ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Eye On Me (Part 3)

by...เฟื่อง

Warning: เรื่องนี้มีวี่แววจะน้ำเน่ามากอยู่(คนเขียนเองก็ยังไม่รู้ระดับความน้ำเน่าเหมือนกัน แต่คงเน่ากว่าทุก ๆ เรื่องที่เขียนมา) เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ชอบก็ขอเตือนไว้แต่เนิ่น ๆ เน้อ

เอสเพนนั่งตัวลีบอยู่บนเก้าอี้รับแขกตัวเดิม ในขณะที่เอ็ดการ์ ไวลีย์ นั่งหัวเราะขบขันอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมเช่นกัน เด็กหนุ่มมองเจ้าของผมสีน้ำตาลทองอย่างขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายหลอกเขาเล่นอยู่ได้เป็นนานสองนานโดยไม่เปิดเผยสถานะของตัวเองก่อน

บุตรชายเจ้าของบ้านกระแอมในคอสองสามครั้ง แต่แล้วก็หัวเราะขึ้นมาอีกเมื่อเห็นใบหน้าบูดอูมที่เก็บไม่อยู่ของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม

"เธอชื่ออะไร?" เขาถามขึ้นในที่สุดขณะที่ใบหน้ายังไม่ห่างหายจากรอยยิ้มขบขันเลยสักนิด

"ชาร์ล็อต…ชาร์ล็อต มายเอ่อร์" เด็กหนุ่มตอบแล้วแถมจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เนื่องจากเขามักจะลืมนามสกุลที่ตัวเองอุปโลกขึ้นมาเสียทุกครั้งที่มีคนถาม ต่างจากนิยายเรื่องลุงเจอราดที่กลับจำได้อย่างแม่นยำ

เอ็ดการ์พยักหน้า "เอาเป็นว่าฉันขอโทษที่แกล้งเธอเมื่อกี้แล้วกันนะชาร์ล็อต"

"คุณไม่ต้องขอโทษหรอก มิสเตอร์ เพราะคุณไม่ได้ทำผิดอะไร"

"เรียกเอ็ดการ์เฉย ๆ ก็ได้" เจ้าของชื่อกล่าวอย่างเป็นกันเอง

เสียงรถม้าที่ดังมาจากหน้าบ้านทำให้เอสเพนลุกขึ้นมอง แล้วนึกก่นด่าตัวเองเมื่อเห็นว่าลานหน้าบ้านมีรถม้าแปลกตาจอดอยู่อีกคัน เมื่อครู่เขามัวแต่ทำอะไรอยู่นะ จึงไม่ได้ยินเสียงตอนที่เอ็ดการ์เข้ามา

เสียงวี้ดว้ายอุทานด้วยความดีใจของผู้เป็นมารดาและน้องสาวดังขึ้นทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่ด้านในได้ถนัด หญิงสาวสองวัยตรงรี่เข้ามาเกาะแขนร่างสูงคนละข้าง ก่อนจะแย่งกันเข้าสวมกอดด้วยความคิดถึง
"โอ…เอ็ดการ์ ลูกแม่ ไหนลูกเขียนจดหมายมาบอกว่าจะกลับช่วงสิ้นปีไงจ๊ะ?"

"นี่ก็เดือนกันยายนแล้วนี่ครับ" ชายหนุ่มตอบด้วยสีหน้าทะเล้น แล้วประทับริมฝีปากลงบนแก้มมารดาและน้องสาว

เอริค ไวลีย์ เดินเข้ามาหาครอบครัวด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นสุข แล้วดึงร่างบุตรชายคนโตไปกอด พร้อมกับตบไหล่หนาของอีกฝ่ายแรง ๆ

"แกโตขึ้นมาก ไม่ผิดจากที่พ่อคิดไว้เลย"

เด็กหนุ่มมองภาพตรงหน้าแล้วรู้สึกว่าตัวเองควรจะปลีกตัวไปอยู่ที่อื่นเมื่อพอลลีนยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นแตะที่ใต้ตา ขณะโซเฟียสะอื้นฮักอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาหมุนตัวด้วยความตั้งใจจะเข้าไปช่วยลอร่าในครัว แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่ออุปโลกของตนเสียก่อน

"ชาร์ล็อต" พอลลีนเดินเข้ามาจูงมืออีกฝ่ายให้เข้ามายืนใกล้มากกว่าเดิม แล้วหันไปพูดกับพี่ชาย "เอ็ดการ์ พี่คงรู้จักชาร์ล็อตแล้ว"

ชายหนุ่มยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลทองเป็นประกายระยับ "ชาร์ล็อต มายเออร์ สาวน้อย baroochee"

ใบหน้าเจ้าของชื่อมีสีก่ำขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำยั่วล้อนั้น นี่ล่ะ เขาถึงไม่ค่อยชอบวิธีอ่านออกเสียงนัก ถ้าอ่านผิดแล้วคนอื่นช่วยแก้ให้โดยไม่ล้อเลียนก็ดีไป แต่ถ้ามาเจอคนนิสัยแบบนี้ก็อีกเรื่อง

เด็กสาวมองหน้าทั้งสองฝ่ายอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่แล้วก็ร้องขึ้นอย่างตื่นเต้นเมื่อดอริสเข้ามารายงานว่าอาหารกลางวันถูกจัดพร้อมอยู่บนโต๊ะแล้ว

"เราไปทานมื้อกลางวันด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกในรอบสามปีดีกว่าค่ะ!"

++++++++++

หลังมื้อกลางวัน เอสเพนปลีกตัวออกมาเดินเงียบ ๆ ในป่าข้างบ้าน เนื่องจากอยากเปิดโอกาสให้ทั้งครอบครัวได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง หลังจากที่สมาชิกคนหนึ่งห่างหายไปเสียนาน เด็กหนุ่มมองนกที่บินไปบินมาอยู่บนยอดไม้แล้วเกิดอาการคันมือขึ้นมา ตอนอยู่ที่สปริงฟีลด์เขาจะมีไม้ง่ามสำหรับยิงนกเล่น แล้วอาจจะเก็บมาเป็นอาหารถ้ามันมีเนื้อมากพอ

เขายามที่เป็นเขาคนเก่าช่างมีเรื่องให้ทำได้ทั้งวัน มิน่าเล่า บางครั้งเด็กหนุ่มถึงได้รู้สึกเหงาและรำคาญตัวเองนัก เนื่องจากภายใต้ชายคาบ้านไวลีย์ เขาไม่มีอย่างอื่นทำนอกจากอ่านเขียนหนังสือ

อ้อ…จะมีก็อีกอย่าง…คอยขยับอกปลอมของตัวเองให้เข้าที่

ตั้งแต่วันที่กลับจากชายป่าริมน้ำ เอสเพนก็ต้องจำใจหาผ้ามาคาดที่อกแล้วยัดสำลีลงไปทั้งสองข้างเพื่อให้ดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น พอลลีนเคยพูดปลอบว่าเขายังเด็ก และเป็นคนมีโครงร่างเล็ก ขนาดของหน้าอกจึงแปรผันตามไปด้วย

"เธอจะลองวิธีเดียวกับยูจีเนียก็ได้นะ" เด็กสาวเอ่ยขึ้นอย่างติดตลก

ดวงตาสีเขียวฉายแววประหลาดใจ แล้วทวนถาม "วิธีเดียวกับยูจีเนีย?"

"ก็อย่างนี้" พอลลีนว่าพลางสาธิตด้วยการก้มหน้าลงมองหน้าอกตัวเอง แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงสงบราวกับกำลังสวดมนต์ "จงโตขึ้น…จงโตขึ้น…จงโตขึ้น…"

เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจ แล้วส่ายหน้า เขาไม่ใช้วิธีของยูจีเนียเพราะไม่นึกอยากได้เนินเนื้ออวบหยุ่นของจริงให้มาอยู่บนอกตัวเอง แต่ใช้วิธีที่คิดได้อย่างสด ๆ ร้อน ๆ ในคืนนั้น

โชคดีที่ในรุ่งเช้าหล่อนไม่ทันสังเกตว่าหน้าอกของเขามีปุ่มเล็ก ๆ ปูดนูนขึ้นมาทั้งสองข้าง

เอสเพนเอี้ยวตัวกลับไปมองเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองดังมาแต่ไกล เขาโบกมือให้กับโจชัวที่วิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาหา จนกระทั่งชายหนุ่มมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า แล้วถามด้วยเสียงปนหอบ

"ทำไมคุณถึงออกมาเดินเล่นล่ะ ไหนว่ามิสซิสไวลีย์ไม่ให้ออกมาถูกอากาศเย็น ๆ?"

"ฉันเอาเสื้อคลุมมาด้วย" เด็กหนุ่มเดินไปหยิบเสื้อคลุมไหมพรมที่ลอร่าถักเองและยัดเยียดให้เขาหยิบติดมือมาชูขึ้นให้คู่สนทนาดู

โจชัวเดินตามร่างโปร่งมาติด ๆ "หายไข้แล้วหรือ?"

"ความจริงหายตั้งแต่เช้าวันที่สองแล้ว" เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงพูดกลั้วหัวเราะเพราะรู้ดีว่าตนเองเป็นคนสุขภาพแข็งแรงแค่ไหน

ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเสนอแขนตัวเองให้อีกฝ่ายด้วยท่าทางประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน "เดินเล่นกันเถอะ"

เอสเพนถอยหนีโดยอัตโนมัติพลางยิ้มแห้ง แล้วพูดขึ้นเสียงอ่อย ๆ "ขอโทษนะ แต่ฉันไม่ชิน"

ใครเคยชินกับการเดินเกาะแขนผู้ชายด้วยกันก็พิลึกเต็มทนละ!

ใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามแสดงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เขาต้องรีบพูดขึ้น "คุณเข้าไปในบ้านรึยัง?"

เจ้าของผมสีทรายส่ายหน้า พลางยิ้มบาง "พอดีผมเห็นหลังคุณอยู่ไว ๆ ก็เลยเดินเข้ามาทักก่อน" เขาเว้นช่วงไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงแผ่วลง "ที่จริงผมก็มาหาคุณโดยเฉพาะอยู่แล้ว"

สายตาที่มองมาและคำพูดประโยคนั้นทำให้ร่างโปร่งนึกตะขิดตะขวงใจอย่างไม่รู้สาเหตุ แม้จะไม่เข้าใจความหมายที่สื่อผ่านนัก แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่ามันไม่ใช่สายตาที่เพื่อนจะใช้มองเพื่อน มันดู…หวานเชื่อม และเขาก็ไม่ชอบสายตาแบบนี้แม้แต่นิดเดียว

"เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงได้เงียบไป?"

เสียงถามห่วงใยทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ เด็กหนุ่มหันมาฝืนยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนจะพูด "คุณจะไม่เข้าไปที่บ้านหน่อยหรือ? วันนี้มิสเตอร์เอ็ดการ์เพิ่งกลับมาจากยุโรป"

"เอ็ดการ์เพิ่งกลับมาจากยุโรป!?" โจชัวถามเสียงสูงจนแทบจะดังก้องป่า เมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่คาดคิด

"ใช่แล้วเพื่อน ฉันเพิ่งกลับมาเมื่อสามชั่วโมงก่อนนี้เอง" คนถูกพูดถึงและเดินมาได้ยินเข้าพอดีเอ่ยกลั้วหัวเราะ "แล้วตอนนี้ก็อาสาทุกคนเดินออกมาตามสาวน้อยที่หนีออกมาให้ไปทานของว่างตอนบ่ายด้วยกัน"

ดวงตาสีน้ำผึ้งที่มองตรงมาทำให้เด็กหนุ่มก้มหน้าหลบ ผู้ชายคนนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสนิทใจเท่าไรนัก เนื่องจากที่ผ่านมาทุกคนในบ้านไวลีย์ดีกับเขามากมาโดยตลอด แต่เอ็ดการ์เพิ่งกลับมา อาจมีปฏิกิริยากับตัวกาฝากอย่างเขาแตกต่างไปจากคนอื่น ๆ ก็เป็นได้

"ทำไมนายไม่บอกล่วงหน้าก่อนกลับ ไหนบอกว่าจะกลับช่วงปลายปี?" โจชัวร้องอุทธรณ์ หลังจากสวมกอดเพื่อนสนิทแนบแน่น

"แล้วเดือนกันยายนมันไม่ใช่ปลายปีหรือไง?" ฝ่ายนั้นย้อนถาม

"เราทุกคนคิดว่านายจะกลับมาช่วงก่อนคริสต์มาส"

"ฉันทนหนาวอยู่ในยุโรปไม่ไหวน่ะสิ" เอ็ดการ์สารภาพ ก่อนจะหันไปมองร่างโปร่งที่ยืนฟังบทสนทนานั้นอย่างเงียบ ๆ "เราเข้าไปในบ้านกันเถอะ ป่านนี้ทุกคนคงรอแย่แล้ว"

+++++++++

อาหารเช้าของวันที่สามขึ้นยังเต็มไปด้วยความครึกครื้นและเสียงหัวเราะไม่ขาดหาย เพราะทุกคนยังเห่อสมาชิกที่เพิ่งกลับมาบ้าน จนทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องจากตัวเองกลายเป็นจุดสนใจน้อยลงไปด้วย

เอสเพนเผลอตัวผิวปากกับตัวเองเบา ๆ อย่างอารมณ์ดีขณะขึ้นมาเก็บเตียงตัวเองหลังอาหารเช้า มันเป็นหนึ่งในงานที่เขาขอลอร่าทำด้วยตัวเอง แม้หล่อนจะห้ามเขาซักผ้าเด็ดขาดเนื่องจากกลัวว่ามือที่เริ่มอ่อนนุ่มลงของเขาจะกลับด้านขึ้นมาอีกครั้ง

เด็กหนุ่มชะงัก แล้วขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงปืนลั่นออกมาจากป่าด้านข้าง เขารีบสะบัดผ้าคลุมเตียงลวก ๆ ก่อนจะวิ่งผลุนผลันลงบันได จนสาวใช้ที่เดินสวนขึ้นมาเพื่อเก็บผ้าไปซักต้องคว้าตัวไปถามด้วยความตกใจ

"คุณชาร์ล็อตเป็นอะไรไปคะ? ทำไมถึงได้วิ่งตึงตังแบบนั้น?"

"เสียงปืนของใครน่ะเมย์?" เสียงถามปนหอบน้อย ๆ ประกอบกับใบหน้าเยาว์วัยที่แดงเรื่อ เรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายได้ไม่ยาก

"อ๋อ มาสเตอร์เอ็ดการ์เข้าไปยิงนกในป่าน่ะค่ะ"

เอสเพนคลี่ยิ้มอย่างตื่นเต้น "ยิงนก? พอลลีนล่ะ?"

"ไปกับมาสเตอร์เอ็ดการ์ค่ะ ส่วนนายผู้หญิงอบผลไม้แห้งอยู่ในครัว"

เมย์รายงานเพิ่มโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ถาม แล้วมีสีหน้าหลากใจเมื่อร่างโปร่งวิ่งผ่านหล่อนลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว

เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงเปลี่ยนจากการวิ่งมาเป็นการสาวเท้าเร็วเมื่อเข้าเขตป่า ก่อนจะยิ้มกับตัวเองเมื่อเห็นเด็กสาวที่กำลังยืนหน้ามุ่ย และชายหนุ่มซึ่งถือปืนสั้นอยู่ในมือ โดยส่องลำกล้องไปยังยอดไม้

"ชาร์ล็อต!" เด็กสาวผมดำร้องเรียก ทำให้ความสนใจของพี่ชายเธอเปลี่ยนจากนกตัวเล็กมาเป็นผู้มาใหม่ทันที

พอลลีนรีบพูดขึ้นอย่างหาพวก "เอ็ดการ์จะยิงนกบนนั้น โชคดีที่ต้นเมื่อกี้ยังยิงไม่โดน มันมีรังอยู่ด้วย ไม่รู้จะมีลูกเล็ก ๆ หรือเปล่า?"

"เธออยากได้ลูกนกเหรอ?" เอสเพนถาม เขาไม่ได้ฟังที่อีกฝ่ายพูดเท่าใดนัก เนื่องจากมัวแต่มองปืนสั้นที่อยู่ในมือใหญ่

"ไม่ใช่! ฉันไม่อยากให้ลูกนกตายต่างหาก" หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าปั้นปึ่ง

"พี่ก็ไม่อยากให้ลูกนกตายเหมือนกัน" เอ็ดการ์ตีหน้าเศร้า "แต่นกตัวอื่นมันไม่ยอมบินออกมาน่ะสิ จะเห็นก็แต่ตัวนั้น"

"ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนต้น" ร่างโปร่งเสนอ ความตื่นเต้นทำให้ลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองไม่อยากเข้าใกล้บุคคลตรงหน้าเท่าไรนัก

"ชาร์ล็อต!!" พอลลีนแหวขึ้นมาทันที

ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอาการของน้องสาว แต่กลับเลิกคิ้วถามอย่างสนใจ "เปลี่ยนต้นหรือ? ใบไม้ยังร่วงไม่เท่าไหร่ มองไม่ค่อยเห็นตัวนกหรอก"

"คุณคอยถือปืนเล็งแล้วกัน" เด็กหนุ่มว่าพลางมองซ้ายมองขวา ในขณะที่ร่างสูง รวมทั้งพอลลีนเองก็มองการกระทำนั้นอย่างฉงนจนลืมคัดค้านไปเสียสนิท

เอสเพนหยิบก้อนหินขนาดเหมาะมือขึ้นมา แล้วหันไปขมวดคิ้วใส่ชายหนุ่มที่ยังยืนมองตัวเองเฉยอยู่ "ทำไมไม่เล็งปืนล่ะ?"

"จะให้เล็งตรงไหน?" เอ็ดการ์ถามด้วยน้ำเสียงงุนงง แต่ก็ออกจะรู้สึกขบขันกับอาการเอาจริงเอาจังของเด็กสาวตรงหน้าอยู่ไม่น้อย

"เล็งตรงไหนก็ได้ ให้อยู่ในบริเวณพุ่มไม้นั่นแหละ เล็งสิ"

ร่างโปร่งกระตุ้น พลางรอจนอีกฝ่ายทำตามที่ตัวเองบอก แล้วจึงขว้างหินในมือเข้าไปในพุ่มใบไม้ดกหนา ยังผลให้เหล่าบรรดานกกาที่อยู่ในนั้นบินหนีออกมาอย่างแตกตื่น

เสียงปืนดังขึ้นติดกันสามนัดได้ไม่ถึงเสี้ยวนาที นกสองตัวก็ถลาร่อนลงมาตกที่พื้น เอสเพนรีบวิ่งไปเก็บพวกมันขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มร่า

"เห็นไหมล่ะ? ได้ตั้งสองตัวแน่ะ คุณยิงปืนเก่งจัง"

"ชาร์ล็อต" พอลลีนร้องขึ้นมาอย่างขัดใจ "ทำไมเธอถึงใจร้ายทำเรื่องอย่างนี้ได้ลงคอนะ!"

ดวงตาสีมรกตมองตามหลังร่างระหงที่เดินหนีไปอย่างขัดใจด้วยสายตางุนงง โดยไม่ทันรู้ว่ามีสายตาอีกคู่จับจ้องตนเองอยู่

"เธอชอบยิงปืนหรือ?" เอ็ดการ์ถาม พลางเดินเข้ามาใกล้ แล้วรับนกสิ้นชีพทั้งสองตัวออกมาจากมืออีกฝ่าย

เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักแล้วหันหลังให้อีกฝ่ายเหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าอาจแสดงอะไรที่ไม่สมควรออกไป "ไม่หรอก ฉันยิงปืนไม่เป็น"

"อยากหัดมั้ยล่ะ?"

"ได้หรือ?" เสียงนุ่มถามอย่างตื่นเต้น ก่อนจะหันขวับมามองอีกฝ่าย ด้วยดวงตาสีเขียวที่ไหวระยับ และพวงแก้มทั้งสองข้างที่แดงเรื่อน้อย ๆ

เอ็ดการ์มองวงหน้านั้นนิ่ง จนกระทั่งเจ้าตัวรู้สึก

"กระบนหน้าฉันตลกใช่มั้ยล่ะ?" เอสเพนพูดพลางเสหัวเราะเก้อ ๆ แล้วใช้นิ้วลูบกระสีน้ำตาลจางที่พาดอยู่บนดั้งจมูกตัวเอง เขาไม่ชอบสายตาค้นหาเมื่อครู่ของชายหนุ่มพอ ๆ กับที่ไม่ชอบสายตาหวานเชื่อมของโจชัวนั่นแหละ

"ที่จริงฉันจะสอนเธอยิงปืนก็ได้" ร่างสูงวกกลับเข้าประเด็นเดิมพลางกรอกตา ก่อนจะพูดติดตลก "ถ้าแม่ไม่เรียกฉันไปเทศน์ยาวหลังจากนั้นน่ะนะ"

เด็กหนุ่มหัวเราะตามด้วยความรู้สึกคลายใจขึ้นไม่น้อย แล้วมองของที่อยู่ในมือใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ "ถ้ายังไงขอจับหน่อยได้มั้ย?"

ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้า ก่อนจะส่งปืนให้อีกฝ่าย แล้วมองภาพของคนที่ยิ้มอย่างสมใจพลางยกปืนเล็งไปทิศทางโน้นทิศทางนี้พลางอมยิ้มกับตัวเอง

+++++++++

"แม่คะ" พอลลีนโผเข้าหามารดาทันทีที่เข้ามาในบ้าน แล้วกอดตักอีกฝ่ายอย่างประจบ เนื่องจากเมื่อครู่หล่อนไม่มีพวกเลยสักคน

"อะไรลูก ไม่ดูเอ็ดการ์ยิงนกแล้วหรือ?"

"เมื่อกี้หนูไม่ได้จะไปดูเสียหน่อย แต่จะไปห้ามต่างหาก" เด็กสาวพูดแล้วรีบฟ้อง "ชาร์ล็อตน่ะนอกจากจะไม่ช่วยหนูห้ามเอ็ดการ์ไม่ให้ฆ่าสัตว์ หนำซ้ำยังช่วยเอ็ดการ์ปาก้อนหินเข้าไปในต้นไม้ นกจะได้ตกใจบินออกมากันหมด แล้วเอ็ดการ์จะได้มีเป้ายิงมากขึ้น"

"จริงหรือ?" คราวนี้ผู้เป็นมารดาออกอาการตกใจไม่แพ้กัน

"แน่นอนสิคะ หนูคิดไว้อยู่แล้วว่าเขาเป็นเด็กค่อนข้างแปลก แต่ไม่นึกจะแปลกขนาดนี้ ผู้หญิงคนไหนชอบยิงนกกันบ้างล่ะ?"

"ลูกไม่ชอบชาร์ล็อตแล้วหรือ?" โซเฟียถามลองเชิง เนื่องจากรู้ดีว่าแม้จะไม่พูด ลูกสาวเธอก็ดีใจไม่น้อยที่ได้เพื่อนใหม่ที่ถูกใจมาอยู่ร่วมบ้านด้วย

พอลลีนส่ายหน้าเร็ว แล้วรีบปฏิเสธ "ไม่ใช่ค่ะ เธอเป็นเด็กที่น่ารักแล้วก็อ่อนเดียงสามากถ้าเทียบกับยูจีเนีย แต่ชอบทำตัวแปลก ๆ ไปหน่อยเท่านั้น วันนั้นหนูยังได้ยินชาร์ล็อตผิวปากเลย"

ภรรยานายอำเภอยกมือขึ้นทาบอกกับประโยคนี้ "ผิวปาก!? แล้วลูกบอกเธอหรือเปล่าว่ามันไม่สมควร"

"หนูบอกไปแล้วล่ะค่ะว่าผู้หญิงที่ดีไม่ควรผิวปาก ท่าทางเธอจะตกใจน่าดู"

หญิงวัยกลางคนระบายลมหายใจออกยาวแล้วยิ้มบาง "ชาร์ล็อตไม่ได้มาจากครอบครัวอย่างเรานะลูก เธอต้องช่วยพ่อแม่ทำงานในไร่ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ค่อยเก่งงานบ้านงานเรือนนัก"

เธอหมายถึงงานเย็บปักถักร้อยที่ฝ่ายนั้นพอจะทำได้แค่ซ่อมแซมเสื้อผ้าอย่างไม่ประณีตนัก แต่กับงานถักไหมพรมหรือปักครอสติช เด็กสาวแทบจะไม่แตะถ้าไม่ถูกเคี่ยวเข็ญ ซึ่งหลัง ๆ หล่อนก็เลิกบังคับใจอีกฝ่ายเมื่อเห็นผลงานแต่ละชิ้นออกมาแทบจะไม่เป็นรูปเป็นทรง

"แล้วเรื่องยิงนก…" ผู้เป็นบุตรสาวพูดย้ำเหมือนจะต้องการคำตัดสินที่ยุติธรรมจากมารดา

นางไวลีย์นิ่งคิด ก่อนจะโคลงศีรษะ "นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาของครอบครัวเธอด้วยล่ะมั้ง"

++++++++++

เสียงปืนที่ยังดังขึ้นต่อเนื่องทำให้เอ็ดการ์และร่างโปร่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าที่ดังเข้ามาในลานบ้าน โจชัว วิลเลียมส์ มองภาพที่เห็นตรงหน้าอย่างขุ่นอารมณ์ โดยเฉพาะใบหน้าแย้มยิ้มด้วยความร่าเริงของเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดง เขาไม่ได้วิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปในป่าอย่างทุกครั้ง หากแต่เดินช้า ๆ ในขณะที่สายตาจับจ้องสองร่างข้างหน้า

ชายหนุ่มผมบลอนด์ขมวดคิ้วแน่นทันทีเมื่อร่างโปร่งตกอยู่ในอ้อมแขนของเพื่อนสนิทที่กำลังสอนให้หล่อนเล็งปืน เขาสาวเท้าให้เร็วขึ้น แล้วรอจนกระสุนนัดแรกออกจากรังเพลิง ก่อนจะปั้นยิ้มทักทายคนทั้งคู่

"เอ็ดการ์…ชาร์ล็อต…"

"โจชัว" วงหน้าใสที่แดงระเรื่อหันมา หากไม่ใช่เป็นเพราะความเขินอาย แต่เนื่องจากความสนุกสนานที่เจ้าตัวกำลังได้รับทำให้เอสเพนลืมกิริยาที่สมควรของผู้หญิงไปเสียสนิท

ร่างสูงรับกระบอกปืนมาจากมือเล็ก แล้วหันไปหาสหาย "นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?"

โจชัวจ้องฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตากึ่งตำหนิกึ่งไม่พอใจ ก่อนจะเสก้มลงมองซากนกสามสี่ตัวที่อยู่บนพื้น "มาได้สักพักแล้ว พอดีเห็นนายกำลัง…"

"อ๋อ" ชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งหัวเราะอย่างอารมณ์ดี "ฉันกำลังสอนให้ชาร์ล็อตยิงปืน แล้วนายมาทำไม?"

"ฉันมาหาชาร์ล็อต" เขาตอบรัวเร็วขณะสายตาจับจ้องอยู่กับร่างโปร่งที่เสเดินเลี่ยงไปที่อื่น ก่อนจะชะงัก แล้วยิ้มแห้ง ๆ "ที่จริงก็มาหานายด้วย"

"สงสัยฉันจะเป็นของแถมสินะ" เอ็ดการ์อมยิ้มอย่างรู้ทัน แล้วนึกอยากแกล้งเพื่อนขึ้นมาตะหงิด ๆ "ฉันเองก็อยากคุยกับนายนาน ๆ เหมือนกัน ไปนั่งคุยกันเงียบ ๆ ในห้องรับแขกดีกว่า"

ผู้เป็นอาคันตุกะมองไปยังร่างของเอสเพนอย่างลังเล ในขณะที่เจ้าบ้านตะโกนเรียกฝ่ายนั้นให้เข้ามาใกล้ แล้วถาม "จะทำยังไงกับนกพวกนี้ดี?"

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงเอาไปกิน แต่ตอนนี้ถ้าทำอย่างนั้นคงถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ เขาโคลงศีรษะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหาคนถาม "ปกติคุณยิงนกแล้วทำยังไงล่ะ?"

"ก็ทิ้ง หรือไม่ถ้ามันสวยก็สต๊าฟไว้"

"นกสต๊าฟ?" ใบหน้าเนียนฉายแววงุนงง "แล้วมันยังบินได้อยู่รึเปล่า?"

ชายหนุ่มทั้งสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนที่โจชัวจะรีบชิงอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับลืมอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อครู่ไปเสียสนิท "นกสต๊าฟคือการเอานกที่ตายแล้วมาทำให้มันไม่เน่า บ้านผมก็มีอยู่หลายตัว…จะว่าไปผมยังไม่เคยพาคุณไปเที่ยวบ้านเสียทีนะ"

"ที่ห้องทำงานฉันก็มี" เอ็ดการ์พูดขัดเพื่อนด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

เจ้าของนัยน์ตาสีมรกตเลิกคิ้วเล็กน้อย บ้านนายอำเภอไวลีย์นั้นใหญ่โตก็จริง แต่เขาไม่รู้ว่าถึงกับมีห้องทำงานส่วนตัวให้ลูกชายด้วย

ชีวิตคนรวยช่างต่างจากคนจนโดยแท้!

"เราจะเข้าไปนั่งคุยกันในบ้าน เธอจะไปด้วยหรือเปล่า?" คนที่กำลังอยู่ในความคิดของเขาถามขึ้น

เอสเพนส่ายหน้า แล้วนึกเสียดาย อันที่จริงเขาอยากให้เอ็ดการ์สอนยิงปืนต่อมากกว่า

"ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ" ร่างสูงหันไปลากเพื่อนที่ทิ้งสายตาอาลัยอาวรณ์ให้กับคนเบื้องหลังเข้าบ้านด้วยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

+++++++++

"ยุโรปปีนี้หนาวเร็ว หิมะเริ่มตกในปารีสแล้ว" เอ็ดการ์พูดขึ้นพลางรินกาแฟส่งให้เพื่อน

"หิมะเริ่มตกในนิวยอร์กแล้วนี่"

คู่สนทนาตอบเลื่อนลอยพลางยกกาแฟขึ้นจิบ ขณะสายตามองทอดผ่านหน้าต่างอยู่ตลอดเวลาเหมือนกำลังมองหาใครสักคน เสียงหัวเราะในลำคอของเจ้าบ้านก็ทำให้เขาหันกลับมามอง แล้วขมวดคิ้วเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำตาลทองกำลังจับจ้องใบหน้าตัวเองอย่างขบขันและรู้ทัน

"หัวเราะอะไร?"

"เปล่า" ชายหนุ่มแก้ตัวพลางเดินไปอิงตัวอยู่ริมหน้าต่างบานที่อีกฝ่ายนั่งอยู่ใกล้ ๆ

"นายต้องหัวเราะอะไรฉันแน่ ๆ" โจชัวพูดอย่างไม่ยอมแพ้

ริมฝีปากบางยกมุมขึ้นอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหลุดความนัยออกมาทีละนิด "รู้สึกว่าช่วงนี้นายมาบ้านฉันบ่อยจังนะ ฉันกลับมาได้แค่สามวัน เจอหน้านายเข้าไปสองวันแล้ว"

"พอดีมันเป็นทางผ่านน่ะ" โจชัวแก้ตัว

"จะใช่รื้อ?" ฝ่ายตรงข้ามหรี่ตาถาม แล้วแกล้งแหย่ "ไม่ใช่ว่านายมาชอบน้องสาวฉันเข้าให้หรอกนะ"

"พอลลีนน่ะ?" หนุ่มผมบลอนด์ทำคอย่น แล้วรีบเปลี่ยนกิริยาเมื่อคู่สนทนาถลึงตาใส่ "ฉันมาหานายไม่ได้หรือไง?"

เอ็ดการ์พยักหน้าหงึก ๆ พลางแสดงสีหน้าครุ่นคิดทบทวนประโยคนั้น เขายิ้มออกมาเมื่อโจชัวแทบจะถลันลุกจากเก้าอี้ หลังจากเห็นเจ้าของดวงตาสีเขียวเดินมาหยุดคุยกับยามที่ถูกจัดวางไว้ตรงมุมหนึ่งของบ้าน แล้วพูดต่อเรียบ ๆ

"ไม่ใช่ว่านายมาหาเธอหรอกนะ"

ใบหน้าของอีกฝ่ายมีสีแดงเรื่อขึ้นมาทันทีราวกับหนุ่มน้อยที่เพิ่งริมีความรัก มากกว่าเพื่อนจอมเจ้าชู้มากคารมที่เขาเคยรู้จัก โจชัวก้มหน้า แล้วพูดงึมงำอยู่ในคอ "แล้วถ้าใช่นายจะช่วยฉันไหม?"

"จะช่วยนายอะไร? นายออกจะเป็นคนคล่องเรื่องสุภาพสตรีทั้งหลายไม่ใช่รึ ทั้งสาว ๆ ในเมือง ทั้งสาว ๆ ที่ร้านเหล้า"

"ชี่ย์" ฝ่ายตรงข้ามรีบยกมือจ่อปาก แล้วหัวเราะแห้ง ๆ "ลืมเรื่องพวกนั้นไปเถอะเพื่อน"

"อย่าบอกนะว่าครั้งนี้นายจะจริงจัง?" เอ็ดการ์ถามอย่างไม่ค่อยเชื่อสภาพคนที่ตัวเองเห็นอยู่ตรงหน้านัก

"มันก็…จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ" เขาตอบอ้อมแอ้ม แล้วเงยหน้าขึ้นพูดรัวเร็ว "ชาร์ล็อตไม่เหมือนผู้หญิงทุกคนที่ฉันเคยรู้จัก เธอต่างออกไป ต่างออกไปมาก ๆ เธอบริสุทธิ์ เหมือนไม่รู้จักการเล่นจริตอย่างที่ผู้หญิงคนอื่น ๆ ทำกัน เธอดูแข็งกร้าว แต่ก็น่าทะนุถนอมอย่างประหลาด นายเข้าใจที่ฉันพูดไหม?"

ดวงตาสีน้ำทะเลเป็นประกายระยับด้วยความตื่นเต้น และความรู้สึกบางอย่างที่ล้นปรี่อยู่ในใจ

"ฉันก็ว่าเธอไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงคนอื่นสักเท่าไหร่" เอ็ดการ์พยักหน้ารับ พลางอมยิ้มกับตัวเอง

"เพราะฉันนั้นนายต้องช่วยฉัน…เปิดทางให้ฉัน!"

คนฟังขำพรืดออกมา "หมายความว่าอย่าให้ฉันเป็นก้างนายน่ะรึ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เธอไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่ฉันชอบอยู่แล้ว แถมยังหน้าตาตลกดีพิลึก"

ท้ายประโยคมีเสียงกลั้วหัวเราะผสมอยู่เมื่อคนพูดนึกถึงใบหน้าของผู้ที่ถูกพูดถึง

อันที่จริง…ดู ๆ แล้วก็…น่าเอ็นดูทีเดียว

"จริงอยู่ชาร์ล็อตไม่ใช่คนสวย" โจชัวยอมรับ "แต่เธอก็เป็นผู้หญิงมีเสน่ห์น่าค้นหา"

"เธออายุน้อยกว่านายตั้งเจ็ดแปดปีนะ ยังเด็กอยู่มาก ไม่ทันเล่ห์นายเหมือนอย่างผู้หญิงอื่น ๆ ที่นายเคยผ่านมาหรอก"

"แน่นอนเพื่อน เพราะฉันไม่คิดจะใช้เล่ห์ใด ๆ กับเธออยู่แล้ว" เจ้าของผมสีบลอนด์พูดด้วยรอยยิ้มมั่นใจ

เอ็ดการ์ชำเลืองมองอาการนั้นของเพื่อนแล้วยิ้มขำ เขาอยากรู้นักว่าคนเจ้าชู้อย่างโจชัวจะทำอย่างที่พูดได้สักกี่น้ำ

+++++++++

สีหน้าที่ไม่สู้จะดีนักของนายอำเภอไวลีย์เป็นที่สังเกตของทุกคนบนโต๊ะอาหาร จนกระทั่งมื้อเย็นผ่านพ้น ผู้เป็นภรรยาจึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

"มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ เอริค?"

ชายชราพรูลมหายใจ เขาเบนสายตาจากภรรยาไปหาร่างโปร่งที่นั่งข้างบุตรสาว แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ชาร์ล็อต เธออยู่ที่นี่มีความสุขดีมั้ย?"

เด็กหนุ่มนิ่งงันไปเล็กน้อยด้วยความเอะใจในท่าทีของคนถาม แล้วรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกเมื่อตนเองตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนบนโต๊ะ จึงเลือกที่จะตอบสั้น ๆ

"ค่ะ"

ฝ่ายตรงข้ามถามต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "พวกเราทำอะไรให้เธอรู้สึกลำบากใจบ้างหรือเปล่า?"

"ทุกคนดีกับหนูมากค่ะ" เอสเพนตอบแล้วนึกต่อในใจ เพราะทุกคนดีกับเขามากน่ะสิ ถึงทำให้เขาลำบากใจนัก

เอริค ไวลีย์ ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก "ถ้าอย่างนั้นก็ดี เธอคงจะยินดีที่จะอยู่กับเราต่อไปเรื่อย ๆ"

เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงเข้าใจความหมายนั้นทันที เขาเตรียมใจอยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง เพราะลุงเจอราดอะไรนั่นเป็นคนที่เขาอุปโลกขึ้นมาเอง ถึงมีตัวตนจริง ๆ ก็จะไม่มีหลานสาวชื่อชาร์ล็อตที่หน้าตาเหมือนเขาแน่นอน แต่นี่ถ้านายอำเภอไวลีย์ยังต้องการที่จะรับอุปการะเขาต่อไป… เด็กหนุ่มไม่ปฏิเสธว่าตนเองรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมากเมื่อได้อยู่กับคนในครอบครัวนี้ แต่เขาไม่อยากปิดบังตัวเอง และไม่กล้าพอที่จะเปิดเผยความจริง

เพราะฉะนั้นเขาจึงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้!

จริงหรือ? เด็กหนุ่มย้อนถามตัวเอง …ที่จริงเขาจะอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุข แลกกับการปลอมตัวเป็นผู้หญิงเท่านั้น…

การปลอมตัวเป็นผู้หญิงที่แสนจะน่าอึดอัด ทั้งต้องเก็บความลับนี้ไว้คนเดียว ทั้งต้องหลอกทุกคนต่อไป

"หมายความว่าเราหาลุงของชาร์ล็อตไม่เจอใช่ไหมคะพ่อ?" พอลลีนเป็นผู้ถามขึ้นมา สีหน้าที่เคยเรียบเฉยอยู่เป็นเนืองนิจบัดนี้กลับมีรอยยิ้มระบายอยู่น้อย ๆ

ชายชราทอดสายตาอ่อนโยนมองเด็กกำพร้าตรงหน้า แล้วพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ "ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะชาร์ล็อต ที่หาลุงของเธอไม่พบ แต่ฉันก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกดีใจมากที่มันทำให้เธอได้อยู่กับเราต่อไป"

เอสเพนนิ่วหน้า ความรู้สึกขัดแย้งสับสนตีกันยุ่งจนเขารู้สึกปวดหัวจี๊ด

จะบอกความจริง…จะอยู่ต่อ…หรือจะหนี!?

"เอ่อ…หนูอยากจะลองหาญาติคนอื่น ๆ" เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างลังเล

โซเฟียแย้งขึ้นทันควัน "แต่เธอบอกว่าไม่มีญาติที่ไหนเหลือนอกจากลุงเจอราดยังไงล่ะจ๊ะ?"

"หนูหมายถึงไม่แน่ใจน่ะค่ะ ว่ามีหรือเปล่า หนูเองก็ไม่รู้" เขารีบละล่ำละลักแก้ตัวแล้วอยากตบปากตัวเอง 'หนูเองก็ไม่รู้' เท่ากับว่าเป็นการบอกว่าตัวเองกำพร้าโดยเกือบสมบูรณ์แบบน่ะสิ ถึงแม้ชีวิตจริงเขาจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ

"ชาร์ล็อต…อยู่กับเราเถอะนะ" เสียงอ่อนหวานของพอลลีนเอ่ยขึ้นอย่างอ้อนวอน มือเล็กที่สะอาดนุ่มนิ่มเอื้อมมากุมมือเขาไว้แล้วบีบเบา ๆ ทำให้ความอบอุ่นจากมือนั้นแผ่ซ่านเข้าไปถึงหัวใจ

"สิจ๊ะ ชาร์ล็อต ฉันยินดีที่จะมีลูกสาวอย่างเธออีกคน" นางไวลีย์พูดขึ้นบ้าง

เด็กหนุ่มนิ่งครวญในใจ แม้จะไม่เกิดการบุกปล้นขึ้นในแจ๊คสันส์ วิล แต่ทางอำเภอก็ยังไม่ไว้วางใจจนกว่าเขตอื่น ๆ จะจับพวกมันได้ จึงได้วางเวรยามไว้อย่างรอบคอบเหมือนเดิม ถึงเขาอยากจะหนี ก็หนีไม่ได้อยู่ดี เอสเพนนึกสาปแช่งโจรกลุ่มนี้อยู่ในใจ เพราะพวกมันแท้ ๆ เขาถึงไม่สบโอกาสหนีเสียที จนทำให้เกิดความผูกพันกับคนในบ้านถึงขนาดนี้

แต่…

ดวงตาสีเขียวไล่มองสายตาคาดหวังทุกคู่บนโต๊ะอาหาร แล้วเสหลบเมื่อพบกับสายตาที่มองตรงมาของเอ็ดการ์ ไวลีย์

ร่างโปร่งยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าท่ามกลางความโล่งใจของทุกคน เขาขอเข้าเป็นสมาชิกของครอบครัวนี้ชั่วคราวก็แล้วกัน

++++++++++++

เสียงน้ำที่ไหลเอื่อยในลำธารราวกับเป็นตัวกำหนดจังหวะการก้าวย่างของร่างทั้งสองให้เป็นไปอย่างไม่รีบร้อน เอสเพนอยากจะถอนหายใจออกมาดัง ๆ ด้วยความเบื่อหน่าย พลางไพล่นึกไปถึงพอลลีนที่ยืนยันว่าอยากจะอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้มากกว่าจะมาเดินเล่นเช่นนี้ จริงอยู่ว่าการอยู่ตามลำพังกับเอ็ดการ์นั้นน่าอึดอัดน้อยกว่าการอยู่ตามลำพังกับโจชัว อย่างน้อยร่างสูงก็ไม่เสนอแขนให้เขาคล้องเดิน แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ชอบสายตาคมปราบของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่นัก

จะว่าไปทั้งพอลลีนและพี่ชายของเธอต่างก็มีลักษณะดวงตาเหมือนผู้เป็นบิดาทั้งคู่ แต่ถ้าเทียบกันแล้ว สำหรับเขา เด็กสาวดูจะเป็นคนน่าคบหามากกว่าเอ็ดการ์มากนัก แม้ว่าหล่อนจะไม่ใช่คนช่างพูดก็ตาม

"ปีนี้หนาวเร็วกว่าที่คิดไว้"

ชายหนุ่มพูดขึ้นมาลอย ๆ ราวกับไม่ได้คาดหวังการตอบรับ ซึ่งเอสเพนก็ได้แต่เงียบ แม้จะนึกเห็นด้วยกับประโยคนั้นอยู่ในใจ

…ถ้าอากาศหนาวจนหิมะตกก็ดีสินะ…

ราวกับจะอ่านความคิดเขาออก ร่างสูงจึงได้พูดต่อขึ้นมาอีก "หิมะตกที่ปารีสแล้ว ที่นิวยอร์คก็ด้วย"

"จริงหรือ?" ความตื่นเต้นทำให้เขาหันขวับไปหาคนพูดอย่างลืมตัว "ถ้าอย่างนั้นคุณก็เคยเห็นหิมะแล้วสิ"

"แน่นอน" ฝ่ายตรงข้ามตอบด้วยรอยยิ้มขบขันในดวงตา

เอสเพนเดินเข้าไปหาร่างสูงที่หยุดยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ แล้วเงยหน้ามองฝ่ายนั้นด้วยแววตาตื่นเต้นและกระหายรู้

"แล้วหิมะเป็นยังไงบ้างล่ะ?"

เขาอยากรู้เสียจริงว่ามันจะเป็นเหมือนอย่างที่พอลลีนบอกเอาไว้หรือเปล่า

คนถูกถามหัวเราะในคออย่างเอ็นดู โจชัวพูดถูก แม่สาวน้อยคนนี้แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ชาร์ล็อตไม่มีจริตมารยาอย่างที่เด็กสาววัยเดียวกันควรจะมี กิริยาท่าทางในบางครั้งก็ค่อนข้างจะโผงผาง ดูแล้วน่าจะเป็นเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง

แต่เด็กสาวคนนี้ก็ทำให้เขารู้สึกหวิวไหวในใจได้อย่างประหลาด เอ็ดการ์ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเจ้าชู้ หรือจัดอยู่ในขั้นนักรักตัวยงเหมือนอย่างเพื่อนสนิท ดังนั้น ชาร์ล็อตคงจะมีเสน่ห์ลึกลับในตัวที่ทำให้ทั้งเขาและโจชัวรู้สึกเช่นนี้ได้ ผิดแต่ว่าอาการของฝ่ายหลังน่าจะรุนแรงกว่าเขามากก็เท่านั้น

"เพราะฉันนั้นนายต้องช่วยฉัน…เปิดทางให้ฉัน!"

คำพูดของเพื่อนสนิทดังขึ้นในความคิด เอ็ดการ์หัวเราะเบา ๆ กับตัวเองอีกครั้ง แล้วปฏิเสธกับตัวเองอย่างหนักแน่น เขาไม่ได้คิดจะเป็นก้างขวางทางรักของโจชัวเสียหน่อย เพียงแต่มีความรู้สึกดี ๆ ที่ค่อนข้างจะเกินขอบเขตไปเล็กน้อยให้กับเด็กสาวตรงหน้าก็เท่านั้นเอง

"แล้วเธอคิดว่าหิมะเป็นยังไงล่ะ?" เขาถามกลับ แล้วอมยิ้มเมื่อคู่สนทนาทำท่าครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะตอบอย่างไม่มั่นใจนัก

"ก็…มีสีขาวสะอาด…นุ่มเหมือนสำลี…"

ประโยคนั้นสะดุดลงเมื่อแว่วเสียงหัวเราะดังมาจากลำคอของฝ่ายตรงข้าม เขาแกะเล็บตัวเองขณะรู้สึกประหม่าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์คล้ายคลึงกันที่ชายหนุ่มปรากฏตัวตอนเขาอ่านออกเสียงผิดในวันนั้น

"แล้วยังไงต่อล่ะ?" ร่างสูงกลั้นยิ้ม แล้วกระตุ้น "ว่าไง?"

คนตอบชักจะหน้ามุ่ยลงไปเล็กน้อย เนื่องจากไม่ค่อยสบอารมณ์กับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายนัก "แล้วก็…หวานเหมือนน้ำตาล"

คราวนี้เด็กหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วแน่นเมื่อคู่สนทนาหัวเราะออกมาเต็มเสียงอย่างกลั้นไม่อยู่ เขารอจนฝ่ายนั้นคลายอาการขบขัน แล้วจึงถามเสียงขุ่น

"คุณหัวเราะอะไร?"

เอ็ดการ์ยิ้มพราย แล้วเอนหลังพิงต้นไม้พลางยกมือกอดอก ดวงตาสีน้ำผึ้งไหวเป็นประกายระยับขณะจับจ้องคนตรงหน้า "ใครบอกเป็นคนบอกเธอว่าหิมะเป็นอย่างนี้?"

"ก็พะ…ฉันอ่านเจอในหนังสือ" ชื่อของเด็กสาวเกือบจะหลุดออกจากปาก แต่เขาก็เปลี่ยนคำตอบได้อย่างกระทันหัน เอ็ดการ์ ไวลีย์ อาจจะเป็นคนไร้มารยาทถึงขนาดหัวเราะเยาะความเปิ่นเซ่อของน้องสาวตัวเองก็เป็นได้

ร่างสูงเหลือบตามองท้องฟ้า แล้วพยักหน้าหงึก ๆ กับตัวเอง "เป็นหนังสือที่น่าสนใจดีนะ"

น้ำเสียงที่ใช้และประโยคนั้นทำให้เด็กหนุ่มอดจะมองค้อนคนพูดไม่ได้ ความตั้งใจที่จะถามว่าหิมะจริง ๆ มีลักษณะเป็นอย่างไรก็พลอยหมดไปด้วย

แน่ล่ะ…เขามันเด็กบ้านนอกที่ไร้การศึกษา ไหนเลยจะมีความรู้เทียบเท่ากับคนชั้นสูงที่ไปเรียนมาถึงยุโรปได้กัน

+++++++++

สาวใช้ที่กำลังทำความสะอาดราวบันไดอยู่เงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มเดินสวนขึ้นมา แล้วก็ต้องเบิกตาโตเมื่อฝ่ายนั้นมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะ

มาสเตอร์เอ็ดการ์มาหาคุณชาร์ล็อตถึงห้องในวันที่ไม่มีใครอยู่บ้าน!?

เมย์แสร้งทำเป็นก้มหน้าตั้งอกตั้งใจทำงานที่ค้างไว้ ในขณะที่หูทั้งสองข้างก็พยายามจับเสียงที่จะดังขึ้นอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวไพล่คิดไปถึงคนที่อยู่ฝั่งประตูอีกด้าน ป่านนี้คุณชาร์ล็อตคงกำลังเก็บเตียงซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่อีกฝ่ายจะทำหลังเสร็จอาหารเช้าอยู่เป็นแน่

หล่อนค่อย ๆ เหลือบตามองอีกครั้งเมื่อประตูบานนั้นถูกเปิดออกหลังจากที่ร่างสูงเคาะไปได้สักพัก เมย์รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เห็นเจ้าของห้องมีสีหน้าเหรอหราเมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเคาะเป็นใคร แทนที่จะแสดงอาการดีใจเหมือนอย่างที่หล่อนคิดเอาไว้

แสดงว่าสองคนนี้ไม่ได้นัดกันเอาไว้ก่อนน่ะสิ!

เอสเพนนึกอยากจะปิดประตูใส่หน้าเจ้าของบ้านเสียเฉย ๆ เมื่อฝ่ายนั้นยืนยิ้มกริ่มอยู่หน้าห้องเขาอยู่นานโดยปราศจากคำพูด จนเขาต้องถามขึ้นมาเสียเอง

"คุณมีอะไรหรือ?"

"วันนี้แม่กับพอลลีนไม่อยู่" ชายหนุ่มพูดเป็นนัยแล้วเว้นช่วงให้ฝ่ายตรงข้ามได้คิด ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปกระซิบโดยเว้นระยะห่างตามที่ควร "อยากหัดยิงปืนไหม?"

ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวแล้วมองหน้าคนพูดนิ่ง ร่างสูงแกล้งทำเป็นถอนหายใจ แล้วหันหลังให้

"ถ้าเธอไม่อยากก็ไม่เป็นไร"

"เอ็ดการ์!"

ชายหนุ่มยิ้มสมใจเมื่อฝ่ายตรงข้ามถลามาเกาะแขนเขาอย่างลืมตัว แล้วออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ร่างโปร่งไม่ได้รีบผละออกเหมือนอย่างที่เด็กสาวทั่วไปควรทำเวลารู้สึกตัว โดยเฉพาะเมื่อเมย์มองขึ้นมายิ้ม ๆ หากแต่ยังยึดท่อนแขนเขาไว้อยู่อย่างนั้น

"คุณจะสอนฉันหรือ?" เอสเพนละล่ำละลักถามอย่างตื่นเต้น

คู่สนทนาตอบยิ้ม ๆ "ถ้าเธอต้องการ"

อีกครั้งที่ฝ่ายตรงข้ามทำสิ่งที่เหนือความคาดหมาย แม่สาวน้อยไม่ได้ตอบเขาแม้แต่คำเดียว แต่กลับฉุดเขาให้วิ่งลงบันไดไปพร้อม ๆ กัน จนกระทั่งมาถึงชายป่าข้างบ้าน

"เธอไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปอย่างที่ใครต่อใครพูดไว้จริง ๆ ด้วย" เอ็ดการ์ออกความเห็นพลางก้มตัวลงหยิบกระบอกปืนที่วางเตรียมไว้ในห่อผ้าโคนต้นไม้

เด็กหนุ่มงันไปเล็กน้อยเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว สมองของเขาประมวลภาพการกระทำเมื่อครู่ของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วอยากจะเอาหัวโขกต้นไม้ให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าผู้หญิงคนไหนแสดงอาการเหมือนอย่างที่เขาทำไปก็แปลกเต็มทีล่ะ

"ฉันโตมาในไร่…ฉันหมายถึงต้องช่วยพ่อแม่ทำงานในไร่ด้วยน่ะ เราไม่มีทาสเหมือนอย่างคุณ" เอสเพนรีบแก้ตัวด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับให้ราบเรียบ แล้วเสหมุนตัวไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาสำรวจตรวจตานั่น

"พ่อแม่ฉันก็บอกว่าอย่างนั้น แต่ฉันว่าเธอมีอีกหลาย ๆ อย่างที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น" ร่างสูงพูดพลางรั้งต้นแขนเล็กให้เข้ามาใกล้ตัว แล้วส่งปืนสั้นให้ "คงไม่ต้องให้ฉันช่วยเล็งเหมือนอย่างคราวก่อนแล้วใช่ไหม?"

"ก็…คงไม่ต้องมั้ง" เสียงนุ่มตอบ ดวงตาสีเขียวฉายแววไม่แน่ใจเมื่อพูดมาถึงประโยคนี้ จึงได้หันมาถาม "กระสุนแบบนี้รัศมีไกลเท่าไหร่?"

ผู้แก่อาวุโสกว่ายิ้มในตาอย่างเข้าใจในความกังวลของอีกฝ่าย แล้วแกล้งพูด "ไม่รู้สิ แต่อย่าให้กระสุนลั่นมาโดนฉันหรือพวกทาสแถวนี้ก็แล้วกัน"

คำพูดของเขาได้ผลเกินคาด เอสเพนหันมายิ้มแหย ๆ ให้อีกฝ่าย แล้วพูดไม่เต็มเสียงนัก "ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยเล็งหน่อยก็ดีนะ"

ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะด้วยความเป็นต่ออย่างไรชอบกล

เอ็ดการ์สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างพอใจเมื่อกลิ่นหอมอ่อน ๆ กำจายออกมาจากร่างที่ประคองไว้ในวงแขน เขาจับมือเล็กให้เล็งปืนตรงไปด้านหน้า

"ผู้หญิงมักจะตัวหอมอย่างนี้เสมอเลยนะ"

เขาพูดขึ้นเบา ๆ แล้วเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แสดงอาการสะเทิ้นอายเหมือนอย่างที่คาดเอาไว้ หากแต่ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หลังจากเหนี่ยวไกให้กระสุนนัดแรกพุ่งออกจากรังเพลิง

"ถ้าเป็นผู้หญิงระดับเดียวกับคุณล่ะก็ใช่ แต่ผู้หญิงบางคนก็ต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง ไม่มีปัญญาซื้อเครื่องหอมมาประทินโฉมหรอก"

"เธอหมายถึงตัวเธอเองเมื่อตอนที่ยังอยู่เท็กซัส?"

เอสเพนนึกค่อนมารยาทของคนตั้งคำถามอยู่ในใจ เพราะถ้าเทียบกันแล้ว อย่างน้อยโจชัวจะหลีกเลี่ยงเบี่ยงประเด็นสนทนาทุกครั้งถ้าเผลอไปพาดพิงถึงอดีตของเขาเข้า

"หมายถึงโจเซฟีนต่างหาก…" เด็กหนุ่มตอบไปอย่างลืมตัว แล้วรีบพูดแก้เมื่อนึกขึ้นได้ "ฉันก็ด้วย"

เสียงย่ำใบไม้ดังขึ้นก่อนที่เอ็ดการ์จะพูดประโยคต่อมา เขาคลายวงแขนออกจากร่างเล็กก่อนจะหันไปมอง แล้วให้รู้สึกผิดคาดเมื่อคนที่เดินเข้ามาคือยูจีเนีย ไม่ใช่เพื่อนสนิทของตนเหมือนอย่างที่คิดไว้

ชายหนุ่มกล่าวทักทายหล่อนและค้อมศีรษะให้อย่างสุภาพ ในขณะที่เจ้าตัวร้องทักเขาและเจ้าของผมสีน้ำตาลแดงด้วยเสียงสดใสและออกจะดังเป็นพิเศษ

"สวัสดีค่ะ เอ็ดการ์ ชาร์ล็อต ถ้าฉันเดาไม่ผิดคุณคงกำลังสอนให้สาวน้อยคนนี้ยิงปืนอยู่ใช่ไหม?"

"ผมสอนก็เพราะเห็นเธอสนใจ" ร่างสูงยิ้มตอบแล้วจับมือเล็กนุ่มที่เจ้าตัวเสนอให้ขึ้นมาประทับจูบเบา ๆ

เด็กหนุ่มรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย เท่าที่เขาดูมายูจีเนียเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างโวยวายและยุ่งเรื่องของชาวบ้านเป็นพิเศษ ถ้าหล่อนเกิดนึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงคิดพิเรนทร์อยากยิงปืนขึ้นมาล่ะก็…ต้องกลายเป็นเรื่องยุ่งแน่

ไม่ว่าโชคจะเข้าข้างเขาหรืออะไรก็ตามแต่ อาคันตุกะสาวกลับไม่มีทีท่าว่าจะซักไซ้เขาให้มากความ หล่อนได้แต่มองไปรอบ ๆ แล้วหันมายิ้มถาม

"พอลลีนกับแม่คุณล่ะคะ เมื่อวานเราเก็บลูกเบอร์รี่มาได้ตะกร้าใหญ่ ๆ ฉันเลยทำขนมมาฝากพวกคุณเสียเยอะแยะ"

เอสเพนอดจะรู้สึกแปลก ๆ กับคำถามนั้นไม่ได้ เนื่องจากนางไวลีย์มักจะพาลูกสาวเข้าเมืองเป็นประจำทุก ๆ วันพุธ ซึ่งยูจีเนียก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว แต่ทำไม…

คำตอบสว่างวาบเข้ามาในสมองเขาในบัดดลเมื่อเห็นสายตาที่เจ้าตัวใช้ช้อนมองร่างสูง เอสเพนรู้ตัวว่าเขายังเด็กกับเรื่องอย่างนี้อยู่มาก แต่กิริยาอย่างนี้ ไม่ว่าเด็กเล็กขนาดไหนก็ต้องพอจะรู้กาละเทศะว่าควรจะปลีกตัวปล่อยให้สองหนุ่มสาวได้อยู่ตามลำพังจะดีกว่า

ดวงตาสีเขียวมองกระบอกปืนในมืออย่างเสียดาย เขาคิดอยากจะหัดยิงปืนต่อ แต่จะออกปากไล่สองคนนี้ให้เข้าไปนั่งคุยกันในบ้านก็ใช่ที่ จึงได้แต่จนใจส่งมันคืนให้ร่างสูง

"ฉันจะเข้าไปช่วยดอริสเตรียมของว่างในครัว" เขาให้เหตุผลเมื่อฝ่ายนั้นมองหน้าเหมือนจะตั้งคำถาม ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่รอคำทักท้วงหรือเห็นพ้อง

"เธอเป็นเด็กสาวที่พิลึกเอาการ" ยูจีเนียออกความเห็น ก่อนจะชายตามายังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ "แต่ดูเหมือนจะมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ"

"คุณคงต้องการจะพูดถึงโจชัว"

ฝ่ายตรงข้ามแสร้งหัวเราะ "ฉันก็หวังว่าจะมีแค่โจชัว ว่าแต่วันนี้เขาไม่มาหรือคะ?"

"เขามีธุระต้องจัดการเรื่องสินค้าสองสามวัน" เอ็ดการ์พูดพลางดึงตะกร้าขนมออกมาจากมืออีกฝ่ายแตะข้อศอกให้เดินไปยังตัวบ้านอย่างสุภาพ "ข้างนอกหนาว เข้าไปในบ้านกันดีกว่า ป่านนี้ของว่างคงเตรียมไว้พร้อมแล้ว"

+++++++++++++

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหนังสือในมือแล้วส่งเสียงอนุญาตหลังจากได้ยินเสียงเคาะประตู เขาวางหนังสือลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาคือบิดา ไม่ใช่ทาสรับใช้ส่วนตัวเหมือนอย่างที่คิดไว้

"มีธุระอะไรหรือครับพ่อ" เอ็ดการ์ถาม พลางเดินไปทรุดตัวนั่งอยู่ที่ปลายเตียง

นายอำเภอไวลีย์หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ที่ลูกชายนั่งอยู่เมื่อครู่ แล้วพูดยิ้ม ๆ "แค่นึกอยากจะมาคุยกับแกบ้างเท่านั้น ถ้าแกอยากอ่านหนังสือต่อ พ่อก็จะไปนอน"

ริมฝีปากบางยกมุมขึ้นเมื่อสบตาผู้อาวุโสกว่า "ผมคุยกับพ่อดีกว่า เราไม่ได้คุยกันอย่างนี้มานานแล้ว"

"นั่นสิ" เอริค ไวลีย์ ว่าพลางขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งให้สบายขึ้น "ฝรั่งเศสเป็นยังไงบ้างล่ะ?"

"เจริญหูเจริญตาในทุกด้าน" ร่างสูงสรุปสั้น ๆ "แต่ผมชอบอเมริกากว่าเยอะ"

ผู้เป็นบิดาหัวเราะชอบใจกับประโยคนั้น เมื่อเห็นว่าบุตรชายยังมีความภูมิใจในเชื้อชาติของตน แม้ว่าประเทศนี้จะเป็นประเทศใหม่ที่ยังสร้างอำนาจได้ไม่นาน แต่ความเกรียงไกรที่จะมีต่อไปนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด

"แล้วผู้หญิงล่ะ?"

คราวนี้แววตาที่ระยับด้วยความใคร่รู้ของชายชราทำให้ผู้เป็นบุตรต้องก้มหน้าลงหัวเราะบ้าง เอ็ดการ์เงยหน้าขึ้นมองคนถาม แล้วตอบยิ้ม ๆ ตามความจริง

"ผู้หญิงยุโรปรู้จักการเล่นจริตมากกว่าผู้หญิงอเมริกา…มาก"

"ถ้าอย่างนั้นแกคงจะรับมือกับลูกเล่นพวกนั้นจนคล่องล่ะสิ"

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองรู้สึกสะดุดกับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหันของอีกฝ่าย เขาคลายยิ้มออก แล้วตอบอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

"เปล่านี่ครับ ผมรับรองว่าไม่ได้ทำเรื่องเสียหายไว้"

นายอำเภอไวลีย์ระบายลมหายใจออกยาว แล้วส่ายหน้าช้า ๆ "พ่อก็ไม่ได้ว่าแกทำเรื่องเสียหายไว้ เพียงแค่อยากให้แกระวังกิริยาหน่อย ที่นี่ไม่ใช่ยุโรป และเด็กผู้หญิงบางคนก็ไม่ได้มีจริตให้เล่นเลยสักนิด อะไรที่มันออกจะเกินเลยไปก็อย่าล้ำเส้นให้มากนัก"

"พ่อหมายถึง…"

"วันนี้มีคนเห็นแกกอดกับชาร์ล็อตในป่า"

เอ็ดการ์ยกมือกุมขมับ เขารู้สึกพึงใจในความไร้เดียงสาและบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของอีกฝ่ายก็จริง แต่ก็ไม่ได้คิดเกินเลยถึงขั้นนั้นเลยสักนิด "ผมแค่สอนเธอยิงปืนเท่านั้น ไม่ได้…"

"นั่นแหละ" ผู้เป็นบิดาพูดขัดขึ้น "ทีหลังก็ระวังหน่อย พ่อไม่อยากให้ใครต่อใครพูดว่านายอำเภอไวลีย์รับอุปการะเด็กเพื่อให้ลูกชายคอยหาประโยชน์ ถ้าแกคิดจะชอบพอชาร์ล็อต ก็ต้องถามความสมัครใจของเจ้าตัวด้วย"

ชายหนุ่มหัวเราะขัน "ผมไม่ได้คิดกับเธอแบบนั้น"

ดวงตาฟ้าฟางจับจ้องใบหน้าที่มีส่วนละม้ายตนอยู่มาก แล้วพูดเนิบ นาบด้วยน้ำเสียงของผู้เจนโลก "แน่ใจหรือ? ถ้าจะคิดอะไรก็รีบคิดหน่อยแล้วกัน โจชัวเพื่อนแกยิ่งเจ้าคารมอยู่ด้วย"

คู่สนทนาเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนทุกคนจะรู้ถึงจุดประสงค์ที่โจชัวมาที่บ้านเกือบทุกวันแล้ว พ่อแม่เขาคงจะถูกใจแม่เด็กชาร์ล็อตนั่นมาก ถึงได้มาคอยแนะเขาอย่างนี้ เอ็ดการ์นึกถึงเพื่อนสนิท แค่นี้ฝ่ายนั้นก็ระแวงเขาจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งถ้ารู้ว่าพ่อเขาพูดอย่างนี้ จะไม่พอใจขนาดไหนกันนะ?

++++++++++

*****
End of Part 3

comment