ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Eye On Me (Part 1) by...เฟื่อง Warning: เรื่องนี้มีวี่แววจะน้ำเน่ามากอยู่(คนเขียนเองก็ยังไม่รู้ระดับความน้ำเน่าเหมือนกัน แต่คงเน่ากว่าทุก ๆ เรื่องที่เขียนมา) เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ชอบก็ขอเตือนไว้แต่เนิ่น ๆ เน้อ บทนำเพื่อความเข้าใจเรื่อง สภาพสังคมทั่วไป ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 (1800-1850) รัฐในภาคเหนือ และรัฐในภาคใต้ของสหรัฐอเมริกามีความแตกต่างทางวัฒนธรรม แนวความคิด และรูปแบบชีวิต ราวกับเป็นคนละประเทศ ความแตกต่างที่เห็นได้ชัด และนำไปสู่สงครามกลางเมืองในปี 1861 คือ การมีแรงงานทาสผิวดำไว้ใช้ ในช่วงนี้เองที่รัฐทางใต้จะถูกขนานชื่อยุคว่าเป็น Gilded Age (ยุคหุ้มทอง) เนื่องจากถือเป็นยุคที่มีความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม มารยาท ธรรมเนียมต่าง ๆ ที่มีลักษณะเฉพาะได้ถูกยึดถือเป็นหลักปฏิบัติกันอย่างแพร่หลาย ชนชั้นกลางขึ้นไปจะมีทาสผิวดำไว้ใช้งานมากน้อยตามฐานะ ทาสเหล่านี้จะถือเป็นสมบัติอย่างหนึ่งที่นายทาสจะปฏิบัติอย่างไรก็ได้ คนผิวขาวในรัฐทางใต้มีความเชื่อว่าทาสเป็นแค่ 'ของ' อย่างหนึ่งที่พระเจ้าประทานมาให้พวกเขาใช้งาน ทาสไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่รู้จักความรัก นายทาสส่วนใหญ่จะไม่ให้ทาสเรียนหนังสือ เนื่องจากความฉลาดจะทำให้การควบคุมเป็นไปได้ยากขึ้น และเนื่องจากการมีทาสไว้ใช้งานนี่เอง ผู้คนส่วนใหญ่จึงมีเวลาว่างและใช้เวลาเหล่านั้นในการอ่านนิยายโรแมนติค ทำให้แนวคิดแบบโรแมนติค (มีลักษณะตรงข้ามกับ Realism) เข้าครอบงำความคิดของผู้คน ผู้ชายจะมีความเป็นสุภาพบุรุษสูง ในขณะที่ผู้หญิงจะถูกยกย่องให้เป็นเพศที่สูงส่งและได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างดี ในระหว่างคนผิวขาวด้วยกันนั้น การช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างเอื้อเฟื้อระหว่างชนชั้นเดียวกันมีให้เห็นอยู่ทั่วไปเพราะถือว่าเป็นมารยาทที่พึงปฏิบัติอันเรียกว่า Southern Hospitality เด็กหลงทางหรือเด็กกำพร้าบางคนจะได้รับการอุปการะ โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิงจะได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างดี ถ้าเป็นในบ้านที่มีฐานะดีก็ถึงกับมีทาสส่วนตัวไว้ให้ใช้สอย ผู้หญิงในยุคนั้นจะไม่ต้องทำงาน เพียงแค่แต่งตัวอยู่บ้าน รอสามีกลับมา หรือถ้ายังเป็นเด็กสาวก็รอการได้แต่งงานออกไปอยู่กับสามี แนวคิดแบบโรแมนติคนี่เองทำให้คนทางตอนใต้คิดว่าตัวเองมีคุณลักษณะอันสูงส่ง ในขณะที่การปฏิบัติต่อทาสอย่างโหดร้ายทารุณมีอยู่ทั่วไป ทาสอาจถูกนายทาสฆ่าได้โดยไม่มีความผิด หรืออาจถูกจับแยกกับครอบครัวของตนและส่งไปขายที่อื่นได้อย่างไม่สนใจว่าทาสจะยินยอมหรือไม่ นอกจากนั้นในสังคมที่ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงเห็นว่ามีความสูงส่งทางวัฒนธรรมขั้นสูงสุดนี้ ยังมีคนอีกกลุ่มซึ่งเป็นคนผิวขาวชนชั้นล่าง คนพวกนี้จะมีความเป็นอยู่ยากจน ไม่รู้หนังสือ และบางคนไม่นับถือศาสนา แต่ก็ยังมีสถานะดีกว่าทาสผิวดำมาก ด้วยลักษณะที่ภายนอกดูสุกใสและมีความเจริญ แต่ภายในเน่าเฟะของรัฐทางใต้ ทำให้ช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 ถูกขนานนามว่า Gilded Age (ยุคหุ้มทอง) ฉากในเรื่อง แม่น้ำสายหลักในเรื่องคือแม่น้ำมิสซิสซิปปีที่ไหลตั้งแต่รัฐมินิสโซตาที่อยู่ทางเหนือ(ชายแดนติดต่อกับประทเศแคนาดา) ผ่านไอโฮว่า มิซซูรี อาคันซอส์ และไหลลงทะเลที่หลุยส์เซียน่า แม่น้ำสายนี้จะมีความเชี่ยวกรากแปรผันไปตามฤดูกาล แต่จะมีของไหลลอยมาตามน้ำอยู่เสมอ เช่น ซุงไม้ แพ เรือ ทำให้คนบางกลุ่มสามารถลอยเรือรอ และเก็บของที่ลอยตามน้ำนี้ไปขายยังชีพได้ บ้านเรือนในสมัยนั้นแต่ละหลังจะอยู่ห่างจากกันค่อนข้างมาก เนื่องจากมีไร่และป่าคั่นอยู่เป็นระยะ จึงเป็นไปได้ที่อาจจะเห็นบ้านเพียงแค่หนึ่งหลังใจการเดินเท้าครึ่งวัน พาหนะที่ใช้ในการเดินทางมีเพียงม้า และรถเทียมม้า และ แพ เรือ หรือเรือกลไฟถ้าเป็นการสัญจรทางน้ำ แต่ละเมืองจะมีจุดศูนย์กลางซึ่งเป็นที่ตั้งของธนาคาร ร้านขายของชำ โรงงาน ร้านตัดเสื้อ ร้านขายของที่สั่งมาจากที่อื่น สำนักงานทนายความ ร้านอบขนมปัง ขึ้นอยู่กับขนาดและความเจริญของเมืองแต่ละเมือง มารยาทระหว่างชายหญิง เนื่องจากผู้หญิงถือเป็นเพศที่สูงส่งและสมควรได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างดี และผู้ชายในยุคนั้นมีความเป็นสุภาพบุรุษสูง การที่ชายหญิงนั่งรถม้าหรือออกไปเดินเล่นกันตามลำพังจึงเป็นเรื่องปกติ และไม่เป็นที่ครหาถ้าไม่ทำตัวประเจิดประเจ้อเกินไปนัก Part 1 เสียงที่เข้าหูคือลมหายใจหอบสะท้านและหัวใจที่เต้นรัวจนแทบทะลุออกจากอก เท้าเปล่าเปลือยคู่นั้นย่ำรัวไปบนผืนดินแห่งป่าโปร่ง หญ้าต้นอ่อนเขียวขจีที่ขึ้นปกคลุมดินในฤดูใบไม้ผลิไม่ได้ช่วยลดบาดแผลที่เกิดขึ้นจากคมหินและเศษกิ่งไม้ตามพื้นไปได้กี่มากน้อย ฝ่าเท้าที่เคยเป็นสีขาวอมชมพูบัดนี้ถูกย้อมด้วยสีแดงจาง ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความเร็วในการวิ่งลดลงแต่อย่างใด ร่างนั้นหันกลับมามองด้านหลัง แล้ววิ่งต่อไปด้วยความเร็วราวกับอยากหนีจากดวงอาทิตย์เริงแรงที่ส่องแสงไล่ตามมา ก่อนจะล้มถลาไปกองอยู่กับพื้น เมื่อขาสะดุดกับท่อนไม้ที่ล้มขวางทางอยู่อย่างแรง เจ็บจนแทบน้ำตาร่วง เอสเพนพลิกตัวนอนหงายแล้วยกขาตัวเองขึ้นสำรวจ เสียงครางเบา ๆ ดังลอดออกมาจากแนวฟันที่ถูกขบเข้าหากันแน่น เมื่อปลายนิ้วเย็นต้องถูกบริเวณเนื้อที่แดงช้ำขึ้นมาทันตา และจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำในไม่ช้า ทันใดนั้นเขาก็ผวาเฮือก แล้วยกศีรษะขึ้นหันขวับไปยังทางที่เพิ่งวิ่งผ่านมาเมื่อครู่ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนด้วยลมหายใจเหยียดยาวเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า เปลือกตาบางปิดลงซ่อนมรกตเม็ดงามไว้ภายใน ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ผุดขึ้นมาตามลำดับ ยังผลให้ใบหน้าสีแทนจางบิดเบี้ยวด้วยความขมขื่น เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดยังคงดังก้องอยู่ในหู ร่างไร้ชีวิตสองร่างที่นอนตาค้างโพรงตรึงแน่นอยู่ในความทรงจำที่ยังสดใหม่ สีแดงคล้ำของเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนฟูกนอน รวมทั้งกลิ่นคาวคลุ้งของมันทำให้เขาย่นจมูกด้วยความผะอืดผะอม และ เด็กหนุ่มเบิกตาโพรง แล้วลุกวิ่งลงไปหาแม่น้ำที่ได้ยินเสียงไหลเซาะอยู่ไม่ไกล เขาก้าวขาที่เพิ่งจะรู้สึกว่ามันแสนจะหนักอึ้งและเมื่อยระบมจนแทบจะหลุดออกมาของตัวเองไปที่ริมตลิ่ง วักน้ำขึ้นมาสาดหน้าราวกับต้องการให้ความทรงจำทั้งหมดถูกสายน้ำชำระออก แล้วสำลักเมื่อน้ำบางส่วนไหลเข้าไปในหลอดลม เขาชะงักนิ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเหยียดเรียวขาที่บอบช้ำของตนออก และแช่มันลงไปในสายน้ำเย็นที่ก่อให้เกิดความรู้สึกแสบแผลในตอนแรก แต่แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นความผ่อนคลายภายในนาทีต่อมา เขาเลือกที่จะวิ่งเข้ามาในป่าโดยทิ้งระยะให้ลึกพอที่จะได้ยินเสียงน้ำไหลมากกว่าวิ่งเลียบแม่น้ำโดยตรง ซึ่งจะเป็นที่สังเกตได้ง่ายกว่า แต่ตอนนี้เอสเพนรู้ดีว่าตัวเองปลอดภัย และอยู่ห่างจากรัศมีการติดตามแล้ว หนำซ้ำร่างกายที่อ่อนล้าอยู่นี้ก็เรียกร้องที่จะได้รับการพักผ่อนบ้าง ดวงตาสีเขียวสดหรี่มองดวงอาทิตย์ที่เริ่มหมุนตัวเองไปอยู่ฟากฟ้าฝั่งตะวันตกแล้วชูนิ้วนับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า เขาวิ่งมาห้าชั่วโมงครึ่งโดยไม่มีการหยุดพักสักนิด ร่างเล็กทิ้งแผ่นหลังชุ่มเหงื่อลงกับผืนดินเย็นชื้นและอ่อนนุ่มที่อยู่ริมตลิ่ง โดยปล่อยให้เรียวขาอันเปลี้ยล้าของตัวเองแช่ในน้ำอยู่อย่างนั้น หยาดน้ำใสไหลรินออกมาจากหางตา เมื่อคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งรวมทั้งบุคคลที่สูญเสียไปอย่างไม่มีวันกลับ ไม่มีเสียงสะอื้นหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากที่เม้มแน่น แต่สีหน้าขมขื่นก็แสดงความรู้สึกที่ซ่อนเก็บเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แม้เรื่องที่เกิดกับพี่สาวจะไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เอสเพนก็อดจะโทษตัวเองไม่ได้ ถ้าเขาอยู่ที่กระท่อมในตอนนั้น โจเซฟีนก็คง มือที่กำแน่นจนเห็นข้อขาวค่อยคลายออกทีละน้อยเมื่อเจ้าตัวตกอยู่ในห้วงนิทรารมย์ โดยมีแสงแดดอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิ สายน้ำเย็นแห่งแม่น้ำมิสซิสซิปปีที่ไหลผ่าน และเสียงนกกระซิบร้องเป็นตัวขับกล่อมให้หลับใหลไปในที่สุด +++++++++ สัญชาติญาณแห่งการอยู่รอดปลุกเด็กหนุ่มให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อรู้สึกหิวจนแสบท้อง ขอบฟ้าฝั่งตะวันตกเริ่มอาบไล้ไปด้วยลำแสงสีทองอมส้มที่กำลังจะหายลับไปในไม่ช้า เพื่อเชื้อเชิญให้ราตรีมืดสนิทมาเยือนท้องฟ้าแทนที่ เอสเพนลุกขึ้นด้วยความเมื่อยขบ แล้วชักขาที่ทั้งขาวซีดและชาดิกจากการแช่น้ำนานเกินควรของตนเองขึ้นบีบนวดโดยระมัดระวังไม่ให้ถูกแผลมากที่สุด แผลที่เกิดจากการสะดุดท่อนไม้บัดนี้เป็นสีม่วงคล้ำน่ากลัวจนเขาไม่กล้าแตะด้วยซ้ำ ร่างผอมเกร็งกว่าที่ควรลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ ตัวที่เริ่มถูกความมืดเข้าปกคลุมด้วยความท้อแท้ ตอนนี้เขาไม่มีอะไรติดตัวมาสักอย่างนอกจากเสื้อผ้าชุดเก่าที่สวมอยู่ แล้วจะหาอาหารใส่ปากใส่ท้องได้อย่างไรกัน หนำซ้ำเขายังไม่รู้ตำแหน่งที่ตัวยืนอยู่สักนิดเดียว เขาข้ามเขตหลุยส์เซียน่าหรือยัง? ข้อเท็จจริงนั้นยังคลุมเครือ แต่เด็กหนุ่มก็มั่นใจว่าจะไม่กลับไปทางเดิมอีกเป็นอันขาด เขาขอฝากชีวิตไว้กับตัวเองและหนทางข้างหน้าเท่านั้น แม้ว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ++++++++++ เนื่องจากความกลัวในเรื่องจะถูกติดตามได้หายไปหมดแล้ว ประกอบกับล่วงเข้ายามวิกาล ร่างเล็กจึงตัดสินใจใช้สายน้ำนำทางในการเดินเลียบไปเรื่อย ๆ ความอ่อนล้าที่ผ่านมาทั้งวันและความหิวที่ประดังขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งทำให้ต้องหยุดพักเพื่อล้างหน้าและวักน้ำขึ้นดื่มรองท้องเป็นระยะ เอสเพนเดินย่ำเท้ามาประมาณสองชั่วโมง จนดวงจันทร์สีเงินยวงดูเด่นชัดอยู่บนท้องฟ้าสีดำสนิท เด็กหนุ่มพยายามเพ่งตามองเมื่อเห็นแสงไฟอยู่ข้างหน้า เพราะเกรงว่าความอ่อนล้าของร่างกายจะทำให้ประสาทตาของตนทำงานผิดพลาด ก่อนที่ริมฝีปากสีสดจะคลี่ยิ้มกับตัวเอง แล้วเร่งสาวเท้าโขยกเขยกเข้าไปหาแสงไฟที่มองเห็นเมื่อครู่ กระท่อมขนาดกลางตั้งห่างจากริมแม่น้ำขึ้นไปประมาณร้อยเมตร ด้านหน้ามีโคมเทียนปักไว้ให้แสงแก่สมาชิกที่ออกไปข้างนอกยามค่ำคืน เพราะฉะนั้นตัวเมืองหรือตลาดน่าจะอยู่ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลนัก เด็กหนุ่มก้มลงดูสภาพตัวเอง เสื้อผ้าเก่าขาดที่มารอยเลือดแห้งกรังเปื้อนเป็นหย่อม ๆ รวมทั้งรอยช้ำที่ปรากฏตามเนื้อตัวนี้ ไม่ว่าใครพบเห็นเข้าก็ต้องสงสัยว่าเขามาจากที่ไหน หรือไปทำอะไรมา เอสเพนแกะเล็บตัวเองอย่างครุ่นคิด ทันใดนั้นก็ยิ้มออกเมื่อเห็นราวตากผ้าที่อยู่ข้างกระท่อม ผู้เป็นแม่บ้านคงจะลืมเก็บผ้าเข้าไปในตอนเย็น ถึงได้อำนวยแก่ความต้องการของเขาได้เหมาะเจาะถึงเพียงนี้ ดวงตาสีเขียวสดกราดไปโดยรอบอย่างระมัดระวังเพื่อมองหาสุนัขที่อาจจะวิ่งออกมาจากมุมใดมุมหนึ่ง พลางวิ่งไปหาราวผ้านั้นอย่างรวดเร็วและเงียบเสียงที่สุด เขาพยายามเพ่งสายตามองผ่านความมืดสลัวที่มีเพียงดวงจันทร์และโคมเทียนริบหรี่ให้แสง แล้วต้องนิ่วหน้าเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่บนราวทั้งหมดเป็นเสื้อผ้าผู้หญิง ความลังเลก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าเขาเดินต่อไปจะเจอบ้านที่ลืมผ้าทิ้งไว้อย่างนี้อีกหรือเปล่า ที่สำคัญตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน และเรื่องของเขาแพร่กระจายไปแค่ไหนแล้ว การแต่งตัวเป็นผู้หญิงจนกว่าจะข้ามฝั่งแม่น้ำไปมิสซิสซิปปีได้คงจะเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวเองในยามนี้ การตัดสินใจทำขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อมือหยาบกร้านหยิบเสื้อผ้าเท่าที่ต้องการแล้วนึกขอลุแก่โทษกับผู้เป็นเจ้าของอยู่ในใจ บิดาที่ขี้เมาจนจมน้ำตายเคยบอกเอาไว้ว่าการหยิบของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตนั้นไม่ผิด เพราะถือว่าเป็นการขอหยิบยืมชั่วคราว และจะนำมาใช้คืนเมื่อมีโอกาส แต่ลับหลังพ่อ โจเซฟีนจะย้ำกับเขาเป็นหนักหนาว่าการกระทำดังกล่าวคือการลักขโมย และถือเป็นบาปในศาสนา โจเซฟีนผู้บริสุทธิ์ ตอนนี้เธอจะได้อยู่ร่วมกับพระผู้เป็นเจ้า และคอยคุ้มครองเขาอยู่บนสวรรค์หรือเปล่านะ? เอสเพนหอบเสื้อผ้าวิ่งตรงกลับไปยังริมน้ำอีกครั้ง เขาเปลื้องอาภรณ์ที่สวมอยู่ลงไปกองกับพื้นแล้วสวมชุดที่ได้มาใหม่ทับร่างกายเปลือยเปล่า เด็กหนุ่มขยับตัวไปมาอย่างเงอะงะด้วยความไม่เคยชิน ก่อนจะหันรีหันขวางครู่หนึ่ง แล้วก้มลงยกก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้นด้วยมือทั้งสองข้าง ร่างผอมหุ้มพันเสื้อผ้าชุดเก่าที่ไม่อยู่ในสภาพใช้งานได้อีกต่อไปของตัวเองเข้ากับหินก้อนนั้นอย่างแน่นหนา แล้วยกมันขึ้นมาเหวี่ยงลงไปในแม่น้ำด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี +++++++++++ เด็กหนุ่มใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการเดินมาถึงใจกลางเมือง แม้จะทำใจไว้แล้วว่าร้านรวงต่าง ๆ จะต้องปิดไปหมดจนเหลือแต่ร้านเหล้า แต่ถึงกระนั้นเมื่อพบกับความจริงที่ตัวเองคาดเอาไว้ เขาก็อดจะหวั่นใจไม่ได้ ร้านเหล้าในสายตาของเอสเพนคือแหล่งรวมความโสโครกต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน หลายต่อหลายคืนที่เขาสาปแช่งสถานที่นี้ก่อนนอน เพราะมันเป็นที่ซึ่งพ่อนำเงินที่เขาและพี่สาวหามาได้ไปละลายทิ้งจนหมด ทั้งกับเหล้า โป๊กเกอร์ และบรรดาผู้หญิงที่แต่งเนื้อแต่งตัวอย่างไม่มียางอาย เสียงหัวเราะดังออกมาจากสถานที่ดังกล่าวทำให้ร่างเล็กที่ยืนอยู่ด้านหน้าสะดุ้งน้อย ๆ ท้องที่ว่างมาตั้งแต่เช้าทำให้ต้องจำใจเดินเข้าไปด้านใน แล้วนึกขอบคุณกระโปรงบานที่ยาวกรอมข้อเท้าที่ตัวเองใส่อยู่ตอนนี้ แม้ว่ามันจะทำให้เขาเดินในป่าได้ไม่ถนัดนัก แต่ก็ช่วยอำพรางท่าเดินที่ดูไม่เหมือนเด็กผู้หญิงของเขาไปได้มาก นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง แล้วถอยหนีเมื่อมือหนึ่งเอื้อมเข้ามาจับไหล่ เขาหันไปมองเจ้าของมือซึ่งเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาเจ้าเล่ห์และกำลังหัวเราะชอบอกชอบใจที่ทำให้กับปฏิกิริยาของเขา เสียงผิวปากดังขึ้นเป็นระยะตามทางที่เขาเดินผ่าน แต่ไม่มีโต๊ะไหนมีทีท่าว่าจะเป็นมิตรหรือหวังดีสักคน ขาทั้งสองข้างแข็งราวกับหินเมื่อเอสเพนรู้สึกตัวว่าได้กลายเป็นเป้าสายตาของคนทั้งห้อง ดวงตาแต่ละคู่สื่อความหมายที่แตกต่างกันออกไป เด็กหนุ่มเม้มปากจนเป็นเส้นตรงพลางหมุนตัวไปรอบ ๆ เพื่อหาความเมตตาที่เขาหวังจะได้พบ แล้วก็ต้องใจแป้วเมื่อเห็นแต่ความน่าขยะแขยงที่สะท้อนอยู่ในดวงตาแต่ละคู่ เสียงโห่ฮาป่าดังก้องห้อง พร้อมกับร่างหนึ่งที่เดินนวยนาดเข้ามาจูงมือเขาเดินไปข้างในโดยปราศจากคำพูด เอสเพนไม่รู้ว่าหล่อนคือใคร แต่ถ้าใครสักคนจะพาเขาให้พ้นไปจากสถานการณ์นี้ เขาก็ยินดีที่จะเดินตาม เด็กหนุ่มถูกพามายังห้องเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลัง แล้วให้รู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อพบรอยยิ้มบนใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยสีสันสดใสของหญิงสาวร่างอวบที่พาเขาเข้ามา หล่อนกดบ่าเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ แล้วก้าวถอยหลังไปเอียงคอมอง ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับหญิงสาวอ่อนวัยกว่าที่เพิ่งเดินเข้ามา "เด็กบางคนหน้าตาน่าเกลียด แต่โตขึ้นสวยไม่ใช่เล่น" หญิงสาวร่างอวบกระซิบอีกฝ่ายที่ได้แต่โคลงศีรษะ แล้วเดินเข้ามาหา "สวัสดี" หล่อนพูดพลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม "ฉันชื่อมาร์ธา" ดวงตาสีมรกตเบนหนีจากเนินเนื้อทั้งสองข้างที่ถูกดันขึ้นสูงของคนพูดอย่างสุภาพ แล้วตอบเบา ๆ หลังจากนิ่งคิดสักพัก "ชาร์ล็อต" เขาพูดแผ่วเพื่ออำพรางเสียงของตัวเอง แม้ว่าอันที่จริงแล้วเอสเพนมีเสียงค่อนข้างแหลมเมื่อเทียบกับผู้ชายทั่วไป แต่ก็ใช่ว่าจะเหมือนผู้หญิงเสียทีเดียว ตอนนี้เขาอยู่ในเครื่องแต่งกายผู้หญิง การบอกชื่อผู้หญิงไปดูจะเป็นเรื่องที่ควรทำมากที่สุด เด็กหนุ่มตั้งใจจะขออาหารกินสักมื้อ จากนั้นก็เดินทางต่อไปโดยไม่หยุดพักและจนกว่าจะถึงท่าเรือ และมีเงินขึ้นเรือกลไฟไปยังอีกฟากฝั่งของแม่น้ำ มาร์ธาเอียงคออมยิ้ม แล้วสางนิ้วเข้าไปในเรือนผมสีน้ำตาลแดงที่ยาวระต้นคอของเด็กตรงหน้า "ชาร์ล็อต เธอหิวมั้ย?" เด็กหนุ่มพยักหน้ารับทันทีโดยไม่ลังเล มาร์ธาเดินออกไปพร้อมกับผู้หญิงคนแรกที่พาเขาเข้ามา แล้วเดินกลับมาคนเดียวโดยมีจานอาหารและแก้วน้ำอยู่ในมือ เอสเพนไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ร่างเล็กก็ตักมันเข้าปากแล้วเคี้ยวกินอย่างตะกรุมตะกราม พลางเหลือบมองไปยังหญิงสาวที่นั่งจ้องตัวเองเงียบ ๆ เป็นระยะ "พ่อแม่เธออยู่ที่ไหน? ทำไมถึงเดินทางมาคนเดียวมืด ๆ ค่ำ ๆ ในที่อันตรายอย่างนี้?" "หนูก็ไม่อยากเข้ามาหรอกค่ะมิส ถ้าไม่หิวจริง ๆ" เขาตอบ "แล้วทำไมเธอถึงเดินทางคนเดียวล่ะ?" หล่อนทวนคำถามเดิมด้วยสายตาคมกริบราวกับพร้อมจะจับผิด ทำไมเขาต้องเดินทางคนเดียวน่ะหรือ? ร่างเล็กน้ำตาปริ่มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อคิดถึงมูลเหตุของการกระทำดังกล่าว แต่ถ้าเขาพูดความจริงออกไป เอสเพนไม่แน่ใจว่าอนาคตของตัวเองจะจบลงที่ไหน แต่มันจะต้องเป็นที่ที่เขาไม่อยากแม้แต่จะคิดแน่นอน "ทุกคนที่บ้าน ตายหมด" หยาดน้ำใสที่อุตส่าห์ทนกักไว้ร่วงลงมาเมื่อถึงประโยคนี้ เนื่องจากมันไม่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงแม้แต่น้อย "ก่อนตายแม่บอกให้หนูมาหาลุงเจอราดที่อาคันซอส์" "ยินดีด้วยแม่หนูน้อย นี่แหละคืออาคันซอส์" ประโยคนั้นทำให้คนฟังยิ้มออก แสดงว่าเขาพ้นเขตหลุยส์เซียน่ามาแล้ว และถ้าข้ามแม่น้ำไปก็จะเป็นมิสซิสซิปปี "ลุงเธอนามสกุลอะไร?" เด็กหนุ่มขบคิด ก่อนจะตอบกลับไปรวดเร็ว "มายเอ่อร์" มาร์ธากรอกตาไปมาครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้า "ฉันไม่เคยได้ยินนะ" เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงหลบตาอีกฝ่าย แล้วรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นที่ฝ่ามือ "เขาเป็นชาวไร่ธรรมดา คุณคงไม่รู้จัก แล้วบางทีลุงอาจจะไม่อยู่เมืองนี้" "แล้วเขาอยู่เมืองอะไร?" เอสเพนกำมือแน่น แค่ชื่อเมืองในหลุยส์เซียน่าเขายังรู้ไม่ครบ แล้วนี่ "ไม่รู้ค่ะ" การตอบเลี่ยงอย่างเป็นกลางดูจะเป็นการกระทำที่ฉลาดในตอนนี้ เพราะถ้าพูดอะไรออกไปแล้วฝ่ายตรงข้ามจับโกหกได้จะลำบากกว่าเดิม เสียงครึกครื้นภายนอกเงียบสนิทลงฉับพลันทำให้บทสนทนาในห้องเล็กหยุดลงไปด้วย มาร์ธาขมวดคิ้ว แต่แล้วก็คลายความสงสัยเมื่อร่างสูงสง่ามาหยุดอยู่ที่หน้าประตู "สวัสดียามค่ำค่ะท่านนายอำเภอ" หล่อนลุกขึ้นด้วยทีท่าแช่มช้อยมีจริต ชายชราตวัดสายตาคมปราบไปยังร่างเล็กที่ยิ่งดูเล็กลีบลงกับการปรากฏตัวของเขา ก่อนจะหันมามองหญิงสาวอีกครั้ง "มีคนไปบอกฉันว่ามีเด็กหลงเข้ามา ฉันก็เลยรีบมาดู" "ยังไม่บุบสลายสักนิดค่ะ" มาร์ธารายงานด้วยรอยยิ้มระรื่น ดวงตาสีมรกตเหลือบมองเคราสองสีที่ถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบแล้วหลบสายตาอย่างรวดเร็วเมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่ายังทรงอำนาจ "ฉันเอริค ไวลีย์ เป็นนายอำเภอของแจ็คสันส์ วิล เธอชื่ออะไร แม่หนูน้อย?" หญิงสาวชิงตอบเสียเอง "ชาร์ล็อต มายเอ่อร์ค่ะ พ่อแม่ตายหมด เขามาหาลุงที่ทำไร่อยู่ในอาคันซอส์ แต่ไม่รู้ว่าเมืองอะไร" "อายุล่ะ?" คราวนี้เอสเพนต้องเป็นฝ่ายตอบ "สิบห้าค่ะ เซอร์" ผู้มีตำแหน่งเป็นนายอำเภอถอนหายใจแผ่วเบา แล้วหันไปมองหน้ามาร์ธาอย่างรู้ทันแกมตำหนิ "เข้าทางพอดีเลยใช่ไหม?" "เปล่านี่คะ" หญิงสาวปฏิเสธ แล้วคลี่พัดขึ้นปิดริมฝีปากยิ้มแย้มด้วยอาการยั่วเย้า "ฉันก็ตั้งใจว่าจะให้ที่พักแกสักคืน แล้วค่อยพาไปส่งให้ลุง" "ถ้าอย่างนั้นก็ไปพักที่บ้านฉันจะปลอดภัยกว่า" ชายชราพูดเน้นเสียง ก่อนจะจับข้อมือผอมบางซึ่งสะดุ้งหนีในตอนแรกให้ลุกขึ้นตาม "เธอคงเพลียมากแล้วแม่หนู ภรรยาและลูกสาวฉันจะดูแลเธออย่างดี แล้วฉันจะเป็นธุระเรื่องหาลุงของเธอให้เอง" เอสเพนรีบละล่ำละลักปฏิเสธทันที เพราะเกรงว่าความต้องการเดิมที่จะเดินทางต่อในป่าโดยไม่หยุดพักจะสลายไปเสียก่อน "ไม่ดีกว่าค่ะ " "ตอนนี้ดึกมากแล้ว เธอจะไปไหนได้ มันเป็นมารยาท๛ แล้วก็หน้าที่ของฉันที่จะคุ้มครองและให้ความสะดวกคนต่างถิ่นอยู่แล้ว" ผู้สูงวัยยืนยันความตั้งใจของตัวเอง พลางรุนหลังของเอสเพนให้ลุกขึ้นอย่างสุภาพ ทำให้เด็กหนุ่มต้องตามใจอย่างไม่เต็มใจแม้แต่น้อย ถ้าเทียบฐานะกันแล้วเขามีสิทธิปฏิเสธด้วยหรือ? +++++++++ บ้านของนายอำเภอเป็นบ้านไม้สองชั้นที่ดูแล้วทั้งเก่าแก่และโอ่อ่าในสายตาของเด็กชายผู้ซึ่งเคยอาศัยอยู่แต่ในกระท่อมแคบ ๆ เขามองทาสหญิงผิวดำที่กุลีกุจอออกมาต้อนรับเจ้านาย พร้อมด้วยผู้หญิงผิวขาวต่างวัยอีกสองคน "ฉันพาแม่หนูชาร์ล็อตที่น่าสงสารนี่มาให้เธอดูแลหนึ่งคืน หรือจนกว่าเราจะตามหาลุงของแกพบ" เอสเพนหันไปมองคนพูดอย่างอึดอัด เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาหา แล้วร้องอุทานเมื่อเห็นฝ่าเท้าเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย "คุณพระช่วย! ดอริส เดี๋ยวยกอ่างน้ำกับยาขึ้นไปที่ห้องของพอลลีนด้วย" ชายชรายิ้มอย่างพอใจในอาการกระตือรือร้นของภรรยา ก่อนจะเอ่ยขึ้นกับอาคันตุกะวัยเยาว์ "หวังว่าเธอคงจะพอใจกับการต้อนรับของเรา" "หนูคงไม่รบกวนคุณนานหรอกค่ะ มิสเตอร์ไวลีย์ พรุ่งนี้หนู " "ฉันบอกแล้วไงว่าเรายินดีต้องรับเธอ จนกว่าจะเจอลุงของเธอ" น้ำเสียงสุขุมดังแทรกขึ้น แต่ฟังดูแล้วเหมือนเป็นคำสั่งกลาย ๆ มากกว่า คนฟังก้มหน้าซ่อนความยุ่งยากใจ แล้วให้สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือเล็กเรียววางลงบนไหล่ของตนอย่างอ่อนโยน หญิงวัยกลางคนยิ้ม ก่อนจะรุนแผ่นหลังเล็กให้ตามขึ้นบันไดมาด้วยกัน พลางอธิบายเสียงหวาน "ทำตัวตามสบายเถอะจ้ะ ฉันชื่อโซเฟีย เป็นภรรยาของเอริค ส่วนนี่พอลลีน ลูกสาว พวกเธอคงจะอายุไล่เลี่ยกัน น่าจะเป็นเพื่อนกันได้" เด็กสาวที่ถูกเอ่ยถึงนิ่งเงียบมาตลอดแม้จะเข้ามาอยู่ในห้องนอน เอสเพนถอยหนีโดนอัตโนมัติเมื่อภรรยานายอำเภอเอื้อมมือหมายจะช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วแก้ตัวตะกุกตะกักเมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหลากใจของอีกฝ่าย "ขอโทษค่ะ หนู ไม่เคยมีใครเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มาก่อน" "ฉันเข้าใจจ้ะ" ผู้แก่อาวุโสกว่ายิ้มอ่อนโยน ก่อนจะชี้ไปยังฉากผ้าฝ้ายที่ตั้งอยู่มุมห้อง "เธอคงอยากใช้ฉาก" เจ้าของดวงตาสีเขียวพยักหน้ารับ แล้วรอจนสาวใช้ที่ชื่อดอริสยกอ่างน้ำเข้าไปให้ จึงทำความสะอาดร่างกายตัวเองด้วยผ้าชุบน้ำอย่างรวดเร็ว ชุดนอนผ้าฝ้ายที่ทั้งหอมสะอาดและนิ่มสบายตัวทำให้ความง่วงงุนเข้าจู่โจมเจ้าของร่างกายอ่อนล้าอย่างกระทันหัน มือเล็กหากแต่หยาบกร้านลูบไล้ชุดที่สวมอยู่แล้วบอกกับตัวเองว่าเขาไม่เคยจับผ้าดี ๆ อย่างนี้มาก่อน หรือจะพูดกับตามจริง ทั้งเขาและโจเซฟีนต่างก็ไม่เคยมีชุดนอนใส่กันด้วยซ้ำ ดวงตาสีเขียวมีหยาดน้ำรื้อออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อคิดถึงพี่สาว เขากัดริมฝีปากตัวเองแน่น ก่อนจะก้มลงมองมือทั้งสองข้างอย่างรังเกียจ เด็กหนุ่มปาดแก้มตัวเอง ก่อนจะยืนนิ่ง ๆ อยู่ครู่ใหญ่ แล้วเดินออกมาด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทต่อเจ้าของบ้าน "ผมของเธอสั้นไปหน่อย แต่ก็สวยมาก" โซเฟียออกความเห็นหลังจากพาร่างอาคันตุกะมานั่งหน้ากระจกเพื่อแปรงผมที่ยาวเคลียไหล่ของเจ้าตัวให้ ฝ่ายตรงข้ามยิ้มบางแล้วรีบเสมองตลับเล็กตลับน้อยที่อยู่หน้ากระจกเพื่อหลบสายตาอีกฝ่าย ระยะหลังพี่สาวของเขาเจ็บกระเสาะกระแสะมาโดยตลอดทำให้ไม่มีคนตัดผมให้ ผมที่ควรจะตัดสั้นจึงยาวเลยไปบ้าง ร่างของหญิงรับใช้ที่ย่อตัวลงตรงหน้าแล้วจับเท้าขึ้นเพื่อเตรียมทายาให้ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งอีกครั้ง แล้วรีบชักเท้าหนีด้วยอาการลนลาน ดอริสเงยหน้ามองนายหญิงของตนอย่างขอความเห็น ภรรยานายอำเภอยิ้มให้เขาผ่านกระจกเงา แล้วพูดขึ้น "ถ้าเธออึดอัด
ดอริสจะวางยาไว้ให้เธอทาเอง" "อันที่จริงเรามีห้องว่างเผื่อไว้เวลามีแขกมาพัก แต่ฉันคิดว่าเธอเดินทางมาคนเดียว คงอยากได้เพื่อนนอนมากกว่า" "แล้วแต่ความกรุณาของคุณค่ะ มิสซิสไวลีย์" เด็กหนุ่มตอบเสียงแผ่ว ความนุ่มหยุ่นของฟูกนอนทำให้เขาแทบจะหลับสนิททันทีที่แผ่นหลังสัมผัสฟูก ร่างกายที่ขัดยอกและเมื่อยขบผ่อนคลายลง เอสเพนรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดเมื่อหญิงวัยกลางคนประทับริมฝีปากตนเองลงบนหน้าผากลูกสาวที่นอนด้านในและเผื่อแผ่มาถึงเขาด้วย หลังจากที่ดูแลเรื่องผ้าห่มจนเรียบร้อยแล้ว หล่อนก็ดับเทียนแล้วเดินออกไปพร้อมกับสาวใช้ แต่ก็ไม่ลืมจะเอ่ยราตรีสวัสดิ์กับเจ้าของร่างทั้งสองที่นอนเคียงกัน ดวงตาสีมรกตมองฝ่าความมืดไปยังร่างที่นอนอีกด้านของเตียง พอลลีนนอนหันหลังให้ และยังไม่พูดกับเขาสักประโยค แม้แต่การทักทาย บางทีเธออาจจะไม่พอใจที่มีเขามานอนร่วมเตียงด้วยก็ได้ เอสเพนหลับตาลง ภาพเด็กสาวที่มีใบหน้าละม้ายกับเขาเพียงแต่ไม่มีกระผุดขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดสนิท +++++++++ เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้าด้วยความรู้สึกว่าตัวเองได้นอนหลับใหลมานานที่สุดในชีวิต แล้วแทบจะถอยหนีเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าดวงตาสีดำสนิทราวกับก้อนถ่านของเจ้าของเตียงกำลังจ้องตนเขม็ง เขาพยายามยิ้มให้กับใบหน้าเฉยเมยและเอ่ยทักอย่างสุภาพ "อรุณสวัสดิ์ มิสพอลลีน" ฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนแล้วพูดโดยไม่หันมามอง "เธอจะเรียกฉันว่าพอลลีนก็ได้" เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นมองคนที่กำลังแปรงผมอันดำขลับและยาวเหยียดด้วยนัยน์ตาชื่นชม พอลลีนเป็นผู้หญิงสวย เธอมีดวงตาสีดำสนิทและคมเข้ม หากแต่ให้ความรู้สึกอ่อนหวานได้อย่างน่าพิศวง รูปร่างบอบบางแต่มีสัดส่วนที่ควรมีอย่างเหมาะเจาะ มาถึงตรงนี้เขาเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองเพิ่งนอนร่วมเตียงกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่โจเซฟีน! พอลลีนหันมามองเขาอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้มาสองสามชุด แล้วส่งให้ร่างที่ยังนั่งอยู่บนเตียง "เธอผอมไปนิดนะ เวลาพูดก็ควรจะอ่อนหวานกว่านี้ด้วย" หล่อนออกความเห็นขณะที่สายตาจับจ้องบริเวณแผ่นอกของเขา ทำให้เอสเพนต้องงอตัวลงเล็กน้อยเพื่ออำพรางสายตาคู่นั้น เด็กหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองมีร่างกายที่ไม่สมวัย เนื่องจากความไม่อุดมสมบูรณ์ของอาหารการกิน โจเซฟีนเองก็มีรูปร่างไม่ต่างกับเขาเท่าไรนัก หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า พอลลีนก็ช่วยเขาทำผมเนื่องจากทนสภาพความเงอะงะของอาคันตุกะไม่ไหว เอสเพนมองผมที่ถูกถักเป็นเปียอ้อมรอบศีรษะของตัวเองอย่างนึกขัน เนื่องจากไม่เคยคิดว่าเขาจะต้องมาอยู่ในสภาพนี้มาก่อน ทั้งสองเดินลงไปห้องอาหารชั้นล่าง ซึ่งมีร่างของนายอำเภอและภรรยานั่งอยู่ก่อนแล้ว "หวังว่าเธอคงนอนหลับสบาย" เอริค ไวลีย์ เอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก แล้วยิ้มเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ โซเฟียมองร่างที่อยู่ในชุดของลูกสาวอย่างชื่นชม พลางออกความเห็น "เธอน่ารักมากในชุดนี้จ้ะ" เด็กหนุ่มยิ้มแหยกับคำชมนั้น จริงอยู่ว่าเขามีรูปร่างเล็กกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่เอสเพนก็ไม่คิดว่าตัวเองจะน่ารัก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในเสื้อผ้าของผู้หญิงเช่นนี้ เขาพยายามรับประทานอาหารเช้าอย่างเงียบ ๆ เพื่อให้เป็นจุดสนใจน้อยที่สุด ความอุดมสมบูรณ์ของอาหารบนโต๊ะทำให้ต้องบังคับตัวเองไม่ให้แสดงอาการตะกละตะกราม หรือตื่นเต้นจนเกินควรออกไป ไข่ ขนมปังอบใหม่ ๆ เนื้อสับทอด นม และกาแฟ ตามปกติแล้วอาหารเช้าของเขาและโจเซฟีนจะเป็นแค่ปลาที่จับได้จากแม่น้ำเท่านั้น "ฉันตรวจดูทะเบียนแล้ว ไม่มีใครชื่อเจอราด มายเออร์ อยู่ในแจ็คสันส์ วิล สักคน" นายอำเภอเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ "แต่วันนี้ฉันจะติดต่อกับทางเขตอื่น ๆ ดู เธอบอกว่าเขาทำไร่อยู่ในอาคันซอส์ใช่มั้ย? ไร่อะไรล่ะ? จะได้หาง่ายขึ้น" เอสเพนหลบสายตาอีกฝ่าย แล้วตอบไม่เต็มเสียงนัก "ไร่ข้าวโพดค่ะ แต่มิสเตอร์ไวลีย์ หนูตามหาลุงด้วยตัวเองได้ คงไม่ต้องรบกวน " "ฉันคิดว่าเมื่อคืนได้พูดไปชัดเจนแล้วนะว่าเราจะดูแลเธอเป็นอย่างดี" ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเคร่งขรึม แล้วพูดต่อ "โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้ข่าวมาว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้นที่หลุยส์เซียน่าแล้วยังหาตัวคนร้ายไม่ได้" มือเล็กกำส้อมที่ถืออยู่แน่นเข้าโดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่งขณะพยายามบังคับตัวเองไม่ให้พูดหรือถามอะไรออกไป "คุณพระช่วย!" โซเฟียอุทาน "ใกล้เรามากมั้ยคะ เอริค?" ผู้เป็นสามีถอนหายใจยาว "สปริงฟีลด์ และที่แย่กว่านั้นคือทางรัฐคาดว่าผู้ตายน่าจะมีสามคน แต่พบศพเพียงศพเดียว คือศพเด็กผู้หญิงที่มีร่องรอยของการถูกข่มขืน" "โอ! แล้วฆาตกร?" หญิงวัยกลางคนถามขึ้นมาอีกด้วยสีหน้าพรั่นพรึง "ทางนั้นยังไม่แน่ใจว่าจะเกิดจากคนนอก หรือว่าภายในผู้ตายสามคน เพราะศพที่ยังไม่พบคือศพน้องชายแล้วก็พ่อเลี้ยง บางคนสันนิษฐานว่าอาจเป็นพ่อเลี้ยงที่ทำ แต่ก็ขอกำลังเราให้ช่วยตามหาทั้งคู่" "ชาร์ล็อต เธอเป็นอะไรรึเปล่า?" เสียงพอลลีนที่ถามขึ้น ดึงความสนใจของผู้สูงวัยทั้งสองทันที โซเฟียมองอาคันตุกะวัยเยาว์ที่นั่งตาเบิกค้างและกำส้อมแน่นอย่างเป็นห่วง "ไม่สบายรึเปล่าจ๊ะ เมื่อวานเธอเดินทางทั้งวัน คงจะเพลียมาก" "หนูรู้สึกไม่สบายนิดหน่อยค่ะ" เอสเพนตอบผ่านฟันที่ขบเข้าหากันแน่น แล้ววางส้อมลงกับจาน เด็กสาวออกความเห็น "ถ้าอย่างนั้นเธอควรไปนอนพัก จะให้ฉันพาไปไหม?" เขาส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยขอตัวแล้วเดินขึ้นมายังห้องที่อาศัยนอนเมื่อคืน ร่างเล็กทุ่มตัวลงกับเตียงแล้วขยุ้มหมอนแน่น สันกรามขบเข้าหากันจนเป็นนูนสันเมื่ออยากจะกู่ร้องออกมาดัง ๆ แต่ทำไม่ได้ ริมฝีปากบางบิดเบี้ยวราวกับเจ็บปวดสาหัส ดวงตาเรียวสวยบัดนี้กลายเป็นสีแดงด่ำเหมือนถูกย้อมไว้ด้วยเลือด ก่อนที่หยดน้ำใสจะทะลักรินลงมาไม่ขาดสาย ++++++++++ เอสเพนขอร้องให้เด็กสาวพาเขาเดินชมรอบ ๆ บ้านในตอนบ่ายเพื่อสำรวจหาช่องทางที่พอจะให้หลบหนีได้ เนื่องจากเขาไม่คิดจะอยู่ที่นี่ในสภาพนี้ตลอดไป จุดหมายของเด็กหนุ่มคือการข้ามแม่น้ำไปมิสซิสซิปปี แต่ปัญหาตอนนี้คือเขาจะออกจากที่นี่ได้อย่างไร เดินพ้นตัวบ้านไม่เท่าไหร่ หญิงรับใช้ผิวดำก็วิ่งตามมาเสียก่อน เอสเพนสังเกตว่าเธอไม่ใช่คนเดียวกับที่ยกอ่างน้ำไปให้เขาเมื่อคืน และรอรับใช้อยู่ที่โต๊ะอาหาร อันที่จริงบ้านของนายอำเภอมีทาสผิวดำเยอะเสียจนเกินความต้องการ และเขาก็จำหน้าคนเหล่านั้นได้ไม่หมดเสียด้วย "มาสเตอร์เอริคเชิญคุณชาร์ล็อตไปพบค่ะ" เขาเดินตามหล่อนเข้าไปในบ้าน ขณะที่พอลลีนเลือกจะยืนรออยู่ใต้ซุ้มดอกฮันนีซัคเกิ้ล "ฉันอยากจะให้เธอเขียนจดหมายหรืออะไรสักอย่าง เผื่อเราพบคนที่ชื่อเจอราด มายเออร์ เราจะได้แน่ใจว่าเป็นเขาลุงของเธอจริง ๆ" นายอำเภอไวลีย์เอ่ยขึ้นหลังจากร่างของอาคันตุกะเข้ามาในห้องหนังสือ พลางจัดเตรียมกระดาษและปากกาให้ เด็กหนุ่มมองเครื่องเขียนตรงหน้าอยู่นาน แล้วพูดเสียงแผ่ว "หนู เขียนหนังสือไม่ได้ค่ะ" เขาไม่ได้โกหก ชีวิตที่ต้องอาศัยและพึ่งพาตัวเองโดยไม่ได้รับการเหลียวแลจากบุพการีทำให้ทุกนาทีมีไว้เพื่อพาตัวเองและพี่สาวให้อยู่รอด เขาไม่เคยไปโรงเรียน ไม่เคยมีใครสอนให้อ่านเขียน ไม่เคยเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์ ไม่รู้จักคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ แล้วจะรู้หนังสือได้อย่างไร? ผู้สูงวัยกว่าชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยความเมตตา พร้อมพยักหน้า "เอาเถอะ แล้วฉันจะจัดการให้เอง ป่านนี้พอลลีนคงจะรอเธออยู่แล้ว" เอสเพนเดินออกมาอีกครั้งด้วยอาการเงื่องหงอยลงเล็กน้อยจนเพื่อนใหม่สังเกตเห็น จึงได้ถามขึ้นอย่างเป็นกังวล "เธอไม่สบายอีกแล้วหรือ?" คู่สนทนาส่ายหน้า แล้วถามกลับบ้าง "เธอเขียนหนังสือเป็นไหม?" "แน่นอน" เด็กสาวตอบ แล้วเล่าต่อ "พ่อจ้างครูมาสอนฉันที่บ้าน ส่วนเอ็ดการ์ได้ไปโรงเรียน ไม่ค่อยยุติธรรมเลยนะ" "เอ็ดการ์?" "พี่ชายของฉันเอง ตอนนี้เขาอยู่กับญาติที่ยุโรปเพื่อรับการศึกษาขั้นสูงของที่นั่น เขาคงจะกลับมาช่วงปลายปี" แม้สีหน้าจะเรียบเฉยปราศจากรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงก็ยังแฝงไปด้วยความภูมิใจจนสังเกตได้ บทสนทนาจบลงแค่นั้นเรื่องจากเจ้าของดวงตาสีมรกตเบนความสนใจไปยังสภาพรอบ ๆ บ้าน ด้านหน้าเป็นส่วนที่ติดกับถนนใหญ่ที่เขานั่งรถม้ามาพร้อมนายอำเภอเมื่อคืน ด้านซ้ายและด้านหลังของบ้านเป็นป่าโปร่ง ซึ่งตามคำอธิบายของพอลลีนแล้ว กินเนื้อที่ไม่มากนัก แต่มีทางออกติดกับป่าใหญ่ ส่วนด้านขวาของบ้านเป็นคอกม้าและไร่ที่ยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา "ไร่ของเราใหญ่ที่สุดในแถบตะวันออกของอาคันซอส์" เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจอีกครั้ง เอสเพนนึกเห็นด้วย ทาสผิวดำที่ทำงานในบ้านมีมากอยู่แล้ว แต่ยังเทียบกับจำนวนของทาสที่ทำงานในไร่ไม่ได้ นายอำเภอคงจะมีฐานะดีทีเดียว เมื่อดูจากสภาพบ้าน เครื่องประดับฐานะต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงรถม้าอีกสองคัน เอสเพนเดินกลับไปยังส่วนที่ติดกับป่าโดยพยายามคะเนเนื้อที่ของมันก่อนที่จะเชื่อมติดกับป่าใหญ่และเวลาที่ต้องใช้ในการวิ่ง แล้วให้รู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อยเมื่อพบว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้ เพราะต้องใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการเดินไปจนสุดเขต ซึ่งกว่าจะเดินกลับก็ได้เวลาอาหารว่างพอดี ++++++++++ ตอนแรกเด็กหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องนอนร่วมเตียงกับพอลลีนอีกในคืนนี้ เนื่องจากรู้สภาพที่แท้จริงของตัวเองดี แต่แล้วเมื่อคิดได้ว่าเขาจะรอจนกว่าเธอจะหลับสนิท แล้วแอบหนีเข้าไปทางป่าที่สำรวจไว้ก็พอจะคลายใจลงไปได้บ้าง เวลาเกือบสองชั่วโมงในตอนบ่าย คงจะลดลงเหลือแค่สี่สิบนาทีถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด เอสเพนแน่ใจว่าหลังจากที่ได้พักมาหนึ่งคืน เท้าของเขาจะกลับมาอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้อีกครั้ง ดวงตาสีเขียวทอดมองไปยังร่างระหงที่โต๊ะเขียนหนังสืออย่างสงสัย พอลลีนนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เสร็จจากอาหารเย็นและขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า แถมยังบอกให้เขานอนไปก่อนถ้าง่วง ตามคำบอกเล่าของผู้เป็นมารดา เด็กสาวรักการเขียนกลอนเป็นชีวิตจิตใจ แต่สิ่งที่เอสเพนไม่เข้าใจคือการเขียนกลอนให้ความสนุกได้อย่างไร หล่อนจึงต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือที่มีเพียงโคมเทียนจุดให้แสงสว่างอยู่นานสองนานเช่นนี้ "พอลลีน ยังไม่นอนอีกหรือ?" เขาร้องถามขึ้นอย่างเป็นกังวล เพราะเกรงว่าตัวเองจะหลับไปเสียก่อนที่จะหนีได้ทัน ฝ่ายตรงข้ามตอบโดยไม่หันมามอง "ฉันบอกแล้วว่าถ้าง่วงเธอก็นอนไปก่อน" เด็กหนุ่มเงียบเสียง ขณะพยายามคิดถึงเรื่องต่าง ๆ เพื่อกันไม่ให้ตัวเองเผลอหลับ เขาคิดถึงกระท่อมริมน้ำที่เคยอยู่กับพี่สาว ท่อนซุงและสิ่งของต่าง ๆ ที่ไหลตามกระแสน้ำลงมาจากรัฐทางเหนือซึ่งเขามักจะเก็บไปขายเพื่อยังชีพ สายลมอ่อนในวันที่อากาศร้อนอ้าว ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะผสมปนเป พร่าเลือน แล้วรวมกันเป็นหนึ่งเดียวในความมืด +++++++++ อาหารเช้ามื้อที่สองในบ้านไวลีย์ผ่านไปด้วยความใจลอยของอาคันตุกะชั่วคราว เอสเพนนึกก่นด่าตัวเองในใจ เมื่อคืนเขาเผลอหลับไปก่อนที่พอลลีนจะขึ้นเตียง หนำซ้ำยังหลับสนิทเสียจนทำให้แผนที่จะลอบหนีออกตอนกลางคืนต้องล้มเลิกไปจนได้ "ฉันคิดว่าคงจะใช้เวลาประมาณอาทิตย์นึงในการตามหาลุงเธอ เพราะฉะนั้นถ้าในช่วงนี้เธอมีอะไรทำฆ่าเวลาก็ดี" เอริค ไวลีย์ พูดขึ้นขณะหยิบผ้าที่ลงแป้งจนแข็งขึ้นแตะริมฝีปาก เอสเพนพยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอยเนื่องจากไม่ได้ฟังที่อีกฝ่ายพูดแม้แต่น้อย ขณะที่โซเฟียพูดยิ้ม ๆ "เราตกลงกันว่าจะให้พอลลีนสอนหนังสือเธอ ดีไหมจ๊ะ ชาร์ล็อต?" "สอนหนังสือ?" เจ้าตัวทวนคำ ก่อนจะรีบพูดขึ้น "แต่เดี๋ยวหนูก็ต้องไปอยู่กับลุงแล้ว" นายอำเภอแห่งแจ็คสันส์ วิล กระแอมเบา ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมอันเป็นลักษณะเฉพาะตัว "เมื่อกี้เธอคงไม่ทันฟังที่ฉันพูด อีกประมาณหนึ่งอาทิตย์เราถึงจะรู้ข่าวว่ามีคนชื่อเจอราด มายเออร์ อยู่ในอาคันซอส์หรือเปล่า" เจ้าของดวงตาสีเขียวก้มหน้าต่ำ แล้วพึมพำตอบ "ขอโทษค่ะ" "เมื่อคืนฉันทำแบบเรียนไว้ให้เธอ เดี๋ยวหลังอาหารเช้าเราจะเริ่มกัน" พอลลีนพูดขึ้นมาเรียบ ๆ แต่เขาอดจะมองเธอด้วยความซาบซึ้งใจไม่ได้ ความจริงทุกคนในบ้านไวลีย์เป็นคนดี และคงจะวิเศษไม่น้อยถ้าเขามีครอบครัวอย่างนี้ แต่เอสเพนทนที่จะอยู่ในสภาพนี้และโกหกทุกคนไม่ได้ เขาเคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างอิสระ และพึ่งพาเพียงแค่ตัวเองเท่านั้น +++++++++++++ การเรียนหนังสือไม่ได้ยากเหมือนอย่างที่คิดไว้ เด็กหนุ่มเขียนตัวอักษรตามแบบที่พอลลีนร่างไว้ให้ และจำทุกตัวได้อย่างรวดเร็วแม้จะออกกระดากอยู่บ้างที่ทั้งห้องนั่งเล่นไม่ได้มีเพียงเขาและพอลลีน แต่ยังมียูจีเนีย แวนด์ เพื่อนของเด็กสาวมานั่งดูอยู่ด้วย เท่ากับว่าเขาเป็นคนเดียวในห้องที่ไม่รู้หนังสือ เพราะแม้แต่ดอริสที่ยกของว่างมาให้ยังพออ่านออกเขียนได้ด้วยซ้ำ "เธอเป็นคนหัวไว" ยูจีเนียชมเปาะเมื่อเขาเขียนตัวอักษรทั้งหมดเป็นครั้งที่สามโดยไม่ดูต้นแบบ "แต่หน้าตาตลกดี" "ยูจีเนีย!" พอลลีนร้องเรียกอีกฝ่ายเสียงหนัก ๆ เป็นการเตือน แต่เด็กหนุ่มไม่รู้สึกโกรธหล่อนเลยสักนิด เนื่องจากเข้าใจว่าผมสีน้ำตาลแดง ดวงตาสีเขียว และกระบนใบหน้าทำให้เขาดูเด๋อด๋าอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะอยู่ในเสื้อผ้าของผู้ชายก็ตาม "ยูจีเนียออกจะนิสัยแปลก ๆ เกินไปหน่อยสำหรับน้องสาวบาทหลวง" พอลลีนออกความเห็นหลังจากเพื่อนของตนลากลับไปในตอนบ่าย "บาทหลวง?" "มิสเตอร์แวนด์เป็นบาทหลวงประจำเขตของเรา เธอคงจะได้เจอเขาในวันอาทิตย์นี้" คนฟังยิ้มบาง เนื่องจากรู้ดีว่าตัวเองจะไม่รอให้ถึงวันดังกล่าว เขาจะพยายามหนีอีกครั้งในคืนนี้แน่นอน +++++++ ดวงตาสีเขียวมองป่าโปร่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแล้วพรูลมหายใจออกยาว ในที่สุดหนึ่งอาทิตย์ของการอาศัยอยู่ในบ้านไวลีย์ก็ผ่านพ้นไปโดยที่แผนการหนีในยามวิกาลเป็นอันต้องล้มเลิกไปเสียทุกครั้ง แม้เขาจะพยายามหนีทุกคืน แต่พอลลีนตื่นขึ้นมาตอนที่เขาลุกออกจากห้องถึงสามครั้ง มีบ้างที่โชคจะเข้าข้างให้เขาเดินพ้นออกมาถึงหน้าบ้าน แต่ก็พบกับทาสที่อยู่ยามตอนกลางคืนเสียก่อน หนำซ้ำยังต้องแก้ตัวกับเจ้าของบ้านที่ตื่นขึ้นมาโดยบังเอิญพัลวัน หรือชีวิตนี้เขาจะไม่มีโอกาสรอดเสียแล้ว? ไม่! เอสเพนปฏิเสธกับตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว เขาจะต้องหาทางหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ เด็กหนุ่มไม่สนใจว่าเมื่อข้ามไปฝั่งมิสซิสซิปปีแล้วจะพบอะไรบ้าง เมื่อก่อนเขายังมีพี่สาวคอยให้ดูแลซึ่งกันและกัน แต่เดี๋ยวนี้เขาเหลืออยู่ตัวคนเดียว ไอร้อนที่วูบขึ้นมาใต้ตาทำให้ต้องกระพริบตาถี่ เอสเพนจำได้ดี ตั้งแต่จำความได้เขาแทบจะไม่เคยร้องไห้ แม้พ่อจะตีเขาเวลาเมา หรือพ่อเลี้ยงจะคอยหาเรื่องอยู่เป็นเนืองนิจ เขาไม่อยากให้โจเซฟีนเสียขวัญมากกว่าที่เธอเป็นอยู่ เขาเป็นน้องชาย เขาต้องปกป้องเธอ แต่ในที่สุดเขาก็ทำไม่ได้ โจเซฟีนที่รัก เสียงย่ำใบไม้ที่ดังขึ้นข้างตัวทำให้ร่างโปร่งรีบยกมือเช็ดน้ำตาแล้วหันไปมอง คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันเมื่อพบว่าอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นอยู่ในบริเวณนี้มาก่อน จะว่าไป นอกจากคนในครอบครัวไวลีย์และทาสผิวดำแล้ว ก็จะมีแต่ยูจีเนียเท่านั้นที่เขาเคยเจอ "ขอโทษที่ทำให้ตกใจครับ คุณผู้หญิง" ผู้มาใหม่กล่าวพร้อมยกหมวกขึ้นอย่างสุภาพ พลางหัวเราะเก้อ ๆ "เมื่อครู่ผมคิดว่าคุณเป็นพอลลีน แต่เข้ามาดูใกล้ ๆ ถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ ที่จริงผมน่าจะเอะใจตั้งแต่เห็นสีผมแล้ว" ดวงตาสีมรกตจับดวงหน้าฝ่ายตรงข้ามโดยปราศจากคำพูด เนื่องจากยังรู้สึกโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่ทันเห็นเขาตอนร้องไห้ แต่กิริยานั้นก็ทำให้ชายหนุ่มผมบลอนด์รู้สึกประหม่าจนต้องหัวเราะเก้อ ๆ พลางแนะนำตัว "ผม โจชัว วิลเลียมส์ เป็นเพื่อนบ้านของตระกูลไวลีย์ที่อยู่ถัดไปทางนั้น" เจ้าตัวชี้มือไปทางเขตไร่ ซึ่งเมื่อเอสเพนมองตามแล้วเห็นแต่สีทองอร่ามของต้นข้าวโพดแก่สุดลูกหูลูกตาอันเนื่องมาจากเนื้อที่ของบ้านไวลีย์กว้างขวางมากนั่นเอง ดังนั้นชายหนุ่มจะต้องมาที่นี่โดยอาศัยรถม้าอย่างไม่ต้องสงสัย "ชาร์ล็อต " เขาเริ่มแนะนำตัวเองบ้าง แล้วนิ่งไปชั่วครู่เนื่องจากลืมนามสกุลที่เคยบอกใครต่อใครเอาไว้ "มายเออร์" "คุณคงเป็นแขกของนายอำเภอที่ใครต่อใครพูดถึง" ใครต่อใคร? ร่างโปร่งทวนคำกับตัวเอง ก็เท่ากับว่าเรื่องของเขากระจายไปทั่วเมืองนี้แล้ว ดังนั้นการวางแผนที่จะหนีก็ต้องเพิ่มความรอบคอบขึ้นอีก "ผมเป็น " "โจชัว!" เสียงของพอลลีนดังขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบพร้อมกับที่ร่างระหงวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามายังจุดที่คนทั้งสองยืนอยู่ เจ้าของชื่อหันไปมองทางต้นเสียงแล้วยิ้มให้ พลางล้วงมือเข้าไปในเสื้อนอกที่สวมอยู่ "เมื่อเช้าฉันแวะไปที่ท่าเรือ ทางนั้นก็เลยฝากจดหมายมาให้ นายอำเภออยู่ไหม?" "พ่อไปทำงาน" เด็กสาวตอบเสียงเรียบก่อนจะอุทานออกมาด้วยความดีใจและรอยยิ้มที่น้อยนักจะเห็น "จากเอ็ดการ์นี่!" "เขาคงใกล้กลับมาแล้ว?" "เขาจะกลับช่วงปลายปี" หล่อนตอบ แล้วหันไปทางเอสเพนที่ยืนฟังบทสนทนานั้นเงียบ ๆ "เธอคงรู้จักกันแล้ว?" โจชัวยิ้ม พลางค้อมศีรษะให้ร่างโปร่งเล็กน้อย "ใช่ มิสชาร์ล็อต" ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วขณะจนได้ยินเสียงนกร้อง ชายหนุ่มมองใบหน้าพอลลีนที่ถือจดหมายอยู่อย่างเข้าใจได้ไม่ยากว่าตอนนี้เธออาจต้องการเวลาเป็นส่วนตัวกับครอบครัวเป็นแน่ "ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวกลับก่อน แล้ววันหลังจะมาเยี่ยมใหม่" เจ้าของผมสีบลอนด์พูดก่อนจะหันไปทางเอสเพนแล้วยกหมวกขึ้นอีกครั้ง "ยินดีที่ได้รู้จักครับ มิสชาร์ล็อต" เอสเพนได้แต่พยักหน้าแล้วยิ้มตอบเนื่องจากรู้สึกไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินักเมื่อมีผู้ชายด้วยกันมาปฏิบัติตัวด้วยอย่างสุภาพขนาดนี้ "เขาเป็นเพื่อนจอมเจ้าชู้ของเอ็ดการ์" พอลลีนเอ่ยขึ้นเมื่อรถม้าของคนที่พูดถึงออกจากบริเวณบ้านไป ก่อนจะหันมามองหน้าคู่สนทนาด้วยดวงตาตื่นเต้น "เอ็ดการ์เขียนจดหมายมา ฉันจะเอาไปอ่านให้แม่ฟัง เธอจะไปด้วยมั้ย?" "คงไม่" เด็กหนุ่มปฏิเสธ เนื่องจากเห็นเป็นเรื่องในครอบครัว อีกทั้งเขาเกิดความรู้สึกอยากฝึกอ่านหนังสือขึ้นมามากกว่า หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาพอลลีนสอนหนังสือและคณิตศาสตร์อย่างง่ายให้ แม้มันจะเป็นเรื่องที่แม้แต่ทาสอย่างดอริสก็ทำได้ แต่เมื่อพบว่าตัวเองอ่านเขียนเป็นบ้าง เอสเพนก็รู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก +++++++++ *****
|