ้เตียวเล้ง
ลูกเขยเจ้าความคิด
หรือแม้แต่ลูกสาวในไส้แท้ ๆ ลุงสวงเกิดมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาทันที
เมื่อคนอื่นเข้าเป็นกันอย่างนี้ แล้วแกจะมัวงมโข่งอีกทำไม
ไม่ใช่เพราะผลพวงจากที่แกห่วงใยคนอื่นมากกว่าตัวเองนั่นหรอกหรือ ถึงได้มีหนี้สินท่วมหัวอยู่ในเวลานี้
จะให้มันเดือนเท่าไหร่ดี แกได้คำตอบเอาเมื่อตอนค่อนสว่าง
แกไม่เคยพูดถึงอัตราค่าจ้างนี่หว่า
จะให้เท่าไหร่ก็ควรขึ้นอยู่กับความพอใจของแก
ลุงสวงยิ้มให้กับการตัดสินใจ
รู้สึกสาสมที่ได้เป็นฝ่ายกระทำต่อคนอื่นบ้าง ตลอดชีวิตชาวไร่ แกเคยแต่ตกเป็นเบี้ยล่างให้คนอื่นเหยียบย่ำ
เมื่อน้ำหนักจากข้างบนกดทับลงมา
ชอบธรรมดีแล้วไม่ใช่หรือที่แกต้องถ่ายเทลงสู่เบื้องล่าง
ให้มันเดือนละสามร้อยก็พอ
ลุงสวงปลงใจแน่วแน่คิดคำนวณคร่าว
ๆ
จ่ายคนงานสามพันบาทเศษ
แกยังมีเหลือไว้กินเหล้าล้างซวยอีกกว่าหกพัน
แถมยังมีทุนไว้เล่นไพ่ตอนงานประจำปีของสมาคมชาวไร่ แกควรมีรางวัลพิเศษสำหรับตัวเองบ้าง ทำงานเหนื่อยยากลำบากมาเป็นปีไม่ใช่หรือ
ลุงสวงรู้อยู่แก่ใจดีว่าค่าแรงขั้นต่ำเขตจังหวัดแกวันละเท่าไหร่
รู้ว่านี้เป็นอัตราเดียวที่แกเคยจ้างคนงานเมื่อสิบกว่าปีก่อน คิดดูตกชั่วโมงไม่ถึงบาท แม้รู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ
แต่แกก็พยายามสลัดมันทิ้ง
ลุงสวงก้าวเข้าบ้าน
เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งกุมกระเป๋าเสื้อผ้ารออยู่แล้ว เมียแกยังง่วนอยู่กับถ้วยชามหลังบ้าน
แกยิ้มให้คนงานก่อนหายเข้าห้องนอนครู่หนึ่ง กลับออกมาพร้อมซองสีขาวสองซอง เป็นซองเงินเดือนที่แกเตรียมไว้
สองพี่น้องหน้าสลดลงพร้อมกันเมื่อทราบถึงอัตราเงินเดือน คนน้องรีบคลี่เงินในซองออกนับ คนพี่จ้องหน้าแกเขม็ง คล้ายส่งคำถามบางอย่างมาทางสายตา ลุงสวงหน้าชาด้วยความอับอาย แต่แกยังตั้งสติได้ทัน
ลุงเสียใจที่ให้เงินเดือนเอ็งน้อย
แต่นี่มันเป็นเงินจำนวนสุดท้ายที่ลุงมีอยู่ ใจจริงก็อยากให้เอ็งเดือนละพันห้า
สองพัน
ถ้าไร่มีกำไรก็ตั้งใจซื้อของขวัญให้เป็นสินน้ำใจ แต่โชคลุงไม่ดี ทำให้เอ็งสองคนพลอยโชคร้ายไปด้วย แกถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ลุงติดหนี้เถ้าแก่เป็นแสน
จ่ายเอ็งไปแล้วลุงกับป้าไม่มีเหลือแม้แต่ค่ากับข้าว ลุงสวงตีหน้าเศร้า จ้องหน้าเด็กหนุ่มทั้งสองด้วยสายตาวิงวอน
คนน้องถือซองเงินค้าง คล้ายไม่อาจทำใจกับอัตราเงินเดือนที่ได้รับ คนพี่พับซองใส่กระเป๋าเสื้อ เม้มริมฝีปากครุ่นคิด ก่อนหันมายิ้มและพยักหน้าให้แกช้า ๆ
หากเอ็งผ่านมาทางนี้อย่าลืมแวะเยี่ยมลุงกับป้าบ้างล่ะ เผื่อปีหน้าไร่ลุงมีกำไรจะได้ชดเชยให้เอ็ง ลุงสวงตีน้ำเสียงโหยไห้ได้สมบทบาท เล่นเอาสองพี่น้องนิ่งอึ้ง
ไม่เป็นไรหรอกลุง ได้แค่นี้ก็มากพอแล้ว คนพี่กล่าว
น้ำเสียงเย็นชาของมันหนาวสะท้านไปถึงหัวอกลุงสวง แกถึงกับนิ่วหน้าขมวดคิ้วด้วยความหวั่นไหว
ลุงสวงขับรถเครื่องสามล้อนำคนงานมาส่งถึงตลาดอำเภอเมื่อตอนสายท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้า สองพี่น้องวางกระเป๋าลงข้างถนน
ลุงสวงจอดรถทิ้งไว้หน้าร้านค้าคนรู้จัก
แกยังไม่รีบกลับทันทีด้วยต้องการทำหน้าที่นายจ้างเป็นครั้งสุดท้าย รอส่งคนงานขึ้นรถเสียก่อน
แกยังต้องการซื้อความรู้สึกที่ดีคืนกลับมา รถเข้ากรุงเทพฯที่แล่นจากตัวจังหวัดนาน ๆ
จะผ่านมาสักคัน ลุงสวงชวนทั้งสองคุยฆ่าเวลาไปเรื่อย
ๆ
เด็กหนุ่มทั้งสองผิวพรรณหม่นคล้ำกว่าที่มาวันแรก อีกทั้งยังซูบผอมลงมาก นึกถึงความลำบากของคนงานแล้วลุงสวงสงสารจับใจ
ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านไปของแกไม่เคยกดขี่คนงานในลักษณะเช่นนี้
ขณะใจหนึ่งอยากเพิ่มเงินให้กับคนทั้งสอง อีกใจหนึ่งก็ฉุกคิดถึงไอ้เตียวเล้ง นึกถึงลูกสาวและลูกเขย
จนกระทั่งรถโดยสารแล่นมาจอดหน้าตลาด สองพี่น้องยกมือไหว้ลาแกอย่างนอบน้อม
ลุงสวงพึมพำอวยชัยให้พรยืนมองทั้งสองหิ้วกระเป๋าขึ้นรถ
รถยังจอดรอแม่ค้ารายหนึ่งที่กำลังหิ้วของพะรุงพะรังออกมาจากตลาดสด ลุงสวงเหลือบมองแม่ค้า พอหันกลับมาอีกทีแกก็เห็นเด็กหนุ่มคนพี่ก้าวลงจากรถท่าทางร้อนรนเหมือนลืมอะไรสักอย่าง มันวิ่งตรงมาที่แก
ลุงสวงใจหายวูบ
มันอาจลงมาทำร้ายเพราะไม่พอใจเงินเดือนที่ได้รับ แกตื่นตระหนก ไม่ทันคิดจะหลบหนีเอาตัวรอด เด็กหนุ่มก็ปรี่มาถึงตรงหน้า
ลุงครับ นี่
ผมกับน้องแบ่งมาคืนให้ เด็กหนุ่มยัดซองเงินใส่มือแกรวดเร็วก่อนวิ่งกลับขึ้นรถในขณะแกยังไม่หายตกตะลึง
ลมวูบใหญ่พัดผ่านหน้า ลุงสวงยืนโงนเงน ผมสีดอกเลาของแกสะบัดปลิว รถโดยสารแล่นลิ่วไปข้างหน้า ทิ้งไว้เพียงผงฝุ่นคลุ้งตลบ
แม้รถแล่นผ่านเลยจนลับสายตาไปแล้ว แต่ลุงสวงยังยืนถือซองสีขาวนิ่งงัน แกยืนอยู่ในท่าเดิมคล้ายแท่งหินที่ถูกสาป
-00000- Top
กนกพงศ์
สงสมพันธุ์
ข้าพเจ้าไม่ได้รู้จักซัลมานโดยตรง
เป็นการยากมากที่ใครจะเข้าถึงตัวชายชาวประมงผู้นี้ ไม่ใช่เพราะด้วยร่างกายสูงใหญ่น่าเกรงขาม
แต่ด้วยแววตาเกรี้ยวกราดไม่เป็นมิตรกับใครและวาจาสามหาวซึ่งเขาพร้อมจะพ่นใส่ตลอดเวลา ไม่เลือกว่าคนนั้นจะเป็นใครนั่นแหละที่ทำให้ซัลมานถูกจำกัดอยู่ในโลกใบเล็กซึ่งใกล้พังทลายของตน
ข้าพเจ้าละลายเวลาช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมาให้สูญเปล่าไปบนชายหาดภาคใต้ทั้งทางฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน
ในช่วงหน้าร้อนซึ่งจิตใจอยากเขียนหนังสือเยียบเย็นเป็นน้ำแข็งเช่นนี้
ไม่มีอะไรดีไปกว่าปล่อยให้ตัวเองท่องเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย
ข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งความหวังไว้ว่าจะกลับไปหาธรรมชาติของทะเล ไม่ได้หวังถึงความสวยงามอะไรเช่นนั้น! ข้าพเจ้าจึงไม่รู้สึกผิดหวังเมื่อได้ไปพบเห็นทะเลซึ่งมีความหมายเพียงห้วงน้ำเค็มที่เผอิญผุดขึ้นในเมืองอันแออัดไปด้วยผู้คน
(ข้าพเจ้าเป็นนักเขียน
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมองโลกอย่างเข้าใจ ข้าพเจ้าเข้าใจเอาว่า ในเมื่อธุรกิจซื้อขายที่ดินชายทะเลเข้มข้นถึงขนาดเลือดท่วมหาดทราย
นั่นก็หมายถึงว่าไม่มีสิ่งใดต้องคำนึงถึงอีก ข้าพเจ้าย่อมเลิกหวังถึงความสวยงามใด ๆ
จากชายฝั่งทะเลซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหล
สิ่งที่ข้าพเจ้าควรทำก็คือ
ร่วมสนุกกับบาร์เหล้าหรือดิสโกเธคบนหาดทรายที่นักธุรกิจชายทะเลสรรคิดมาบำเรอ เช่นเดียวกับเมื่อเดินทางไปพร้อมเรือทัวร์ทะเลของบริษัทใหญ่
ๆ ข้าพเจ้าก็พลอยสนุกสนานไปกับย่านถนนสีลมซึ่งยกขึ้นมาไว้บนเรือ
จิตใจไม่เรียกร้องที่จะดำลงไปดูปะการังใต้ทะเลอีก ข้าพเจ้าพยายามทำให้คล้อยตามว่า
ทุกสิ่งอันสนุกสนานและควรค่าสำหรับการท่องเที่ยว ได้รับการจัดสรรไว้บนเรือโดยหัวคิดโปร่งใสของนักธุรกิจบริการเหล่านั้นแล้ว
ด้วยการลงทุนแข่งขันที่สูงทั้งมูลค่าและชีวิต
และนั่นเป็นเหตุผลเพียงพอที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่ตกอกตกใจเมื่อรู้ว่า
เรือเหล่านั้นได้ทิ้งสมอลงทำลายป่าปะการังโดยไม่เห็นความสำคัญใด ๆ)
คืนวันหนึ่ง
ข้าพเจ้ามาถึงกระบี่และเข้าพักในโรงแรมอันดามัน อินน์ บนหาดเล็ก ๆ
ทางตะวันตกของตัวเมืองราวหกกิโลเมตร
ข้าพเจ้านึกติดใจตัวโรงแรมนี้จากภาพในนิตยสารท่องเที่ยว
ซึ่งแทนที่จะขนานไปกับชายหาดเหมือนโรงแรมชายทะเลอื่น ๆ
อาคารหกชั้นกลับสร้างเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ปลายทั้งสองเกี่ยวติดหาดทรายขาดสะอาด ในตัวโรงแรมมีธุรกิจบริการพร้อมมูล ทั้งบาร์เหล้า เธค
มินิเธียเตอร์ ศูนย์สุขภาพ
และสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ใหญ่บนระเบียงดาดฟ้า
ด้านหน้าโรงแรมซึ่งล้อมไว้ด้วยตัวอาคารรอบสามด้านเป็นลานกว้างปูกระเบื้องโมเสก มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่มากอยู่อีกสระหนึ่ง ซึ่งหากคนสักร้อยลงไปใช้พร้อมกับก็ยังไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใด
ๆ ใกล้ขอบสระมีบาร์เปิดขายเครื่องดื่มทุกชนิด
ข้าพเจ้าอดนึกชมเจ้าของโรงแรมไม่ได้ที่คิดใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าจากบริเวณว่างตรงนี้ แทนที่จะสูญเสียไปกับสวนหย่อมหรือลานจอดรถเหมือนโรงแรมอื่น
ๆ
แต่เลยจากลานกว้างนั่นออกไปข้างหน้า
แทนที่จะเป็นหาดทราย
กลับกลายเป็นกระท่อมไม้สัปรังเคหลังหนึ่งในดงมะพร้าว คั่นส่วนโรงแรมไว้ด้วยพุ่มรั้วเตี้ย ๆ
หาดของโรงแรมจึงมีเพียงเฉพาะด้านปีกทั้งสองข้าง แวบแรกที่มองออกไปจากโรงแรม
ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกขัดแย้งอย่างบอกไม่ถูก ข้าพเจ้าอยากเห็นหาดทรายที่ค่อย ๆ
ลาดลงไปในน้ำทะเลมากกว่าจะมีอะไรมาขวางสายตาอยู่เช่นนี้ แต่ครั้นถึงตอนเช้า เมื่อได้เห็นสายหมอกบาง ๆ
คลุมดงมะพร้าว
เห็นควันไฟสีขาวชำแรกกรุ่นขึ้นมาเหนือหลังคากระท่อม
เห็นเรือหาปลาแบบชาวบ้านลำหนึ่งปล่อยให้คลื่นเล็ก ๆ ซัด
หยอกอยู่หน้ากระท่อม
ข้าพเจ้าก็อดนึกชมเชยความคิดเจ้าของโรงแรมไม่ได้อีก
ข้าพเจ้าเชื่อว่าแขกทุกคนคงรู้สึกยินดีต่อทิวทัศน์อันสวยงามประหนึ่งภาพวาดดังกล่าวเมื่อได้มองออกไปจากโรงแรมในยามเช้าเช่นนี้
ข้าพเจ้าเห็นแขกที่มาพักหลายคนโผล่หน้าออกมาถ่ายภาพเก็บไว้ดุจเดียวกับข้าพเจ้า จริง ๆ
แล้วข้าพเจ้าเคยเห็นภาพนี้มาก่อนในเอกสารแนะนำของโรงแรม
แต่คิดไปว่านั่นเป็นภาพหมู่บ้านชาวประมงใกล้เคียงที่ใดที่หนึ่ง
ไม่นึกว่าเจ้าของโรงแรมจะหัวใสจัดมาโชว์ไว้ตรงหน้าแบบนี้
แต่ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้รู้ว่า
นั่นหาใช่อวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงแรมไม่ ทว่านั่นแหละคือโลกใบเล็กของซัลมาน
โลกอันปวดร้าวและน่าหัวเราะเยาะในขณะเดียวกัน!
ก่อนรู้จักกับโลกของซัลมานเล็กน้อย
ข้าพเจ้าได้ลงไปเดินเล่นแถวนั้น
และนึกแปลกใจเมื่อเห็นเรือกอและใหม่เอี่ยมสีสันแสบตาลำหนึ่งเกยหาดอยู่ห่างจากกระท่อมราวสี่สิบก้าว ขณะอีกลำเป็นเรือประมงเล็กจอดลอยอยู่ในทะเลหน้ากระท่อม
ข้าพเจ้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าชาวประมงแถบนี้ใช้เรือกอและออกหาปลาด้วย เคยเห็นก็แต่ทางสงขลา ปัตตานี ยะลา หรือไม่ก็นราธิวาส
หญิงวัยต่ำกว่าสามสิบขอร้องข้าพเจ้าให้ช่วยถ่ายภาพให้ด้วยกล้องของหล่อน หล่อนโพสต์ท่าข้างเรือกอและเหมือนเป็นนางแบบอาชีพ ข้าพเจ้าเชื่อว่าภาพจะออกมาสวยแน่นอน
ด้วยเรือนร่างได้สัดส่วนและหน้าตาดูดีของหล่อนกับสีสันร้อนแรงของเรือ แม้ฝีมือถ่ายภาพของข้าพเจ้าจะแสนธรรมดาก็ตาม
ข้าพเจ้ารู้สึกเพลิดเพลินอยู่หน่อย ๆ ที่ได้ช่วยเหลือใครเล็ก ๆ น้อย ๆ
เช่นนี้ และข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าช่วยถ่ายภาพให้
เมื่อรู้ว่าสามีของหล่อนยังนอนอย่างขี้เกียจอยู่บนโรงแรม เราเจอเด็กชายหญิงหน้าตาน่าเอ็นดูคู่หนึ่ง
ข้าพเจ้าได้รู้ในเวลาต่อมาว่านั่นเป็นลูกของซัลมาน ทั้งคู่หน้าคม ผิวเข้ม ดวงตาดำขลับใสแป๋วและสวยมาก คุณผู้หญิงซึ่งข้าพเจ้าเพิ่งรู้จักเข้าไปทักทายและโอบกอดหนูน้อยทั้งสองเหมือนพิศวาส เด็กทั้งคู่ไม่ตื่นกลัวใด ๆ
ข้าพเจ้าไม่แปลกใจ
เด็กชาวประมงในทุกที่ที่ข้าพเจ้าเจอมล้วนคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวเสียยิ่งกว่าผ้าห่มนอนของตน แต่พอถึงตอนคุณผู้หญิงขอถ่ายภาพด้วย ทั้งคู่กลับฉายแววตระหนกในสีหน้า หันมองไปทางกระท่อมอย่างวิตกกังวล
หล่อนหัวเราะและยัดแบงก์ใส่มือเด็กหญิงอย่างรู้ประเพณี ข้าพเจ้าขึ้นฟิล์มเตรียมถ่าย
แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเด็กหญิงพยายามคืนเงินกลับ
จนคุณผู้หญิงต้องบอกเหมือนบังคับให้รับไว้นั่นแหละ ทั้งคู่จึงหันมองไปทางกระท่อมอีกแวบหนึ่งราวนัดกันไว้
ก่อนจะยอมมายืนเบียดทั้งสองข้างของเจ้าของเงิน
หนูน้อยทั้งสองหน้าตาไม่ดีเอาเสียเลย แม้จะมองผ่านเลนส์กล้อง ข้าพเจ้าจำต้องบอกให้ยิ้ม แต่ก็ได้รับเพียงรอยยิ้มแกน ๆ เหมือนกับว่าทั้งคู่กลัวกล้องเป็นนักหนา ไม่น่าเป็นไปได้!
เพราะไม่มีใครร้องไห้หรือวิ่งหนีอย่างที่เด็กกลัวกล้องเป็นกัน
แล้วข้าพเจ้าก็ได้รู้ว่าทั้งคู่กลัวมันจริง ๆ
เมื่อมีชายคนหนึ่งเดินตรงมาจากดงมะพร้าว
เพียงแรกเห็น
เด็กทั้งคู่ก็ตกอยู่ในอาการหวาดกลัวจนลาน ข้าพเจ้าคิดว่าทั้งคู่เตรียมออกวิ่ง แต่ด้วยความหวาดกลัวที่มีมากเกินไปเท้าจึงตรึงอยู่กับที่ เมื่อชายคนนั้นเข้ามาใกล้ เนื้อตัวทั้งคู่ยิ่งสั่นเทาอย่างน่ากลัว
นั่นคือครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเผชิญหน้ากับซัลมาน ชายผู้นี้มีโครงร่างใหญ่
นุ่งเพียงกางเกงชาวเลตัวเดียว
ท่อนบนปล่อยผิวคล้ำเกรียมแดดไว้กับขนหน้าอกรุงรัง ในรูปหน้าเรียวยาวคมเข้มนั้นประดับด้วยดวงตาดำขลับ แลเห็นกองไฟเริงโรจน์อยู่ภายใน บอกถึงความมาดร้ายจนข้าพเจ้าต้องหลบ ทว่าในแวบนั้นข้าพเจ้ายังทันเห็นความขื่นแค้นที่เกาะกินดวงตาคู่นั้นอยู่เหมือนเชื้อไข้
เช่นเดียวกับร่างโตใหญ่ที่ไม่อาจซ่อนริ้วรอยของโรครุมเร้าบางอย่างไว้ได้
เอามานี่! เขาตะคอกเสียงดุดัน
ลูกสาวของเขายื่นมือแบแบงก์ให้อย่างขลาด ๆ ข้าพเจ้า รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาฉับพลัน
เห็นคุณผู้หญิงก็อยู่ในอาการฮึดฮัดไม่ผิดกัน
ซัลมานคว้าแบงก์ขึ้นมาขยำ
และโดยไม่คาดคิด
เขาขว้างก้อนแบงค์นั่นใส่หน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสั่นเทิ้มเหมือนโดนถ่มน้ำลายรด แต่ก่อนจะทันแสดงกิริยาใด ๆ โต้ตอบ ซัลมานก็ตะคอกตามมา
กูขอซื้อฟิล์มข้างในด้วยเงินโสโครกนั่น!
นี่มันอะไรกัน?!
จะมากไปแล้วนะ คุณผู้หญิงเจ้าของกล้องแหวขึ้นอยู่ไม่เกรงกลัว แต่ซัลมานก็ทำให้หล่อนต้องกลัวจนได้ เมื่อเขาสาวเท้าเข้าไปหาพร้อมใบหน้าถมึงทึง
ข้าพเจ้าตะลึงจนตัวชา
เมื่อเรียกสติคืนมา
ข้าพเจ้าพยายามสรุปสถานการณ์ทั้งหมดในเวลาจำกัด และโดยไม่โต้ตอบด้วยคำพูดใด ข้าพเจ้าปลดฟิล์มให้เขาไป คุณผู้หญิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เปล่งคำขู่ว่าจะฟ้องเจ้าของโรงแรมด้วยเรื่องที่ถูกคุกคามนี้ บางทีซัลมานอาจต้องไปนอนในห้องขัง และซัลมานเพียงยิ้มเยาะ และโดยไม่พูดอะไรอีก
เขาบิดหูลูกทั้งสองลากเดินขนาบข้างตัวเองกลับกระท่อม เด็กน้อยไม่ร้องให้ได้ยินสักแอะ
ข้าพเจ้าเดาเรื่องทั้งหมดไม่ได้เลย
ต้องมีใครสักคนหนึ่งให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ได้ ซัลมานเข้ามาเป็นสุดยอดปรารถนาของคนที่ข้าพเจ้าอยากรู้จัก
แม้จะด้วยความเกลียดชังและขยะแขยงต่อพฤติกรรมซึ่งเขาแสดงออกมาให้เห็นเบื้องหน้าก็ตาม
คนซึ่งช่วยให้ข้าพเจ้าพอรู้จักโลกใบเล็กของซัลมานคือ เด็กหนุ่มบาร์เทนเดอร์ที่ชื่อแหลม เขาเคยมีที่ดินติดเขตรั้วกับซัลมาน (ส่วนที่ปูด้วยกระเบื้องโมเสกบัดนี้) ครอบครัวเขาก็เป็นเช่นครอบครัวอื่น
ๆ
ที่ตาลุกพองเมื่อนายหน้าค้าที่ดินเสนอราคาแสนงามให้ แหลมเล่าว่าทันทีที่ผืนดินหลุดจากมือ ครอบครัวของเขาก็ถึงกาลกระจัดพลัดพราย
แต่ละคนต่างกำส่วนแบ่งของตนแยกย้ายกันไปตามครรลองของตัวเอง เขาได้มาสองล้าน ทว่าชั่วระยะเวลาแค่ปีเศษ เขาก็ผลาญมันเสียเกลี้ยง ผมเป็นไทยพุทธนายก็รู้
ศาสนาของเราเปิดทางให้อบายมุขเข้าเล่นงานได้ไม่จำกัด ข้าพเจ้ายังจำเสียงหัวเราะอย่างจริงใจแต่ฟังดูเหมือนเย้ยหยันของเขาได้ดี
เมื่อเขาเล่าถึงวิธีผลาญเงินสองล้านให้หมดไปในเวลารวดเร็วเช่นนั้น
(ถึงวันนี้ข้าพเจ้าไม่มีความแปลกใจใด ๆ เหลืออยู่เลย
ต่อการได้ยินว่าชาวประมงแต่ละคนซึ่งขายที่ของตนไปผลาญเงินกันเก่งมาก ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา คนไม่เคยมีเงินจำนวนร้อยติดบ้าน ครั้นเกิดมีเงินล้มหลามจนทับอก เป็นไปได้ง่ายเหลือเกินที่จะคำนวณค่าของมันผิดพลาด
คนจนซึ่งเผอิญมีเงินไม่ฉลาดในการใช้มันเท่าพวกเศรษฐีหรอก ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่า บางคนเอาเงินไปซื้อสวนยางพาราหรือไม่ก็สวนปาล์ม
บ้างก็อุตริไปลงทุนสัมปทานเส้นทางรถโดยสาร ทั้ง ๆ
ที่ตัวเองผูกพันอยู่กับการหาปลาหากุ้งมาแต่หัวเท่ากำปั้น และความไม่ชำนาญต่ออาชีพใหม่ก็ผลาญเงินทองไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย
หลายคนจังงังกับความร่ำรวยของตนแล้วเดินหลงไปในเส้นทางอบายมุข
มีอีกหลายคนที่โดนเพื่อนฝูงญาติพี่น้องหลอกต้มจนหมดตัว
ข้าพเจ้าเคยเศร้าใจมากเมื่อได้ยินมาว่าตายายคู่หนึ่งขายที่ตรงปลายแหลมหน้าเกาะพีพีได้ถึงยี่สิบล้าน
แต่ช่วงเวลาสองปีที่ขึ้นมามีชีวิตบนฝั่ง แกใช้มันหมดไปถึงสิบแปดล้าน เล่าต่อกันว่าบางคราวแกเหมารถทัวร์โดยสารเป็นสิบคันขนคนขึ้นไปทอดกฐินถึงเชียงใหม่
สาเหตุใหญ่ที่แกทำเงินหายไปอย่างน่าเศร้าใจก็ด้วยเรื่องที่เจ้าอาวาสวัดรูปหนึ่งซึ่งแกไม่ได้รู้จักมักคุ้นมาก่อน คะยั้นคะยอให้แกสร้างโบสถ์ให้กับวัด คราวนั้นทั้งคู่สูญเงินไปร่วมหกล้าน)
จากคำบอกเล่าของแหลม
ข้าพเจ้ายิ่งแปลกใจเมื่อรู้ว่าเดิมทีซัลมานเป็นคนดีที่น่าคบหา รักลูกรักเมียยิ่งกว่าใคร ๆ หมด ตอนได้ลูกสาวเขาซื้อแพะมาฉลองถึงครึ่งโหล ครั้นถึงคราวลูกชายคนต่อมา
ชาวประมงในละแวกนี้ต่างก็อิ่มเอมกับแพะถึงสิบสองตัว
มันเป็นคนโง่
มันถึงเป็นแบบนี้
มันโง่ที่สุดในศตวรรษนี้เลยนะนาย แหลมหัวเราะแห้งแล้ง
ก่อนอันดามัน
อินน์จะเข้ามายึดครองเวิ้งอ่าวเล็ก ๆ สวยงามนี้ไว้ แหลมระลึกถึงคืน
วันเก่า ๆ ให้ข้าพเจ้าฟังว่า
หาดทรายตรงนี้สวยกว่าที่เห็นอยู่หลายเท่านัก
มีนักธุรกิจเข้ามาลองทำบังกะโลสองสามเจ้า แต่ไม่นานก็ต้องล้มเลิกไป ความจริงหาดนี้อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง น่าจะมีนักท่องเที่ยวแห่กันมาเยอะ แต่ด้วยถนนที่ไม่สะดวก ประกอบกับหมู่บ้านชาวประมงปลูกกระจายเต็มเวิ้งอ่าวจนนักท่องเที่ยวไม่มีสัดส่วนเป็นของตัวเองเพียงพอ
ทั้งสองอย่างนั่นแหละที่ปิดกันนักท่องเที่ยวไว้
เมื่อสี่ปีก่อนนี้เองที่อันดามัน
อินน์เข้ามาสำรวจหาดนี้เพื่อเตรียมสร้างโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวซึ่งเริ่มล้นจากเกาะพีพี แหลมบอกกับข้าพเจ้าว่านายหน้าซื้อที่ดินเข้ามาได้จังหวะเหมาะเจาะขณะชาวประมงกำลังสูญสิ้นความหวังในห้วงน้ำเบื้องหน้า
เปรี้ยวหวานมันเค็มซึ่งพวกเขาเคยตักตวงใส่เรือเกือบเหลือแต่ความห่วงเปล่า พวกนายหน้าเลยทำงานอย่างสะดวกง่ายดาย
มันก็มียึกยักบ้างแหละนาย
แหลมหัวเราะเบา ๆ ขณะผสมเครื่องดื่มให้แขก เรื่องไรใครจะโง่
ก็ทุกคนต่างรู้กันอยู่นี่ว่ายังไงเสียพวกโรงแรมมันต้องการที่จนได้ ยึกยักให้ราคาสูงขึ้นมาหน่อย อย่างว่า
ก็ยังมีไอ้พวกปอดแหก กลัวเขาจะไม่เอาจริง เลยรีบขายไปไร่ละสี่ซ้าห้าล้าน
อย่างของผมนั่นพ่อแกดึงขึ้นมาได้ถึงแปดล้าน ไร่กับอีกหน่อยหนึ่ง เฮอะ!
ว่าไปแล้วที่ของบังมานนั่นไม่ถึงไร่เสียด้วยซ้ำ แต่ตอนหลังราคาขึ้นไปถึงสิบล้าน มันยังไม่ยอมขาย
ตอนนี้ไม่ปาเข้าไปร่วมยี่สิบล้านแล้วหรือ?
แหลมหันมาจ้องด้วยสายตาเหมือนตำหนิที่ข้าพเจ้าทำตาโต เขายักไหล่พลางพูด นายลองไปติดต่อขอซื้อดูสิ อาจมีเรื่องสนุก ๆ เกิดขึ้นก็ได้
ข้าพเจ้าไม่เข้าใจในเสียงหัวเราะของแหลมตอนนั้น
แต่ต่อมาเมื่อได้ทำความรู้จักกับโลกของซัลมานมากขึ้น
ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าไม่มีใครอยากค้ากำไรกับที่ดินผืนงามนั่นหรอก
ข้าพเจ้าได้รู้มาอีกอย่างว่าพ่อของซัลมานนั้นหัวดื้อมาก ดื้อจนบางครั้งดูเหมือนคนขี้โกง
นั่นอาจพอเป็นเหตุผลหนึ่งที่บอกถึงความหัวดื้อซึ่งซัลมานมีอยู่ก็ได้ แหลมเล่าว่าคราวหนึ่งเรือแกถูกเฉี่ยวจมลงขณะเข้าร่องน้ำใหญ่
แกเรียกค่าเสียหายเท่ากับเรือใหม่เอี่ยมลำหนึ่ง
พร้อมตีราคาปลาและค่าทำขวัญตัวเองเสร็จสรรพ ทั้ง ๆ
ที่เรือมีทางงมขึ้นมาได้เช่นนั้นแหละ
แต่แกก็อ้างว่านั่นเป็นความเชื่อของแก
เรือซึ่งประสบคราวเคราะห์เข้าครั้งหนึ่งมีอันต้องเป็นไปในครั้งต่อ ๆ
มาจนได้ คู่กรณีไม่ยอมเล่นด้วย
แต่เมื่อถูกลูกซองจ่อหัวเข้าก็ยากที่จะยืนกราน
บังมานชอบอ้างอยู่เสมอ
แหลมเล่าต่อ โดยเฉพาะกับพวกนายหน้าว่าป๊ะมันสั่งนักสั่งหนา เราคนทะเล ได้มีผืนดินให้ตีนเหยียบ นับเป็นความกรุณาสูงสุดของพระเจ้า นี่
บังมานชอบอ้างคำนี้ นายว่ามันฉลาดไหมล่ะ?
ทั้งป๊ะทั้งพระเจ้าของมันช่วยกันดึงราคาที่ดินขึ้นไปถึงสิบล้าน แต่สุดท้ายมันก็โง่นั่นแหละมันยังบอกเขาอยู่นั่นแล้วว่าวิญญาณป๊ะมันไม่ยอม
ก็ป๊ะมันตายไปก่อนพวกโรงแรมจะเข้ามาตั้งสองปี แกจะไปรู้ได้ไงจริงมั๊ย?
ถ้าอยากรู้นะนาย
ลองไปดูที่หลุมศพหลังกระท่อมมันสิ
นายอาจได้ยินป๊ะของมันร้องไห้ที่มีลูกชายโง่ไม่ผิดเต่าทะเล!
เขาอาจมีเหตุผล
เหตุผลอะไรอีกเล่านาย?!
แหลมสวนขึ้นทันควัน
มันโง่น่ะไม่ว่า บังมานมันคงคิดว่า ยึกยักไปอีกหน่อย ราคาจะได้สูงขึ้นอีก ก็นายลองหันไปดูสิ ที่ของมันอยู่กลางหาดเป๊ะ งามออกปานนั้น ยังไง ๆ
พวกโรงแรมต้องสู้ราคาอยู่แล้ว
แต่ปรากฏว่า
เฮอะ!
เขาตามด้วยเสียงหัวเราะประหลาด
ๆ ฟังเหมือนสะอึก
ขอเบียร์อีกขวดเถอะ ข้าพเจ้าว่า
ยิ่งฟังข้าพเจ้ายิ่งฉงน
ครึ่งหนึ่งข้าพเจ้าเชื่อตามที่แหลมว่า แต่อีกครึ่งเกิดสังหรณ์ใจแปลก
ๆ แหลมเล่าให้ฟังต่อไปเป็นฉาก ๆ ว่า
หลังจากพวกนายหน้ากว้านซื้อที่ดินจนหมดทั้งเวิ้งอ่าวแล้ว ยังคาราคาซังอยู่ก็แต่ที่ของซัลมาน
จำเพาะว่าที่ตรงนั้นมีผลอย่างมากต่อโครงสร้างของโรงแรมเสียด้วย
ข้าพเจ้าเองยังนึกกลัวเหตุการณ์ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนที่คนทั้งหลายกลัวกันในตอนนั้น
ต่างคาดกันว่าซัลมานคงโดนเก็บเพื่อให้ปัญหานี้ยุติ แต่โชคเป็นของซัลมาน ด้วยเจ้าของโรงแรมเป็นผู้มีอิทธิพล
และจำเพาะว่าอิทธิพลที่ว่านั้นเกี่ยวพันแน่นแฟ้นกับสมาชิกสภาผู้แทนราฎรคนหนึ่งของจังหวัด
พวกเขาคงฉุกคิดได้ว่าหากซัลมานกลายเป็นศพไป
นั่นเท่ากับเปิดจุดอ่อนให้คู่แข่งขันของท่านผู้แทนโจมตีได้
ดังนั้นจึงยอมเปลี่ยนโครงสร้างของโรงแรมเสียใหม่ให้เป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมล้อมโลกของซัลมานไว้ ข้าพเจ้านึกนิยมในความคิดนี้ นอกจากเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีแล้ว ยังได้ตัวโรงแรมซึ่งดูสวยแปลกตาซ้ำทัศนียภาพหน้าโรงแรมที่
ได้เปล่า และโดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อนก็ทรงเสน่ห์อย่างไม่มีใดเทียบ
ทุกอย่างช่างเข้าข้างเจ้าของโรงแรมเหมือนมีใครแกล้ง
รัฐอนุมัติเงินตัดถนนเข้ามาทันทีที่โรงแรมเริ่มเทเสา
ธุรกิจบริการนักท่องเที่ยวชวนกันมาบานสะพรั่งตลอดแนวฝั่งด้านนี้
หมู่บ้านชาวประมงถูกถอนรากถอนโคนจนหมดสิ้นในช่วงระยะเวลาแค่ปีเดียว
กลายเป็นสิ่งหายากให้นักท่องเที่ยวผู้นิยมธรรมชาติใฝ่หา บัดนี้ หกกิโลเมตรจากตัวเมืองตามถนนเลียบชายฝั่ง ข้าพเจ้าเห็นแต่บังกะโล รีสอร์ท บาร์เหล้า
แหลมบอกสิบกิโลเมตรจากนี่ไปทางตะวันตกก็ไม่ต่างอันใดกัน
ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าไม่แปลกใจเลยที่ในเอกสารแนะนำของโรงแรม
หรือในนิตยสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวคราวใดมีภาพของโรงแรมอันดามัน อินน์ปรากฎ
ก็จะต้องมีสักภาพหนึ่งถ่ายจากมุมซึ่งคล้ายต้องการบอกว่า
เพียงคุณมาพักที่นี่คุณก็สามารถเห็นบ้านชาวประมงอันเงียบสงบน่าอยู่
โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องกระดิกตัวออกจากห้องเลย
ข้าพเจ้าไม่อยากจะเชื่อ
แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าที่แหลมพูดนั้นเป็นความจริง
เขาบอกว่ากว่าครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวต่างประเทศ ที่เลือกอันดามัน
อินน์ก็เพราะประทับใจเมื่อเห็นภาพโลกใบเล็กของซัลมาน!
บางเรื่องราวของซัลมานซึ่งแหลมเล่าสู่ข้าพเจ้าฟัง
นำความรู้สึกปวดร้าวมาให้อย่างไม่น่าเป็น (ข้าพเจ้ามักรับฟังเรื่องราวต่าง
ๆ ด้วยการพยายามทำความเข้าใจ
แต่ช่วยไม่ได้
หากบางครั้งข้าพเจ้าตกอยู่ในอารมณ์อ่อนไหวจนเกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมา)
หลังลงพุ่มไม้เตี้ย ๆ
เป็นรั้วแบ่งโลกใบเล็กของซัลมานออกจากโลกใบใหญ่อย่างชัดเจนแล้ว ตามคำบอกเล่าของแหลม ชีวิตของซัลมานก็ยิ่งตกต่ำลง เขาเริ่มเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
จากใจดีเยือกเย็นกลายเป็นหงุดหงิดง่ายและไร้เหตุผล
ดวงตาซึ่งเคยสงบอ่อนโยนก็เปลี่ยนมาเป็นขุ่นเคืองเกรี้ยวกราด
โลกใบเล็กของซัลมานซึ่งงดงามในภาพหรือจากสายตาที่มองไปจากโรงแรม
ข้าพเจ้าเริ่มมองเห็นว่าแท้แล้วคือนรกร้อนเร่าซึ่งกำลังหลอมไหม้คนสี่คนที่อยู่ข้างใน
แหลมเล่าว่าซัลมานออกทะเลต่อมาอีกสองปี สำหรับปูปลาที่หากินเพียงในครอบครัว เขาคงพออยู่ไปได้ แต่เหตุที่ทำให้ซัลมานเลิกออกทะเลโดยเด็ดขาดก็เพราะว่า
ทุกเช้าเมื่อเขากลับเข้ามานักท่องเที่ยวชอบไปรอถ่ายภาพเขา โดยเฉพาะตอนเขาดับเครื่องแล้วหันมาจ้ำพายเรือขึ้นเกยหาด ซัลมานตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับทุกคน ยิ่งเฉพาะพวกไปจากโรงแรมด้วยแล้ว เขาแทบจะเคี้ยวกลืนเลยทีเดียว เขาหงุดหงิดกับพวกถ่ายภาพ และถูกจับไปนอนห้องขังอยู่บ่อย ๆ
เนื่องเพราะไปทำร้าย ร่างกายพวกนั้นเข้า
จนที่สุดความหงุดหงิดนั่นเองที่ทำให้เขาจามเรือทิ้ง
อ้าว
แล้วเรือสองลำนั่น?
นายจะเอาเบียร์อีกขวดไหม?
พร้อมคำถาม
บาร์เทนเดอร์หนุ่มเลื่อนขวดเบียร์มาวางหน้าข้าพเจ้า ไอ้สองลำที่เห็นนั่นเรือของโรงแรมทั้งเพ
นายลองไปดูสิ
ไอ้ลำที่อยู่หน้ากระท่อมน่ะตะไคร่จับเสียเขียวอื๋อ เขาเอาไปลอยไว้เฉย ๆ
ดูสวยงามตาเท่านั้นแหละอย่างว่า
เกิดถ่ายรูปไปแล้วไม่มีเรือเลยสักลำ มันก็กระไรอยู่จริงมั๊ย?
อย่างอีกลำนั่นก็เหมือนกัน เพราะพวกฝรั่งไปเห็นเรือกอและสีสวย ๆ
เข้า เลยถามถึงอยู่เรื่อย นั่นสั่งทำจากปัตตานีโน่นเพิ่งได้มาสักเดือนนี่แหละ เขาหันไปจัดเครื่องดื่มให้ลูกค้าที่เข้ามาใหม่ ก่อนวกกลับมาหาข้าพเจ้าอีก บังมานมันเคย
ยัวะจะจามเรือที่ลอยอยู่หน้ากระท่อมมันเสียให้ได้ แต่อย่างว่า
เรือนั่นลอยอยู่ในทะเล ไม่ใช่เขตที่มันจะใหญ่ได้อีก
มันเคยโดนจับเพราะเรื่องนี้ตั้งสองครั้งแน่ะ
ถึงอย่างไรซัลมานก็ยังโดนตำรวจจับอยู่เรื่อย โดยมากแล้วเกิดจากเขาไปชกปากนักท่องเที่ยวที่จ้างลูกชายหญิงของเขาถ่ายภาพด้วย
ข้าพเจ้าเผลอลูบปากเมื่อนึกขึ้นมาว่าตัวเองช่างโชคดีเสียกระไรที่ไม่ทำให้ซัลมานโดนจับอีกในเช้าวันนั้น
คิดดูอีกทีก็เป็นเรื่องน่าขันที่นักท่องเที่ยวชวนกันไปยืนมองโลกของซัลมานเหมือนเป็นอาหารน่าลิ้มลอง
แต่ด้วยการกระทำซึ่งไม่มีคนผิดเช่นนี้แหละที่ก่อความพินาศแก่โลกของซัลมาน อย่างน้อยเราก็เห็นกันอยู่ว่า
การที่ชาวประมงเช่นซัลมานไม่ได้ออกทะเลอีก นับเป็นเรื่องร้ายแรงพออยู่แล้ว แต่การที่ต่อมาซัลมานเกิดเปลี่ยนใจบอกขายที่ดินของตนไปนั้น
ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่าโลกของซัลมานถูกรุกรานอย่างหนัก
จากคนซึ่งเคยยืนยันอย่างเด็ดเดี่ยว
คนซึ่งเงินสิบล้านไม่สามารถละลายใจให้อ่อนตามได้อย่างซัลมาน ไม่ว่าเขาจะแข็งขืนเพราะความรักในผืนดิน ,
วิญญาณพ่อ , ศรัทธต่อองค์อัลลอฮ์ หรือเพราะวิธีการทางธุรกิจก็แล้วแต่
ถึงวันนี้จิตใจอันแข็งแกร่งนั้นกลับอ่อนยวบลงอย่างราบคาบ หลังฟังเรื่องราวจากแหลมจบลง ข้าพเจ้าพยายามคิดสรุป ข้าพเจ้ามองเห็นผู้รุกรานซัลมาน แต่มองไม่เห็นว่าใครกระทำผิดกฎหมาย
ข้าพเจ้ายังเห็นอีกแง่หนึ่งว่าซัลมานไม่ได้สูญเสียเฉพาะเงินสิบล้าน
ไม่ได้สูญเสียเฉพาะที่ดินของตนแต่เขากำลังสูญเสียครอบครัว
เขาถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้และนำมาซึ่งการสูญเสียตัวเอง นั่นเองที่ทำให้เขาสูญเสียความเป็นพ่อที่ดีของลูก สูญเสียความเป็นผัวที่ดีของเมีย
ยี่สิบบาทก็ไม่มีใครซื้อหรอกนาย!
ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับแหลม
แต่ชักไม่ชอบเสียงหัวเราะที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลาของเขาขึ้นมาตงิดๆ
เขาเล่าให้ฟังต่อมาว่า
หลังจากซัลมานบอกขายที่ของตนไปไม่นาน
นายหน้าค้าที่ดินคนหนึ่งก็เข้ามาติดต่อและตกลงกันได้ในวงเงินแปดล้าน แต่หลังจากนั้น นายหน้าก็พาหน้าหลบไป ไม่ยอมโผล่มาให้เห็นอีก
แหลมแจกแจงให้เห็นว่า จริง ๆ
แล้วหากใครกล้าลงทุนในที่ของซัลมานมีแต่ฟันกำไรเหนาะ ๆ
อย่างน้อยก็ร่วมสี่ห้าล้านบาทในช่วงเวลาไม่ทันข้ามสองเดือนด้วยซ้ำ เขาออกความคิดให้ฟังว่าหากเขาซื้อที่ตรงนั้นมา เขาจะสร้างอาคารสูง ๆ
ขึ้นบังทิวทัศน์ทางทะเลของโรงแรมไว้
เพียงแค่นี้เจ้าของโรงแรมก็ต้องแจ้นมาพูดจากทางธุรกิจด้วย
คราวนี้เขาจะหักกำไรเอาทั้งจากที่ดินและสิ่งก่อสร้างนั่นเลยทีเดียว
แต่ก็ไม่มีใครกล้า
เหมือนกับที่นายหน้าคนนั้นวิ่งกลับไม่ยอมเหลียวหลัง
แหลมบอกว่าอิทธิพลของเจ้าของโรงแรมที่มีมาแต่เดิมและยิ่งเติบโตขึ้นนั้น
ไม่มีใครหาญกล้าเข้าไปแตะเนื้อข้างจมูกของเขาหรอก
ทั้งแม้กลุ่มคู่แข่งขันของท่านผู้แทนจะยังมิได้สลายไป ทว่าก็ไม่อาจยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามในงานนี้ได้
เมื่อรู้กันทั่วว่าหุ้นส่วนสำคัญที่เข้ามาสมทบในอันดามัน
อินน์เป็นนายทหารใหญ่แห่งกองทัพบกซึ่งอำนาจกำลังบานสะพรั่งอยู่ในปัจจุบัน ซัลมานจึงมีแต่จะถูกปล่อยให้ตายไปเงียบ ๆ
อย่างเจ็บช้ำใจ
นายเห็นหรือยังล่ะว่ามันโง่ที่สุดในศตวรรษ? เขาหัวเราะคล้ายกำลังเล่าเรื่องตลก
แหลมบอกว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่กล้าเสนอราคาให้ซัลมาน
ซึ่งข้าพเจ้าดูแล้วช่างเป็นราคาที่ต่ำจนน่าใจหาย
คนคนนั้นมิใช่อื่นไกลหากแต่คือเจ้าของโรงแรมนั่นเอง ถึงตอนนี้เขาไม่มีความจำเป็นใด ๆ
ที่ต้องได้ที่ดินผืนนั้นมาไว้ในครอบครองอีกแล้ว
เขาเพียงเสนอเงินให้เปล่ากับซัลมานเดือนละสี่พันบาท ให้ซัลมานออกเรือตามปกติ
เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับปลาซึ่งซัลมานจะหามาได้สักตัว เพียงแต่เขาอยากเห็นซัลมานเป็นชาวประมงที่ทำตัวเช่นชาวประมงจริง
ๆ นั่นรวมไปถึงว่าซัลมานจะต้องไม่หงุดหงิดเมื่อนักท่องเที่ยวขอถ่ายภาพด้วย หรือหากเขาฉลาดพอ ยอมให้นักท่องเที่ยวนั่งเรือเล่นบ้าง เขาก็อาจได้โบนัสพิเศษก้อนงาม
บางทีแกอาจได้ทิปจากพวกขอถ่ายรูปนั่นนะ เถ้าแก่พูดให้มันเห็นแบบนี้แหละ
แหลมเลียนเสียงสูงของเจ้าของโรงแรมขณะเล่า อย่างแกให้พวกนั้นนั่งเรือเล่น ใครจะใจจืดใจดำไม่ออกค่าน้ำมันให้แก่ ยังมีค่าทิปนั่นอีก
ไม่ทันเถ้าแก่จะว่าอะไรต่อ มันจวกโครมเข้าปากครึ่งจมูกครึ่ง แถมยังโง่ ถ่มน้ำลายรถหน้าเถ้าแก่เสียอีกแน่ะ
ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าหากตัวเองตกอยู่ในภาวะเช่นนั้นบ้างจะเลือกเอาอย่างไหน บางที ซัลมานก็แข็งเกินไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ข้าพเจ้าพอเข้าใจและนึกสงสารเมียของเขา หล่อนเป็นผู้หญิง จะทนต่อหน่วยตาดำ ๆ บอกแววหิวโหยของลูกได้อย่างไร ซัลมานไม่ได้ออกทะเลอีก
และเขารู้ดีว่าเงินใช้จ่ายในครอบครัวทุกวันนั้นได้มาจากไหน นั่นเองที่เป็นเหตุให้หล่อนโดนทุบตีอยู่เป็นประจำ บางครั้งก็พาลมาถึงลูก
เขาว่าหล่อนไม่รักศักดิ์ศรี!
เปล่าหรอก นะซาอี เมียของเขาทรุดโทรมและผิวหยาบเกินกว่าจะเดินเหินเข้าห้องโน้นออกห้องนี้ในอันดามัน อินน์ได้ แต่หล่อนได้เงินอย่างลับ ๆ
จากเจ้าของโรงแรมเดือนละสองพันบาทแลกกับข้อเสนอเล็ก ๆ น้อย ๆ
เช่นว่าให้หล่อนหุงต้มด้วยไม้ฟืนในตอนเช้ามืด
เพื่อให้ควันไฟลอยกรุ่นอยู่เหนือหลังคากระท่อมดูสวยงามตา หรือไม่ก็ให้นุ่งปาเต๊ะ แต่งตัวแบบชาวเล บางครั้งหากปลอดตาซัลมาน
เป็นไรไปหากหล่อนยอมให้นักท่องเที่ยวขอถ่ายภาพบ้าง
โดยเฉพาะอย่างหลังนี่เองที่ทำให้หล่อนพอมีรายได้พิเศษซื้อขนมให้ลูกได้กินบ้าง
แต่ก็เสี่ยงกับการโดนทุบตีอย่างมากนั่นด้วย
เอาเบียร์อีกนะนาย?
ขอรีเจนซีหน่อยดีกว่า
บาร์เทนเดอร์ยิ้มให้อย่างแปลกใจ
ข้าพเจ้ารู้สึกวันนี้อากาศอบอ้าวผิดปกติ ถึงกระนั้นเสียงร้องหนัก ๆ
ขอร๊อคเกอร์หนุ่มอย่างแจ็คสัน
บราวน์กับเพลง เวิร์ลด์ อิน โมชัน จากอีกฟากของบาร์ยังแผดมาให้ได้ยิน
ข้าพเจ้ามองผ่านชุดว่ายน้ำยั้วเยี้ยทั้งในสระและขอบสระตรงไปยังพุ่มรั้วเตี้ย
ๆ ข้างหน้า
เพ่งมองเด็กชายหญิงซึ่งกำลังเกาะพุ่มไม้จ้องมองความเคลื่อนไหวในลานหน้าโรงแรมอยู่ แต่เพียงครู่เดียวที่ข้าพเจ้ามอง
ผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาจากกระท่อม ลากเด็กทั้งสองกลับไปอย่างลนลาน
มันคิดว่าตัวเองฉลาด
บาร์เทนเดอร์คู่สนทนาเลื่อนแก้วมาให้ข้าพเจ้า แต่ที่สุดเห็นไหมว่าเป็นไง?
นายอาจยิ้มเยาะผม ใช่!
ผมขายที่ไป แล้วผมอาจโง่ที่ผลาญเงินจนหมด ต้องกลับมาเป็นลูกจ้างของที่นี่อีก แต่เห็นมั๊ยว่าอย่างน้อยผมก็มีกิน มีความสุขดี สนุกดีด้วย ผมยังได้แต่งชุดสวย ๆ อย่างนี้ แต่บังมานมันมีอะไรบ้างล่ะ?
เฮอะ! มันก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันพลาด
ศักดิ์ศรีที่มันใช้ด่าเมียน่ะกินไม่ได้หรอก จริง ๆ
แล้วมันก็เป็นลูกจ้างโรงแรมเหมือนกันละว้า
โลกมันแตกต่างกันเหลือเกินนะ
ข้าพเจ้าพึมพำหลังถอนแก้วออกจากปาก สายตายังจับอยู่ที่โลกใบเล็กของซัลมาน
นายว่าไรนะ?
เปล่า ข้าพเจ้าหันกลับมายิ้มให้เขา
แกดูเก๋มากกับชุดทักซิโดนี่
เขายิ้มรับขณะก้มลงสำรวจตัวเอง
ข้าพเจ้าไม่บอกเขาหรอกว่า
เมื่อครู่นั้นข้าพเจ้าได้คิดถึงโลกใบเล็กของซัลมานและโลกใบใหญ่ที่นั่งดื่มเหล้าอยู่นี้ว่าอย่างไรบ้าง
แทนที่จะข้ามไปเกาะพีพีตามกำหนดเดิมในเช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าใช้เวลาอยู่ที่อันดามัน อินน์อีกวันหนึ่ง ตลอดทั้งวันข้าพเจ้าได้แต่เดินเลียบ ๆ
เคียง ๆ โลกใบเล็กของซัลมาน
บ้างก็นอนบนหาดทรายจ้องดูความเคลื่อนไหวในโลกใบนั้นเหมือนคนไม่มีอะไรทำ
(สมองข้าพเจ้าทำงานหนักขณะเฝ้ามองโลกของซัลมาน
คิดถึงแต่ข้อเสนอแนะของเพื่อนคนหนึ่งที่บอกว่า ในห้วงเวลาห้าสิบปีต่อไปข้างหน้านี้ เนื้อหาวรรณกรรมจะต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องอนุรักษ์ธรรมชาติ
เพราะนี่เป็นกระแสซึ่งได้รับการป่าวร้องและขานรับอึงอลไปทั่วโลก นี่คือโอกาสซึ่งข้าพเจ้าควรรีบฉกฉวย
ข้าพเจ้าได้ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาในช่วงหกเดือนมานี้ว่าจะหยิบแง่มุมไหนมาเขียนเป็นนวนิยายสักเรื่อง เมื่อมาเจอโลกใบเล็กของซัลมานเข้า
ข้าพเจ้าคล้ายจะได้กลิ่นอาหารในจานซึ่งคิดถึงมานานแต่ก็เป็นเพียงกลิ่น
ด้วยข้าพเจ้าไม่แน่ชัดในสาเหตุที่ทำให้ซัลมานหวงแหนผืนดินของตนยิ่งกว่าอะไรหมด-- เพราะพ่อ? เพราะพระอัลลอฮ์? หรือเพราะความโง่เขลาทางธุรกิจ?
ข้าพเจ้ามองเห็นเพียงบางสิ่งบางอย่างที่รุกรานสู่โลกใบเล็กนี้
แม้จะเป็นการรุกรานอย่างเหี้ยมเกรียมและเลือดเย็น
แต่มันก็เป็นได้เพียงซับพล็อตในนวนิยายหากข้าพเจ้าคิดจะเขียน ข้าพเจ้าลองให้ซัลมานเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติคนหนึ่ง ทว่าหลังจากเรียบเรียงเรื่องราวในความคิดดูแล้ว มันก็เป็นเพียงการทดลองอันโง่เขลา
ข้าพเจ้าพยายามมองโลกใบเล็กของซัลมานด้วยความเข้าใจ ใช้ทั้งสายตาและความคิดเข้าไปวนเวียนอยู่ในโลกใบนี้ แต่มันก็ไม่มีพลังมากมายพอที่จะเก็บเกี่ยวสิ่งใดออกมาได้)
เวลาช่วงหน้าร้อนของข้าพเจ้าหมดลง
บัดนี้ข้าพเจ้าได้แต่พลิกดูภาพในเอกสารแนะนำโรงแรมอันดามัน อินน์
โลกใบเล็กของซัลมานยังดูสวยงามทรงเสน่ห์อยู่เสมอ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ลืมที่จะหยิบอีกภาพหนึ่งมาเทียบด้วยทุกครั้ง ภาพนั้นเกิดจากฝีมือตากล้องธรรมดา ๆ ของข้าพเจ้าเอง
แต่มันก็มากมายเกินพอที่จะเก็บความรู้สึกของภาพไว้
ข้าพเจ้ายินดีจ่ายไปห้าร้อยบาทสำหรับของที่ระลึกจากอันดามัน อินน์และโลกใบเล็กของซัลมาน ซึ่งเป็นเพียงภาพผู้หญิงคนหนึ่งกับลูกสองคนของหล่อน ในรอยยิ้มที่ฝืดฝืนและแห้งแล้งเสียเต็มประดา
-00000- Top