ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Eye On Me (Part 4)

by...เฟื่อง

Warning: เรื่องนี้มีวี่แววจะน้ำเน่ามากอยู่(คนเขียนเองก็ยังไม่รู้ระดับความน้ำเน่าเหมือนกัน แต่คงเน่ากว่าทุก ๆ เรื่องที่เขียนมา) เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ชอบก็ขอเตือนไว้แต่เนิ่น ๆ เน้อ

โจชัว วิลเลียมส์ มาที่บ้านไวลีย์ในวันรุ่งขึ้น พร้อมคำขออนุญาตนางไวลีย์ให้เอสเพนไปเที่ยวชมบ้านของตนบ้าง และเพื่อไม่ให้คำเชิญของตนฟังดูแปร่งหูหญิงวัยกลางคน ชายหนุ่มจึงใส่ชื่อพอลลีนเป็นแขกด้วย ทั้งที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก

"เอ็ดการ์ล่ะ?" เขาถามผู้เป็นน้องสาวเพื่อนสนิท ขณะรอให้โซเฟียจัดเตรียมผลไม้อบแห้งเป็นของฝากแก่มารดาตน

"เขาเข้าไปอำเภอกับพ่อ"

ฝ่ายตรงข้ามตอบราบเรียบ โจชัวจึงหันไปหาร่างโปร่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พอลลีน วันนี้สาวน้อยผมแดงของเขาอยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน ดูเข้ากับสีตาของตัวเองได้น่ารักอย่างเหลือเชื่อ

"วันนี้คุณดูสวยมาก" เขาเอ่ยชมอย่างจริงใจ ขณะที่คนถูกชมทำหน้าเจื่อน ๆ เหมือนไม่ค่อยดีใจนัก

เอสเพนเหลือบมองไปยังเด็กสาวข้างกายตน เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นไม่มีทีท่าจะสนใจชวนแขกสนทนาฆ่าเวลา เขาจึงได้พูดขึ้นมาทื่อ ๆ "วันนี้คุณก็ดูดีมาก"

อันที่จริง จากสายตาของผู้ชายด้วยกันแล้ว โจชัว วิลเลียมส์ เป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์มากคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองการพูด ลักษณะรูปร่างหน้าตา หรืออากัปกิริยา เสียก็แต่ว่าฝ่ายนั้นออกจะมีคำพูดหวานหูมากไปหน่อย และเจ้าสำรวยไปนิด

ชายหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะราวกับกำลังเรียบเรียงคำพูดของอีกฝ่ายในสมอง ก่อนจะหัวเราะ แล้วพูดออกมาอย่างที่คิด "ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนพูดกับผมตรง ๆ อย่างนี้มาก่อน"

"อาจเป็นเพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนทันเล่ห์เหลี่ยมคุณมาก่อน" พอลลีนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น พลางโอบเอวเด็กหนุ่มข้างตัวไว้อย่างหวงแหน หล่อนไม่อยากให้น้องสาวคนใหม่ของตัวเองไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนนี้ตามลำพังก็เพราะเหตุผลทางด้านความซื่อของเจ้าตัวเป็นหลัก

โจชัวบอกตัวเองว่าเขาอาจจะชอบเด็กสาวไวลีย์คนนี้กว่าที่เป็นอยู่มาก ถ้าเจ้าตัวไม่ฉลาดรู้ทันเขาไปหมดเสียทุกอย่าง ตามความเห็นของเขาแล้ว ความสวยไม่ควรมาคู่กับความฉลาด เพราะมันจะเป็นตัวทำให้ผู้หญิงกลายเป็นสิ่งอันตรายขึ้นมาทันที

ทั้งหมดออกเดินทางในตอนสายที่แดดยังไม่แรงมากนัก อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ เนื่องจากย่างเข้าปลายเดือนกันยายน จนนางไวลีย์ต้องกำชับบุตรสาวและเอสเพนให้หยิบผ้าคลุมอย่างหนาไปคนละผืน เด็กหนุ่มเชิดหน้าขึ้นสูดมวลอากาศเย็นขณะรถวิ่งอย่างสดชื่น แล้วยิ้มเมื่อพอลลีนอิงร่างเข้ามาใกล้ พี่สาวคนใหม่ทำให้ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในอดีตถูกลบเลือนไปด้วยความรักและความห่วงใยที่เธอหยิบยื่นให้อย่างล้นเหลือ แต่แน่นอนว่าโจเซฟีนยังอยู่ในใจเขาตลอดเวลา

"นั่งหุบขาเดี๋ยวนี้" เด็กสาวผมสีดำสนิทกระซิบขู่เมื่อร่างข้าง ๆ เผลอนั่งแยกขากว้าง นิสัยอย่างอื่นยังพอแก้ไขกันได้บ้าง เช่น การพูดให้ถูกอักขระและอ่อนหวานขึ้น แต่เรื่องนี้ห้ามยังไงก็มีเผลอได้ทุกที

เอสเพนหน้าเจื่อนลงทันควันขณะทำตาม แต่แล้วดวงตาสีเขียวเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อเห็นคฤหาสถ์ที่ตั้งอยู่ทิศทางซึ่งรถกำลังวิ่งไป ก่อนจะหันไปกระซิบกับพอลลีนที่นั่งมองด้วยสีหน้าเฉยเมย

"นั่นบ้านเขาเหรอ?"

"ไม่ต้องตกใจเร็วเกินควรหรอกที่รัก ด้านในยังมีของให้เธอตกใจจนต้องอุทานออกมาดัง ๆ อีกมาก" หล่อนกระซิบตอบ "ต้นตระกูลเขาเป็นขุนนางมาจากอังกฤษ"

จริงอย่างที่เด็กสาวว่าความโอ่อ่าและหรูหราที่เห็นเมื่อก้าวเข้ามาภายในทำให้บ้านของนายอำเภอไวลีย์ดูเรียบง่ายไปถนัดตา เอสเพนมองรูปบรรพบุรุษตระกูลวิลเลียมส์แต่ละรุ่นที่แขวนอยู่บนผนังแล้วให้ตื่นตาตื่นใจกับรูปแบบเสื้อผ้าที่แต่ละคนสวมใส่ เครื่องเรือนทุกชิ้นต่างมีแหล่งกำเนิดที่หรูหราตามคำอธิบายของเจ้าบ้าน เก้าอี้ตัวนั้นเคยอยู่ในพระราชวังแวร์ซายล์มาก่อน ตู้ไม้ตรงนั้นถูกสั่งทำพิเศษและส่งมาจากราชสำนักชิง

"ชิงคืออะไร?" เขากระซิบถามพอลลีนขณะเจ้าบ้านแนะนำห้องอื่น ๆ ให้รู้จัก

"ชิงคือชื่อราชวงศ์ที่ครองแผ่นดินจีนอยู่ในตอนนี้"

โจชัวพาแขกทั้งสองเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งที่นอกจากตู้กระจกติดผนังแล้ว ไม่มีเครื่องเรือนอื่น ๆ สักชิ้น เด็กหนุ่มกวาดดวงตาเบิกกว้างของตนมองไปรอบ ๆ แล้วถามออกมาอย่างตื่นเต้น

"นี่น่ะเหรอ นกสต๊าฟ?"

"ใช่แล้ว คุณอยากจะลองจับมันดูไหมล่ะ?" ชายหนุ่มเสนอ พลางเปิดประตูตู้โดยไม่รอคำตอบ

มือเล็กขาวสะอาดเอื้อมมาดึงแขนเสื้อของร่างโปร่งไว้ ก่อนจะกระซิบบอก "ฉันขอไปรอที่ห้องรับแขกข้างนอกนะ"

"ทำไมล่ะ?" เสียงถามของเอสเพนไม่เบานัก ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจึงหันมามองด้วยความสงสัย

"มีอะไรหรือ?"

"พอลลีนขอตัวไปรอในห้องรับแขก"

"ฉันทนอยู่ในห้องนี้ไม่ไหว" หล่อนพูดด้วยสีหน้าขยะแขยงเมื่อรู้สึกเหมือนดวงตาแข็งทื่อและว่างเปล่าของนกไร้ชีวิตนับร้อยตัวพุ่งมายังตนเองเป็นจุดเดียว

โจชัวยิ้มบาง ก่อนจะเอ่ยอย่างเอื้อเฟื้อ "ทำตัวตามสบายนะ"

เด็กสาวส่งสายตาไม่ไว้ใจมาให้คนพูด ก่อนจะหันไปบอกเอสเพน อย่างไม่ออมเสียง "รีบออกไปเร็ว ๆ ล่ะ"

เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงพยักหน้าส่ง ๆ อย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก ตอนนี้ความสนใจของเขาอยู่ที่สิ่งในตู้ต่างหาก ริมฝีปากสีสดฉีกยิ้มกว้างเมื่อนกสต๊าฟตัวหนึ่งถูกส่งให้ เขาลูบไล้ขนสีสดของมันอย่างเพลิดเพลินแม้จะสะดุดมืออยู่กับจุดเลือดแห้งกรังบนช่วงอกอยู่บ้าง

"นกพวกนี้คุณยิงเอง?" เอสเพนถาม พลางส่งนกในมือคืนเพื่อเก็บใส่ตู้ แล้วไล่สายตาดูนกแปลก ๆ แต่ละตัว

"คุณคงไม่คิดว่าผมยิงนกพันธุ์แปลก ๆ นับร้อยตัวทั้งหมดนี่คนเดียวหรอกนะ" ชายหนุ่มหัวเราะเสียงทุ้มกังวาน "นกบางตัวพ่อผมเป็นคนยิง"

"จริงสิ ฉันยังไม่ได้ทักทายพ่อแม่คุณเลย" เด็กหนุ่มอุทานขึ้นอย่างนึกขึ้นได้

"พ่อผมเสียไปนานแล้วล่ะ แต่แม่ผมกำลังเตรียมตัวต้อนรับพวกคุณอยู่" โจชัวพูดพลางขยับตัวจนประชิดร่างโปร่ง ดวงตาสีน้ำทะเลเชื่อมแสงลงจนดูหยาดเยิ้มอย่างน่าใจเต้น "เพราะวันนี้ผมบอกท่านว่าจะพาแขกพิเศษมา"

"ระ…เหรอ?" เอสเพนถามตะกุกตะกักพลางถอยหนี

แววตาที่สื่อความหมายชัดเจนจนกระจ่างในความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีให้คนทำให้เด็กหนุ่มต้องขมวดคิ้วอย่างยุ่งยากใจ

โจชัว วิลเลียมส์ พึงใจเขาอย่างนั้นหรือ!?

เขาที่เป็นผู้ชายแท้ ๆ เพียงแต่อยู่ในอาภรณ์ของผู้หญิงเท่านั้น!

ความรู้สึกว่าตัวเองแปดเปื้อนด้วยบาปแล่นวาบเข้ามากัดกินหัวใจ โจเซฟีนสอนเสมอว่าการโกหกเป็นบาปอย่างหนึ่ง ถ้าอย่างนั้น…เขาคงจะเป็นคริสต์ศาสนิกชนที่บาปที่สุด เพราะนอกจากจะปลอมตัวเป็นผู้หญิงหลอกคนในแจ็คสัน วิลส์ ทั้งเมืองแล้ว ยังทำให้ผู้ชายคนหนึ่งหลงผิดคิดกับตัวเองในทางชู้สาว หนำซ้ำ….

มันเป็นบาปที่ร้ายแรงกว่าบาปทั้งมวล!

"ชาร์ล็อต คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมหน้าซีดจัง"

เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น พร้อมกับฝ่ามืออบอุ่นที่แตะต้นแขนอีกฝ่ายแผ่วเบา เอสเพนสะดุ้งพร้อมเบี่ยงตัวหลบอย่างสุภาพ ร่างโปร่งหันหลังกลับ แล้วทำท่าจะเดินไปที่ประตู "เราออกไปหาพอลลีนกันเถอะ ป่านนี้เธอคงคอยแย่แล้ว"

"เดี๋ยวสิ" เจ้าของเส้นผมสีบลอนด์สว่างคว้ามือเล็กไว้ แล้วบีบเบา ๆ ก่อนจะส่งเสียงออดอ้อน "อยู่ต่ออีกนิดเถอะนะชาร์ล็อต คุณยังดูนกไม่หมดทุกตู้เลย"

"ฉันหิวแล้วน่ะ" เอสเพนให้เหตุผลออกไปแกน ๆ โดยไม่ทันได้คำนึงถึงมารยาทที่ถูกต้อง แล้วดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายจนสำเร็จ ก่อนจะรีบเดินออกนอกห้องไปโดยไม่รอคำทักท้วงอีกเป็นครั้งที่สอง

+++++++++

"เธอไม่เป็นอะไรแน่นะ?"

เจ้าของดวงตาสีดำถามเมื่อนั่งรถม้าออกจากคฤหาสถ์ตระกูลวิลเลียมส์ แม้จะชอบใจ แต่หล่อนก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่าทำไมชายหนุ่มเจ้าของบ้านถึงให้คนรับใช้มาส่ง แทนที่จะมาส่งด้วยตัวเอง บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่ตอนรับประทานอาหารกับนางวิลเลียมส์นั้น ก็เงียบเชียบจนสังเกตได้

"ไม่เป็นอะไรหรอก"

ฝ่ายตรงข้ามตอบเสียงเนือยพร้อมระบายลมหายใจหนักหน่วง เอสเพนกางขาออกแล้วทำท่าจะเอามือเท้าคาง แต่ก็ชะงักเมื่อนึกได้ ก่อนจะเอนตัวลงนั่งด้วยท่าเดิม

อาการซึมเศร้าของโจชัวทำให้เขารู้สึกผิดและอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่อยากให้ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกชู้สาวกับตัวเอง เพราะเขาไม่มีทางตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายได้แน่นอน

"พอลลีน…"

เด็กหนุ่มเรียก แล้วเงียบเสียงลงทันทีที่อีกฝ่ายหันมาหา วูบหนึ่งนั้นเขาอยากจะบอกความจริงกับพอลลีนเรื่องที่ตัวเองไม่ใช่ผู้หญิง แต่แล้วคำถามมากมายก็ต้องตามมา โดยเฉพาะเรื่องเหตุผลของการกระทำ เด็กสาวอาจจะให้อภัยเขาเรื่องโกหก แต่หล่อนจะรู้สึกอย่างไรกับความผิดที่เขาทำเอาไว้

แค่ตัวเขาเองยังให้อภัยตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แล้วกับคนที่ดีแสนดีอย่างพอลลีน…

"มีอะไรหรือเปล่า?" หล่อนถามขึ้นมาอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นอาการอ้ำอึ้งของฝ่ายตรงข้าม

เอสเพนฝืนยิ้ม แล้วพยายามหาเรื่องมาคุย "เธอว่าโจชัวเป็นคนยังไง?"

ริมฝีปากหยักสวยหักมุมลงเล็กน้อย "เขาก็เป็นผู้ชายที่ดี แต่ออกจะเจ้าชู้ไปนิด และไม่เหมาะสมกับเธอแน่นอน"

"ฉันก็ไม่ได้ว่าเหมาะสม เอ่อ…ฉันหมายถึงฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาอย่างนั้นน่ะ" เด็กหนุ่มรีบพูดแก้ความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย

พอลลีนยิ้มอ่อนโยน โดยไม่ลืมกระทุ้งข้อศอกร่างข้าง ๆ ที่เผลอนั่งแยกขากว้าง "ถ้าอย่างนั้นก็ดี เธอเหมาะกับผู้ชายที่ดีกว่านี้ ที่รัก"

"ฉันไม่เหมาะกับผู้ชายแบบไหนทั้งนั้นแหละ" เอสเพนครวญ

"เดี๋ยวถึงเวลาเธอก็จะรู้เองแหละ"

ฝ่ายตรงข้ามพูดพลางโคลงศีรษะไปมาน้อย ๆ ในขณะที่คนฟังรู้ดี…

จะไม่มีเวลานั้นสำหรับเขาแน่นอน!

+++++++++

อารมณ์ซึมเศร้าของเด็กหนุ่มดูจะหายไปในทันทีที่ได้ยินเสียงควบม้าอยู่ที่ลานหน้าไร่ เขาแทบอยากจะกระโดดลงจากรถม้าที่ยังจอดไม่สนิทดี แต่ก็จนใจเพราะมีพอลลีนนั่งอยู่ด้วย

ลอร่ากับดอริสวิ่งออกมาต้อนรับเจ้านายของตนและช่วยถือของฝากจากบ้านวิลเลียมส์เข้าไปด้านใน เด็กสาวจูงมือเอสเพนที่ยังชะเง้อชะแง้มองไปที่ลานหน้าไร่เข้าบ้าน เพื่อทักทายมารดาตน

"เข้าไปหาแม่ก่อนสิ แล้วค่อยออกไปดู" หล่อนเตือน

"เป็นยังไงบ้าง สนุกมั้ยจ๊ะ ชาร์ล็อต?"

นางไวลีย์ถามแล้วยิ้มเมื่อเด็กทั้งสองเข้ามาหอมแก้มตนคนละข้าง พอลลีนเคยไปบ้านวิลเลียมส์มาบ้างแล้วในสมัยที่เอ็ดการ์ยังไม่ได้ไปเรียนต่อที่ยุโรป หากแต่สำหรับสมาชิกคนใหม่นี้ คฤหาสน์หลังนั้นคงจะเป็นที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจมากทีเดียว

"บ้านของโจชัวสวยมาก" เอสเพนตอบสั้น ๆ ขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะหันมาขออนุญาต "หนูขอไปดูม้านะ"

"เอาสิจ๊ะ เอ็ดการ์ขี่อยู่แน่ะ" โซเฟียพยักหน้า แล้วหัวเราะเบา ๆ เมื่อคนขอรีบจูงมือเด็กสาวออกไปทันที

ร่างที่เคยสูงสง่าอยู่แล้วยิ่งเพิ่มความน่าพิศวงยามเมื่ออยู่บนหลังอาชาตัวงาม เอ็ดการ์ ไวลีย์ ควบม้าวนรอบลานด้วยความเร็วปานกลาง โดยมีทาสหญิงชายยืนมองอย่างชื่นชมโดยรอบ ชายหนุ่มรั้งบังเหียนเพื่อชะลอความเร็วของพาหนะ แล้วชักมันเข้าใกล้น้องสาวและเด็กอีกคนที่เพิ่งวิ่งเข้ามาถึง

"กลับมาแล้วหรือ?" เขาถามอย่างไม่เจาะจง โดยรู้อยู่แล้วว่าพอลลีนจะต้องเป็นคนตอบ แล้วก็เป็นไปตามที่คาด

"เมื่อกี้นี้เอง พี่ไม่ได้ยินเสียงรถม้าหรือ?" เด็กสาวถามย้อนแล้วพูดต่อโดยไม่รอคำตอบ "ชาร์ล็อตอยากจะดูม้า"

"ชาร์ล็อต?"

ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองดวงตาสีเขียวที่ทอประกายระยิบระยับด้วยความตื่นเต้นระคนชื่นชม แม้การขี่ม้าจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงจะนิยม ก็ยังมีหญิงสาวไม่น้อยที่อยากจะลองมานั่งอยู่บนหลังสัตว์แสนรู้ชนิดนี้บ้าง ดังนั้นถ้าเด็กตรงหน้าเขานึกชื่นชมม้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่…

โจชัวพูดไว้ไม่ผิด ชาร์ล็อต มายเออร์ คนนี้แตกต่างจากเด็กผู้หญิงทั่วไป แม้แต่บุพการีของเขาก็ยังบอกเช่นนั้น เอ็ดการ์ยอมรับว่านอกจากลักษณะท่าทางของหล่อนจะเป็นที่ติดใจเขาแล้ว ยังมีอีกเรื่อง…

เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนชอบยิงนกมาก่อน แค่เขาจับปืน แม่กับน้องก็โอดครวญว่าสัตว์เหล่านั้นน่าสงสารจะแย่อยู่แล้ว อย่าว่าแต่เห็นนกตายเลย

ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าค้นหาอะไรเช่นนี้!

เอ็ดการ์ตวัดตัวลงจากหลังม้าพ่วงพีอย่างคล่องแคล่ว เขาจูงมันมาใกล้ร่างโปร่งทั้งสอง แล้วเอ่ยถามน้องสาว

"เธออยากลองขี่บ้างไหมล่ะ?"

พอลลีนย่นจมูก "พี่ก็รู้ว่าฉันไม่ชอบม้าเท่าไหร่ ชาร์ล็อตต่างหากที่สนใจ"

"หืม?" ชายหนุ่มทำสีหน้าสงสัยแล้วหันไปหาคนที่ถูกพูดถึง "เธออยากลองขี่ม้าดูเหรอ?"

"เอ็ดการ์!" เด็กสาวแหวขึ้นมาทันทีโดยไม่สนใจอาการพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้นของคนข้าง ๆ "ฉันบอกว่าชาร์ล็อตสนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธออยากขี่ม้า"

"ฉันอยากลองขี่ดูนะพอลลีน" เอสเพนเขย่าอีกฝ่าย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

"แต่ถ้าเธอตกลงมา…"

"ไม่ตกหรอกถ้าคอยจับไว้ พี่ไม่ปล่อยให้เขาขี่คนเดียวหรอก" ชายหนุ่มพูด ก่อนจะหันไปมองเจ้าของดวงตาสีเขียวที่มีทีท่าตื่นเต้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด "จริงไหม ชาร์ล็อต?"

"พี่จะขี่ด้วย?" เด็กสาวถามย้ำ แล้วนิ่งขบคิดเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ ก่อนจะยิ้มกับตัวเอง "ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ"

หล่อนก้าวถอยไปยืนมองภาพพี่ชายตัวเองช่วยยกร่างโปร่งขึ้นม้า แล้วตวัดตัวขึ้นนั่งซ้อนด้านหลังด้วยสายตาพอใจ

นี่ไงล่ะ…ผู้ชายที่เหมาะสมกับชาร์ล็อต…

เอ็ดการ์จะได้ภรรยาที่ใสซื่อแสนดี ส่วนชาร์ล็อตก็จะได้อยู่กับครอบครัวของเธอตลอดไป

เป็นความคิดที่วิเศษอะไรเช่นนี้!

เอสเพนยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นสูงจากพื้นดินและสั่นคลอนไปมาตามจังหวะการก้าวย่างของม้าที่ตอนแรกเอ็ดการ์สั่งให้มันเดินเหยาะ ๆ อยู่สักครู่ ก่อนจะกระทุ้งสีข้างมันให้วิ่งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ชายหนุ่มชักม้าให้หยุดหลังจากที่ผ่านไปได้ประมาณห้านาที แล้วส่งบังเหียนให้คนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหน้า

"จับเอาไว้ให้มั่น แต่ไม่ต้องเกร็ง" เขาสอน พลางเขยิบตัวมาด้านหลังเล็กน้อย เพื่อให้ร่างโปร่งเหยียบโกลนทั้งสองข้างได้ถนัดขึ้น "เวลาจะให้มันวิ่งเร็วขึ้นก็กระทุ้งสีข้างมัน ถ้าจะให้มันลดความเร็วลงก็ดึงบังเหียน แต่อย่ากระตุกแรง ๆ เพราะม้าจะตื่นและสะบัดเราตกจากหลัง"

"คุณจะให้ฉันขี่เองเหรอ?"

เด็กหนุ่มเอี้ยวตัวมาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใบหน้าเนียนที่แดงเรื่อและกระสีน้ำตาลจางทำให้คนมองถึงกับชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มรับ

"อยากลองขี่ไม่ใช่หรือ? ผู้ปกครองเธอเองก็ไม่ได้ค้าน" เขาหมายถึงน้องสาวที่ยืนอมยิ้มมองอยู่ไกล ๆ

เอสเพนพยักหน้า แล้วหัวเราะขันเมื่อเพิ่งสังเกตเห็นว่าลอร่าวิ่งออกมายืนมองด้วยสีหน้าตกตื่น หล่อนคงจะเข้ามาลากเขาลงจากหลังม้าเช่นเดียวกับพอลลีน ถ้า 'มาสเตอร์เอ็ดการ์' ไม่ได้นั่งคอยคุมอยู่ด้วย

มือเล็กจับบังเหียนกระชับอย่างที่อีกฝ่ายสอน แล้วกระทุ้งสีข้างม้าเบา ๆ ความรู้สึกตื่นเต้นแกมปลาบปลื้มแล่นขึ้นมาจนล้นปรี่เมื่ออาชาตัวงามทำตามคำสั่งตัวอย่างว่าง่าย ตอนอยู่สปริงฟีลด์เขาใฝ่ฝันไว้เสมอว่าจะได้นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างงามสง่า แต่ไม่นึกว่าฝันของเขาจะเป็นจริง

แต่เสียอยู่ที่ว่าความสง่านั้นต้องหายไปเพราะเขาอยู่ในชุดผู้หญิง แถมยังคนคอยนั่งคุมข้างหลังอยู่อีกทีนี่สิ

เด็กหนุ่มคอยดึงบังเหียนตามที่ครูฝึกจำเป็นบอก แล้วค่อยเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ โชคดีที่ในฤดูใบไม้ร่วง พื้นดินบนลานนั้นจะอ่อนนุ่มด้วยความชื้น เพราะหากเป็นฤดูร้อน มันคงจะแห้งเป็นฝุ่นที่ปลิวฟุ้งตลบขึ้นจนทำให้คนบริเวณนั้นสำลักเป็นแน่

เอสเพนชักหน้าเสียเมื่อรู้สึกหลวมบริเวณแผ่นอก แรงกระเทือนตามความเร็วที่ม้าวิ่งทำให้ผ้ารัดอกปลอมยัดสำลีของเขาคลายออกโดยที่ยังไม่ทันรู้ตัว เด็กหนุ่มพยายามหนีบต้นแขนเข้ากับสีข้าง แล้วบอกตัวเองไม่ให้ตื่นตกใจแล้วเผลอกระตุกบังเหียนจนม้าตื่น เขาค่อย ๆ ดึงบังเหียนอย่างที่เอ็ดการ์สอนเอาไว้ เพื่อจะได้วิ่งเข้าบ้านไปจัดการตัวเองได้ทันท่วงที แต่แล้วก็แทบอยากจะสบถออกมาดัง ๆ เมื่อผ้าที่เขาอุตส่าห์หนีบไว้กับตัวอย่างแน่นหนาเลื่อนไหลลงไปกองอยู่ที่เอวเป็นจังหวะเดียวกับที่อาชาตัวงามหยุดยืนนิ่งสนิทพอดี

"เป็นอะไรไปรึเปล่า?" ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อร่างที่นั่งซ้อนหน้างอตัวลงราวกับรู้สึกปวดท้องขึ้นมากระทันหัน

เอสเพนหัวเราะแห้ง ๆ ขณะพยายามหาข้อแก้ตัว "เอ่อ…ฉัน…รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมานิดหน่อยน่ะ"

"ชาร์ล็อต! เป็นอะไรรึเปล่า?" พอลลีนวิ่งหน้าตื่นเข้ามาพร้อมกับลอร่าเมื่อสังเกตเห็นอาการผิดปกติของร่างโปร่ง

"ชาร์ล็อตคลื่นไส้ สงสัยคงเพราะยังไม่ชินนั่นแหละ" ชายหนุ่มตอบเสียเอง พลางตวัดตัวลงจากหลังม้า

เด็กสาวขึงตามองพี่ชายตัวเองอย่างกล่าวหาทันที "ฉันบอกแล้วว่าอย่าให้ชาร์ล็อตขี่ม้า พี่ก็ไม่ฟัง"

"ฉันไม่เป็นไรมากหรอกพอลลีน นอนพักแป๊บเดียวก็หาย" เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงตอบพลางปฏิเสธมือที่จับเอวตนเพื่อช่วยพยุงลงจากหลังม้า "เดี๋ยวฉันลงเองก็ได้"

แต่ด้วยอารามรีบร้อน เอสเพนไถลตัวลงจากหลังอาชาทั้งที่มือใหญ่ยังจับอยู่ที่เอว ผลคือ เขาลงมายืนอยู่ที่พื้นได้สำเร็จโดยรูดตัวลงกับมือของเอ็ดการ์ซึ่งบัดนี้จับอยู่ใต้รักแร้!

เด็กหนุ่มหันขวับไปมองใบหน้าตกตะลึงแกมงุนงงของอีกฝ่ายนิ่งราวกับถูกสาปเป็นหิน ก่อนจะรู้ตัวเมื่อลอร่าปราดเข้ามาประคองแขนตน

"ไม่สบายมากไหมคะ คุณชาร์ล็อต?"

"ขอไปนอนก่อนนะ" ร่างโปร่งตอบปากคอสั่น ก่อนจะสลัดตัววิ่งเข้าไปในบ้าน โดยทิ้งสายตาฉงนฉงายหลายคู่ไว้เบื้องหลัง

+++++++++

เรียวขาคู่นั้นก้าวเดินกลับไปกลับมาด้วยอาการงุ่นง่าน เอสเพนสบถในคอสลับกับการจิกทึ้งผมตัวเองระบายอารมณ์หงุดหงิดจนมวยเปียที่พอลลีนอุตส่าห์ถักไว้ให้เขาอย่างดีลุ่ยหลุดออกมาไม่เป็นทรง เขาเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือด้วยจุดประสงค์จะหัดเขียนอะไรบางอย่างเพื่อให้ใจสงบลง แต่หย่อนตัวลงไปไม่ทันแตะพื้นเก้าอี้ เด็กหนุ่มก็ลุกพรวดขึ้นมาอีก

เขารู้สึกกลัวเอ็ดการ์ ไวลีย์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเกิดเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายขึ้นยิ่งไม่กล้าสู้หน้าเข้าไปใหญ่

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้ร่างโปร่งรีบถลาไปนอนบนเตียงได้ทันท่วงทีกับที่ลอร่าเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารในมือ

"เป็นยังไงบ้างคะคุณชาร์ล็อต ยังคลื่นไส้อยู่มากเหมือนเดิมหรือเปล่า?" สาวใช้ผิวหมึกถามพลางวางถาดลงข้างเตียงแล้วช่วยประคองเจ้านายตนให้ลุกขึ้นนั่งอิงหมอน

"ดีขึ้นมากแล้วล่ะลอร่า ที่จริงฉันก็ลงไปกินข้างล่างเองก็ได้" เด็กหนุ่มตอบแล้วเบิกตากว้างเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้

จริงด้วยสิ! เขาไม่ควรจะหลบอยู่ในห้อง ไม่อย่างนั้นจะยิ่งเป็นการเพิ่มความสงสัยให้กับชายหนุ่มมากกว่าเดิม

"ฉันลงไปกินกับทุกคนข้างล่างดีกว่า" เขาตัดสินใจรวดเร็วพลางผลุนผลันลุกขึ้น แต่ก็ถูกฉุดข้อมือไว้เสียก่อน

"เดี๋ยวค่ะ ให้ดิฉันหวีผมคุณให้เรียบร้อยหน่อยดีกว่า คุณนอนเสียจนยุ่งไปหมดแล้ว"

"เอาแบบเร็ว ๆ เลยนะ" เอสเพนบอกพลางทรุดตัวลงหน้ากระจกแล้วช่วยอีกฝ่ายแกะมวยเปียทรงเก่าออกเนื่องจากกลัวว่ากว่าตนจะลงไป ทุกคนก็คงจะรับประทานอาหารเสร็จหมดแล้ว

ลอร่าปล่อยผมที่เริ่มยาวเลยบ่าของอีกฝ่ายให้ทิ้งตัวสลวยแล้วถักเปียแค่ครึ่งหน้าด้วยความคล่องแคล่วเมื่อหล่อนใช้ถึงสี่นิ้ว ดังนั้น อีกสองนาทีต่อมาเอสเพนจึงลงไปที่ห้องอาหารด้วยผมทรงใหม่และสีหน้าที่พยายามปั้นยิ้มใส่ลงไปอย่างสุดความสามารถ โดยมีสาวใช้ส่วนตัวถือถาดอาหารเดินตามมาข้างหลัง

ทุกคนมีสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเขา เว้นเสียแต่สายตาพินิจพิจารณาของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทอง ร่างโปร่งกระซิบห้ามตัวเองไม่ให้หลบสายตานั้น แล้วเดินเข้าโต๊ะอาหารด้วยอาการปกติ

"หายดีแล้วหรือ?"

นายอำเภอไวลีย์ถามขึ้น ในขณะที่ผู้เป็นภรรยารีบกุลีกุจอสั่งให้คนรับใช้จัดที่ทางบนโต๊ะอาหารเสียใหม่

"หนูไม่เป็นไรแล้วค่ะ"

เอสเพนพูดขณะยิ้มตอบพอลลีน ก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหารเหมือนอย่างทุกวัน แต่ก็ดูจะไม่ได้ผลนัก เมื่อเด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองพยายามหลบสายตาเอ็ดการ์อยู่ตลอดเวลา

"ชาร์ล็อต"

เสียงทุ้มที่ดังขึ้นแทบจะทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัว เขาเงยหน้าขึ้นหาคนเรียก ขณะบังคับสีหน้าไม่ให้เปลี่ยน

เอ็ดการ์ยกน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะเอ่ยถาม "เธอมาจากไหน?"

เจ้าของดวงตาสีเขียวรู้สึกถึงความเย็นชื้นของเหงื่อที่ไหลมาตามขมับและฝ่ามือ เขาเริ่มสับสนลังเลว่าได้บอกคนอื่นว่าตัวเองมาจากไหน สิ่งที่เขาพูดออกไปแล้วอาจจะขัดแย้งกับสิ่งที่กำลังจะพูดออกไป

หลุยส์เซียน่า เท็กซัส โอคลาโฮม่า?

เขาได้พูดว่าตัวเองข้ามแม่น้ำหรือเปล่า?

"ชาร์ล็อตมาจากตอนเหนือของเท็กซัสจ้ะ" นางไวลีย์เป็นผู้ตอบเสียเอง อาการนิ่งงันของคนถูกถามทำให้หล่อนนึกสงสาร เพราะคิดว่าเด็กกำพร้าผู้นี้คงกำลังเศร้าสลดถึงครอบครัวที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับของตัวเอง

"พ่อแม่เธอทำไร่อะไร?" ผู้เป็นบุตรชายถามต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะสายตาคมกริบจับจ้องทุกปฏิกิริยาของอีกฝ่ายราวกับต้องการจะเจาะลึกเข้าไปถึงหัวใจ

ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้นึกกังวลอะไร เสียงของพอลลีนก็แหวขึ้นมาเสียก่อน

"เลิกถามเสียทีเถอะน่าเอ็ดการ์"

หล่อนพูดอย่างหงุดหงิดน้อย ๆ ด้วยเหตุผลเดียวกับมารดา เนื่องจากกลัวว่าคำถามของพี่ชายจะไปสะกิดแผลใจให้กับน้องสาวคนใหม่ของตน และความประทับใจในตัวเอ็ดการ์ที่ฝ่ายนั้นจะมีอาจจะลดน้อยถอยลงไปได้

ชายหนุ่มแก้ตัวพลางคลี่ยิ้ม "ฉันก็แค่อยากรู้"

"พี่ก็รู้อยู่บ้างแล้วไม่ใช่หรือไง?"

เอสเพนพยายามฝืนตัวเองให้มองตอบสายตาที่ยังไม่ละไปจากใบหน้าตน เด็กหนุ่มยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ ก่อนจะตอบอย่างค่อนข้างมั่นใจ "ไร่มันฝรั่งค่ะ"

เนื้อที่การเกษตรของรัฐทางใต้มักจะหมดไปกับไร่มันฝรั่งเสียส่วนใหญ่ ร่างโปร่งจึงคิดว่าเขาคงจะตอบเช่นนี้ในตอนแรกที่เจอนายอำเภอไวลีย์ด้วย

"ไม่ใช่ไร่มันข้าวโพดหรอกรึ?" ชายชราถามขึ้นอย่างสงสัย ทำให้คนพูดสะดุ้งวาบอยู่ในใจ

ตอนนั้นเขาพูดไปว่าไร่ข้าวโพดหรือนี่? ช่างโง่งมสิ้นดี!

เด็กหนุ่มบังคับตัวเองไม่ให้เปลี่ยนสีหน้า ขณะขบคิดหาทางแก้ปัญหารวดเร็ว

"ค่ะ เรามีเนื้อที่ไม่มากนัก ถ้าปลูกพืชอย่างเดียวจะได้ค่าตอบแทนไม่พอ พ่อแม่หนูก็เลยแบ่งที่เป็นสองส่วน ไว้ปลูกข้าวโพดกับมันฝรั่ง แต่ส่วนที่ปลูกมันข้าวโพดจะมีมากกว่า"

"เอาเถอะ ไม่ว่าเมื่อก่อนบ้านเธอจะทำไร่อะไร แต่ตอนนี้ครอบครัวของเธอทำไร่ข้าวโพดนะชาร์ล็อต และพ่อทูนหัวของเธอก็เป็นนายอำเภอ"

พอลลีนหันมาแตะแขนคนที่นั่งข้าง ๆ แล้วพูดอย่างจริงใจ เอสเพนมองรอยยิ้มบนหน้าทุกคนในโต๊ะอาหารอย่างซาบซึ้งและนึกขอบคุณ…

เว้นเสียแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเอ็ดการ์ ไวลีย์!

++++++++

เด็กสาวผมสีราตรียืนแอบอยู่หลังช่องประตูที่ทะลุไปถึงห้องรับแขก พลางมองคนสองคนที่อยู่ข้างในนั้นอย่างหงุดหงิด ยูจีเนีย แวนด์ มาหาพี่ชายหล่อนถึงบ้านเป็นครั้งที่สามนับตั้งแต่เอ็ดการ์กลับมาจากยุโรป ตอนแรกหล่อนไม่รู้สึกอะไรกับการกระทำของเพื่อนที่ไม่ค่อยสนิทผู้นี้ แต่แผนการณ์ที่เพิ่งคิดได้เมื่อวานตอนเห็นเอ็ดการ์อยู่บนหลังม้ากับชาร์ล็อต ทำให้หล่อนนึกขวางหูขวางตาทั้งพี่ชายตนเองทั้งน้องสาวของบาทหลวงแวนด์อย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นคนทั้งคู่คุยกันอย่างถูกคอ…เกินไป

พอลลีนหันหลังกลับด้วยใบหน้าบึ้งสนิท แล้วชะงักเล็กน้อยเมื่อพบว่าดวงตาสีมรกตจับจ้องตัวเองอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ได้ หล่อนเดินเข้าไปหา แล้วถามด้วยน้ำเสียงปกติที่ใช้กับอีกฝ่าย

"มีอะไรหรือ?"

"ศิวิไลซ์สะกดด้วยตัว s หรือตัว c ?"

"ตัว c" เด็กสาวตอบพลางมองฝ่ายตรงข้ามที่กำลังเขียนคำศัพท์ดังกล่าวลงไปในสมุดแล้วอดจะถามไม่ได้ "เธอคิดว่าเอ็ดการ์เป็นผู้ชายยังไง?"

เอสเพนกลืนน้ำลายยากเย็น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่ใคร่สู้สายตานัก "พี่ชายเธอก็เป็นคนดี ทุกคนในครอบครัวเธอเป็นคนดีรวมทั้งพวกลอร่าด้วย"

คนถามส่ายหน้ายิก แล้วทำเสียงหนักใจ "ไม่ใช่อย่างนั้น ในสายตาของผู้หญิงอย่างเธอ เขาเป็นคนยังไง?"

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วอย่างยุ่งยากใจ เขากลัวผู้ชายคนนั้นก็จริง แต่วันนั้นก็ยังเข้าไปขอให้สอนยิงปืน สอนขี่ม้า ถ้าไม่เกิดเรื่องเมื่อวานขึ้นเขาก็คงจะมีความรู้สึกดี ๆ ให้ชายหนุ่มมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้

"ว่ายังไง?" พอลลีนกระตุ้นถาม "เขาดีกว่าโจชัว วิลเลียมส์ ไหม?"

ร่างโปร่งอยากจะบอกเหลือเกินว่าตอนนี้โจชัวมีภาษีกว่าพี่ชายอีกฝ่ายเยอะ อย่างน้อย ๆ เขาก็ยอมอยู่กับโจชัวแล้วทนคำหวานเลี่ยนกับสายตาหยาดเยิ้มนั่นทั้งวัน ดีกว่าอยู่กับเอ็ดการ์เพียงแค่ห้านาทีแล้วต้องมาคอยกังวลว่าฝ่ายนั้นจะจับโกหกอะไรได้อีก

"พวกเขามีบุคลิกคนละแบบ" เอสเพนพยายามตอบเลี่ยง แล้วนึกสงสัยที่อยู่ ๆ พอลลีนก็ถามเขาขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

ฝ่ายถามยังคงคาดคั้นอย่างไม่พอใจในคำตอบที่ได้รับ "แล้วถ้าเธอต้องเลือกล่ะ เธอจะเลือกใครระหว่างพี่ชายฉันกับโจชัว?"

"แล้วทำไมฉันต้องเลือกด้วยล่ะ?" เด็กหนุ่มถามพาซื่อ จริง ๆ แล้วถ้าเลือกได้เขาขออยู่กับพอลลีนนี่แหละ

"โธ่เอ๋ย ที่รัก! ตอบฉันมาหน่อยเถอะว่าเธอจะเลือกใคร"

ดวงตาสีเขียวกรอกไปมาซ้ายขวาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตอบตามตรง "โจชัว"

ถึงโจชัวจะไม่สอนเขาขี่ม้าและยิงปืน แต่เอสเพนมั่นใจว่าคนใจดีอย่างชายหนุ่มจะต้องยอมสอนถ้าเขาขอร้อง

พอลลีนขมวดคิ้ว นิสัยสุขุมของหล่อนทำให้การแสดงออกทางอารมณ์มีไม่มากนัก เด็กสาวมั่นใจว่าถ้าคนอื่นมาเป็นหล่อนแล้วเจอคำตอบอย่างนี้ของจะต้องนึกอยากกรีดร้องออกมาดัง ๆ เลยทีเดียว

"ทำไมถึงเลือกโจชัว ผู้ชายเจ้าชู้เจ้าคารมอย่างนั้นมีดีตรงไหนกัน?"

อันที่จริงเอ็ดการ์ก็ไม่ได้มีความเจ้าชู้เจ้าคารมน้อยไปกว่าโจชัวเลยสักนิด โดยเฉพาะเมื่อดูจากความสนิทสนมที่เจ้าตัวมีให้กับน้องสาวของบาทหลวงแวนด์แล้ว เขาคิดว่าโจชัวยังจะเป็นผู้ชายที่สุภาพกว่าเสียด้วยซ้ำ

เด็กหนุ่มยิ้มแหย ก่อนจะตอบเสียงอ่อย "ก็ฉันกลัวพี่ชายเธอนี่"

"เอ็ดการ์มีอะไรน่ากลัว?"

เยอะเชียวล่ะ เอสเพนตอบในใจ โชคดีที่เช้าวันนี้ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะไม่ติดใจสงสัยอะไรเขามากเหมือนอย่างเมื่อวาน และพูดคุยด้วยเป็นปกติ

ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อเด็กหนุ่มเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะเขานึกคร้านที่จะอธิบายเหตุผลต่าง ๆ ให้พอลลีนฟังยืดยาว ร่างโปร่งหันกลับไปสนใจสมุดตรงหน้า แล้วรู้สึกพอใจเมื่อคนที่ถามซักไซ้เขาเมื่อครู่ก็หยิบหนังสือนิยายที่อ่านค้างไว้ขึ้นมานั่งอ่านตรงมุมโปรดของตน แม้จะส่งเสียงฮึดฮัดอยู่บ้าง

เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง แล้วแทบอยากจะวิ่งออกจากห้องนั่งเล่นเสียเดี๋ยวนั้น เมื่อคนที่เดินเข้ามาคือบุตรชายของนายอำเภอไวลีย์

"ทำไมวันนี้โจชัวถึงไม่มานะ"

ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นลอย ๆ พลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมข้างน้องสาว เอสเพนหลบตาอีกฝ่ายที่ยังไม่ได้มองมาทางเขาด้วยการก้มหน้าลงหาสมุดอีกครั้ง

พอลลีนถามกลับโดยไม่สนใจประโยคเมื่อครู่ของพี่ชายแม้แต่น้อย "ยูจีเนียกลับไปแล้วเหรอ?"

"พี่เพิ่งเดินไปส่งเขาเมื่อครู่นี้เอง"

บ้านแวนด์อยู่ห่างบ้านไวลีย์ไม่เท่าไหร่ จึงไม่ต้องใช้รถม้าในการไปมาหาสู่กัน นอกจากนั้นเอ็ดการ์ก็เลือกที่จะเดินไปส่งเด็กสาวแค่หน้าบ้าน เนื่องจากเห็นว่าเจ้าหล่อนมีหญิงรับใช้คนสนิทติดตามมาด้วย ดีกว่าที่จะเดินไปส่งถึงที่ แล้วต้องเสียเวลาเข้าไปนั่งดื่มกาแฟและคุยกับหล่อนอีก

"น่าแปลกนะที่วันนี้โจชัวไม่มา" เอ็ดการ์พูดซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง และคราวนี้ปรายตาไปยังคนที่กำลังแสร้งหัดเขียนศัพท์ในขณะที่เงี่ยหูฟังอยู่ตลอดเวลา

ยังไม่ทันไรเสียงรถม้าก็ดังขึ้นมาหน้าบ้านราวกับคำพูดของชายหนุ่มเป็นมนต์วิเศษ ดอริสที่ยืนคอยรับใช้อยู่ในห้องจึงรีบเดินออกไปดูก่อนจะกลับเข้ามารายงาน

"มิสเตอร์วิลเลียมส์มาค่ะ"

ชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งเพียงแต่ยกมุมปากขึ้นกับตัวเองในขณะที่พอลลีนไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย หล่อนยังคงนั่งอ่านหนังสือในมือราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอสเพนมองไปทางหน้าบ้านอย่างลังเล ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงเดินออกไปรับโจชัว แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าฝ่ายนั้นมาหาเขาหรือเพื่อนตัวเองกันแน่

สาวใช้อีกคนเดินนำอาคันตุกะเข้ามาในห้องนั่งเล่นซึ่งเจ้าบ้านนั่งอยู่ ดวงตาสีน้ำทะเลมองไปทางเจ้าของผมสีน้ำตาลแดงแว่บหนึ่ง แล้วยกหมวกขึ้นทักทาย ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้เพื่อนที่ไม่ใคร่จะกระตือรือร้นกับการมาของตนเท่าใดนัก

"มิสซิสไวลีย์ไปไหนเสียล่ะ?"

"แม่นั่งรถไปเยี่ยมเพื่อน ตอนเย็น ๆ คงจะกลับ" เอ็ดการ์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยพลางรินกาแฟที่เพิ่งถูกยกมาเสิร์ฟให้เพื่อน

โจชัวยกถ้วยเครื่องดื่มขึ้นแตะริมฝีปากพอเป็นมารยาท ในขณะที่คอยชำเลืองมองเจ้าของร่างโปร่งที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องเป็นระยะ แล้วลุกขึ้นยืนในที่สุด

"ชาร์ล็อต" เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจเท่าใดนัก "คุณอยากออกไปเดินเล่นไหม?"

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับโดยไม่ต้องคิด ที่จริงเขาก็อยากจะออกจากห้องที่มีเอ็ดการ์นั่งอยู่ตั้งนานแล้ว แต่เกรงว่าจะทำให้ฝ่ายนั้นรู้ทันว่าเขาอยากจะหลบหน้าตัวเองอีก

หนุ่มผมบลอนด์รับผ้าคลุมไหล่ไหมพรมที่ลอร่าหยิบมาส่งให้เจ้านายตนเอง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเสนอท่อนแขนของตนให้ฝ่ายตรงข้ามอีกครั้งด้วยท่าทางสุภาพ แล้วแทบจะใจพองคับอกเมื่อฝ่ายนั้นสอดแขนเข้ามาคล้องควง

ที่จริงเอสเพนไม่อยากจะทำเช่นนี้เลยสักนิด แต่เมื่อมีสายตาของเอ็ดการ์ ไวลีย์ จับจ้องอยู่ เขาจึงต้องจำใจทำ เนื่องจากรู้ดีว่ามันเป็นธรรมเนียมที่ควรปฏิบัติของหญิงชายทั่วไป

"พอลลีน" เด็กหนุ่มหันมาร้องเรียกก่อนจะลอดช่องประตูออกไป "ไปด้วยกันไหม?"

"ฉันอยากอ่านหนังสือให้จบมากกว่า" เจ้าของชื่อตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง

ร่างโปร่งลอบถอนหายใจ ความจริงตั้งแต่รู้เจตนาของโจชัว เขาก็ไม่ค่อยอยากอยู่ตามลำพังกับอีกฝ่ายเท่าไหร่ แต่ต้องทำไปเพราะความจำเป็นบังคับ เด็กหนุ่มเดินคล้องแขนเจ้าของผมสีบลอนด์สว่างออกไปเงียบ ๆ โดยมีสายตาครุ่นคิดของใครบางคนมองตามจนลับสายตา

++++++++++++

เอสเพนดึงแขนตัวเองออกอย่างสุภาพทันทีเมื่อเข้าชายป่า ทำให้หัวใจเจ้าของท่อนแขนแข็งแรงห่อเหี่ยวลงทันตา โจชัวจับจ้องแผ่นหลังเล็กที่เดินแซงขึ้นไปข้างหน้า แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด

"ชาร์ล็อต ผมขอโทษถ้าเมื่อวานเผลอทำอะไรที่คุณไม่พอใจออกไป"

"ไม่มีอะไรที่ฉันไม่พอใจ" เด็กหนุ่มปฏิเสธพลางหยุดเดิน แล้วตอบตามตรง "แต่ออกจะลำบากใจอยู่นิดหน่อย"

"ผมขอโทษที่เร่งรัดคุณไปหน่อย" ร่างสูงก้าวขึ้นมาหาจนยืนเสมอกัน แล้วพยายามสบตาอีกฝ่ายที่ได้แต่ก้มหน้าหลบ "ผมแค่อยากรู้จักคุณให้มากขึ้นอีกสักนิด"

เอสเพนส่ายศีรษะน้อย ๆ "ฉันยินดีที่จะเป็นเพื่อนคุณเสมอ โจชัว"

"เพื่อน? แค่เพื่อนมันไม่พอหรอกนะชาร์ล็อต" ชายหนุ่มอุทธรณ์

ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีมรกตมีความขอลุแก่โทษฉายอยู่เต็มเปี่ยม "ฉันให้คุณมากกว่านั้นไม่ได้จริง ๆ คุณเหมาะสมกับผู้หญิงที่มีชาติตระกูลดี ๆ มากกว่าฉัน"

ประโยคนั้นทำให้โจชัวส่ายหน้าถี่ ขณะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่วแน่ "ไม่จริงเลยชาร์ล็อต คุณเป็นผู้หญิงที่วิเศษและไม่เหมือนคนอื่น ๆ เลยสักนิดเดียว ผมไม่เคยรู้สึกกับใครอย่างนี้มาก่อนด้วยซ้ำ"

เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงถอนหายใจหนักหน่วงพลางเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เขาอยากจะบอกความจริงเรื่องที่ตัวเองเป็นผู้ชายให้โจชัวฟังเสียให้รู้เรื่องรู้ราว ฝ่ายนั้นจะได้ตาสว่างเสียที

ความคิดและความลังเลตีกันวุ่นวายสับสนอยู่ในสมอง ความจริงที่ว่าเขาปลอมตัวเป็นผู้หญิง ถ้าเผื่อบอกออกไป ไม่ว่าใครก็ต้องถามว่าทำไมเขาถึงต้องทำอย่างนั้น ชายหนุ่มอาจจะส่งตัวเขาให้กลับไปรับโทษที่หลุยส์เซียน่าทันทีที่ฟังจบ หรืออาจจะนึกสงสารแล้วช่วยเขาหนี…

แล้วถ้าเขาโกหกล่ะ? ดัดแปลงเรื่องเสียหน่อยไม่น่าจะใช่เรื่องยาก ที่ผ่านมาเขาก็โกหกจนคล่องลิ้นอยู่แล้ว

เอสเพนหันไปเพื่อบอกความจริงแก่อีกฝ่ายหลังจากการตัดสินใจแบบฉับพลันของตัวเอง "โจชัว…"

"โจชัว" เสียงทุ้มที่มาพร้อมเสียงฝีเท้าดังขึ้นขัดเสียก่อน "ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับนาย"

เจ้าของชื่อมีสีหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ไม่น้อยที่ถูกขัดจังหวะ ในขณะที่เด็กหนุ่มรู้สึกกึ่งโล่งใจ กึ่งเสียดาย

เขาเกือบจะพูดอะไรออกไปแล้ว!?

ร่างโปร่งหลบดวงตาสีน้ำตาลทองที่ตวัดมองมาทางตน แล้วรีบพูดขึ้น "ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนแล้วกัน"

เอ็ดการ์มองตามหลังร่างที่เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ความจริงเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน สัมผัสราบเรียบบนแผ่นอกอีกฝ่ายนั้นอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้ แม้จะพึงใจในตัวร่างโปร่งอยู่บ้าง แต่ความจริงชายหนุ่มก็รู้สึกติดใจกับบุคลิกแปลก ๆ ของสมาชิกใหม่คนนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนลงม้าเมื่อวานเหมือนจะเป็นการตอกย้ำความสงสัยให้เขาเพิ่มขึ้นอีก

ถึงจะไม่มั่นใจเต็มที่ แต่เมื่อเห็นเพื่อนสนิทตัวเองมีอาการหนักขนาดนี้ จะเตือนกันไว้เสียหน่อยก็ดี

เอสเพนหันกลับมามองเมื่อเดินถึงตัวบ้านแล้วให้ใจหล่นวาบเมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสองคนกระซิบกระซาบกันแล้วหันมามองทางเขา

เอ็ดการ์ ไวลีย์ ทำให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว!

++++++++

ใบหน้าที่แม้จะไม่ยิ้มแย้ม แต่ก็ดูอารมณ์ดีจนสังเกตได้เป็นจุดสนใจของคนทั้งบ้าน ทำให้อาการกระสับกระส่ายและสายตาหลุกหลิกของเด็กหนุ่มไม่เป็นเป้าสายตาแม้แต่น้อย เขาเขี่ยอาหารในจานไปมาอย่างเลื่อนลอย พลางคิดถึงทางหนีทีไล่ของตัวเองที่จะทำทันทีถ้าสบโอกาส

ความคิดล่องลอยของเอสเพนหยุดลงเมื่อจับบทสนทนาช่วงหนึ่งในโต๊ะอาหารได้แว่ว ๆ

"…ตอนที่จับได้พวกมันกำลังจะบุกเข้าบ้านชาวไร่แถวนั้นอยู่พอดี โชคดีที่ทางนั้นซุ่มกำลังไว้มากพอ"

"ใคร?" เขาโพล่งถามเสียงดังออกมาอย่างลืมตัว

ชายชรามีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบยิ้ม ๆ "พวกกลุ่มโจรที่ตามหามาเป็นเดือนไง อันที่จริงพวกออกจากแจ๊คสันส์ วิล ไปนานแล้ว และซุ่มตัวอยู่ในโอ๊คทาวน์พักใหญ่ เพราะเขตอำเภอบริเวณใกล้เคียงเราวางกำลังปิดล้อมไว้แน่นหนา มันไปไหนไม่รอด ต้องออกมาปล้น เลยทำให้จับได้ในที่สุด"

"ดีจังนะคะ" พอลลีนว่า "หนูเบื่อให้มีคนคอยเฝ้าเวลาไปไหนต่อไหนจะแย่แล้ว"

"ไม่ต้องมียามคอยเฝ้าแล้วเหรอคะ?" เขาถามขึ้นมาอีกโดยพยายามบังคับน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ ขณะที่ใจเต้นจนแทบจะกระโจนออกมานอกอก

พระเจ้าประทานโอกาสมาให้เขาแล้ว!

"ก็คงจะมียามเฝ้าประตูบ้านเหมือนเมื่อก่อนแค่สองคนล่ะมั้ง" เอ็ดการ์ตอบเสียงเฉยเมย ขณะพยายามจับจ้องปฏิกิริยาอีกฝ่าย

เอสเพนเลี่ยงสายตานั้นโดยการหันไปยิ้มให้นายอำเภอไวลีย์และภรรยา "ดีใจด้วยนะคะ จะได้หมดเรื่องยุ่ง ๆ เสียที"

"นั่นสิคะ" พอลลีนกล่าวเสริมแล้วพูดติดตลก "มีเรื่องวุ่น ๆ ไม่หยุด ต้องเป็นเพราะเอ็ดการ์กลับมาโดยไม่บอกไม่กล่าวแน่ ๆ เลย"

ทุกคนหัวเราะเบา ๆ กับประโยคนั้น ในขณะที่เด็กหนุ่มนึกในใจ…

ใช่…เพราะผู้ชายคนนี้แท้ ๆ ที่ทำให้เขาปวดหัวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ อยู่ในตอนนี้

แต่ต่อไปเขาจะออกไปมีชีวิตอย่างอิสระเหมือนเก่า เพียงแค่เขาต้องหนีออกจากที่นี่ให้สำเร็จเท่านั้น!

+++++++++++

เสียงเคาะประตูเบา ๆ ทำให้เด็กสาวเงยหน้าขึ้นจากบทกลอนที่กำลังเขียนอยู่ หล่อนส่งเสียงอนุญาต แล้วยิ้มให้กับร่างที่แทรกตัวผ่านประตูเข้ามา

"ยังไม่นอนอีกหรือ?" พอลลีนถามแล้วขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าหม่นเศร้าและดวงตาแดงช้ำของอีกฝ่าย "เป็นอะไรไปน่ะ? เธอร้องไห้เหรอ?"

เอสเพนปดด้วยการส่ายหน้าพลางสูดจมูก เมื่อครู่เขาลงไปหาโซเฟียขณะที่หล่อนถักนิตอยู่ในห้องนั่งเล่น เขาตัดสินใจหนีจากที่นี้ในคืนนี้ และอยากจะกอดหล่อนเป็นการขอบคุณและขอโทษไปในตัวสักครั้ง แต่ไม่นึกว่ามือที่ลูบศีรษะอย่างอ่อนโยนและรักใคร่นั้นจะทำให้เขาถึงกับร้องไห้ เด็กหนุ่มต้องแก้ตัวพัลวันว่าคิดถึงแม่ จึงทำให้หญิงวัยกลางคนมีทีท่าคลายใจลงไปได้

นายอำเภอไวลีย์เป็นคนที่เขานึกอยากจะเอ่ยขอบคุณมากที่สุด แต่ร่างโปร่งไม่กล้าทำตามที่คิดเพราะชายชราเป็นคนฉลาดทันคน และอาจจะรู้ถึงความผิดปกติของเขามากกว่าภรรยาและบุตรสาวก็เป็นได้

เด็กหนุ่มทรุดตัวนั่งลงบนปลายเตียง แล้วมองจ้องเข้าไปในดวงตาดำสนิทของอีกฝ่ายอย่างลึกล้ำ ก่อนจะขยับปากพูดเบา ๆ "พอลลีน ฉันขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำให้มาโดยตลอด"

"โอ…ที่รัก" ฝ่ายตรงข้ามครางแล้วผวาเข้ามากอดร่างโปร่งไว้เมื่อเห็นดวงตาสีเขียวสดมีหยาดน้ำเอ่อรื้นขึ้นมา "เธอไม่จำเป็นต้องขอบคุณเลย ฉันเต็มใจทำทุกอย่างที่ทำไปอยู่แล้ว"

เอสเพนซบหน้าลงกับบ่าอีกฝ่ายแล้วสะอื้นออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ "เธอเป็นเหมือนพี่สาวอีกคนของฉัน พอลลีน ฉันรักเธอนะ"

"ฉันก็รักเธอ" เด็กสาวหัวเราะเก้อ ๆ กับท่าทางที่แปลกไปของฝ่ายตรงข้าม แต่คำพูดนั้นก็อดจะทำให้เธอน้ำตาปริ่มขึ้นมาได้เหมือนกัน "คืนนี้เธอเป็นอะไรไปนะชาร์ล็อต หืมม์…ที่รัก?"

"ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่รู้สึกอยากขอบคุณเธอนิดหน่อยเท่านั้น" เขาส่ายหน้าพลางปาดน้ำตาออกจากแก้มแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อปลุกปลอบใจตัวเอง

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งทำให้เด็กหนุ่มรีบเบือนหน้าหนีเพื่อซ่อนดวงตาและปลายจมูกแดงเรื่อของตนไม่ให้ผู้มาใหม่ได้เห็น คราวนี้พอลลีนเดินไปเปิดประตูด้วยตัวเอง แล้วรับแก้วเครื่องดื่มจากมือดอริส สาวใช้ส่วนตัวโดยไม่ได้ให้อีกฝ่ายเข้ามาในห้อง

"ดอริสหรือ?" ร่างโปร่งถามขึ้นเมื่อเจ้าของห้องถือแก้วชาร้อนเดินกลับมา

เด็กสาวพยักหน้า ในขณะที่เอสเพนลุกขึ้นอย่างรีบร้อนเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ เขาขอตัวกับพอลลีนแล้วผลุนผลันออกไปจากห้องของหล่อนได้ทันพอดีกับที่ดอริสกำลังเดินลงบันได

"ดอริส" เขากระซิบเรียก

เจ้าของชื่อหันมาเขม้นมอง ความมืดสลัวตรงทางเดินชั้นบนช่วยอำพรางใบหน้าที่ผ่านการร้องไห้ของอีกฝ่ายมาได้เป็นอย่างดี

"คุณชาร์ล็อต?"

"ช่วยบอกลอร่าให้ยกเครื่องดื่มแบบเมื่อกี้ไปให้ฉันที่ห้องหน่อยนะ"

"จะให้ฉันยกไปให้เองก็ได้นะคะ" หล่อนเสนอตัวอย่างเอื้อเฟื้อ แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธ

"ไม่ ให้ลอร่ายกขึ้นมานั่นแหละ"

เด็กหนุ่มพูดแล้วเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง เขาเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมาจากมุมหนึ่งของตู้ มือเล็กเปิดฝาครอบของมันออกเผยให้เห็นสร้อยที่ทำจากหินสีข้างใน พอลลีนรบเร้าให้เขาซื้ออะไรติดมือกลับไปสักอย่างด้วยเงินที่มารดาของเธอให้ไว้ใช้ส่วนตัวเมื่อครั้งที่เขาตามหญิงทั้งสองเข้าไปในเมือง แน่นอนว่าข้าวของส่วนใหญ่เป็นของประดับและประทินโฉมของผู้หญิง และเขาเองก็ไม่กล้าซื้อของที่ตัวเองอยากได้ จึงได้แต่หยิบสร้อยร้านที่พอลลีนแวะดูยื่นให้คนขายไปส่ง ๆ และเก็บมันไว้ในซอกตู้อย่างไม่คิดจะสนใจ

เขาเดินไปเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงเคาะ แล้วเบี่ยงตัวให้ร่างของสาวใช้ผิวดำเข้ามาด้านใน ก่อนจะปิดประตูลงด้วยมือตัวเองหลังจากโผล่หน้าไปมองซ้ายมองขวาเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น

"ลอร่า"

เจ้าของดวงตาสีมรกตแย่งถ้วยในมืออีกฝ่ายมาวางไว้บนโต๊ะเล็กข้างหัวนอน แล้วจูงมือหญิงสาวให้มานั่งด้วยกันบนขอบเตียง แต่ฝ่ายนั้นกลับถอยหนีไปยืนกุมมืออยู่หน้าเตียงแทน

"เอาเถอะ" เอสเพนถอนหายใจ ก่อนจะส่งกล่องที่เตรียมไว้ให้สาวใช้ด้วยสีหน้ามั่นใจว่าหล่อนต้องดีใจมากเป็นแน่ถ้าเห็นมัน "ฉันให้ลอร่า"

หญิงสาวรับไปเปิดดู ก่อนจะเบิกตากว้าง แล้วรีบส่งกล่องนั้นคืนให้เจ้านายตน "ดิฉันรับไม่ได้หรอกค่ะคุณชาร์ล็อต"

"ทำไมล่ะ?" คนให้ขมวดคิ้ว "ก็ฉันให้ลอร่าไง เป็นการตอบแทนที่ลอร่าดีกับฉันเหลือเกิน"

ฝ่ายตรงข้ามนิ่งไปเล็กน้อยด้วยความซาบซึ้ง หล่อนได้แต่ยิ้ม ก่อนจะยืนยันคำเดิม "ได้ฟังแค่นี้ดิฉันก็ดีใจมากแล้วค่ะ แต่ดิฉันรับของจากคุณชาร์ล็อตไม่ได้เพราะดิฉันเป็นแค่ทาส"

เอสเพนลุกขึ้นยืน แล้วรวบมืออีกฝ่ายให้รับกล่องสร้อยนั้นไว้ "ลอร่าไม่รักฉันหรือไง?"

"รักสิคะ" ลอร่ารีบพูดขึ้น นายของหล่อนนอกจากไม่เคยดุด่าหรือพูดจาดูถูกแล้ว ยังช่วยหล่อนทำงานต่าง ๆ อีก ถ้าหล่อนไม่รักคนอย่างนี้ หล่อนก็คงจะเกลียดคนผิวขาวทั้งโลก

"ถ้าลอร่ารักฉันลอร่าก็ต้องรับเอาไว้ ถ้าไม่รับ แสดงว่าลอร่าไม่ได้รักฉันจริงอย่างที่พูด"

หญิงรับใช้ยอมรับสร้อยที่อีกฝ่ายส่งให้อย่างจำใจเมื่อได้ยินประโยคนั้น แล้วต้องสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อเด็กหนุ่มเข้ามากอดหล่อนเอาไว้

ตัวของลอร่ามีกลิ่นหืนของน้ำมันติดอยู่ แต่เขาไม่รู้สึกนึกรังเกียจเลยสักนิด "ลอร่า" เอสเพนกระซิบ "ถ้าพรุ่งนี้เปิดประตูเข้ามาแล้วไม่เจอฉัน ลอร่าจะตกใจมากไหม?"

คนฟังเบิกตากว้าง แล้วดึงร่างโปร่งออกมาละล่ำละลักถาม "ทำไมคะ!? คุณชาร์ล็อตจะไปไหน!?"

เด็กหนุ่มแสร้งยิ้มกลบเกลื่อน "ฉันไม่ได้จะไปไหนทั้งนั้นแหละ แค่อยากแหย่ลอร่าเล่นว่าจะมีปฏิกิริยายังไง?"

"คุณทำดิฉันหัวใจแทบวาย" หล่อนค้อน พลางยกมือขึ้นทาบอก "นอนเสียเถอะนะคะ ดึกมากแล้ว"

เจ้าของดวงตาสีเขียวสดสอดตัวลงในผ้าห่มอย่างว่าง่ายพลางยิ้มให้อีกฝ่ายที่กำลังดับเทียนให้ ก่อนจะแกล้งปิดเปลือกตา แล้วลืมขึ้นมาใหม่เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูเบามือ

++++++++++

เสียงแมลงและสัตว์กลางคืนที่กรีดร้องขึ้นในความมืดเป็นระยะฟังแล้วชวนขนลุก แต่สำหรับเอสเพน มันเป็นเหมือนเสียงที่ต้อนรับเขากลับสู่อิสรภาพที่แท้จริงอีกครั้ง

เด็กหนุ่มนอนรอให้เวลาดึกสงัดมาถึงด้วยความกระสับกระส่าย แล้วลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเสียงที่สุดเมื่อดวงจันทร์เริ่มคล้อยไปทางขอบฟ้าซีกตะวันออกและทำให้เงาที่ทาบทับบนพื้นเปลี่ยนทิศทางไปด้วย เขาถอดชุดนอนออกจนเหลือแต่ร่างเปล่าเปลือยแล้วค่อย ๆ เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกชุดที่รัดกุมที่สุด แต่ดูเหมือนแต่ละชุดจะเหมือนกันหมด เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายให้เป็นชุดที่ตัดเย็บด้วยผ้าราคาถูกที่สุดแทน

ร่างโปร่งสูดลมหายใจเข้าลึก พลางหมุนตัวมองรอบห้องที่ตัวเองหยิบยืมมาอาศัยชั่วคราวด้วยความอาวรณ์ แม้มันจะไม่ใช่ที่ที่เขาสมควรอยู่ แต่เขาก็จะจำความอบอุ่นและความสบายใจเมื่อได้อยู่ในห้องนี้ไปตลอดชีวิต

ประตูห้องนอนถูกแง้มออกทีละนิดด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่ร่าง ๆ หนึ่งจะแทรกผ่านออกมา เอสเพนคิดถึงคราวที่ตนตั้งใจจะหนีออกไปในยามวิกาลครั้งก่อน ตอนนั้นเขาเลือกที่จะออกทางประตูหน้าเพราะยังไม่รู้ที่ทางในบ้านดีพอ แล้วก็ต้องเจอยามเฝ้าประตูทั้งสองครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะหลบเข้ามาก่อนที่ฝ่ายนั้นจะทันเห็นตนก็ตาม คราวนี้เด็กหนุ่มตัดสินใจที่หนีออกทางประตูหลังซึ่งอยู่ติดกับชายป่า และน่าจะมีที่หลบหลีกได้มากกว่าด้านหน้าซึ่งเป็นลานโล่ง เขาย่องผ่านห้องนั่งเล่นที่ดูว่างเปล่าและวังเวงในยามวิกาล แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องครัวซึ่งมีประตูเปิดออกสู่ด้านหลัง

ดวงตาสีเขียวมองฝ่าความมืดออกไปนอกหน้าต่างที่มีแสงจันทร์กระจ่างสาดส่องผิดกันในตัวบ้าน ยามชายที่ถูกวางเอาไว้หนึ่งคนนั้นกำลังสัปหงกทั้ง ๆ ที่อยู่ในท่ากอดอกและนั่งสมาธิ เขากัดริมฝีปากแล้วรู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวจนกลัวว่าคนทั้งบ้านอาจจะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงของมัน ขณะค่อย ๆ ถอดกลอนประตูอย่างเบามือแล้วเปิดออกทีละน้อย

เอสเพนแทบจะอยากถอนหายใจออกมาดัง ๆ ด้วยความโล่งอกเมื่อแทรกร่างผ่านประตูออกมาได้ เขาเหลือบมองร่างของยามคนนั้นอีกครั้ง ร่างบึกบึนดูตัดกับแสงสว่างของดวงจันทร์จนเป็นกรอบเด่นชัดยังคงสัปหงกด้วยท่าเดิม เด็กหนุ่มกลั้นใจอีกครั้งขณะปิดประตูเข้าไปเหมือนเดิม ก่อนจะค่อย ๆ เหยียบย่องไปบนใบไม้แห้งที่ร่วงทับถมอยู่บนพื้น เขาเลือกที่จะก้าวให้เบาและยาวกว่าปกติ เพื่อการประหยัดเวลาและให้เกิดเสียงน้อยที่สุด

เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียดหลังจากที่เก็บเอาไว้นานเมื่อแน่ใจว่าพ้นรัศมีการได้ยินของยามผู้นั้น เขาเริ่มวิ่งเหยาะ ๆ เป็นการอุ่นเครื่อง แล้วเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เสียงหอบหายใจดังผสมกับเสียงฝีเท้าบนใบไม้แห้งที่ดังสวบ ๆ ไปตามทางทำให้เขานึกเกลียดตัวเองนัก ระยะเวลาเดือนกว่าที่อยู่ในบ้านไวลีย์คงจะทำให้เขาสุขสบายเกินไปและลืมความยากลำบากไปชั่วขณะ ถึงได้ทำให้เขาเหนื่อยง่าย ทั้ง ๆ ที่ระยะทางที่วิ่งมาในคืนนี้ แตกต่างกับตอนที่หนีออกมาจากสปริงฟีลด์ลิบลับ

เอสเพนจำได้อย่างแม่นยำ วันนั้นเขาวิ่งภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนระอุมาถึงห้าชั่วโมงครึ่ง!

แม้อากาศตอนกลางคืนจะเย็นจัดและชื้นไปด้วยไอน้ำ แต่ถึงกระนั้นเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ก็ผุดพรายออกมาจากผิวเนียน เด็กหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาวิ่งได้ไม่ค่อยถนัดนักเนื่องจากความรุ่ยร่ายของกระโปรงที่สวมอยู่

เขาหยุดวิ่งด้วยจุดประสงค์ที่จะฉีกชายกระโปรงออกไปบ้าง แล้วต้องผวาเฮือกไปมองข้างหลังด้วยความตกใจเมื่อใบหูแว่วเสียงเหยียบใบไม้แห้งซึ่งบัดนี้กลับนิ่งสนิทราวกับอยู่ในป่าช้า

เอ็ดการ์ ไวลีย์!

ชื่อที่ผุดขึ้นในสมองทำให้หัวใจที่เต้นถี่อยู่แล้วรัวเร็วขึ้นกว่าเดิม ดวงตาสีเขียวกวาดตามองไปรอบตัวที่มีแต่ต้นไม้สูงตระหง่าน ก่อนจะสบถผ่านลมหายใจหอบกระชั้น ผู้ชายคนนั้นทำให้เขากลายเป็นคนขวัญผวาไปแล้ว!

เสียงที่ดังแข่งกับเสียงแมลงกลางคืนดูเหมือนจะมีเพียงเสียงหอบหายใจและเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงจนได้ยินออกมาข้างนอก เอสเพนโยนชายกระโปรงที่ฉีกออกมาทิ้งหลังจากลังเลอยู่ชั่วเสี้ยววินาทีว่ายังจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อีกหรือเปล่า เด็กหนุ่มวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ โดยพยายามรักษาความเร็วให้คงที่แม้จะทำไม่ค่อยได้นัก เมื่อรู้สึกว่าขาของตัวเองอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ

เขากัดริมฝีปากอย่างนึกขัดใจ คราวก่อนเขาวิ่งหนีจากสปริงฟีลด์อย่างหัวซุกหัวซุนเนื่องจากความเสี่ยงในครั้งนั้นเท่ากับชีวิตทั้งชีวิต แต่ครั้งนี้ทำไมเขาถึงจะได้คิดว่าความเสี่ยงมีน้อยลง อาจเป็นเพราะเวลาที่เขาเลือกหนีเป็นยามวิกาล และยากแก่การที่จะติดตามก็ได้กระมัง

เอสเพนเริ่มตั้งจุดหมายให้ตัวเองเพื่อให้เกิดกำลังใจในการวิ่ง เขาจะวิ่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอแม่น้ำซึ่งคงอยู่ห่างไปอีกไม่ไกลนักแล้วจึงจะหยุดพัก

แม่น้ำ….แม่น้ำ…แม่น้ำ…

ร่างโปร่งถลาล้มลงกับพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งเมื่อขาอ่อนล้าทั้งสองข้างขวิดกันจนเสียหลัก เขาผ่อนลมหายใจออกแรงด้วยความเหนื่อยอ่อน แล้วพลิกกายขึ้นนอนแผ่หรา ก่อนจะบอกตัวเอง…

ได้แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว ขอพักสักหน่อยดีกว่า

มือเล็กวางบนแผ่นอกเต้นรัวของตัวเอง แล้วครางในคอ หัวใจของเขาเต้นแรงเสียจนน่ากลัวว่ามันจะหยุดเต้นภายในเสี้ยววินาทีด้วยซ้ำ

เสียงย่ำใบไม้แห้งทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวแล้วลืมตาโพรง หัวใจที่เคยคิดว่าเต้นแรงจนถึงขีดสุดแล้วกลับรัวเร็วยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นเงาร่างสูงที่ยืนทะมึนอยู่ตรงปลายเท้า

"เธอวิ่งเก่งเสียจนฉันแทบตามไม่ทันแน่ะ" เสียงทุ้มราบเรียบปนอาการหอบดังขึ้นท่ามกลางเสียงแมลงกลางคืน

เอ็ดการ์ ไวลีย์!!!

++++++++++

*****
End of Part 4

comment