พระกสิภารทวาช

          กสิภารทวาชสูตรที่ ๔
          เล่มที่ ๒๕
          [๒๙๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
          สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พราหมณคามชื่อเอกนาฬา ในทักขิณาคิรีชนบท แคว้นมคธ
          ก็สมัยนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์ประกอบไถประมาณ ๕๐๐
          ในเวลาเป็นที่หว่านพืช
          ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตร และจีวร เสด็จเข้าไปยังที่การงานของกสิภารทวาชพราหมณ์
          ก็สมัยนั้นแล การเลี้ยงดูของกสิภารทวาชพราหมณ์กำลังเป็นไป
          ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปถึงที่เลี้ยงดู
          ครั้นแล้วได้ประทับยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
          กสิภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับยืนอยู่
          เพื่อบิณฑบาต ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
          ข้าแต่พระสมณะ ข้าพระองค์แล ย่อมไถและหว่าน
          ครั้นไถและหว่านแล้วย่อมบริโภค แม้พระองค์ก็จงไถและหว่าน
          ครั้นไถและหว่านแล้วจงบริโภคเถิด
          พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่าน
          ครั้นไถและหว่านแล้วย่อมบริโภค ฯ
          กสิ. ข้าแต่พระสมณะ ก็ข้าพระองค์ย่อมไม่เห็นแอก ไถ ผาล ปฏัก หรือโค ของท่านพระโคดมเลย
          ก็แลเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านพระโคดมตรัสอย่างนี้ว่า
          ดูกรพราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่าน
          ครั้นไถและหว่านแล้วย่อมบริโภค ฯ
          ลำดับนั้น กสิภารทวาชพราหมณ์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

          [๒๙๘] พระองค์ย่อมปฏิญาณว่าเป็นชาวนา แต่ข้าพระองค์ไม่เห็นไถของพระองค์
          พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว
          ขอได้โปรดตรัสบอกไถแก่ข้าพระองค์
          โดยวิธีที่ข้าพระองค์จะพึงรู้จักไถของพระองค์ ฯ
          พระผู้มีพระภาคตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
          ศรัทธาของเราเป็นพืช
          ความเพียรของเราเป็นฝน
          ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ
          หิริของเราเป็นงอนไถ
          ใจของเราเป็นเชือก
          สติของเราเป็นผาลและปฏัก
          เราคุ้มครองกาย คุ้มครองวาจา สำรวมในอาหารในท้อง
          ย่อมกระทำการถอนหญ้า คือ การกล่าวให้พลาดด้วยสัจจะ
          ความสงบเสงี่ยมของเราเป็นเครื่องปลดเปลื้องกิเลส
          ความเพียรของเรานำธุระไปเพื่อธุระนำไปถึงแดนเกษมจากโยคะ
          ไม่หวนกลับมา ย่อมถึงสถานที่ๆ บุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก
          การไถนานั้น เราไถแล้วอย่างนี้ การไถนานั้น ย่อมมีผลเป็นอมตะ
          บุคคลไถนานั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ฯ

          [๒๙๙] ลำดับนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์เทข้าวปายาสลงใน
          ถาดสำริดใหญ่ แล้วน้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคด้วยกราบทูลว่า
          ขอท่านพระโคดมเสวยข้าวปายาสเถิด
          เพราะพระองค์ท่านเป็นชาวนา ย่อมไถนาอันมีผล ไม่ตาย ฯ
          พระผู้มีพระภาคตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
          ดูกรพราหมณ์ เราไม่ควรบริโภคโภชนะที่ขับกล่อมได้มา
          ข้อนี้ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เห็นอยู่โดยชอบ
          พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงห้ามโภชนะที่ขับกล่อมได้มา
          ดูกรพราหมณ์ เมื่อธรรมมีอยู่ การแสวงหานี้เป็น
          ความประพฤติของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
          เชิญท่านบำรุงพระขีณาสพผู้บริบูรณ์ด้วยคุณทั้งปวง
          ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ผู้มีความคะนองอันสงบแล้ว ด้วยข้าวและน้ำอย่างอื่นเถิด เพราะว่าเขตนั้นเป็นเขตของบุคคลผู้มุ่งบุญฯ

          [๓๐๐] กสิ. ข้าแต่พระโคดม ก็เมื่อเป็นเช่นนี้
          ข้าพระองค์จะถวาย ข้าวปายาสนี้แก่ใคร ฯ
          พ. ดูกรพราหมณ์ เราย่อมไม่เห็นบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ผู้บริโภคข้าวปายาสนั้นแล้ว จะพึงให้ย่อยได้โดยชอบ
          นอกจากตถาคตหรือสาวกของตถาคตเลย
          ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงทิ้งข้าวปายาสนั้นเสีย ในที่ปราศจากของเขียว หรือจงให้จมลงในน้ำซึ่งไม่มีตัวสัตว์เถิด ฯ
          ลำดับนั้น กสิภารทวาชพราหมณ์เทข้าวปายาสนั้นให้จมลงในน้ำอัน
          ไม่มีตัวสัตว์ พอข้าวปายาสนั้นอันกสิภารทวาชพราหมณ์เทลงในน้ำ
          (ก็มีเสียง) ดังจิจจิฏะ จิฏิจิฏะ เป็นควันกลุ้มโดยรอบ
          เหมือนก้อนเหล็กที่บุคคลเผาให้ร้อนตลอดวัน ทิ้งลงในน้ำ
          (มีเสียง) ดังจิจจิฏะ จิฏิจิฏะ เป็นควันกลุ้มโดยรอบ ฉะนั้น ฯ

          [๓๐๑] ลำดับนั้นแล กสิภารทวาชพราหมณ์สลดใจ มีขนชูชัน เข้าไป
          เฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
          ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย
          เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง
          หรือตามประทีปไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น
          ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญกับทั้งพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ
          ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก
          ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป
          ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระโคดมผู้เจริญเถิด
          กสิภารทวาชพราหมณ์ได้ บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้ว
          ก็ท่านภารทวาชะอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว
          ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่ช้านักก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม
          ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
          พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
          กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
          ก็ท่านภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง
          ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ
          จบกสิภารทวาชสูตรที่ ๔