ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Eye On Me (Part 5) by...เฟื่อง Warning: เรื่องนี้มีวี่แววจะน้ำเน่ามากอยู่(คนเขียนเองก็ยังไม่รู้ระดับความน้ำเน่าเหมือนกัน แต่คงเน่ากว่าทุก ๆ เรื่องที่เขียนมา) เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ชอบก็ขอเตือนไว้แต่เนิ่น ๆ เน้อ เอ็ดการ์ ไวลีย์!!! ผู้ชายคนนี้เป็นปิศาจหรือยังไงกันนะ
ถึงได้เข้ามาตอนที่เขาไม่รู้ตัวเสียแทบทุกครั้ง! เอสเพนสะอื้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ก่อนจะตะกายตัวลุกขึ้นวิ่งกะเซอะกะเซิงเหมือนคนขาดสติ แต่อิสรภาพของเขาสิ้นสุดลงเพียงแค่ชั่ววินาทีเมื่อถูกต้นแขนแข็งแรงรวบเอวเอาไว้ได้ "ปล่อย! ปล่อย! บอกให้ปล่อย
" ร่างสูงดันแผ่นหลังเล็กให้ชนต้นไม้แล้วแนบตัวเข้าประชิด
ก่อนจะเค้นเสียงรอดไรฟัน "ว่าไง? มีอะไรจะพูดอีกไหม แม่ชาร์ล็อตคนดี
ฉันควรจะเรียกเธอว่าอะไรดีล่ะ?" น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมและดวงตาที่เป็นประกายแวววามในความมืดทำให้เด็กหนุ่มสะอื้นฮักออกมา
แล้วร้องอ้อนวอนขอความเห็นใจอีกฝ่ายอย่างน่าเวทนา "ปล่อยผมไปเถอะ ได้โปรด
ได้โปรดเถอะมิสเตอร์เอ็ดการ์
ผมไม่ได้ขโมยของจากบ้านคุณติดตัวมาแม้แต่ชิ้นเดียว
ปล่อยผมไปเถอะนะ ได้โปรด" ร่างโปร่งทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยงแรง
เมื่อชายหนุ่มผ่อนช่องว่างเพื่อให้เขามีอากาศหายใจได้บ้าง เอ็ดการ์ทิ้งตัวลงนั่งเหยียดขาพลางถอนหายใจออกมาในขณะยังจับข้อมือเล็กไว้แน่น
ระยะทางที่วิ่งมาเมื่อครู่ทำให้เขาเสียพลังงานไปไม่น้อย "ชาร์ล็อต!" เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน
"ไม่สิ
เธอชื่ออะไร? ชื่อจริง ๆ แบบที่ไม่ต้องโกหกน่ะ" "อะ
เอสเพน ดาลกิ้น" เจ้าของชื่อตอบพลางขยับข้อมือตัวเองอย่างอึดอัด
ก่อนจะอ้อนวอนอีกครั้ง "ปล่อยผมไปเถอะนะ ผมไม่ได้ทำผิดอะไรเลย" "ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย!?"
เอ็ดการ์ทวนคำด้วยเสียงเยาะหยัน "ไหนลองบอกฉันมาหน่อยซิ ว่าเธอเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย" "
ผู้ชาย" เด็กหนุ่มตอบแล้วรู้สึกโกรธขึ้นมาเมื่อความกลัวลดหายไปทีละน้อย
เขาอุตส่าห์หนีออกมาจากบ้านไวลีย์เพื่อที่จะได้ไม่ต้องโกหกทุกคนอีกต่อไป
แต่ชายหนุ่มกลับตามมาเพื่อจะคาดคั้นความจริงจากเขาให้ได้ เอสเพนพยายามสะบัดข้อมือที่เจ็บร้าวของตนให้เป็นอิสระอย่างบ้าคลั่ง
พลางตะเบ็งเสียงแหบแห้งออกมาจากลำคอ "ถึงผมจะหลอกทุกคนแต่ผมก็ไม่เคยทำอะไรผิดในบ้านของคุณก็แล้วกัน" "เธอหลอกพ่อแม่หลอกน้องฉันถึงขนาดนั้นยังว่าไม่ผิดอีกหรือไง!?"
ชายหนุ่มตะคอกแล้วตวัดร่างโปร่งเข้ามาในอ้อมแขนที่แข็งราวกับปลอกเหล็กเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดดิ้น
"อ้อ
แล้วยังหลอกเจ้าโจชัวหน้าโง่เสียจนอยู่หมัดด้วย" "ผมพยายามหนีมาจากบ้านคุณตั้งแต่แรกแล้ว
คุณคิดว่าผมอยากจะหลอกคนอื่นนักหรือไง!" เอสเพนตะโกนตอบแล้วออกแรงดิ้นอย่างสุดชีวิตแต่ร่างสูงแทบจะไม่สะดุ้งสะเทือนสักนิด
เขาหยุดดิ้นเมื่อน้ำตาเริ่มไหลออกมาอีก แล้วตัดสินใจอ้อนวอนร้องขออีกฝ่ายเป็นครั้งที่สาม
"เอ็ดการ์ ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะนะ
ได้โปรด
" น้ำเสียงนั้นเรียกความสงสารให้ชายหนุ่มได้ไม่น้อย
เอ็ดการ์ค่อยคลายแขนออก แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามหายใจได้สะดวกขึ้นบ้าง
ดวงจันทร์ที่ให้แสงกระจ่างทำให้เขาเห็นใบหน้าเล็กที่แดงก่ำและชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา
เขาถอนหายใจก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมมาก "ถ้าคนอื่นจับได้ว่าลอร่ามีสร้อยเส้นนั้น
เธออาจจะถูกโทษประหารข้อหาลักขโมยของเจ้านาย รู้ตัวบ้างรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป?" ดวงตาสีเขียวเบิกโพรงทั้งจากสิ่งที่ชายหนุ่มพูด
ทั้งจากข้อเท็จจริงที่ประติดประต่อได้เอง
เอ็ดการ์ระแคะระคายเรื่องที่เขาจะหนีมาจากลอร่า! ตอนนั้นเขาไม่น่าปากมากเลยจริง ๆ! "เอ็ดการ์ ให้ผมหนีไปเถอะนะ"
เขาร้องอ้อนวอนอีกครั้ง แล้วใจชื้นขึ้นเมื่อฝ่ายตรงข้ามนิ่งเงียบไปเหมือนกำลังชั่งใจ
จึงได้พูดขึ้นมาอีก "ได้โปรด ผมสาบานว่าการที่ผมหนีไปจะไม่ทำความเดือดร้อนให้ใครเลย" "เธอจะหนีไปไหน?" เอ็ดการ์ถามขึ้นหลังจากนิ่งไปนาน เด็กหนุ่มรีบละล่ำละลักตอบอย่างมีความหวัง
"ผมจะข้ามไปมิสซิสซิปปี และสัญญาว่าจะไม่กลับมาให้คุณเห็นหน้าอีกชั่วชีวิต
ได้โปรด ปล่อยผมไปเถอะนะ" "ฉันจะตัดสินใจก็ต่อเมื่อได้ยินความจริงทั้งหมดจากปากเธอ" "ความจริง
" เสียงนุ่มแผ่วลงจนกลายเป็นเสียงกระซิบ
"ความจริงอะไร?" ชายหนุ่มดุ "อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้เลยน่า
ความจริงเรื่องของเธอทั้งหมดก่อนจะมาอยู่ที่บ้านฉัน" เอสเพนกลืนน้ำลายลงคอยากเย็น ก่อนพลิกตัวมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายซึ่งบัดนี้ปล่อยให้เขาเป็นอิสระแม้จะยังนั่งประชิดเพื่อกันเขาหนีก็ตาม
เด็กหนุ่มสบตาสีน้ำตาลทองที่แวววามอยู่บนใบหน้าคมสันพลางแตะลิ้นเข้ากับริมฝีปากตัวเองอย่างลังเลใจ
ก่อนจะถามขึ้นด้วยเสียงที่สั่นน้อย ๆ "ถ้าผมเล่าคุณสัญญาได้มั้ยว่าจะไม่บอกใครแม้แต่คนเดียว?" ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้ารับ "ถ้าเธอพูดแต่ความจริง
อย่านึกว่าฉันจะโง่เกินกว่าจะจับโกหกเธอได้ล่ะ ฉันต้องการฟังความจริงเท่านั้น" ++++++++ "ผม
ฆ่าคนตาย" น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นทั้งสะท้านไหว
ทั้งมีความลังเลและความหวาดกลัวเจือไว้อยู่ไม่น้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนฟังลดอาการตื่นตกใจไปได้แม้แต่นิดเดียว
ร่างสูงผุดลุกขึ้น แล้วตะโกนถามก้องป่า "เธอว่ายังไงนะ!?" "ผมฆ่าคน!" เอสเพนลุกตามขึ้นมาบ้าง
"นี่ไงล่ะความจริงที่คุณต้องการ ผมฆ่าคน ได้ยินมั้ย ผมเป็นฆาตกรฆ่าคนที่ทางหลุยส์เซียน่ายังตามหากันอยู่!" "หลุยส์เซียน่า
เธอ
ทำไม?"
เสียงทุ้มเอ่ยถามเป็นห้วง ๆ มาถึงตอนนี้เขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะโกหก แต่ประโยคที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่ายก็รุนแรงเกินกว่าเขาจะรับได้ เปลือกตาบางปิดแน่น ภาพความทรงจำไหลเข้ามาเป็นฉาก
ๆ เสียงพี่สาวที่หวีดร้อง กลิ่นเลือดคาวคลุ้งและเสียงของมีคมที่เฉาะเข้าไปในเนื้อมนุษย์
สีหน้าความเจ็บปวดทรมานก่อนที่วิญญาณจะหลุดออกไปจากร่าง เด็กหนุ่มเริ่มตัวสั่นอย่างระงับไว้ไม่ได้
แล้วค่อยรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อตกไปอยู่ภายในอ้อมอกอันอบอุ่น "ค่อย ๆ เล่าก็ได้ ไม่ต้องกลัว
ฉันจะรับฟังเธอทุกอย่าง" เอ็ดการ์ปลอบประโลมพลางกดศีรษะเล็กให้ซุกลงกับบ่าตนจนรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่ไหลทะลักออกมาจนชุ่มโชก "มันข่มขืนโจเซฟีน
เธอร้อง
ร้องแล้วเงียบเสียงไปตอนที่ผมไปถึงที่นั่น"
ความทรงจำเริ่มถูกถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดที่ขาดเป็นห้วง ๆ จากสภาพจิตใจของคนเล่า
"ไอ้สัตว์นรกนั่นกำลังอยู่บนตัวโจเซฟีน มันร้องครางอย่างมีความสุข
ในขณะที่โจเซฟีนครางก่อนจะสิ้นใจ
ผม
เอาขวาน
จามมัน!" ร่างโปร่งในอ้อมแขนแข็งแรงสะท้านเกร็งขึ้นมาทันทีราวกับกลิ่นคาวของเลือดและเสียงคมขวานแหวกเข้าร่างที่ยังมีเลือดเนื้อและชีวิตยังตามมาหลอนความรู้สึก
แม้จะสยดสยองกับภาพที่จินตนาการตาม
แต่ร่างที่สั่นเทาของคนเล่าก็ทำให้เอ็ดการ์กระชับวงแขนตัวเองแน่นเข้า แล้วสางนิ้วเข้าไปในเส้นผมสีน้ำตาลแดงอย่างอ่อนโยน "ผมมันสกปรก
ผมเป็นคนบาปที่พระเจ้าจะไม่มีวันให้อภัย!"
เอสเพนสะอื้นฮัก พลางกอดรัดอีกฝ่ายตอบเหมือนต้องการที่ยึดเหนี่ยว เสียงทุ้มที่ปลอบประโลมนิ่งสงบราวกับนักบุญ
"พระเจ้าจะทรงให้อภัยเธอ เธอไม่ได้ตั้งใจฆ่าคนใช่ไหม?" เด็กหนุ่มส่ายหน้าอย่างรุนแรง แล้วพูดซ้ำ
ๆ "ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่ได้ตั้งใจเลย พอรู้ตัวอีกทีมันก็สิ้นใจตายอยู่บนร่างโจเซฟีนแล้ว" "คนที่เธอฆ่า
" ร่างสูงเว้นช่วงพลางถอนหายใจ
ราวกับต้องการจะหาคำพูดที่จะส่งผลกระทบถึงจิตใจอีกฝ่ายน้อยที่สุด "คนที่ทำร้ายโจเซฟีนเป็นใคร?" "มันเป็นพ่อเลี้ยงของผมเอง"
น้ำเสียงที่ตอบอวลไปด้วยความเกลียดชังและขยะแขยง "แล้ว
พ่อแม่ของเธอ?" "พ่อเมาเหล้าจนจมน้ำตายไปตั้งแต่ผมอายุสิบสอง
แม่แต่งงานใหม่ได้ไม่ถึงปีก็ตาย" เด็กหนุ่มเอ่ยเล่าด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
แม้จะชาชินกับชีวิตที่ไร้บุพการีและต้องยึดเพียงตัวเองเป็นที่พึ่ง แต่ถึงกระนั้นเขาก็อดจะน้อยใจในโชคชะตาไม่ได้ที่ทำให้เขาและพี่สาวเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องรับเคราะห์ซ้ำซ้อนเช่นนี้ เอ็ดการ์ถอนใจอีกครั้ง แล้วกอดรัดร่างเล็กราวกับต้องการจะบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาจะเป็นคนคอยคุ้มครองให้
เด็กคนนี้มีชีวิตรันทดกว่าที่เขาคิดเอาไว้มากต่อมาก ดูจากปฏิกิริยาเวลาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว
เขาแน่ใจว่าการฆาตกรรมในครั้งนั้นจะต้องเกิดขึ้นจากการควบคุมตัวเองไม่อยู่เมื่อเห็นพี่สาวถูกทำร้ายของเจ้าตัว
มากกว่าที่จะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจ ชายหนุ่มดึงร่างอีกฝ่ายออกแล้วเกลี่ยน้ำตาให้อย่างเบามือ
ผิวเนื้อที่เขาสัมผัสอยู่เย็นเฉียบ ใบหน้าเนียนแดงก่ำด้วยความเหนื่อยอ่อนและจากการที่ร้องไห้มามาก
เอ็ดการ์มองรอบตัวอย่างจนใจ เขาอยากจะหาเสื้อคลุมให้เด็กหนุ่ม แต่ตัวเองก็สวมอยู่แค่เพียงชุดนอนและรู้สึกหนาวไม่แพ้กัน "คุณสัญญาแล้วนะว่าจะปล่อยให้ผมหนี"
เอสเพนรีบพูดเตือน เมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนลงไปมากของฝ่ายตรงข้าม ร่างสูงตอบเสียงเรียบ "ฉันไม่ได้สัญญาอะไรทั้งนั้น
เอสเพน" "คุณว่าอะไรนะ!?" "ฉันแค่บอกว่าจะฟังเรื่องของเธอก่อนการตัดสินใจเท่านั้น" เอสเพนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นเบา
ๆ "แล้วตอนนี้คุณตัดสินใจรึยังล่ะ?" "แน่นอน" ชายหนุ่มพูด พลางจับข้อมืออีกฝ่าย
"ฉันตัดสินใจว่าเราควรจะกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ขึ้นดีกว่า" "อะไรนะ!?" เจ้าของดวงตาสีมรกตร้อง
แล้วเริ่มสะบัดข้อมือตัวเองให้เป็นอิสระ "คุณคิดว่าผมหนีออกมาเพื่ออะไรกันนะ!" "เพราะเธอไม่อยากโกหก ใช่มั้ย?"
"ใช่" "แต่เธอก็ไม่กล้าพอที่จะบอกความจริง"
ดวงตาคมกริบหรี่ลงอย่างพิจารณา เด็กหนุ่มก้มหน้าหนีสายตานั้น แล้วตอบไม่เต็มเสียง
"ใช่" "ตอนนี้ฉันรู้เรื่องของเธอแล้ว
เธอไม่จำเป็นต้องหนี ฉันจะไม่ปล่อยให้เด็กอายุเท่าเธอเร่ร่อนไปตัวคนเดียวแน่นอน" ประโยคนั้นเอสเพนเงยหน้าขึ้นมองคนพูดด้วยสายตาคาดไม่ถึงทันที
พ่อลูกคู่นี้
นายอำเภอไวลีย์ก็เคยพูดกับเขาอย่างนี้ไม่มีผิดเพี้ยน! เอ็ดการ์ถามขึ้นเมื่อเห็นอาการลังเลของร่างโปร่ง
"เธอไม่มีความสุขสักนิดเลยเหรอเวลาอยู่กับครอบครัวฉัน?" "ผมมีความสุขมาก มากเสียจนไม่อยากจากไปไหนด้วยซ้ำ"
เขายอมรับ "ทุก ๆ คนในบ้านรักเธอมาก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่
พอลลีน ดอริส ลอร่า หรือแม้แต่คนอื่น ๆ" ร่างสูงพูดหยั่งเชิงต่อไปอีก "แต่ผม
" "เพราะฉะนั้นเธอก็ควรจะทำตัวตามปกติ
ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องที่ได้ฟังในคืนนี้ให้ใครรู้แม้แต่คนเดียว รวมถึงความลับเรื่องที่เธอเป็นผู้ชายด้วย"
เอ็ดการ์ตัดบทด้วยการสรุป แล้วลากอีกฝ่ายเดินกลับไปยังทิศทางเดิม เด็กหนุ่มรั้งข้อมือตัวเองไว้ แล้วร้องขึ้นมาอย่างตกใจ
"นั่นก็หมายความว่าผมต้องแต่งตัวเป็นผู้หญิงตลอดไปไม่ใช่หรือไง!?" ร่างสูงใหญ่ข้างหน้าชะงักกึก แล้วนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่
ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ "ฉันเชื่อว่าเราจะหาทางแก้ปัญหานั้นได้ในไม่ช้า" ทั้งป่ามีแต่เสียงแมลงกลางคืนกรีดร้องเมื่อเอสเพนตกอยู่ในช่วงการตัดสินใจที่แสนจะยากลำบาก
เขานึกเกลียดความอ่อนเปลี้ยที่เข้าจู่โจมอย่างกระทันหันและจิตใจที่โลเลของตัวเอง
อิสรภาพบนความไม่แน่นอนที่รออยู่อีกริมฝั่งแม่น้ำกับความรักความอบอุ่นที่มีพร้อมไว้ให้ตนที่บ้านไวลีย์เป็นตัวเลือกที่สร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในตัวเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจออกยาว แล้วเหลือบมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนรอการตัดสินใจของตนอยู่อย่างอดทน
ก่อนจะลากขาที่หนักอึ้งเดินตามอีกฝ่ายไปทิศทางที่เพิ่งวิ่งจากมาอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เขาจะลองเชื่อใจเอ็ดการ์ ไวลีย์ ดูสักครั้ง
และขอภาวนาให้มันเป็นการตัดสินในที่ถูกต้องด้วยเถิด ++++++++ ยามที่เฝ้าอยู่ทางหน้าบ้านดูจะไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เห็นเอ็ดการ์จูงมือเขากลับเขามา
แต่ก็มีทีท่าฉงนอยู่เล็กน้อยเมื่อเห็นชายกระโปรงที่ถูกฉีกขาดของเด็กหนุ่ม
ร่างสูงตบไหล่หนาบึกบึนของยามผู้นั้นแล้วพูดเบา ๆ ก่อนเข้าบ้าน "ฝากหน่อยนะ" ทั้งคู่พยายามเดินย่องเพื่อให้เกิดเสียงน้อยที่สุด
เอสเพนรั้งต้นแขนอีกฝ่ายไว้เมื่อชายหนุ่มมาส่งเขาที่หน้าห้อง ร่างโปร่งก้มหน้าลงอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก "ขอบคุณ แล้วก็ขอโทษที่ทำให้คุณต้องวุ่นวาย" หูของเขาแว่วเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมมาขยี้ศีรษะจนผมสีน้ำตาลแดงยุ่งกระจาย "จะดีมากถ้าพรุ่งนี้เธอทำตัวให้เป็นปกติเหมือนอย่างทุกวัน" เขาพยักหน้าในความมืด แล้วเดินเข้าห้องตัวเอง
ความง่วง ความเหนื่อย ความอ่อนล้าที่สะสมในร่างกายอยู่นานทำให้เอสเพนปีนขึ้นเตียงแล้วสอดตัวลงใต้ผ้าห่มหนานุ่มและอบอุ่น
ลมหายใจยาวถูกระบายออกมาด้วยความรู้สึกปลอดภัยและโล่งใจอย่างประหลาด ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับวูบเมื่อเจ้าของร่างโปร่งตกอยู่ในห้วงนิทรารมย์ ++++++++++ ความรู้สึกเย็นชื้นที่ไล่สัมผัสตามผิวเนื้อทำให้ดวงตาสีมรกตค่อย
ๆ กระพริบลืมขึ้นด้วยความรู้สึกหนักหนังตาเหลือกำลัง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือใบหน้าสีคล้ำของลอร่าที่กำลังพิจารณาสภาพร่างกายของเขาอย่างเป็นกังวล
เอสเพนอ้าปากหาวขณะยกมือขยี้ตา ทำให้หญิงรับใช้ประจำตัวยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นอีกฝ่ายตื่นขึ้นมาในที่สุด "คุณชาร์ล็อต ดีจริง ๆ ที่คุณตื่นแล้ว
ฉันนึกว่าคุณจะเป็นหนักจนต้องไปตามหมอเสียอีก" "ฉันไม่เป็นไรหรอกลอร่า"
พูดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างหนักอึ้งขึ้นมาทันที ราวกับมีเหล็กตันมาทับไว้
"เมื่อคืนลอร่ารู้
" "ดิฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้นค่ะคุณชาร์ล็อต"
สาวใช้ผิวดำรีบตัดบทขึ้น เอสเพนแน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องรู้เรื่องที่เขาแอบหนีออกไปบ้างไม่มากก็น้อย
แต่เธอคงไม่อยากให้เขากังวล "ลอร่า" เขาเรียก พลางบีบมือหยาบกร้านที่กำลังบังคับผ้าขนหนูอยู่บนเรียวขาของตนอย่างซาบซึ้ง
"ฉันขอโทษที่บังคับให้ลอร่ารับสร้อยนั่น ฉันไม่รู้ว่ามันจะทำให้ลอร่าลำบาก" หญิงสาวยิ้ม ทำให้เห็นฟันสีขาวตัดกับผิวสีของตน
"ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันดีใจมากที่คุณจะให้ของสักชิ้น ตอนนี้ดิฉันเก็บกล่องนั้นไว้ที่ตู้เสื้อผ้าคุณเหมือนเดิมแล้วล่ะค่ะ" "ดีแล้วล่ะ" เด็กหนุ่มยิ้ม
ก่อนจะอุทานเมื่อนึกขึ้นได้ "จริงสิ
เสื้อผ้า" เขาผุดลุกขึ้นแล้วต้องเบ้หน้าเมื่อความเมื่อยขบแล่นขึ้นมาทั้งร่าง
เมื่อคืนเขานอนทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เปลี่ยนชุดก่อน ตอนนี้เขาเพิ่งจะเห็นสภาพกระโปรงที่ใส่อยู่
นอกจากชายของมันจะขาดเนื่องจากถูกเขาฉีกทิ้งแล้ว มันยังขมุกขมอมไปด้วยเศษดินและเศษใบไม้
โชคดีที่กระโปรงทำมาจากผ้าเนื้อหนาพอ ไม่อยากนั้นอาจจะถูกกิ่งไม้เกี่ยวจนขาดวิ่นไปทั้งตัวแล้วก็ได้ "จะทำไงดีล่ะ?" เขาครวญพลางมองไปทางหญิงรับใช้อย่างเป็นกังวล ลอร่าประคองร่างโปร่งให้ลุกจากเตียง
เอสเพนสบถในคอเมื่อขาทั้งสองข้างที่ยืนบนพื้นสั่นระริก เขาเดินเข้าไปในฉากแล้วรับเสื้อผ้าชุดใหม่จากอีกฝ่ายมาสวม "คุณไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ"
หญิงสาวว่า "ดิฉันจะเย็บแก้ให้ รับรองว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น เดี๋ยวคุณหวีผมสักหน่อยแล้วค่อยนอนต่อนะคะ
มาสเตอร์เอ็ดการ์บอกว่าคุณเพลียมาก" "เอ็ดการ์?" เด็กหนุ่มทรุดตัวลงหน้ากระจก แล้วให้ตกใจกับดวงตาที่บวมจนแทบจะปิดของตัวเอง
เมื่อคืนเขาผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก มิน่าเล่าเมื่อครู่ถึงได้รู้สึกหนักหนังตานัก "เอ็ดการ์ตื่นแล้วเหรอ?"
เขาถามอย่างฉงน เพราะรู้ดีว่าเมื่อคืนชายหนุ่มก็เพลียไม่แพ้ตัวเองเช่นกัน "ตื่นแล้วล่ะค่ะ ท่านให้ดิฉันบอกทุกคนว่าคุณไม่สบาย
พอคุณพอลลีนกับนายผู้หญิงจะขึ้นมาเยี่ยมหลังอาหารเช้า มาสเตอร์เอ็ดการ์ก็ห้ามไว้
บอกว่าให้คุณพักผ่อนจะดีกว่า คุณชาร์ล็อต
" คนพูดเว้นช่วงแล้วสบตาเขาในกระจกอย่างตื่นเต้น
"คุณโชคดีเหลือเกิน มาสเตอร์เอ็ดการ์เป็นคนดีมาก คุณจะต้องมีความสุขแน่
ๆ" ประโยคนั้นทำให้เอสเพนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
แต่ก็อดจะนึกขำความเข้าใจผิดของลอร่าไม่ได้ เธอคงยังไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย
"ลอร่า
เรื่องมันไม่ใช่อย่างที่ลอร่าเข้าใจ" "เอาเถอะค่ะ" ฝ่ายนั้นตัดบท
"ตอนนี้คุณหิวหรือยังคะ?" ร่างโปร่งส่ายหน้า แล้วลุกเดินสะโหลสะเหลขึ้นเตียง
"ฉันอยากนอนต่อมากกว่า" "ให้ดิฉันนวดยาใส่ขาคุณก่อนแล้วกันนะคะ" เด็กหนุ่มตอบรับในลำคอเมื่อรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
ฝ่ามือของลอร่าแม้จะหยาบกร้าน แต่หล่อนก็ไม่ได้นวดขาเขาหนักแรงเกินไป ร่างที่กำลังจะเคลิ้มหลับกับสัมผัสนั้นลืมตาโพรงขึ้น
แล้วตะครุบมือที่กำลังจะไล่มาถึงโคนขาตน ก่อนจะแก้ตัวเมื่อเห็นแววตาสนเท่ห์ของอีกฝ่าย "ฉันไม่ปวดตรงนี้น่ะ นวดแต่น่องเถอะนะ" ลอร่าพยักหน้ารับแล้วทำตาม ร่างโปร่งเอ่ยขอบคุณเบา
ๆ เมื่อหญิงสาวลุกขึ้น แล้วห่มผ้าให้ตน ก่อนจะผล็อยหลับไปอีกครั้งอย่างเหนื่อยล้า +++++++++ ดวงตาสีราตรีมองภาพที่เห็นอยู่ในชายป่าอย่างพอใจ
พักนี้ชาร์ล็อตดูจะสนิทสนมกับพี่ชายของเธอมากขึ้น แม้ว่าหล่อนจะขัดใจอยู่บ้างตรงที่โจชัว
วิลเลียมส์ ยังมาที่บ้านเกือบทุกวัน แล้วไหนจะยังมียูจีเนีย ที่พักนี้รู้สึกจะให้ความสนอกสนใจเอ็ดการ์เป็นพิเศษ เด็กสาวรับร่มลูกไม้มาจากมือสาวใช้ประจำตัวเมื่อเห็นร่างของมารดาเดินลงบันไดมาในชุดที่เตรียมพร้อมจะเข้าเมืองอย่างที่ทำเป็นประจำทุกอาทิตย์
โซเฟียเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะเอ่ยถามบุตรสาวที่กำลังจัดกระโปรงตัวเอง "ชาร์ล็อตล่ะ? ไม่ไปด้วยกันหรือ?" พอลลีนกรอกตา เมื่อก่อนหล่อนมันจะเคี่ยวเข็ญชาร์ล็อตให้เข้าเมืองด้วยกันทุกอาทิตย์แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยชอบ
แต่ตอนนี้ฝ่ายนั้นกำลังอยู่กับเอ็ดการ์ เด็กสาวจึงคิดว่าเป็นจังหวะเหมาะที่จะให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันตามลำพัง "ชาร์ล็อตปวดหัวนิดหน่อยน่ะค่ะแม่
หนูเลยให้นอนพักผ่อน" นางไวลีย์ขมวดคิ้วเมื่อมองผ่านทางกระจกหน้าต่างแล้วเห็นร่างของคนที่กำลังถูกพูดถึงเดินเคียงคู่กับลูกชายตน
"อ้าว? แล้วนั่นชาร์ล็อตไม่ใช่หรือ?" "อ๋อ เขาคงจะอยากออกมาเดินเล่นมั้งคะแม่
เอ็ดการ์ก็อยู่ด้วย คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ" เด็กสาวรีบพูดแล้วดึงแขนมารดาออกไปขึ้นรถม้าที่จอดเตรียมไว้อยู่
ในขณะที่โซเฟียมองอาการนั้นแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน +++++++++ เอสเพนบอกตัวเองว่าเขาไม่เคยนั่งลงได้อย่างสบายใจขนาดนี้มานานมากแล้ว
ตอนที่ยังไม่มีใครรู้ความจริงนั้น เขาต้องคอยระวังตัวเองให้นั่งหนีบขาเสมอ
ตอนนี้แม้จะมีชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่ล่วงรู้ความลับของตน แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องคอยระวังกิริยาเวลาอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายต่อไป
ทำให้ช่วยลดความอึดอัดลงไปได้มาก "เมื่อคืนฉันลองเลียบ ๆ เคียง
ๆ ถามพ่อเรื่องคดีของเธอดู พ่อบอกว่าทางสปริงฟีลด์ปิดคดีแล้ว เพราะทางอำเภอไม่พบศพอื่น
ๆ อีก" "คงพบอยู่หรอก" เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะด้วยสีหน้าที่ตึงเครียดขึ้นมาทันที
"ผมลากศพมันขึ้นเรือ ถ่วงด้วยหิน แล้วก็เอาไปทิ้งกลางแม่น้ำ ป่านนี้เน่าไปถึงไหนต่อไหนแล้วมั้ง" "ลากศพขึ้นเรือ?" เอ็ดการ์ทวนคำอย่างแปลกใจ
"เท่ากับเธอทิ้งร่องรอยเอาไว้น่ะสิ แล้วอย่างนี้ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงไม่รู้ว่าศพถูกโยนทิ้งน้ำ?" "ผมมีวิธีแล้วกัน" ร่างโปร่งตัดบทเพราะไม่อยากพูดถึงมันนัก
กระท่อมที่เขาอยู่กับพี่สาวนั้นห่างจากริมน้ำขึ้นไปไม่ถึงยี่สิบเมตร
เอสเพนปิดปากแผลศพของพ่อเลี้ยงแล้วห่อด้วยผ้าอีกทีก่อนจะลากออกไปนอกกระท่อมเพื่อไม่ให้มีรอยเลือดเป็นทางไปตามพื้น
เขาใช้กระสอบเก่าปูไปตามทางตั้งแต่หน้ากระท่อมถึงริมตลิ่งที่มีเรือจอดไว้อยู่
กลิ้งศพลงเรือ เก็บหลักฐานทั้งหมด แล้วพายเรือออกไปกลางแม่น้ำเพื่อทิ้งศพ เด็กหนุ่มจำตอนที่เขาพยายามจ้ำพายเพื่อกลับมาเพื่อฝังศพพี่สาวได้ดี
ภาพตรงหน้าในตอนนั้นพร่าเลือนไปหมดด้วยหยาดน้ำที่ไหลทะลักมาจากตา เขากลับขึ้นกระท่อม
กอดอาลัยกับร่างไร้ชีวิตของโจเซฟีนอยู่นาน แล้วรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาใกล้
เขาตัดสินใจทิ้งศพพี่สาวไว้อย่างนั้นแล้ววิ่งหนีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต
อย่างน้อยโจเซฟีนจะถูกฝัง แม้จะไม่มีพิธีศพสำหรับเธอก็ตาม
เอ็ดการ์เอื้อมมือมาบีบไหล่เล็กเบา
ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนาน เขาพยายามหาเรื่องอื่นขึ้นมาคุย เพื่อลดความเศร้าใจให้เด็กหนุ่ม "เธอคงอึดอัดมากสิที่ต้องแต่งตัวเป็นผู้หญิงทุกวัน" ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มบาง "ก็ไม่เท่าไหร่หรอกนะ
แค่ต้องคอยระวังกิริยาเท่านั้นเอง ทุกคนคิดว่าผมโตมากับการทำงานหนักในไร่
ก็เลยคิดว่าผมคงจะทำอะไรแปลก ๆ ไปกว่าที่ผู้หญิงสมควรจะทำบ้าง แต่ก็เหงาน่าดูเลยล่ะ" "หืม?" ร่างสูงเลิกคิ้วอย่างสงสัย
แล้วหัวเราะขบขัน "เหงาหรือ? ฉันเห็นพอลลีนลากเธอไปทำโน่นทำนี่อยู่ทั้งวัน" "ก็มีแต่เรียนหนังสือเท่านั้นแหละที่พอจะทนได้
เมื่อก่อนผมไม่เคยมีเวลาว่างหรอก ต้องพายเรือออกไปกลางแม่น้ำทุกวัน เพราะมักจะมีพวกซุงหรือแพลอยลงมาจากรัฐทางเหนือ
แล้วก็เก็บเอาไปขาย" ชายหนุ่มอยากจะถามถึงบุพการีคนตรงหน้านักว่าทำไมถึงได้ปล่อยให้ลูกทำงานเลี้ยงตัวเองอย่างนี้
แต่ก็ไม่กล้า เนื่องจากกลัวจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามคิดถึงเรื่องที่ไม่น่าจะคิดเข้าอีกจนได้ เสียงรถม้าที่แว่วเข้าหูทำให้ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมอง
เอ็ดการ์ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจเมื่อเห็นว่าเจ้าของรถม้าคือใคร ในขณะที่เด็กหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจ
แล้วหันไปมองร่างสูงเหมือนจะขอความช่วยเหลือ "หมอนี่บทจะจริงจังขึ้นมาก็น่ากลัวเหมือนกันนะ"
ชายหนุ่มเปรยเบา ๆ กับตัวเองแต่ก็ทำให้คนที่นั่งข้าง ๆ ถึงกับหน้าถอดสี
ถ้าโจชัวตามตื๊อเขาไม่เลิกล่ะ?
เจ้าของผมสีบลอนด์มีสีหน้าขุ่นเคืองเมื่อเห็นว่าร่างโปร่งที่เขาต้องการมาหาไม่ได้นั่งอยู่บนขอนไม้เพียงคนเดียว
หากแต่ยังมีร่างของเพื่อนสนิทนั่งเคียงอยู่ด้วย สายตาไม่พอใจของคนที่มองจ้องมายังตนทำให้เอ็ดการ์รู้สึกหนักอกอยู่ไม่น้อย
เขาลุกขึ้นยืน แล้วทักทายอีกฝ่าย "วันนี้มาเช้าจังนะ เห็นปกติมาตอนบ่าย
ๆ" "ฉันตั้งใจจะมาชวนชาร์ล็อตไปนั่งรถเล่น"
ดวงตาสีน้ำทะเลปรายตาไปยังร่างโปร่งที่ถูกพูดถึง "แต่เห็นทีจะต้องขออนุญาตนายเสียก่อนกระมัง" น้ำเสียงประชดประชันนั้นทำให้คนฟังรู้สึกได้ไม่ยาก
เอ็ดการ์ลอบถอนหายใจ ก่อนจะพูดยิ้ม ๆ "ทำไมจะต้องขออนุญาตฉัน จะไปไม่ไปก็ต้องแล้วแต่เจ้าตัวสิ" "เอ็ดการ์!" เด็กหนุ่มร้องอุทานขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัวทำให้ใครบางคนเจ็บแปลบ
โจชัวหัวเราะแกน ๆ ในลำคอ ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนหันไปพูดกับร่างโปร่ง "เธอเข้าไปช่วยลอร่าเตรียมของว่างหน่อยได้ไหม?" เอสเพนเข้าใจประโยคนั้นทันที เขาพยักหน้าแล้วรีบเดินออกไปเพราะไม่อยากอยู่เผชิญหน้ากับโจชัวเท่าใดนัก ลับหลังร่างเจ้าของผมสีน้ำตาลแดง เจ้าของบ้านก็หันมาหาเพื่อนสนิท
แล้วเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ "นายทำเหมือนกำลังไม่พอใจอะไรฉันอยู่" "ถ้านายมีจิตสำนึกพอก็คงจะรู้ว่าฉันไม่พอใจอะไรนายอยู่"
คู่สนทนาตอบ พลางหันหนีไปทางอื่น แล้วอดจะพูดต่อขึ้นด้วยความอัดอั้นไม่ได้
"นายบอกให้ฉันพยายามตีตัวห่างจากชาร์ล็อต เพื่อที่ตัวเองจะได้เข้าแทนที่อย่างนั้นหรือ?" "โจชัว" คนพูดระบายลมหายใจหนักหน่วงด้วยความเคร่งเครียด
"สถานการณ์ในตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน" "แน่นอน มันไม่เหมือนกัน เพราะตอนนี้นายเกิดสนใจเธอขึ้นมาแล้วใช่ไหมล่ะ?"
โจชัวแค่นเสียงเยาะ ชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งถอนหายใจอีกครั้งด้วยความยุ่งยากใจ
ที่จริงเขาอยากจะบอกเพื่อนสนิทคนนี้เหลือเกินว่าแม่สาวชาร์ล็อตที่เจ้าตัวพร่ำเพ้อหาอยู่นั้นเป็นเด็กผู้ชาย
แต่ด้วยกลัวว่ามันจะทำให้เด็กหนุ่มเดือดร้อน หนำซ้ำเขาก็ยังทำสัญญากับฝ่ายนั้นไปแล้วด้วยว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
เขาจึงพูดออกมาไม่ได้ "นายตอบฉันมาตรง ๆ เลยนะเอ็ดการ์"
ฝ่ายตรงข้ามหันมาเผชิญหน้าแล้วมองตาอย่างแน่วแน่ "ตอบฉันมาตรง ๆ ว่านายสนใจชาร์ล็อตอยู่ใช่ไหม?" "ถ้าจะให้ตอบตรง ๆ ฉันก็ขอบอกว่า
ไม่!
ฉันแค่สงสารเพราะเห็นเธอเหงาเท่านั้น" โจชัวแค่นหัวเราะออกมาทางจมูกเมื่อเห็นความจริงจังบนดวงตาสีน้ำตาลทอง
"ถ้าเรื่องเป็นเพื่อนคลายเหงาให้เธอล่ะก็ ฉ้นมั่นใจว่าทำได้ดีไม่แพ้นาย" คู่สนทนานิ่งไปพักใหญ่เพื่อขบคิด ก่อนจะพูดออกมาอย่างตัดใจ
"เอาเถอะ ถ้านายคิดแค่เล่น ๆ เหมือนอย่างที่คิดกับผู้หญิงที่ผ่านมาล่ะก็
เชิญตามสบาย แต่ฉันขอเตือนว่าอย่าจริงจังจะดีกว่า เพราะมันไม่มีทางจะเป็นไปได้" "มันเป็นไปได้แน่นอนเพื่อน
มันเป็นไปได้แน่นอน
เพราะคราวนี้ฉันจริงจัง!" ดวงตาสีน้ำทะเลหรี่ลงขณะที่เจ้าตัวพูดเสียงลอดไรฟัน
ก่อนจะเดินจากไป +++++++++ พอลลีนกวาดสายตาหาเจ้าของผมสีน้ำตาลแดงทันทีที่กลับถึงบ้านในตอนบ่าย
แล้วต้องแปลกใจเมื่อเห็นพี่ชายนั่งเอกเขนกสูบซิการ์อยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น "ชาร์ล็อตล่ะ?" หล่อนถามทันที ฝ่ายตรงข้ามตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท
ขณะที่สายตาจับจ้องอยู่กับภาพบนผนัง "ออกไปกับโจชัว" "โจชัว! นี่พี่ให้เขาออกไปกับโจชัวตามลำพังเหรอ?"
เด็กสาวขมวดคิ้วถามอย่างไม่พอใจ เอ็ดการ์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่
แล้วเดินไปเกาะขอบหน้าต่าง "แล้วจะให้พี่ทำยังไงล่ะ? พี่ไม่ใช่ผู้ปกครองเขาเหมือนเธอนี่" "อย่าทำเป็นเล่นน่าเอ็ดการ์ พี่ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าโจชัวเจ้าชู้แค่ไหน
แล้วยังปล่อยให้คนแบบนั้นเข้าใกล้ชาร์ล็อตอีก" "พี่ก็ไม่อยากให้ชาร์ล็อตไปกับโจชัวเหมือนกันแหละน่า" แม้น้ำเสียงคนพูดจะมีความรำคาญแทรกอยู่แค่น้อยนิด
แต่ก็ทำให้พอลลีนแสดงสีหน้าพอใจออกมาได้ หล่อนเดินเข้าไปใกล้พี่ชาย แล้วลองถามหยั่งเชิง "พี่ไม่ชอบให้ชาร์ล็อตไปกับโจชัวหรือ?" "ไม่ใช่ไม่ชอบ" เอ็ดการ์ปฏิเสธ
แล้วอึกอักเมื่อไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไรดี "แต่
" "พรุ่งนี้พี่พาชาร์ล็อตออกไปแต่เช้าสิ"
หล่อนรีบแนะ เพราะเมื่อครู่ตอนเข้าเมือง เด็กสาวได้เจอกับยูจีเนียโดยบังเอิญ
พอลลีนอาจจะไม่รู้สึกอะไรถ้าอีกฝ่ายไม่บอกว่าจะมาที่บ้านไวลีย์ในวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มหันมาขมวดคิ้วอย่างสงสัย "ให้พี่พาชาร์ล็อตออกไปแต่เช้า?
ออกไปทำไม?" "ถ้าพี่ไม่อยากให้ชาร์ล็อตไปกับโจชัว
พี่ก็ต้องพาเขาออกไปก่อน" ดวงตาสีดำสนิทแวววามเหมือนลูกแก้ว เมื่อนึกสนุกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เอ็ดการ์นิ่งไปชั่วครู่ แล้วพูดเหมือนอย่างเพิ่งนึกออก
"จริงสินะ" แต่ถ้าเพื่อนสนิทของเขารู้เข้า มันก็จะกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปมากกว่าเดิมน่ะสิ "เธออยากให้พี่พาชาร์ล็อตออกไปหรือ?"
เขาถามน้องสาว แล้วพูดต่อเมื่อฝ่ายนั้นพยักหน้ารับ "ถ้าอย่างนั้นก็อย่าบอกโจชัว
บอกว่าพี่ตามพ่อไปที่อำเภอ ส่วนชาร์ล็อตนั่งรถเข้าเมือง" "แต่ชาร์ล็อตไม่เคยนั่งรถเข้าเมืองคนเดียว"
พอลลีนแย้ง ที่จริงหล่อนไม่ค่อยจะชอบใจนักที่ไม่ได้แสดงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้ชายหนุ่มอีกคนรู้ "เอ็ดการ์" หล่อนเรียก แล้วนิ่งไปนาน
ก่อนจะพูดออกมาตรง ๆ "ฉันอยากให้พี่รักกับชาร์ล็อต เธอจะได้อยู่กับเราตลอดไป" คนฟังนิ่งงันอย่างไม่เชื่อหู ถ้าเป็นเมื่อสามวันก่อน เขาอาจจะเก็บเอาคำแนะนำของน้องสาวมาพิจารณา แต่ตอนนี้ ถ้าเขายังคิดจะรักอีกฝ่ายทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นเด็กผู้ชายก็วิปริตเต็มทีแล้ว ชายหนุ่มส่ายหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมาแกน
ๆ แล้วพูดหนักแน่น "ไม่มีทางเด็ดขาด" "ทำไมล่ะ!?" ถ้าพอลลีนรู้สึกนิดว่าคนที่ถูกพูดถึงไม่ใช่ผู้หญิง
หล่อนคงจะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงตอบเช่นนั้นออกไป ร่างสูงถอนหายใจ ก่อนจะเดินออกจากห้อง
แล้วหันมาพูดกับคนที่เดินตามมาติด ๆ "เอาล่ะ ถ้าอยากให้พี่พาชาร์ล็อตออกไปพรุ่งนี้
ก็ทำตามที่พี่พูด" ++++++++++ เอ็ดการ์สั่งให้เตรียมรถม้าหลังอาหารเช้าวันรุ่งขึ้นผ่านพ้น
ห่อผ้าสีดำที่วางเคียงข้างกันกระเช้าอาหารที่นางไวลีย์จัดไว้ให้ทำให้เด็กหนุ่มมองด้วยความหลากใจ
ก่อนจะถามขึ้น "นี่ห่ออะไร?" "ไม่มีอะไรหรอก" ร่างสูงตอบในขณะที่สายตาจับจ้องอยู่กับหนทางเบื้องหน้า เอสเพนมองซ้ายมองขวา ถนนเส้นนี้ไม่ใช่ถนนที่ทอดสู่ตัวเมืองจึงค่อนข้างแคบและขรุขระ
อีกทั้งดูแล้วน่าจะเป็นทางที่ไม่มีรถม้าผ่านมามากนัก เมื่อคิดได้ดังนั้นเด็กหนุ่มก็ตลบกระโปรงตัวเองให้เข้าที่
ก่อนจะยกขาขึ้นไขว่ห้าง แล้วเอาคางเท้าแขน เสียงหัวเราะทุ้มกังวานที่ดังขึ้นข้างหูทำให้เขาหันไปมอง
พลางอธิบาย "เมื่อก่อนผมชอบนั่งอย่างนี้มากเลย คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?" "ตามสบายเถอะ" คนที่นั่งบังคับม้าอยู่ข้าง
ๆ ตอบ ดวงตาสีเขียวมองม้าตัวเดียวที่เทียมรถอยู่ข้างหน้า
แล้วให้นึกสงสัยว่ามันจะต้องออกแรงในการวิ่งแค่ไหนกันถึงจะสามารถพารถขนาดเล็กที่มีผู้โดยสารนั่งอยู่ถึงสองคนแล่นด้วยความเร็วขนาดนี้ได้ "เอ็ดการ์!" เด็กหนุ่มร้องเรียกอย่างตื่นเต้นเมื่อนึกอะไรได้
"วันนี้ผมขี่ม้าได้ไหม?" "เสียใจด้วยนะ มันไม่มีลานกว้างพอที่จะให้เธอขี่ได้หรอก"
ร่างสูงตอบ หลังจากที่เกิดเรื่องในวันนั้น เขาก็ถูกมารดาสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดว่าไม่ให้พาอีกฝ่ายขึ้นหลังม้าอีกเป็นครั้งที่สอง คนถามหน้าม่อยไปอย่างเสียดาย ก่อนจะร้องขึ้นมาอีก
"ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เรามาอีกได้ไหม?" "พรุ่งนี้? เธออยากทำอะไรหรือไง?" "ผมอยากตกปลา" ฝ่ายนั้นสารภาพ
"ไม่ได้ตกปลามาตั้งนาน แล้วจะย่างปลาให้คุณกินด้วย" เอ็ดการ์หัวเราะในคออย่างนึกเอ็นดูเมื่อประจักษ์ว่าคนที่นั่งข้าง
ๆ ตนยังมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวไม่น้อย เขาเองก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ถ้าพามาได้ก็อยากจะพามา
แต่
ใบหน้าของเพื่อนสนิทลอยเข้ามาในความคิด
ขณะที่ร่างสูงบังคับพาหนะให้วิ่งเข้าไปในชายป่าด้านที่ติดกับแม่น้ำ "เมื่อวานโจชัวพูดอะไรกับเธอ?" "เขาเล่าเรื่องที่เคยเดินทางไปยุโรปให้ฟัง
สนุกมากเลยล่ะ โดยเฉพาะตอนที่ไปดูการแข่งหมาที่ไหนสักแห่งนี่แหละ" เอสเพนเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นราวกับภาพจินตนาการนั้นยังคงติดอยู่ในสมอง ชายหนุ่มเลิกคิ้ว แสดงว่าเพื่อนเขาพอจะจับทางถูกบ้างแล้วว่าต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามพอใจในตัวเองได้
"ถ้าเขาทำตัวอย่างนี้นะ"
เด็กหนุ่มตอบ ขณะนึกถึงท่าทีของฝ่ายนั้นตอนที่อยู่ในห้องเก็บนกสต๊าฟ เขาไม่อยากให้โจชัวมองเขาด้วยดวงตาเช่นนั้นอีก "ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ก็ไปกับโจชัวสิ"
เอ็ดการ์แกล้งแหย่ ฝ่ายตรงข้ามปฏิเสธทันควัน "ไม่เอา
อยู่กับโจชัวแล้วผมไม่ได้ตกปลานี่นา เสียดายจัง
น่าจะนึกได้ตั้งแต่เมื่อเช้า
ไม่อย่างนั้นวันนี้ได้กินปลาเผาแน่ ๆ" "ฉันมีเรื่องที่สนุกกว่านั้นให้เธอทำน่า"
ชายหนุ่มกล่าวเป็นนัย ก่อนจะบังคับม้าให้หยุดเมื่อมาถึงจุดหมายที่ต้องการ
แล้วพยายามแกล้งทำเป็นไม่สนใจกับการซักถามของอีกฝ่าย เขาหยิบผ้าที่เตรียมมาเพื่อปูรองพื้น
แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจไปหยิบห่อผ้าสีดำปริศนาแทนเมื่อทนการรบเร้าไม่ไหว ดวงตาสีมรกตเบิกกว้างเมื่อเห็นปืนสั้นสองกระบอกอยู่ในนั้น
เขาเกาะต้นแขนกำยำแน่นแล้วเขย่าน้อย ๆ อย่างตื่นเต้น "คุณจะยิงนกเหรอ?" ร่างสูงหันมายิ้มให้กับใบหน้าแดงเรื่อ
แล้วลงความเห็นกับตัวเองอย่างเงียบ ๆ ว่าที่จริงแล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ได้มีหน้าตาที่ดูตลกอะไรนัก
แต่ถ้ามองใกล้ ๆ กลับดูน่ารักดีเสียด้วยซ้ำ ทำไมเขาถึงคิดว่าคนตรงหน้าด้วยกัน
'น่ารัก' ขึ้นมาได้ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าฝ่ายนั้นไม่ใช่ผู้หญิง "ไม่ใช่ฉัน" เขาแก้ "แต่เป็นเรา" "ผมด้วย!?" เอสเพนร้องถามขณะแทบจะกระโดดจนตัวลอย
ชายหนุ่มเคยสอนให้เขายิงปืนในป่าโปร่งข้างบ้านอยู่สองครั้ง แต่ก็ต้องมีอันล้มเลิกก่อนที่เขาจะยิงเป็นเสียทุกครั้ง "แต่เธอต้องลองหัดยิงเป้านิ่งเสียก่อน
ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นอันตราย คราวนี้ฉันจะไม่ช่วยจับมือเล็งแล้วนะ" เด็กหนุ่มรับคำด้วยความกระตือรือร้น
แล้วรีบช่วยร่างสูงจัดเตรียมพื้นที่ เขาหยิบขนมปังในตระกร้าออกมาวางที่โขดหิน
ก่อนจะหันไปถามความเห็นอีกฝ่าย "ต่ำไป" เจ้าของผมสีน้ำผึ้งว่าพลางหยิบขนมปังก้อนเดิมไปวางไว้บนกิ่งไม้เตี้ยโดยแน่ใจว่ามันจะไม่ตกลงมาเสียก่อน เขาหยิบปืนมายัดใส่มือเล็ก แต่แล้วก็ต้องชะงัก
"มีอะไร?" ร่างโปร่งถามคนที่ยังกุมมือตัวเองอยู่อย่างสงสัย คู่สนทนาหัวเราะขัน ก่อนจะยิ้มล้อ
"ฉันเพิ่งเคยเห็นผู้ชายมือนิ่มขนาดนี้" เด็กหนุ่มหน้ามุ่ย แล้วยกมือใหญ่ขึ้นสำรวจบ้าง
ก่อนจะยืดอกพูดอย่างอวด "จริงๆ แล้วเมื่อก่อนผมมือด้านกว่าคุณอีกนะ
ด้านเป็นหินเลยด้วยซ้ำ แต่พอลลีนน่ะแหละ เอาอะไรมาบังคับให้ทาอยู่ได้ทุกคืน
จริง ๆ แล้วมันหอมด้วยนะ" คนพูดว่าพลางยกมือตัวเองขึ้นดมเป็นการพิสูจน์
แล้วหัวเราะร่าเมื่ออีกฝ่ายจับมือตัวเองไปรอใต้จมูกบ้าง "เห็นไหมล่ะ?
ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามือตัวเองจะมีกลิ่นหอมและสะอาดได้ขนาดนี้" "จริง ๆ ตัวเธอก็หอมเหมือนกันนะ"
ชายหนุ่มออกความเห็น เนื่องจากตอนที่สอนเอสเพนเล็งปืนในชายป่าข้างบ้านนั้น
เขาได้กลิ่นหอมจากตัวร่างโปร่งเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่คิดติดใจอะไรมาก "ก็เพราะพอลลีนอีกนั่นแหละ"
เด็กหนุ่มบ่นงึม แต่ก็ยังไม่วายยิ้มน้อย ๆ เนื่องจากรู้ดีว่าทุกสิ่งที่พอลลีนทำลงไปนั้น
ไม่มีสักครั้งที่เธอจะไม่หวังดีกับเขา เอ็ดการ์ช่วยหัดร่างโปร่งให้ยิงปืนอยู่พักใหญ่
ก่อนจะพามานั่งพักใต้ร่มไม้ใหญ่ที่ได้ปูผ้าเตรียมไว้เรียบร้อย ทั้งสองช่วยกันจัดการกับอาหารที่ยังเหลือในตะกร้าอย่างเอร็ดอร่อย
ก่อนที่ชายหนุ่มจะล้มตัวลงนอนเหยียดยาว และหลับตานิ่ง เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงมองอาการนั้นแล้วให้นึกอยากเอนหลังขึ้นมาบ้าง
เขาล้มตัวลงนอนในทิศทางที่สวนกันกับอีกฝ่าย และอยู่ในระยะที่ใบหน้าของทั้งคู่ตรงกันพอดี เสียงขำพรืดดังออกมาจากลำคอของคนข้าง
ๆ เมื่อเขาเริ่มผิวปาก เอสเพนยิ้ม แล้วหันไปสบดวงตาสีน้ำตาลทองที่เพิ่งเปิดขึ้นมา "เวลาอยู่กับคนอื่น ผมไม่มีโอกาสจะได้ผิวปากบ่อยนักหรอกนะ" "น่าสงสารจัง แม่สาวชาร์ล็อตของฉัน"
ร่างสูงล้อ แล้วแกล้งบีบปลายจมูกเล็กสั่นไปมาจนเจ้าตัวต้องตีมือเขาเมื่อหายใจไม่ออก ใบหน้าสีแดงเรื่อขณะที่เจ้าตัวสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดทำให้ดวงตาคมกริบอ่อนแสงลง
เขาเก็บปอยผมสีน้ำตาลแดงที่รุ่ยตกลงมาปรกหน้าผากเนียนให้เข้าที่ ก่อนจะไล้นิ้วไปตามผิวหน้าอ่อนเยาว์อย่างเผลอไผล
แล้วกระซิบแผ่ว "ฉันเกือบหลงเสน่ห์เธออยู่แล้วเชียว" สัมปชัญญะของเขากลับคืนมาทันทีเมื่อฝ่ายตรงข้ามหัวเราะคิก
เอสเพนพลิกตัวขึ้นใช้ข้อศอกทั้งสองข้างรับน้ำหนักตัวเอง แล้วชะโงกหน้าอยู่เหนืออีกฝ่าย "อย่างนั้นนะ ถ้าคุณได้เห็นโจเซฟีนล่ะก็
รับรองว่าต้องตะลึงแน่" "โจเซฟีน? พี่สาวเธอน่ะหรือ?" "ใช่ เธอไม่มีกระที่หน้าเหมือนอย่างผมหรอก"
เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มภาคภูมิ นิ้วเรียวยาวแข็งแรงค่อย ๆ ไล้ไปมาบนแนวกระสีน้ำตาลจางที่เจ้าตัวเอ่ยถึง
"แต่ฉันว่ามันก็น่ารักดีออกนะ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงพึมพำราวกับตกอยู่ให้ห้วงฝัน
เอ็ดการ์ค่อย ๆ ยกศีรษะตัวเองขึ้น ในขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่กลีบปากนุ่มนวลตรงหน้า
แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนคนที่หลับลึกและถูกเขย่าตัวตื่นโดยฉับพลันเมื่ออีกฝ่ายคลี่ยิ้มอย่างงุนงงกับท่าทีที่แปลกไปของเขา "บ่ายมากแล้ว เรากลับบ้านกันดีกว่า" ++++++++ *****
|