ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Eye On Me (Part 2)

by...เฟื่อง

เอสเพนยิ้มร่าเมื่อพอลลีนชวนเขาไปดูม้าใหม่ที่เพิ่งถูกส่งตัวมาจากเมืองอื่นหลังจากไม่มีอะไรทำมาหลายวัน ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นขนาดของอาชาสีน้ำตาล กล้ามเนื้อของมันแน่นตึงงดงาม ขนสั้นสะอาดและเป็นมันระยับ พวงหางพริ้วไสว มันตะกรุยขาหน้าที่แข็งแรงและย่ำไปมาอย่างตื่นที่ ก่อนที่ทาสชายคนหนึ่งจะโหนตัวไปอยู่บนหลังมันอย่างคล่องแคล่ว แล้วพาอาชาตัวงามย่างเหยาะไปบนลานกว้างหน้าไร่ ซึ่งถูกใช้เป็นที่กองผลผลิตจากไร่ก่อนจะส่งต่อไปขายอีกทีหนึ่ง

อาชาพ่วงพีดูจะหายตื่นและรับรู้คำสั่งมากขึ้นหลังจากวิ่งวนอยู่บนลานไปได้สามสี่รอบ มันวิ่งเหยาะไปบนผืนดินนุ่มนิ่มขณะส่ายหัวอย่างกระปรี้กระเปร่าจนขนแผงที่คอปลิวไหวไปมาในสายลม เอสเพนยิ้มกว้างแล้วกระโดดขึ้นลงน้อย ๆ ด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าคนบังคับกำลังพามันมายังจุดที่เขายืนอยู่

"ม้าตัวใหม่ครับ คุณหนูพอลลีน คุณชาร์ล็อต" ทาสผู้นั้นกล่าว พลางตบแผงคอมันเบา ๆ "เป็นพ่อพันธุ์ที่ดีมากทีเดียว"

"ขอจับหน่อยได้ไหม?" เด็กหนุ่มเอ่ยถามแล้วทำท่าจะเดินเข้าไปโดยไม่รอคำตอบ แต่พอลลีนรีบกระตุกรั้งแขนเขาไว้ทันที

"ถ้าเผื่อมันยังไม่เชื่องล่ะ?" เธอให้เหตุผลพลางมองม้าที่สูงท่วมศีรษะตัวเองอย่างไม่ไว้ใจ

ทาสชายยิ้ม แล้วอธิบาย "มันเชื่องและรู้คำสั่งแล้วครับ เพราะคนขายเขาฝึกมาอย่างดี เมื่อกี้มันแค่ตื่นที่นิดหน่อย แต่ตอนนี้ชินแล้วครับ"

"เห็นไหมล่ะ มันเชื่องแล้ว"

เอสเพนหันมายิ้มอย่างสนใจ แล้วรีบเดินเข้าไปก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายห้ามเอาไว้เสียอีกครั้ง ร่างโปร่งวางมือตัวเองบนใบหน้าเรียวยาว แล้วลูบไล้ขึ้นลงเบา ๆ เขาแหงนหน้ามองทาสชายที่อยู่บนหลังของมันแล้วลองหยั่งเชิงถาม

"ถ้าฉันขอขี่หน่อยจะได้ไหม?"

"ชาร์ล็อต!" พอลลีนร้องขึ้นมาอย่างตกใจ

ดอริสที่เพิ่งเดินไปเก็บข้าวโพดสดมาจากไร่และผ่านมาได้ยินถึงกับชะงักกึกอยู่กับที่ ก่อนเดินต่อไปอย่างโล่งใจเมื่อคนอยู่บนหลังม้าส่ายหน้า

"ไม่ได้หรอกครับคุณชาร์ล็อต มันเชื่องก็จริง แต่มันตัวใหญ่เกินไปสำหรับเด็กผู้หญิง"

…ก็เขาเป็นผู้ชายนี่นา… เด็กหนุ่มแย้งในใจ แต่ก็ไม่ได้รบเร้าอะไรอีก เขายิ้มพลางมองดวงตาใสแจ๋วของอาชาตรงหน้า แล้วเลื่อนมือไปไล้ใบหูเรียวยาวของมันที่กระดิกรับสัมผัสทันที เอสเพนหัวเราะชอบใจก่อนจะผิวปากเป็นจังหวะสั้น ๆ สามสี่ครั้ง

"ชาร์ล็อต!" เสียงพอลลีนแหวขึ้นมาดังกว่าเดิม "เธอผิวปากได้ยังไงกัน!"

เด็กหนุ่มชะงัก พลางมองไปรอบ ๆ แล้วใจหล่นวูบเมื่อเห็นสายตาตกใจของคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง

เด็กผู้หญิงไม่สมควรผิวปากหรือไงนะ?

เอสเพนเดินยิ้มแหย ๆ กลับไปหาเด็กสาวที่มองเขาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง "ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่ามันไม่ดี"

พอลลีนถอนหายใจ แล้วจูงมืออีกฝ่ายไปทางหน้าบ้าน "เอาเถอะ แต่ทีหลังอย่าทำแล้วกัน ผู้หญิงที่มีสกุลรุนชาติเขาไม่ผิวปากเล่นกันหรอก มันไม่สุภาพ"

ประโยคนั้นทำให้เด็กหนุ่มลอบกรอกตา เขาเพิ่งประจักษ์เอาตอนนี้ว่าการเป็นผู้หญิงนี่น่าลำบากเสียเหลือเกิน

++++++++++

หญิงวัยกลางคนยิ้มในหน้าอย่างอ่อนโยนขณะฟังเจ้าของดวงตาสีเขียวอ่านหนังสือในมือให้ฟังอย่างตะกุกตะกัก ท่าทางซื่อ ๆ ไร้จริต หากแต่มีความฉลาดเฉลียวและหัวไวทำให้หล่อนรู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้อย่างประหลาด โซเฟียอยากมีลูกสักสี่ห้าคน หล่อนรักที่จะได้ยินเสียงเด็ก ๆ ตลอดทั้งวัน หากแต่สุขภาพที่ไม่อำนวยทำให้ต้องหยุดที่พอลลีนเท่านั้น

เอสเพนหยุดชะงักพลางขมวดคิ้วเมื่อพบคำที่อ่านไม่ออก เขาส่งหนังสือให้พอลลีน แล้วอ่านต่อเมื่อฝ่ายนั้นออกเสียงให้ฟัง

เสียงรถม้าทำให้ทุกคนในห้องนั่งเล่นชะเง้อมองไปยังหน้าบ้าน ไม่นานนักร่างของชายชราก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนสังเกตได้

"มีอะไรหรือเปล่าคะ เอริค?" ผู้เป็นภรรยาถามพลางช่วยอีกฝ่ายถอดเสื้อนอก

นายอำเภอระบายลมหายใจหนักหน่วง แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเคร่งเครียด "ช่วงนี้ในแถบบริเวณใกล้เคียงเรามีพวกกลุ่มโจรบุกเข้าปล้นตามบ้าน บางทีมันก็ลักทาสไปขายต่อในเม็กซิโกอีกทีหนึ่ง บางทีก็เป็นพวกของมีค่า ยังไม่มีใครจับได้เลย"

เด็กสาวหันมามองเขาอย่างเป็นกังวล ก่อนจะถามบิดา "แล้วทำยังไงล่ะคะ?"

"เราคงได้แต่จัดเวรยามให้แน่นหนาทั้งกลางวันกลางคืนจนกว่าจะจับตัวมันได้น่ะแหละ" ชายชรากล่าวพลางส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน "เรื่องฆาตกรรมในหลุยส์เซียน่าก็ยังหาคนร้ายไม่พบ หนำซ้ำยังเกิดเรื่องปล้นนี่ขึ้นมาอีก"

"แล้วเรื่องลุงของชาร์ล็อต?" ผู้เป็นภรรยาถามพลางทอดสายตาไปยังเด็กหนุ่มอย่างสงสาร ในขณะที่ผู้ถูกมองกำลังพยายามซ่อนสายตากังวลและครุ่นคิดของตนด้วยการแสร้งทำเป็นก้มหน้านิ่ง

เอริค ไวลีย์ ถอนหายใจอีกครั้ง "เราก็พยายามกันอย่างเต็มที่ แต่อาจจะล่าช้าไปบ้าง เพราะมีเรื่องยุ่ง ๆ เกิดขึ้นมาเสียก่อน"

เอสเพนกัดริมฝีปากอย่างลังเล ถ้าเขาอาศัยโอกาสนี้บอกว่าจะไปตามหาลุงที่ไม่มีตัวตนด้วยตัวเอง เจ้าของบ้านก็คงจะคัดค้านเหมือนเดิม

ราวกับจะอ่านความคิดของเด็กหนุ่มออก เอริคเอ่ยขึ้นหลังจากมองอีกฝ่ายอยู่สักพัก "เธอคงต้องอยู่กับเราไปก่อน โดยเฉพาะเวลามีเรื่องเกิดขึ้นอย่างนี้ ฉันจะไม่ให้เด็กผู้หญิงต้องเสี่ยงอันตรายคนเดียวเด็ดขาด"

ร่างโปร่งนิ่งเงียบขณะแกล้งทำเป็นสนใจหนังสือในมือ ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ คืนนั้นเขาจะยอมทนหิวอยู่ในป่า แล้วค่อยหาลู่ทางอื่นในตอนเช้า ดีกว่าที่จะต้องยอมทนแต่งตัวเป็นผู้หญิงหลอกครอบครัวที่แสนดีอยู่ทุกวัน แล้วไม่มีทางหนีอย่างนี้

++++++++++++

เอริค ไวลีย์ จูบราตรีสวัสดิ์บนแก้มของภรรยา ก่อนจะดับเทียนหัวโต๊ะแล้วล้มตัวลงนอน เขากำลังจะปิดเปลือกตา แต่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

"ชาร์ล็อตเป็นเด็กที่วิเศษไม่แพ้พอลลีน" นางไวลีย์ยิ้มในความมืด

"ฉันดีใจที่ได้ยินเธอพูดอย่างนั้น"

โซเฟียพลิกตัวตะแดงเกาะแขนสามี "จริง ๆ นะคะเอริค ฉันรู้สึกเหมือนมีลูกอีกคนด้วยซ้ำ"

"ดอริสบอกฉันว่าแกเป็นเด็กผู้หญิงที่ค่อนข้างจะแปลกอยู่สักหน่อย" คนพูดกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ "วันนั้นมีคนเอาม้าใหม่เข้ามาส่ง ชาร์ล็อตทำเลียบ ๆ เคียง ๆ จะขอลองขี่ให้ได้ แกเป็นสาวชาวไร่เต็มตัวเลยทีเดียว"

"ฉันถึงได้บอกว่าแกเป็นเด็กน่ารัก นอกจากจะฉลาดแล้วก็ซื่อ ๆ แล้ว แกยังมีน้ำใจ ฉันจัดให้ลอร่าเป็นสาวใช้ประจำตัวแก แต่ชาร์ล็อตก็ช่วยลอร่าทำงานเกือบทุกอย่าง เอริคคะ ถ้าแกอยู่กับเราได้ตลอดไป…"

ผู้เป็นสามีโน้มตัวเข้าจูบแก้มฝ่ายตรงข้ามอีกครั้งอย่างรักใคร่ แล้วกระซิบ "ฉันรู้ว่าเธออยากมีลูกหลายคน แต่เรื่องที่ชาร์ล็อตจะอยู่กับเราได้ตลอดไปรึเปล่า ก็ต้องแล้วแต่ประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้านั่นแหละ"

+++++++++++

เมื่อทาสชายที่แข็งแรงส่วนหนึ่งถูกจับแยกออกมาจากงานไร่ และปฏิบัติหน้าที่อยู่ยามแทนโดยผลัดเปลี่ยนเป็นกะกลางวันและกลางคืน แทบทุกจุดที่เป็นอาณาเขตของตระกูลไวลีย์ก็จะพบร่างบึกบึนยืนอยู่เป็นระยะ เจ้าของดวงตาสีเขียวที่เดินเล่นอยู่บริเวณชายป่ามองทาสที่ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นหินด้วยความสงสาร แม้จะเกิดเป็นชนชั้นต่ำ แต่เขาก็ยังมีสถานะดีกว่าทาสผิวดำมากนัก ตั้งแต่เล็กจนโต สังคมรอบตัวปลูกฝังแนวคิดไว้ว่าทาสคือสิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับคนขาวไม่ต่างจากที่พระองค์ทรงประทานวัวควายมาให้มนุษย์ใช้งาน ดังนั้นทาสจึงไม่ต่างอะไรจากสมบัติชิ้นหนึ่ง ที่มีชีวิต แต่ไม่มีอิสระในชีวิตของตัวเอง

พอลลีนเล่าให้เขาฟังว่าทาสในไร่ของบ้านไวลีย์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าทาสที่อื่น ๆ เนื่องจากทาสพวกนี้ยังได้อยู่รวมกับครอบครัว ได้นับถือศาสนา ไม่ถูกกีดกันให้เรียนหนังสือ และได้ค่าแรงที่ถึงจะน้อยแสนน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตและแรงงานตัวเองเลยเสียทีเดียว

เด็กหนุ่มตัดสินใจเข้าไปเดินเล่นในป่าเพียงคนเดียวเพราะพอลลีนไปเยี่ยมยูจีเนียตามมารยาท หล่อนเอ่ยชวน แต่เขาไม่นึกอยากไปเสียเท่าไหร่จึงขอตัวอยู่ที่บ้าน ร่างโปร่งถอนหายใจกับตนเองเมื่อทาสผิวดำคนหนึ่งเดินตามเขาอยู่ห่าง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ตามคำสั่งของนายอำเภอ ผู้หญิงทุกคนในบ้านจะต้องได้รับการคุ้มครองตลอดเวลาจนกว่าที่หาจับโจรกลุ่มนั้นได้ เอสเพนจึงต้องระงับความคิดที่จะหนีไปสักระยะ จะว่ากันตามจริงแล้ว ตอนนี้เขาก็มีความสุขและอบอุ่นอยู่ไม่น้อย ที่ผ่านมาเด็กหนุ่มมีแต่พี่สาว ตอนนี้พอลลีนรับหน้าที่นั้นแทนโจเซฟีนที่ตอนนี้อาจจะมองเขาลงมาจากสวรรค์ ส่วนนายอำเภอและภรรยาก็เอาใจใส่ดูและดูแลเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องไม่ต่างจากลูกแท้ ๆ ของตัวเอง

เมเปิ้ลต้นสูงตระหง่านร่อนใบสีแดงของมันลงกับพื้นเมื่อลมเย็นพัดวูบเข้ามา ภาพตรงหน้าสวยงามเสียจนริมฝีปากสีสดอดจะยกมุมขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ไม่ได้

ฝีเท้าที่ย่างเอื่อยหยุดลง ขณะที่เจ้าตัวเขม่นตามองร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามายังจุดที่เขายืนอยู่ ฝ่ายนั้นยกหมวกขึ้นเป็นการทักทายแต่ไกล ทำให้เด็กหนุ่มจำเจ้าตัวได้ทันทีเมื่อเห็นผมสีบลอนด์เป็นประกายสุกสว่างท่ามกลางแสงอาทิตย์

โจชัว วิลเลียมส์ ยกหมวกขึ้นอีกครั้งเมื่อเดินเข้ามาใกล้พร้อมค้อมศีรษะน้อย ๆ อย่างสุภาพ เขายิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาด แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มปนหอบ

"แม่ผมฝากขนมเค้กมาให้มิสซิสไวลีย์ ผมก็เลยตั้งใจจะมาเยี่ยมคุณด้วย หวังว่าคงยังจำกันได้"

"มิสเตอร์วิลเลียมส์" เอสเพนตอบด้วยเสียงสงบ ด้วยความตั้งใจที่จะสุงสิงกับคนแปลกหน้าให้น้อยที่สุดเพื่อประโยชน์ของตนเองหลังจากที่หลบหนีออกไปได้

ฝ่ายตรงข้ามยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม "กรุณาเรียกผมว่าโจชัว และให้เกียรติผมเรียกคุณว่าชาร์ล็อต"

เด็กหนุ่มหันหลังให้คู่สนทนาเพื่อซ่อนสีหน้าผะอืดผะอมเมื่อได้ยินประโยคสุภาพจนหวานเลี่ยนดังกล่าว เมื่อก่อนเขาและโจเซฟีนจะเรียกคนประเภทนี้ว่า 'พวกมีการศึกษา' ตอนนี้เมื่อตัวเขาเองพอจะอ่านออกเขียนได้ แม้จะยังไม่ได้นัก แต่เอสเพนก็อยากจะนับตัวเองให้อยู่ในพวกมีการศึกษาด้วยเหมือนกัน

แล้วอย่างนั้นเขาจะจัดผู้ชายคนนี้ให้อยู่ในประเภทไหนดี?

เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามนิ่งเงียบ ชายหนุ่มจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริง พลางสาวเท้าเข้าไปลดระยะห่างของตนเองและร่างโปร่งลงอีกนิด "ได้ยินมาว่านายอำเภอยังหาลุงคุณไม่พบ?"

เจ้าของดวงตาสีเขียวพยักหน้าพลางทอดถอนใจ "อาคันซอส์เป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ ถึงจะไม่ใหญ่เท่าเท็กซัสก็ตาม แถมตอนนี้ยังเกิดเรื่องยุ่ง ๆ ขึ้นอีก ฉันคงจะต้องรอสักหน่อย"

"คงจะดีไม่น้อย ถ้าคุณได้อยู่ในแจ๊คสันส์ วิล ไปนาน ๆ หรือไม่ก็ตลอดไป" โจชัวกล่าวพลางก้มหน้าซ่อนยิ้ม

"ฉันไม่อยากรบกวนนายอำเภอและครอบครัวนัก" เอสเพนพูดพลางทรุดตัวลงบนขอนไม้ใหญ่ใต้ต้นยูคาลิปตัส แล้วรีบหุบขาของตัวเองลงเมื่อสำนึกได้ว่าเผลอนั่งตามสบาย

ร่างสูงใหญ่ของอาคันตุกะหย่อนตัวลงนั่งเคียงข้าง "ไม่มีใครคิดว่าคุณรบกวน เมื่อครู่มิสซิสไวลีย์ก็บอกว่าเธอหายเหงาขึ้นเมื่อมีคุณมาอยู่ด้วย"

จะไม่ให้โซเฟียหายเหงาได้อย่างไร ในเมื่อเธอจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกและข้าวของเครื่องใช้ให้เขาทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของใช้ส่วนตัว หรือแม้แต่ห้องนอนซึ่งบัดนี้เขามีห้องนอนส่วนตัวแยกจากพอลลีน

บ้านไวลีย์เหมือนสวรรค์หลังจากความยากลำบากนานับประการ…หากเพียงเขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ด้วยตัวตนที่แท้จริง…

หลายต่อหลายครั้งที่เอสเพนอยากเปิดเผยความจริงให้คนที่แสนดีเหล่านั้นรู้ แต่ก็เกรงว่าเมื่อทำไปแล้ว เขาอาจจะถูกส่งตัวกลับไปรับโทษในหลุยส์เซียน่าทันทีก็เป็นได้

"ถ้าคุณรู้สึกเหงา ผมจะพานั่งรถม้าออกไปเที่ยวเล่นแถบริมแม่น้ำ ที่นั่นจะสงบหน่อย ไม่มีเวรยามชุกชุมอย่างนี้"

น้ำเสียงนั้นสุภาพดังปกติ แต่ประโยคนั้นสะดุดหูเด็กหนุ่มยิ่งนัก

…สงบ…ไม่มีเวรยาม?…

"ได้หรือ?" เขาหันมาถาม แล้วพบกับรอยยิ้มสมหวังบนใบหน้าอีกฝ่าย

โจชัวตอบรับอย่างกระตือรือร้น "แน่นอน ถ้าเป็นความต้องการของคุณ นายอำเภอกับมิสซิสไวลีย์ต้องอนุญาตอยู่แล้ว คุณขอพวกท่านดู แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาเอาคำตอบ ถ้าทุกอย่างสะดวก เราจะได้ไปกันเลย ดีไหม?"

เอสเพนนิ่งเงียบ หากแต่ยิ้มบางแทนคำตอบนั้น

++++++++

"ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปด้วย" พอลลีนพูดขึ้นทันทีเมื่อเขาเล่าโครงการณ์ในวันรุ่งขึ้นให้ฟัง หลังจากที่เธอกลับจากบ้านแวนด์ในตอนบ่าย

เอสเพนมุ่ยหน้าลงอย่างยุ่งยากใจ เพราะเท่ากับช่องทางหลบหนีมีน้อยกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เด็กหนุ่มพยายามครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรงใจ "ฉันคิดว่าเธอจะไปเยี่ยมยูจีเนียเสียอีก"

"ฉันไปเยี่ยมหล่อนมาแล้วในวันนี้ และไม่อยากเห็นหน้าหล่อนติดกันทุกวันหรอก" เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

"แต่…"

"ทำไม?" ดวงตาสีดำสนิทพิจารณาใบหน้าคู่สนทนาราวกับกำลังด้นหาอะไรสักอย่าง แล้วร้องอุทานราวกับตกใจหนักหนา "อย่าบอกว่าเธอหลงเสน่ห์ของโจชัว วิลเลียมส์ เข้าให้แล้ว?"

ร่างโปร่งเกาต้นคอตัวเองแล้วรีบลดมือลงเมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองมาของอีกฝ่าย "ไม่ใช่อย่างนั้น"

"ไม่ใช่อย่างนั้นก็ดี" หล่อนสรุป พลางหยิบผลไม้ที่ถูกเตรียมเป็นของว่างขึ้นกัด "ฉันไม่อยากให้เธอไปไหนกับผู้ชายคนนั้นตามลำพัง ฉันบอกตามตรงว่าไม่ไว้ใจเขาแม้แต่นิดเดียว"

"เธอชอบเขาเหรอ?" เอสเพนถามล้อขึ้นมาบ้าง พอลลีนอายุสิบหก แก่กว่าเขาปีกว่า ดังนั้นก็เป็นวัยที่สมควรกับเรื่องแบบนี้แล้ว

คู่สนทนาส่ายหัวดิก "ถ้าฉันชอบเขาแค่ครึ่งเดียวของที่เธอคิดล่ะก็ ฉันคงจะปล่อยเธอให้ไปกับเขาตามลำพังแล้วล่ะ ที่รัก"

+++++++++++

โจชัว วิลเลียมส์ พยายามซ่อนสีหน้าผิดหวังแล้วรับกระเช้าของว่างที่ภรรยานายอำเภอเตรียมมาให้อย่างยิ้มแย้ม เมื่อพบว่าวันนี้มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาด้วย

พอลลีนเป็นเด็กสาวที่สวยลึกลับ แต่ความสุขุมเกินวัยและบุคลิกที่เข้าใจยากไม่ต่างจากบิดาของเจ้าตัวทำให้หล่อนไม่เป็นที่สนใจของเขานัก

ดอกไม้ไม่ว่าจะสวยแค่ไหน หากแต่เมื่อไร้กลิ่นหอม ย่อมมีความเย้ายวนใจสู้ดอกไม้ที่แม้จะดูไม่สวยดึงดูด แต่มีกลิ่นหอมประหลาดที่เพิ่งชูช่อออกมาไม่ได้

เขานั่งเงียบตลอดเวลาที่ประจำตำแหน่งควบคุมม้า ขณะที่ผู้โดยสารทั้งสองที่อยู่ทางด้านหลังคุยกันบ้างเป็นระยะ เอสเพนมองโลกรอบตัวด้วยสายตาสงบขัดกับความตื่นเต้นที่อยู่ภายใน ธรรมชาติเป็นมารดาของมนุษย์โลกที่ให้ความสงบ เป็นที่พึ่งพิง ซุกซ่อน โดยเฉพาะกับเขาจากนี้และตลอดไป

ล้อรถข้างหนึ่งแล่นขึ้นไปทับก้อนหินขนาดกำปั้นทำให้ร่างของเด็กหนุ่มถลาเข้าหาพอลลีน ศีรษะของเขารู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่น ก่อนจะหน้าอุ่นวูบเมื่อพบว่าสิ่งที่ตนเองซบอิงอยู่คือหน้าอกคู่งามของเด็กสาว เอสเพนดึงตัวออกพลางละล่ำละลักขอโทษอีกฝ่าย ในขณะที่ชายหนุ่มสั่งม้าให้หยุดแล้วหันมาถามผู้ที่นั่งด้านหลัง

"เป็นอะไรกันหรือเปล่า?"

"ชาร์ล็อตเซนิดหน่อย" พอลลีนเป็นคนตอบ แม้ว่าดวงตาของคนถามจะไม่ได้จ้องมองมาที่หล่อนโดยตรง "ไปต่อก่อนที่แดดจะแรงเถอะ"

รถเทียมม้าสองตัววิ่งต่อไป ในขณะที่เอสเพนขยับตัวเว้นช่วงห่างให้กับตัวเองและคนข้าง ๆ เพิ่มอีกนิด แล้วอดจะชำเลืองมองทรวงอกคู่นั้นด้วยใจที่เต้นโครมครามไม่ได้ เด็กหนุ่มหวนคิดถึงตัวเอง แม้เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่จะไม่เน้นรูปร่าง แต่โซเฟียมักจะบ่นอย่างเสียดายเสมอว่าเขาผอมเกินไปหน่อย บัดนี้เขาจึงได้ประจักษ์ถึงความแตกต่างระหว่างตนเองที่ปลอมตัวเป็นผู้หญิง กับผู้หญิงแท้ ๆ

…เขาไม่มีหน้าอก…

แม้จะคิดได้เมื่อสาย เพราะเขาอาจจะโชคดีและหนีไปได้ในวันนี้ แต่ถึงกระนั้น เด็กหนุ่มก็อดจะโล่งใจไม่ได้ว่าพระเจ้ายังเข้าข้าง เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครสังเกตถึงความผิดปกตินี้แล้วพูดออกมาเลยสักคน

++++++

รถม้าแล่นมาถึงชายป่าริมน้ำที่โจชัวพูดถึงเมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนไปอยู่เกือบจะตรงศีรษะ แม้มันจะทำให้อากาศกลางฤดูใบไม้ร่วงอุ่นสบายขึ้น แต่แสงแดดก็ยังเริงแรงเสียจนพอลลีนออกความเห็นให้ปูผ้าไว้ใต้เงาไม้ร่มรื่น เพราะเธอรู้สึกแสบผิวเหลือกำลัง

เอสเพนช่วยเด็กสาวรื้อของว่างออกมาจากตะกร้า ขณะที่โจชัวปล่อยม้าให้กินน้ำ บางครั้งเด็กหนุ่มก็อดจะอิจฉาชีวิตที่แสนจะเพียบพร้อมของพอลลีนแทนพี่สาวที่ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ โจเซฟีนไม่เคยได้รับแม้แต่เศษเสี้ยวของความสุขสบายอย่างที่พอลลีนมี หล่อนต้องซักผ้า ทำงานบ้าน และหาเลี้ยงตัวเอง มือเล็กคู่นั้นแห้งแตกและหยาบกร้านไม่ต่างจากผู้ชายที่ทำงานหนัก ในขณะที่มือของพอลลีนเล็กเรียว นุ่มนิ่ม ขาวสะอาด ทั้งยังมีกลิ่นหอมอยู่ตลอดเวลา เขาคิดเสมอว่าพี่สาวของตนเป็นคนสวย และนึกเสียดายอยู่บ่อยครั้งที่ความสวยของหล่อนอาจจะเปล่งประกายมากกว่านี้ถ้าได้สวมเสื้อผ้าเนื้อดีมีราคาเหมือนอย่างพวกลูกสาวคนมีเงินทั่วไป

ดวงตาสีเขียวลอบมองไปยังทิศทางที่เขาผ่านมาเมื่อครู่ ก่อนจะเบนสายตาไปยังทิศทางตรงข้าม ถ้าจะหนี เขาก็ควรวิ่งต่อไปตามทางที่เห็นอยู่ข้างหน้า เด็กหนุ่มวางแผนไว้ในใจแล้ว ว่าจะตีตัวออกจากสองคนนี้ได้อย่างไร

เขาเหยียดขาออกไขว้แล้วเอนหลังพิงต้นไม้ขณะที่พอลลีนนั่งพับเพียบแล้วทอดสายตามองสายน้ำเย็นตรงหน้า ก่อนจะอุทานเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามหยิบผลแอปเปิ้ลขึ้นมาใช้มีดฝานแล้วจิ้มเข้าปาก

"เธอทำอะไรน่ะชาร์ล็อต!?"

เด็กหนุ่มหันมามองต้นเสียงด้วยสายตาฉงน แล้วย้อนถาม "ฉันทำอะไร?"

"ก็แอปเปิ้ล…" หล่อนว่าพลางชี้มายังของที่อยู่ในมือฝ่ายตรงข้าม "ทำไมไม่ปอกแล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ"

ร่างสูงที่เดินเข้ามาหัวเราะในคอ แล้วทรุดตัวลงข้าง ๆ แขกของบ้านไวลีย์ พลางพูดแย้งขึ้นมาด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ "เป็นวิธีที่น่าสนใจดีออกนะ" เขาเว้นช่วง พลางหันไปมองเจ้าของดวงตาสีเขียว "ถ้าไม่รังเกียจ ผมจะขอชิมบ้างได้ไหม?"

เอสเพนไม่ตอบหากแต่หันไปหยิบแอ๊ปเปิ้ลอีกผลพร้อมทั้งมีดที่อยู่ในมือส่งให้ชายหนุ่ม แล้วจัดการกับแอ๊ปเปิ้ลที่เหลือของตนด้วยการแทะ

ใบหน้าที่จืดเจื่อนลงไปเล็กน้อยของฝ่ายนั้นทำให้พอลลีนยกมุมปากยิ้มเยาะ ก่อนจะหันไปมองวิธีกินแอ๊ปเปิ้ลของคนข้าง ๆ อย่างอ่อนใจ

โจชัวหัวเราะกับตัวเอง เด็กสาวตรงหน้านี้ไม่มีจริตมารยาแม้แต่น้อย แต่ก็…น่าสนใจเหลือเกิน

+++++++

ดวงอาทิตย์คล้อยไปยังท้องฟ้าซีกตะวันตก เด็กสาวผมสีดำสนิทหันมามองคนที่กำลังขยับเนื้อขยับตัวไปมาอย่างอึดอัดด้วยความเป็นห่วง หล่อนตวัดตามองโจชัวที่นั่งห่างออกไปไม่ไกลนัก แล้วกระซิบถาม เพราะไม่ต้องการให้ฝ่ายนั้นได้ยินบทสนทนาของตัวเอง

"เป็นอะไรไป? รู้สึกไม่สบายหรือ?"

คนถูกถามแสร้งทำหน้าอึกอัก ก่อนจะตอบด้วยเสียงกระซิบที่แทบจะไม่ได้ยิน "ฉัน…อยากเข้าทำธุระส่วนตัวหน่อยน่ะ"

"คงต้องเข้าไปในป่า" เด็กสาวกระซิบตอบหลังจากที่นิ่งคิดไปชั่วครู่ "เดินเข้าไปลึกหน่อย แต่อย่าลึกมาก แล้วกลับมาเร็ว ๆ ด้วยล่ะ"

เจ้าของดวงตาสีเขียวพยักหน้ารับ แล้วลุกขึ้นเดินไปยังทิศทางที่ตัวเองหมายตาไว้ตอนแรก ทำให้โจชัวที่อยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นลืมตาโพลง แล้วหันไปถามคนที่เหลือทันที

"ชาร์ล็อตไปไหน?"

"เขาเมื่อย" พอลลีนตอบเสียงเรียบขณะสายตาจับจ้องไปยังแม่น้ำข้างหน้า แล้วพูดเน้นเสียง "อยากจะไปเดินเล่นให้เป็นส่วนตัวหน่อย"

โจชัวฮึดฮัดกับความกันท่าของอีกฝ่าย เขารู้ว่าหล่อนไม่ค่อยชอบเขานัก เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยชอบความฉลาดรู้ทันของหล่อนเท่าไหร่เหมือนกัน

++++++++

ร่างโปร่งเดินด้วยอาการปกติจนคะเนว่าพ้นจากจุดที่นั่งอยู่เมื่อครู่มาไกลแล้วจึงหันกลับไปมองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะถลกกระโปรงแล้วออกวิ่งจนเต็มฝีเท้าด้วยความรู้สึกอิสระอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ขาคู่นั้นย่ำรัวเหมือนครั้งแรกที่ตนหนีมาจากสปริงฟีลด์ แต่ด้วยสภาพจิตใจที่แข็งแรงกว่ามาก ตอนนั้นเขายังช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่สาว และสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ทว่าตอนนี้จิตใจของตนจะได้รับการเยียวยาไปบ้าง แม้จะไม่หายขาด ก็ยังพอทำใจได้ บางทีเขาอดจะคิดไม่ได้ว่าการตายของโจเซฟีน เป็นการปลดทุกข์ให้กับชีวิตที่แสนยากลำบากของเจ้าตัว และพระเจ้าก็คงจะรับคนดีอย่างพี่สาวเขาไปอยู่ร่วมกับพระองค์แน่นอน

ในตอนนี้ สิ่งที่รบกวนจิตใจของเด็กหนุ่มและทำให้เขารู้สึกผิดอยู่บ้างคือการที่ตนเองโกหกครอบครัวไวลีย์ที่แสนดีมาตลอด เอสเพนแน่ใจว่าการหายตัวไปของเขาในครั้งนี้จะยังความวุ่นวายและความโศกเศร้ามาให้คนในบ้านได้ไม่มากก็น้อย

เสียงเห่าของสุนัขใหญ่ที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้เขาเอี้ยวตัวไปมองจนเสียหลักล้มเมื่อสะดุดกับก้อนหิน เด็กหนุ่มพยายามยันตัวลุกขึ้นแล้วเพิ่มความเร็วในการวิ่งเมื่อแน่ใจว่าเสียงที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ นั้นไม่ได้มีเพียงเสียงสุนัข หากแต่ยังเป็นเสียงเอะอะของคนกลุ่มย่อม ๆ อีกด้วย

เสียงเห่าที่ดังใกล้จนแทบจะจวนตัวทำให้ใจแป้ว เด็กหนุ่มหักเส้นทางเข้าแม่น้ำด้วยจุดประสงค์ที่จะซ่อนตัวอยู่ในน้ำซึ่งจะเป็นวิธีที่ทำให้สุนัขไม่ได้กลิ่นของเขา หากแต่วิ่งมาได้เกือบถึงริมตลิ่งก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเห่ากรรโชกดังขึ้นในระยะประชั้นชิด เด็กหนุ่มหันไปมองแล้วเลียริมฝีปากเป็นการปลอบใจตัวเองเมื่อเห็นสุนัขพันธุ์บ็อกเซอร์ตัวยักษ์ที่มีทีท่าไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด

ใบหน้าใหญ่โตและดวงตาสีน้ำตาลอมเหลืองที่จับจ้องตรงมาอย่างดูเชิง ทำให้เอสเพนเกิดความลังเลระหว่างการยืนอยู่เฉย ๆ และการถอยหลังไปเล็กน้อยแล้ววิ่งหนีต่อ เสียงคนเอะอะที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้เด็กหนุ่มเลือกอย่างหลัง แต่การเคลื่อนไหวนั้นส่งผลไปถึงร่างที่เกร็งตัวเตรียมพร้อมจะจู่โจมอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน

เจ้าสุนัขพันธุ์บ็อกเซอร์ไม่ได้ตรงเข้าขย้ำเขาทันทีเหมือนอย่างสุนัขพันธุ์อื่น ๆ หากแต่มันดีดตัวขึ้นยืนสองขาตั้งแต่ร่างโปร่งเริ่มขยับ แล้วใช้ขาหน้าผลักอกอีกฝ่ายถี่รัว เรี่ยวแรงมหาศาลอย่างคาดไม่ถึงของมันทำให้เอสเพนเสียหลักหล่นตูมลงไปในแม่น้ำเย็นเฉียบ เจ้าสัตว์ใหญ่ตรงเข้ามาเตรียมขย้ำเขาต่อตามแบบวิธีต่อสู้ของมัน เด็กหนุ่มหลับตาปี๋โดยอัตโนมัติเมื่อเห็นเขี้ยวโง้งขาวชุ่มน้ำลาย แล้วพยายามปล่อยวางเพื่อเผชิญหน้ากับวาระสุดท้ายของตนอย่างสงบ

"เบน…เบนนี่! หยุด!!"

เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นก่อนที่คมเขี้ยวจะฝังเข้าไปในต้นแขนเล็กเพียงแค่เสี้ยววินาที ทำให้เจ้าของชื่อยอมผละจากร่างเหยื่อโดยดีอย่างว่าง่าย ดวงตาสีมรกตค่อยหรี่ขึ้นผ่านม่านน้ำ แล้วพบกับใบหน้าที่ก้มลงมามองอย่างเป็นห่วง เขาจับมือที่ยื่นส่งมาให้พยุงตัวขึ้น ก่อนจะสั่นสะท้านเมื่อลมเย็นพัดผ่านร่างกายที่เปียกโชกของตน

"ขอโทษครับมิส บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ?" ชายคนนั้นถามพลางถอดเสื้อนอกของตัวเองออกคลุมให้

"ไม่" เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา แล้วหลับตาลงอย่างท้อแท้เมื่อเห็นร่างสูงสง่าของนายอำเภอไวลีย์วิ่งหน้าตื่นมายังที่เกิดเหตุ

เขาหนีไม่พ้น!

"ชาร์ล็อต! ทำไมเธอถึงมาอยู่ตรงนี้!?" ชายชราถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดและเป็นกังวล ก่อนจะยกมือขึ้นปรามเมื่อผู้อ่อนอาวุโสกว่าเผยอริมฝีปากที่สั่นเทาตอบ "อย่าเพิ่งพูดอะไร กลับบ้านไปทำร่างกายให้อบอุ่นก่อนที่จะไม่สบายดีกว่า"

+++++++

หญิงรับใช้ประจำตัววิ่งออกมาต้อนรับเมื่อได้ยินเสียงรถม้า ดวงตาที่โตและลึกอยู่แล้วเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นสภาพของเจ้านายตน ลอร่ายกมือขึ้นทาบอก ก่อนจะวิ่งเข้าไปหา

"คุณชาร์ล็อต เกิดอะไรขึ้นคะ?"

เอริค ไวลีย์ที่ลงจากรถม้าตามลงมาสั่งด้วยน้ำเสียงรัวเร็วผิดจากทุกครั้ง "รีบไปผสมน้ำอุ่นให้เขาแช่เร็วเข้า"

โซเฟียเดินออกมาจังหวะเดียวกับที่ลอร่าวิ่งกลับเข้าไปในบ้านเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นนาย หญิงวัยกลางคนตรงรี่เข้ามาหาร่างที่เปียกชื้นและสามีตนอย่างตื่นตระหนก

"เอริค เกิดอะไรขึ้นคะ? ทำไมชาร์ล็อตถึงได้เป็นอย่างนี้?"

"ทำให้เขาหายหนาวแล้วค่อยพูดกันเถอะ ตอนนั่งอยู่ในรถก็จามตลอด สงสัยจะไม่สบายเข้าจนได้ แล้วนี่พอลลีนกับโจชัวกลับรึยัง?"

ประโยคสุดท้ายยิ่งเพิ่มความวิตกให้กับผู้เป็นมารดามากกว่าเดิม "ยังค่ะ แล้วสองคนนั้นจะเป็นอะไรรึเปล่า?"

"คงไม่มีอะไรหรอก ชาร์ล็อตแค่หลงป่า แล้วเผอิญเกิดเรื่องยุ่ง ๆ เข้า สองคนนั้นคงกำลังตามหาชาร์ล็อตกันอยู่ ผมส่งคนไปตามแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงกลับมา"

"ถ้าอย่างนั้นเธอรีบไปอาบน้ำเถอะจ้ะ"

เอสเพนถูกนำตัวขึ้นไปยังห้องน้ำชั้นบนอย่างรวดเร็ว เขาปฏิเสธทุกคนที่จะเข้ามาช่วยเปลื้องเสื้อผ้าด้วยน้ำเสียงสุภาพ ก่อนจะแช่ตัวลงในน้ำแล้วหลับตาเมื่อรู้สึกเหมือนเลือดอุ่น ๆ ฉีดซ่านไปทั่งร่างกายที่เย็นเฉียบ เด็กหนุ่มวักน้ำลูบหน้าตัวเองแรง ๆ ด้วยความหงุดหงิดพลางเข่นเขี้ยว เขาไม่เพียงแต่จะหนีไม่พ้น ซ้ำยังทำให้ทุกคนในบ้านต้องแตกตื่นไปตาม ๆ กัน อย่างนี้มันน่าฆ่าตัวเองนัก

ร่างโปร่งรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเมื่อขึ้นจากน้ำและเช็ดตัวจนแห้ง เสื้อผ้าที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ทั้งอุ่นและหนานุ่มทำให้รู้สึกสบายตัวขึ้นมาบ้าง โซเฟียรีบพาเขาไปนั่งใกล้เตาผิงซึ่งอยู่ชั้นล่างทันทีที่ออกจากห้องน้ำ ก่อนจะส่งซุปร้อน ๆ ที่ปรุงขึ้นอย่างรวดเร็วให้จิบ ยิ่งเพิ่มความรู้สึกละอายใจให้กับอีกฝ่ายมากกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะเมื่อคิดได้ว่าตอนนั้นนายอำเภออาจจะลาดตระเวนตรวจร่องรอยของกลุ่มโจรอยู่ ถึงได้มีสุนัขไปด้วย แล้วเขาก็อาจจะเป็นตัวการทำให้พวกโจรหนีไปได้

ดวงตาสีเขียวเหลือบมองชายชราอย่างสำนึกผิด ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "หนูขอโทษค่ะ มิสเตอร์ไวลีย์ ถ้าทำให้คุณเสียงาน"

ฝ่ายตรงข้ามส่ายศีรษะ แล้วเอ่ยปลอบด้วยรอยยิ้ม "ไม่หรอก เราแค่ไปตระเวนดูตามชายป่า พอดีเบนได้กลิ่นของเธอ มันเลยวิ่งเข้ามา แน่ใจนะว่าไม่ถูกกัดตรงไหน?"

"เราควรจะตามหมอมั้ยคะ?" โซเฟียถามขอความเห็นจากสามี ทำให้เด็กหนุ่มต้องรีบพูดขึ้น

"ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูไม่รู้สึกเป็นอะไรมาก พักแป๊บเดียวก็หาย"

แม้จะมีอาการไม่สบายตัวอยู่บ้าง แต่เอสเพนก็มั่นใจว่ามันจะหายไปเองโดยไม่ต้องพึ่งหมอ จะว่าไปตั้งแต่จำความได้เขาไม่เคยไปหาหมอสักครั้งเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ดังนั้นจึงเห็นว่าอาชีพสายนี้ไม่มีความจำเป็นต่อชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียว

ทั้งหมดมองไปทางหน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงรถม้าอีกคัน ไม่นานนักประตูหน้าก็เปิดออกโดยมีร่างของพอลลีนถลันเข้ามากอดเขาด้วยสีหน้าโล่งใจอย่างสุดจะพรรณา

"ชาร์ล็อต! ที่รัก! ฉันดีใจเหลือเกินที่เธอไม่เป็นอะไร"

วงแขนที่แนบแน่นอยู่บนร่างตนเองทำให้เอสเพนรู้สึกผิดอีกครั้ง เขากอดเด็กสาวที่ปฏิบัติกับตัวเองไม่ต่างจากน้องแท้ ๆ ตอบ แล้วยิ้มบาง "ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง"

"นายอำเภอ มิสซิสไวลีย์ครับ ผมขอโทษที่พาชาร์ล็อตออกไปจนทำให้เธอต้องหลงป่า" โจชัวพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด ยิ่งเป็นการตอกย้ำความละอายใจที่ตนเป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายให้กับทุกคนมากขึ้นไปอีก

"ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ" โซเฟียปลอบ ก่อนจะหันมาทางเด็กหนุ่มอีกครั้ง

"แต่ผม…"

เอริคพูดขึ้นบ้าง "ชาร์ล็อตเพิ่งมาถึงแจ๊คสันส์ วิล ได้ไม่นาน เลยยังไม่คุ้นทางนัก ไม่ใช่ความผิดของเธอเพียงคนเดียว ถ้าเป็นห่วง ฉันอนุญาตให้มาเยี่ยมได้ทุกเวลา แต่ตอนนี้ให้พอลลีนพาเขาขึ้นไปนอนพักก่อน"

เอสเพนทำท่าจะขยับปากบอกว่าเขาไม่เป็นอะไรจริง ๆ เพียงแค่รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวอยู่นิดหน่อย แต่พอเห็นสายตาทุกคู่ที่มองมา จึงต้องลุกเดินตามพอลลีนขึ้นชั้นบนอย่างเงียบสงบ เขาเอนตัวลงบนเตียงนุ่มของตนเอง แล้วบอกเด็กสาวที่คลี่ผ้าห่มให้

"ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะ"

เขาบอกพอลลีนด้วยสายตาของคุณ และหมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ เด็กหนุ่มยังจำครั้งที่ตัวเองไข้ขึ้นหนักเมื่อสองปีก่อนได้ดี วันนั้นเขาทั้งหนาวทั้งสั่น หนำซ้ำยังรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ก็ต้องคอยนั่งอยู่ในเรือเพื่อรอเก็บของที่จะลอยมาตามกระแสน้ำเชี่ยวกราก

"แต่เธอควรจะพักผ่อน" ฝ่ายตรงข้ามแย้งด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินออกจากห้องไปแล้วปิดประตูอย่างเบามือ

+++++++++

โจชัว วิลเลียมส์ กลับมาที่บ้านไวลีย์อีกครั้งในสายของวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองเมื่อหญิงรับใช้แจ้งว่านายหญิงและคุณหนูของบ้านนั่งรถเข้าไปซื้อของในเมือง ดังนั้นเมื่อก้าวเข้าไปในห้องรับแขก จึงเห็นแต่เด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงนั่งอยู่เกือบจะตามลำพัง เพราะยังมีสาวรับใช้อีกคนคอยยืนอำนวยความสะดวกอยู่ไม่ไกลนัก

เอสเพนนึกรู้สึกอึดอัดไม่หาย ตั้งแต่เหยียบเข้ามาที่นี่เขาก็มีคนรับใช้ประจำตัวที่ชื่อลอร่าคอยทำทุกอย่างให้จนแทบจะไม่ต้องขยับตัวเอง แรก ๆ เขายอมให้หล่อนคอยรับใช้ทุกอย่างตามที่ต้องการ แต่เมื่อทนไม่ได้หนักก็ยื่นคำขาดกับลอร่าว่าเขาขอช่วยหล่อนทำงานบ้าง เนื่องจากความเคยชินที่แต่ก่อนนี้ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลาเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง

เสียงกระแอมที่ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากแบบฝึกหัดการเขียนที่พอลลีนทำทิ้งเอาไว้ให้ แล้วยิ้มกับผู้มาใหม่อย่างจริงใจกว่าปกติ เนื่องจากยังรู้สึกผิดที่ทำให้แม้แต่ชายคนนี้ต้องหัวปั่นตามไปด้วยเมื่อวาน

"สวัสดี โจชัว"

"สวัสดี" เจ้าของผมสีบลอนด์สว่างทักตอบ แล้วถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ใกล้อีกฝ่ายมากที่สุด

"เมื่อวานขอโทษที่ทำให้คุณต้องลำบากไปด้วย" เขาพูดอย่างรู้สึกผิดแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อยทำให้ดูเหมือนเด็กเล็ก ๆ มากกว่าเด็กหนุ่มอายุสิบห้า

ชายหนุ่มหัวเราะเสียงทุ้มกังวาลกับท่าทางนั้น "ไม่ลำบากอะไร แต่ผมตกใจแทบแย่ตอนที่รู้ตัวว่าคุณชักจะไปเดินเล่นนานเกินไปแล้ว"

เอสเพนยิ้มแหย เขาผลักการบ้านของพอลลีนออกจากตัว แล้วเอื้อมมือเลื่อนถาดผลไม้เข้ามาแทน ลอร่าตรงเข้ามาช่วยทันทีทำให้เด็กหนุ่มต้องถอนหายใจ ก่อนจะหันมาบอกด้วยน้ำเสียงระอานิด ๆ

"ลอร่า ไปทำงานอย่างอื่นเถอะ"

"ดิฉันมีหน้าที่รับใช้คุณชาร์ล็อตเท่านั้นค่ะ ไม่มีงานอย่างอื่น" เจ้าหล่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงใสซื่อ

"ถ้าอย่างนั้นก็ไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องคอยยืนเฝ้าหรอก ลอร่ายังถักนิตค้างไว้อยู่ไม่ใช่เหรอ?" เด็กหนุ่มยกงานอดิเรกที่หญิงสาวแสนจะโปรดปรานขึ้นมาล่อ ซึ่งก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามลังเลทันที

"แต่ว่า…"

"ไปเถอะ ถ้าจะช่วยให้ทำอะไรฉันจะเรียก"

เขาเอ่ยออกตัวกับโจชัวที่มองตามหลังหญิงรับใช้ไปด้วยรอยยิ้มขบขัน "ฉันไม่เคยชินกับการมีใครต่อใครมาทำอะไรต่ออะไรให้น่ะ เมื่อก่อนฉันทำทุกอย่างด้วยตัวเอง"

"เมื่อก่อน?" ฝ่ายตรงข้ามเลิกคิ้วอย่างสนใจ

เอสเพนรีบพูดต่ออย่างร้อนตัว "เมื่อก่อนที่ฉันยังอยู่ที่ไร่กับพ่อแม่"

"ผมเสียใจด้วย"

ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ ทำให้ร่างโปร่งพอจะเดาออกไปราง ๆ ฝ่ายนั้นคงจะเข้าใจผิด คิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุทำให้เขาคิดถึงเรื่องน่าเศร้า เอสเพนส่ายศีรษะ แล้วหยิบส้มผลหนึ่งขึ้นมาปอกอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มยัดมันเข้าปากทีเดียวพร้อมกันสองกลีบ ก่อนจะยื่นส่วนที่เหลือให้อีกฝ่าย

"เอามั้ย?"

โจชัวหัวเราะขันก่อนจะรับส้มมาจากมือเล็กซึ่งบัดนี้เริ่มนุ่มนวลขึ้นเมื่อได้รับการดูแลอย่างดี เขามองตาสีเขียวมรกตนิ่ง แล้วพูดตามที่ตัวเองคิดในขณะนี้

"คุณไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ผมเคยรู้จัก"

"ก็นับว่าโชคดีที่ผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่คุณรู้จักไม่เหมือนฉัน"

เอสเพนตอบตามที่คิด พอลลีนเองก็บอกอยู่เสมอว่าเขาแตกต่างไปจากผู้หญิงคนอื่น ๆ ทั้งกิริยามารยาท รูปร่าง หน้าตา ท่าทาง จนเขายังเกรงว่าความลับเรื่องที่ตัวเองเป็นผู้ชายจะแตกเข้าสักวัน แต่ก็ไม่ ทั้งที่เสียงเขาค่อนข้างจะต่ำเกินไปสำหรับผู้หญิง แม้จะแหลมกว่าผู้ชายปกติก็ตาม

ทุกอย่างคงเป็นไปตามประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้ากระมัง

"ไม่มีผู้หญิงคนไหนตอบผมอย่างนี้มาก่อนเลย" ชายหนุ่มยิ้มละไมพลางมองใบหน้าเยาว์วัยอย่างมีความหมาย เขารู้สึกสนใจคนตรงหน้าขึ้นมาทุกขณะ หญิงสาวทุกคนจะแสดงอาการปลาบปลื้มดีใจเมื่อได้ยินว่าตัวเองไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ แต่ไม่มีใครตอบเขาอย่างนี้สักคน

เด็กหนุ่มยิ้มตอบอย่างไม่รู้เดียงสา ด้วยวัยวุฒิที่ด้อยกว่าทำให้เอสเพนตีความหมายของรอยยิ้มนั้นไม่ออก

เจ้าของผมสีบลอนด์ส่งส้มเข้าปากตัวเองแล้วให้รู้สึกว่ามันหวานลิ้นอย่างประหลาด เขาเริ่มส่งประโยคที่บอกความนัยอีกนิด "คุณเป็นสาวน้อยผมแดงที่น่ารักที่สุดที่ผมเคยเห็นมา"

"พี่สาวฉันน่ารักกว่านี้ตั้งเยอะ"

เอสเพนตอบโดยอัตโนมัติ โจเซฟีนมีผมและตาสีเดียวกับเขา และมีวัยต่างกันไม่ถึงปี ทำให้ใครหลายคนคิดว่าทั้งคู่เป็นฝาแฝด เนื่องจากดั้งจมูกของเขาไม่สูงโด่งเหมือนอย่างผู้ชายทั่วไป หากแต่รั้นน้อย ๆ ตรงกลาง และยังมีกระสีน้ำตาลจางพาดผ่านช่วยลดความกระด้างของใบหน้าลงไปได้อีกมาก

โจเซฟีนไม่มีกระ เธอจึงน่ารักกว่าเขา และเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในสายตาของเขาด้วยซ้ำ

โจชัวรีบเปลี่ยนเรื่องพูดเนื่องจากเขารู้มาว่าครอบครัวของเด็กสาวตรงหน้าเสียชีวิตหมด "พรุ่งนี้คุณจะไปโบสถ์ไหม?"

ฝ่ายตรงข้ามส่ายหน้า แล้วให้เหตุผล "คงจะไม่ มิสซิสไวลีย์ไม่อยากให้ฉันออกไปเจออากาศเย็นข้างนอก"

ความจริงเอสเพนออกจะเสียดายอยู่บ้างที่ถูกสั่งไม่ให้ออกไปเดินเล่นในป่าโปร่งข้างบ้านเหมือนอย่างที่ทำทุกวัน แต่ก็ดีไม่น้อยที่มันทำให้เขาไม่ต้องไปโบสถ์ ถึงแม้เขาจะเคารพในพระเจ้า เชื่อในศาสนา แต่ก็ทนนั่นฟังเทศน์ที่แสนจะน่าเบื่อไม่ค่อยได้นานนัก

ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเสียดาย "ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราคงจะไม่ได้เจอกัน"

"ก็คงอย่างนั้น แต่ฉันก็คงจะอยู่ที่นี่ไปอีกสักระยะ" เด็กหนุ่มพูดตามที่คิด ความวุ่นวายที่ตัวเองเป็นคนก่อเมื่อวานทำให้ล้มเลิกความคิดที่จะหนีไปชั่วคราว

ประโยคนั้นทำให้โจชัวก้มหน้าลงซ่อนรอยยิ้มสมใจกับตัวเอง เนื่องจากเข้าใจไปเองว่า การที่ฝ่ายตรงข้ามพูดเช่นนั้น ก็เท่ากับเป็นการเชิญชวนให้เขามาเยี่ยมเยือนอยู่กลาย ๆ

+++++++++++

บ้านทั้งหลังเงียบสงัดเพราะเป็นวันอาทิตย์ อีกทั้งเอริค ไวลีย์ อนุญาตให้ทาสตัวเองไปโบสถ์และนับถือศาสนาได้ จะเหลือแต่เพียงสาวใช้ไม่กี่คนที่คอยอยู่จัดเตรียมอาหารกลางวันเอาไว้เมื่อทุกคนกลับมาจากโบสถ์ เอสเพนจึงถือโอกาสบอกให้ลอร่าเข้าไปช่วยคนอื่น ๆ ในครัวด้วย

เด็กหนุ่มนั่งอยู่ริมหน้าต่างในห้องรับแขกเพื่อรับความอบอุ่นของแดดยามสาย ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้อากาศเย็นกว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมา ทำให้เขาอดจะคิดตามประสาเด็กที่ยังไม่โตเต็มที่ไม่ได้ว่าปีนี้หิมะอาจจะตก และเขาจะได้เห็นหิมะเป็นครั้งแรกในชีวิต

จะวิเศษแค่ไหนกันเชียวถ้าหิมะตกในรัฐทางใต้ของสหรัฐ!

ดวงตาสีเขียวปิดลงแล้วนึกภาพที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเป็นสีขาวโพลนเหมือนอย่างนิยายที่พอลลีนอ่านแล้วบังคับให้เขาฟัง เด็ก ๆ โยนหิมะใส่กันอย่างสนุกสนาน เกล็ดหิมะที่ติดอยู่ตามยอดไม้ส่องแสงเป็นประกายไม่ต่างจากเพชรเวลาต้องแดด มันทั้งนุ่มนิ่มเหมือนสำลี และมีรสหวานเหมือนน้ำตาลทราย แม่น้ำมิสซิสซิปปี้ทั้งสายจะแข็งเยือก…

"เราจะลงไปวิ่งเล่นในนั้นได้" พอลลีนบอกกับเขา ทั้งที่หล่อนเองก็ไม่เคยเห็นหิมะมาก่อนเหมือนกัน

เอสเพนจำได้ว่าตัวเองทำหน้าสงสัย ก่อนจะถามกลับไป "แล้วทะเลจะแข็งด้วยมั้ย?"

"ทะเลเป็นน้ำเค็ม ไม่แข็งหรอก"

พอลลีนมีความรู้รอบตัวมากอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเจ้าตัวบอกเขาว่าเป็นผลมาจากนิสัยรักการอ่าน หนังสือแต่ละเล่มเหมือนโลกอีกโลกที่เปิดกว้างให้เราเข้าไปสัมผัสสิ่งแปลกใหม่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เธอเล่าให้เขาฟังถึงความหรูหราของพระราชวังในเมืองจีน ความฟุ่ยเฟือยในพระราชวังแวร์ซายส์ นิทานพันหนึ่งราตรี และความเฉลียวฉลาดของกษัตริย์นักรบแต่ละองค์ ทำให้เขากระตือรือร้นอยากจะเรียนหนังสือเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะก้มลงมองหนังสือบนตัก แล้วอ่านออกเสียงดัง ๆ กับตัวเอง พอลลีนบอกให้ทำอย่างนี้เนื่องจากเขาพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ไพเราะและถูกต้องเท่าที่ควร

"She declared that he had made a very pretty description, and that on the morrow she would go and see for herself.

"They mounted, accordingly, into a great….great" เอสเพนขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นศัพท์คำต่อไป แล้วตัดสินใจออกเสียงอย่างที่ตัวเองคิด "baroochee"

"Into a great barouche."

เสียงทุ้มนุ่มไม่คุ้นหูดังขัดขึ้นอย่างขบขันท่ามกลางบรรยากาศที่เกือบเงียบสนิท ทำให้เอสเพนลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจจนหนังสือที่อยู่บนตักร่วงลงพื้น

ดวงตาสีเขียวฉายแววตื่นตระหนกขณะมองใบหน้าคมเข้มที่ดูเหมือนกำลังกลั้นยิ้มอย่างสุดกำลัง เขากลืนน้ำลายลงคอเหมือนเป็นการปลุกปลอบตัวเองให้สงบลงก่อนจะร้องถามด้วยเสียงปกติ

"คุณเป็นใคร?"

ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าประตูหัวเราะพรืดออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยกหมวกขึ้นทักทาย "ฉันมาหานายอำเภอไวลีย์"

ประโยคนั้นทำให้เด็กหนุ่มค่อยคลายอาการเกร็ง ก่อนจะพยักหน้า แล้วผายมือไปยังชุดรับแขกที่ตั้งอยู่กลางห้อง

"ตอนนี้ทุกคนอยู่ที่โบสถ์ เชิญคุณรอก่อน ฉันจะไปยกกาแฟกับของว่างมาให้"

"เดี๋ยว สาวน้อย" เสียงอาคันตุกะดังขึ้นก่อนที่ร่างโปร่งจะหันเดินเข้าครัว เอสเพนหันมาเลิกคิ้ว แล้วรู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อยเมื่อพบกับดวงตาสีน้ำตาลอมทองที่กำลังหัวเราะได้ของอีกฝ่าย

"อะไร?"

"เธอเป็นลูกสาวของนายอำเภอไวลีย์?"

"ฉันเป็นผู้อาศัยชั่วคราวเท่านั้น" เอสเพนส่ายหน้า ก่อนจะอธิบาย แล้วเดินออกจาห้องรับแขกไปเงียบ ๆ

ลอร่ากับดอริสหันมามองพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาในครัว แล้วมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นร่างโปร่งเดินเข้ามาหา

"มิสเตอร์วิลเลียมส์มาหรือคะ?" หญิงรับใช้ประจำตัวเขาถาม เพราะเมื่อครู่หล่อนได้ยินเจ้านายตนสนทนากับใครสักคนแว่ว ๆ

"เปล่า มีแขกมาหามิสเตอร์ไวลีย์ ฉันจะเข้ามายกของว่างกับกาแฟไปให้เขา"

"คุณไปรับแขกเถอะค่ะ" ดอริสพูดพลางรุนหลังเขาเบา ๆ "เดี๋ยวดิฉันจะยกถาดไปให้เอง"

ตอนที่ร่างโปร่งเดินกลับมานั้น ชายหนุ่มผู้เป็นแขกกำลังยืนมองรูปวาดของเอริค ไวลีย์ และภรรยาที่แขวนอยู่บนฝาผนังด้วยรอยยิ้มอบอุ่นที่มุมปาก เขาหันกลับมาเมื่อเด็กหนุ่มส่งเสียงกระแอมเบา ๆ อย่างมีมารยาท

เอสเพนนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วหุบขาแทบไม่ทันเมื่อเผลอตัวนั่งตามสบายอย่างที่เคยทำ เขาเสมองไปทางอื่นอย่างเงอะงะ เนื่องจากไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไรดี

"เมื่อกี้เธอบอกว่ามาอยู่ที่นี่ชั่วคราว?" ฝ่ายตรงข้ามถามขึ้นเมื่อจับอาการประหม่าของคนตรงหน้าได้

เจ้าของดวงตาสีเขียวสดพยักหน้ารับ แล้วพูดคำปดที่ตัวเองแทบจะท่องได้ขึ้นใจ "มิสเตอร์ไวลีย์ให้ฉันอาศัยอยู่ด้วยจนกว่าจะหาลุงของฉันได้"

"ขอโทษค่ะ"

บทสนทนากับคนแปลกหน้าของเขาชะงักค้างอยู่แค่นั้นเมื่อเสียงของดอริสดังขึ้นเบา ๆ ก่อนจะเจ้าตัวจะพาร่างเจ้าเนื้อเดินผ่านช่องประตูเพื่อเข้าห้องรับแขก หล่อนชะงักค้างเมื่อมองเห็นใบหน้าของอาคันตุกะได้ถนัด แล้วร้องออกมาอย่างยินดี

"มาสเตอร์เอ็ดการ์!"

*****
End of Part 2

cooment