พระอนุรุทธะ
พระไตรปิฎก : พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย
ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ ทุติยอนุรุทธสูตร
ว่าด้วยพระอนุรุทธะสนทนากับพระสารีบุตร
[๕๗๐] ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร ครั้นเข้าไปถึงแล้ว ก็ชื่นชมกับท่านพระสารีบุตร
กล่าวถ้อยคำที่ทำให้เกิดความชื่นบานต่อกัน เป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว นั่งลง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง
แล้วกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโสสารีบุตร ข้าพเจ้า (อยู่) ในที่นี้ตรวจดูสหัสสโลก
(๑,๐๐๐ โลก) ได้ด้วยจักษุทิพย์อันบริสุทธิ์เกินจักษุมนุษย์สามัญ อนึ่ง ความเพียรข้าพเจ้าก็ทำไม่ท้อถอย
สติก็ตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน กายก็รำงับไม่กระสับกระส่าย จิตก็มั่นคงเป็นหนึ่งแน่วแน่
เออก็เหตุไฉน จิตของข้าพเจ้าจึงยังไม่สิ้นอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น - ธัมมโชติ)
หลุดพ้นจากอาสวะ (กิเลสที่นอนเนื่องในขันธสันดาน - ธัมมโชติ) ทั้งหลายเล่า. (คือยังไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
- ธัมมโชติ)
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโสอนุรุทธะ ข้อที่ท่านว่า ข้าพเจ้าตรวจดูสหัสสโลกได้
ด้วยจักษุทิพย์อันบริสุทธิ์เกินจักษุมนุษย์สามัญ นี้เป็นเพราะมานะ
(ความเย่อหยิ่งถือตัว ในที่นี้เป็นอติมานะ คือถือตัวว่าเหนือกว่าคนอื่นเขา - ธัมมโชติ)
ข้อที่ว่า อนึ่ง ความเพียรข้าพเจ้าก็ทำไม่ท้อถอย สติก็ตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายก็รำงับไม่กระสับกระส่าย
จิตก็มั่นคงเป็นหนึ่งแน่วแน่ นี้เป็นเพราะอุทธัจจะ
(ความฟุ้งซ่าน คือจิตไม่อยู่กับปัจจุบัน ไม่ใส่ใจกับสภาวะที่ปรากฏเฉพาะหน้าในขณะนั้น
แต่ซัดส่ายไปถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นคือการบรรลุธรรม - ธัมมโชติ)
(โปรดสังเกตว่า ข้อความที่ว่า อนึ่ง
ความเพียรข้าพเจ้าก็ทำ ..... (จนถึง) .....จิตก็มั่นคงเป็นหนึ่งแน่วแน่
นั้นคล้ายๆ กับว่าจิตกำลังอยู่กับปัจจุบัน คือกำลังดูสภาวะของกายและจิตในขณะนั้น
แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่า ความคิดนั้นมีความรู้สึกว่า เหตุไฉนจึงยังไม่บรรลุธรรม
แอบแฝงอยู่ด้วย นั่นคือแท้จริงแล้วจิตกำลังน้อมไปสู่เรื่องการบรรลุธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
ดังนั้น จิตจึงไม่อยู่ที่ปัจจุบันอย่างแท้จริง - ธัมมโชติ)
ข้อที่ว่า เออก็เหตุไฉน จิตของข้าพเจ้าจึงยังไม่สิ้นอุปาทาน หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเล่า
นี้เป็นเพราะกุกกุจจะ (ความรำคาญใจ ความขัดเคืองใจอย่างอ่อนๆ
ซึ่งเป็นโทสะชนิดอ่อน - ธัมมโชติ)
ทางที่ดีนะ ท่านอนุรุทธะจงละธรรม ๓ ประการนี้เสีย (คือ มานะ อุทธัจจะ และกุกกุจจะ
- ธัมมโชติ) อย่าใส่ใจถึงธรรม ๓ ประการนี้ แล้วน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุ (ธาตุไม่ตาย
คือ พระนิพพาน) เถิด. (คือปล่อยวาง จะได้ไม่เกิดมานะ อุทธัจจะ และกุกกุจจะขึ้นมาในใจ
แล้วยินดีในพระนิพพาน คือ ความสิ้นตัณหา ความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง -
ธัมมโชติ)
ภายหลังท่านอนุรุทธะก็ละธรรม ๓ ประการนี้ ไม่ใส่ใจถึงธรรม ๓ ประการนี้ น้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุ
อยู่มาท่านหลีกจากหมู่อยู่คนเดียว ไม่ประมาท ทำความเพียร มีตนอันส่งไปอยู่ ไม่ช้าเลย
กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ต้องการเพื่อประโยชน์อันใด ท่านก็ทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์อันนั้น
ซึ่งเป็นคุณที่สุดแห่งพรหมจรรย์อย่างเยี่ยมยอด ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง สำเร็จอยู่ในปัจจุบันนั่น
ท่านรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำแล้ว กิจอื่น
(ที่จะต้องทำ) เพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีก. ท่านพระอนุรุทธะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง
ในพระอรหันต์ทั้งหลายแล้ว.
จบทุติยอนุรุทธสูตร
ผู้รวบรวม
ธัมมโชติ
19 พฤษภาคม 2545