ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Eye On Me (Part 6)

by...เฟื่อง

Warning: เรื่องนี้มีวี่แววจะน้ำเน่ามากอยู่(คนเขียนเองก็ยังไม่รู้ระดับความน้ำเน่าเหมือนกัน แต่คงเน่ากว่าทุก ๆ เรื่องที่เขียนมา) เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ชอบก็ขอเตือนไว้แต่เนิ่น ๆ เน้อ

รถม้าคุ้นตาที่จอดอยู่ในลานหน้าบ้านทำให้ใบหน้าสดใสของเอสเพนม่อยลงไปเล็กน้อยด้วยความรู้สึกผิดที่แล่นพรูขึ้นมาทันที เมื่อพอจะคะเนได้ว่าผู้เป็นเจ้าของมานั่งรอเขาอยู่นานเท่าไหร่แล้ว
เอ็ดการ์ลงจากรถม้าแล้วหันไปช่วยประคองเจ้าของดวงตาสีเขียวตามมารยาทที่ควรทำแม้จะมีสีหน้าที่แสดงความยุ่งยากใจอยู่ไม่น้อย เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูหน้าบ้านเปิดออกมาพอดี
เขาหันไปมองใบหน้าเคร่งเครียดของชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวออกมาแล้วลอบถอนใจกับตัวเอง ก่อนจะยิ้มให้
"ไง โจชัว"
"โจชัวมารอพี่ประมาณสองชั่วโมงได้แล้ว" พอลลีนที่เดินตามออกมาเอ่ยเรียบ ๆ
เจ้าของชื่อยืดอกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีท้องฟ้าฤดูซัมเมอร์ในตอนนี้ ช่างดูไม่ผิดอะไรกับน้ำแข็งเย็นเยียบ เขาพูดออกมาเสียงหนัก ๆ โดยไม่คิดจะทักทายเพื่อนสนิท
"ฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับชาร์ล็อต"
ร่างโปร่งตัวแข็งเกร็งขึ้นมาทันที แล้วอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เป็นเชิงขอความเห็น โดยไม่รู้ตัวว่าการกระทำนั้นทำให้ใครบางคนนึกเจ็บแปลบในอกด้วยความริษยา
เอสเพนแว่วเสียงหัวเราะเยาะอยู่ในลำคอเมื่อเอ็ดการ์พยักหน้าให้กับเขา ก่อนจะเหลือบมองชายหนุ่มอีกคนที่ค้อมตัวผายมือให้ตนเดินนำหน้าไปยังป่าโปร่งอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ในท่าทางที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย
เสียงที่ดังเข้าหูในตอนนี้มีเพียงเสียงกรอบแกรบอันเกิดเมื่อฝ่าเท้าย่ำเหยียบไปบนใบไม้แห้งที่ร่วงเกลื่อนอยู่บนพื้น ร่างโปร่งหยุดชะงัก แล้วขยับตัวอย่างนึกอึดอัด โจชัวคงจะไม่พอใจเรื่องที่เขาออกไปเที่ยวกับเอ็ดการ์ แล้วปล่อยให้ตัวเองต้องนั่งรออยู่นานเป็นแน่
"รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้คุณต้องขออนุญาตเอ็ดการ์ก่อนเสียทุกครั้งที่จะออกมากับผม" คู่สนทนาของเขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชัน พลางก้าวขึ้นมาจนเสมอกัน
เด็กหนุ่มก้มหน้าหลบสายตาคาดคั้นของอีกฝ่ายอย่างลำบากใจ อันที่จริงเขาไม่เคยคิดจะขออนุญาตเอ็ดการ์อย่างที่ถูกกล่าวหา เพียงแต่อยากจะขอคำปรึกษาเท่านั้น เพราะฝ่ายนั้นเป็นคนเดียวที่รู้ความลับว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิง
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ทำลายความเงียบที่แสนจะน่าอึดอัดลง โดยเฉพาะเมื่อโจชัวพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงไปมาก
"อันที่จริงวันนี้ผมมาลาคุณ"
คนพูดใจชื้นขึ้นมาเป็นกองเมื่อเจ้าของผมสีน้ำตาลแดงหันขวับมามองเขาทันทีด้วยดวงตาเบิกกว้าง และพูดต่อด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว
"คุณจะไปไหน?"
รอยยิ้มบางอย่างพอใจปรากฏขึ้นบนริมฝีปากคนถูกถาม "ผมต้องไปทำธุระที่นิวยอร์กสักสามอาทิตย์ เป็นธุระด่วนมาก เพิ่งจะรู้เมื่อเช้านี้"
คำว่า 'ฉันคงจะคิดถึงคุณ' เกือบจะหลุดออกไปถ้าเขากลืนมันไว้ไม่ทัน เอสเพนอยากจะพูดประโยคนั้นนัก ชายหนุ่มถือเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเขา แต่ถ้าเผื่อพูดออกไปอย่างนั้น อีกฝ่ายอาจจะตีความหมายผิด ๆ ไปได้ ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะใช้ประโยคอื่นแทน
"ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้คุณเดินทางโดยสวัสดิภาพและทำธุระให้เสร็จไว ๆ แล้วกัน"
"ผมจะพยายามทำธุระให้เสร็จเร็วที่สุด" ชายหนุ่มผมสีบลอนด์สว่างตอบอย่างกระตือรือร้นขณะพยายามสบตาฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะทอดเสียงสะท้อนหวาม "ความจริงผมไม่อยากไปเลย…ผมกลัวเหลือเกิน ชาร์ล็อต"
"นิวยอร์กมีอะไรน่ากลัวหรือ?"
เอสเพนถามอย่างไม่เดียงสา ทั้งยังออกจะตื่นเต้นเล็ก ๆ ด้วยซ้ำ เขาใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในหลุยส์เซียน่า และเพิ่งจะเคยข้ามเขตมายังอาคันซอส์เป็นครั้งแรก ดังนั้น คำพูดของโจชัวจึงทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับว่านิวยอร์กนั้นคงจะเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยภยันตราย คู่ควรแก่การผจญภัยเป็นที่สุด
"ผมกลัว…" คู่สนทนาของเขาต่อประโยค แล้วถือโอกาสจับมือเล็กขึ้นมากุม "ผมกลัวว่าอะไรต่ออะไรจะเปลี่ยนไปเมื่อผมกลับมา ชาร์ล็อต…โดยเฉพาะคุณ"
"ฉัน?" เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย "ฉันไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยน ขอให้คุณเดินทางให้สนุกแล้วกัน"
"ชาร์ล็อต…"
โจชัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงวอนเว้า พลางบีบมืออีกฝ่ายแน่นเข้า ทำให้เจ้าตัวเพิ่งจะประจักษ์ว่าชายหนุ่มยังคงกุมมือเขาอยู่ เอสเพนนึกอยากจะชักมือหนี แต่ติดอยู่ที่แววตาน่าสงสารของฝ่ายตรงข้าม เขาจึงทำอย่างที่นึกไม่ได้
สีหน้าอึดอัดทำให้ชายหนุ่มพอจะเข้าใจความรู้สึกของร่างโปร่งได้ราง ๆ เขาถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะคลายมือตัวเองออกอย่างไม่เต็มใจนัก
"รักษาตัวด้วยแล้วกัน ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ระวังจะไม่สบายไปเสีย"
"ฉันน่าจะพูดประโยคนั้นมากกว่านะ นิวยอร์กหนาวกว่าที่นี่เยอะไม่ใช่หรือ?"
"คุณเป็นห่วงผม?" โจชัวถามด้วยหัวใจที่เหมือนจะบินได้ ริมฝีปากบางได้รูปฉีกยิ้มกว้าง แต่แล้วก็สลดลงไปเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
"ก็คุณเป็นเพื่อนฉันนี่"
ชายหนุ่มพยักหน้ารับพลางมองตามแผ่นหลังเล็กของคนที่ชวนเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วยิ้มเศร้ากับตัวเอง ชาร์ล็อต…เธอจะรู้บ้างไหมนะว่าเธอเป็นผู้หญิงคนพิเศษที่เขาเพิ่งเคยมอบความรู้สึกแบบนี้ให้เป็นครั้งแรก แค่คิดถึงใบหน้ารูปไข่ที่มีกระสีน้ำตาลจางพาดอยู่ก็ทำให้เขายิ้มได้แล้ว เธอไม่ใช่คนสวย แต่สำหรับเขาเด็กสาวคนนี้น่ารักเหลือล้น เขาควรจะเดินทางไปติดต่อธุระได้อย่างเบาใจ ถ้าไม่เกิดความระแวงในตัวเพื่อนสนิทขึ้นมาเสียก่อน
ดวงตาสีฟ้าหรี่ปรือลงแล้วถอนหายใจ …ระหว่างที่เขาไม่อยู่นั้น ขอให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมด้วยเถิด…
++++++++++
นางไวลีย์เงยหน้าจากผ้าครอสติสในมือเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจดังขึ้นเป็นครั้งที่สามของวันนี้ นางชำเลืองมองบุตรสาวซึ่งบัดนี้พับหนังสือในมือลงเพื่อเดินเข้าไปหาต้นเสียง
"เป็นอะไรไป ที่รัก วันนี้เธอถอนหายใจบ่อยเหลือเกิน"
"เปล่า" เอสเพนปดแล้วฝืนยิ้มให้คนถาม
"ชาร์ล็อตคงจะเบื่อ ช่วงนี้ต้องอยู่บ้านทุกวัน ไม่มีใครพาออกไปนั่งรถเล่น" หญิงวัยกลางคนออกความเห็น "ถ้ายังไงพรุ่งนี้เข้าเมืองกับฉันดีไหมจ๊ะ? ฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีของที่เมื่อวานไม่ได้ซื้อเข้ามา"
"หนูไม่เป็นไรค่ะ โซเฟีย อ่านหนังสืออยู่กับบ้านดีกว่า" เด็กหนุ่มแสร้งทำสีหน้าแจ่มใส เพราะว่ากันตามจริงแล้ว การต้องไปตลาดกับสองคนแม่ลูกแล้วต้องทนเดินดูของผู้หญิงยังน่าเบื่อกว่าการที่ต้องอยู่บ้านเรียนหนังสือเป็นไหน ๆ
"ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเธอเถอะจ้ะ" นางว่าพลางเก็บอุปกรณ์ครอสติสลงในตระกร้าหวายข้างตัว "ฉันต้องไปเตรียมอาหารกลางวันในครัวก่อนแล้วกัน"
การจัดเตรียมอาหารกลางวันของบ้านไวลีย์นั้น มักจะทำราว ๆ สิบโมงครึ่งซึ่งถือว่าเร็วกว่าบ้านอื่น ๆ เนื่องจากนายอำเภอไวลีย์ไม่อยากเสียเวลานั่งรถกลับมาทานมื้อกลางวันที่บ้าน จึงเปลี่ยนเป็นการจัดเตรียมอาหารแล้วให้ทาสชายขี่ม้าเอาไปให้เจ้านายของตนที่อำเภอแทน
เมื่อลับหลังมารดา เด็กสาวผมดำทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ ร่างที่กำลังนั่งคัดลายมือด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เธอหรี่ตา แล้วกระซิบถาม
"เธอเบื่อเพราะโจชัวไม่อยู่หรือเปล่า?"
"ไม่ใช่หรอก" เอสเพนตอบอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ "แต่ก็อาจมีส่วนอยู่เหมือนกัน"
แน่นอนว่าการออกไปนั่งรถเล่นกับโจชัวไม่สนุกเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องมานั่งแกร่วอยู่แต่ในบ้านก็แล้วกัน
การปลอมตัวเป็นผู้หญิงไม่เพียงแต่จะลำบากในเรื่องของการวางตัว และความอึดอัดของเสื้อผ้าที่ต้องสวมใส่ หนำซ้ำ ผู้หญิงยังออกไปเที่ยวไหนต่อไหนตามลำพังคนเดียวไม่ได้เสียด้วย
เอสเพนนึกถึงชายหนุ่มอีกคนแล้วอดจะหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ แม้จะรู้ว่าฝ่ายนั้นไม่ได้ตั้งใจจะผิดนัดก็ตาม สามวันแล้วที่เอ็ดการ์จะต้องตามผู้เป็นบิดาเข้าอำเภอ ทำให้ไม่มีเวลาพาเขาออกไปตกปลาอย่างที่สัญญาไว้เสียที
"อันที่จริงฉันน่าจะสอนเธอเต้นรำ" พอลลีนพูดโพล่งขึ้นมาพร้อมยิ้มบางอย่างมั่นใจว่ากิจกรรมที่เธอเพิ่งคิดได้นั้นจะยังความสนุกสนานมาให้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน
"ฉันไม่อยากเต้นรำ" เด็กหนุ่มตอบพลางเสเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนสีหน้าผะอืดผะอมของตนไว้
ถ้าเต้นรำ…เขาก็ต้องเต้นเป็นผู้หญิงอีกนั่นแหละ!
คู่สนทนาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดหนักแน่น "ยังไงเธอก็ควรจะหัดเต้นเอาไว้นะ เพราะช่วงปีใหม่เราจะจัดงานกันทุกปี เธอจะได้เต้นรำกับเอ็ดการ์ยังไงล่ะ"
"ฉันไม่อยากเต้นรำกับเอ็ดการ์!" เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงสวนกลับโดยไม่ต้องคิด พลางผลักเครื่องเขียนออกจากตัวเบา ๆ
พอลลีนมีสีหน้าเรียบตึงขึ้นมาทันตา "หรือว่าเธออยากเต้นรำกับโจชัว?"
"ฉันไม่อยากเต้นรำกับใครทั้งนั้น" คนพูดส่ายหน้า แล้วหันไปหาอีกฝ่าย "อันที่จริงถ้าจะต้องเต้น ฉันอยากเต้นกับเธอมากกว่า"
ประโยคนั้นเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนฟัง เด็กสาวมองคู่สนทนา แล้วพยักหน้ารับ "แน่นอนว่าเราเต้นด้วยกันได้ แต่เธอจะต้องเต้นรำเป็นก่อน มาเถอะ ฉันจะหัดให้"
เอสเพนทำหน้าแหย ก่อนจะต่อรอง "หัดพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะ ฉันยัง…"
มือนุ่มนิ่มฉุดข้อมือของเขาให้ลุกขึ้นมาก่อนที่จะทันพูดประโยคนั้นจบ เด็กหนุ่มนึกสบถด่าตัวเองในใจ ตั้งแต่มาอยู่บ้านไวลีย์ เขาแทบจะไม่เคยขัดใจพอลลีนเลยสักครั้ง จนกลายเป็นความเคยชินที่ต้องทำตามที่เธอบอกเสียทุกอย่าง
"เอาล่ะ" ฝ่ายนั้นเอ่ยขึ้นเมื่อจูงมือเขามาหยุดอยู่ที่กลางห้อง "ฉันจะเต้นนำเป็นผู้ชายให้"
"ให้ฉันเต้นเป็นผู้ชายดีกว่ามั้ง" เจ้าของดวงตาสีเขียวรีบแย้งขึ้นมาทันที
"มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะที่รัก ในเมื่อเธอเป็นผู้หญิง และเต้นรำไม่เป็นเอาเสียเลย มาสิ คอยก้าวขาตามที่ฉันบอก"
ครูฝึกจำเป็นส่งสายตาดุ ๆ มาให้ แล้วประคองร่างอีกฝ่ายให้หมุนตามไปมาอย่างสนุกสนาน โดยไม่ทันสังเกตสีหน้าเบื่อหน่ายของเด็กหนุ่มเลยสักนิด
++++++++++
ร่างโปร่งลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเดินลากขาตามสมาชิกคนอื่น ๆ ของบ้านไปส่งนายอำเภอไวลีย์ที่รถม้าขณะลอบถอนหายใจ เมื่อก่อนนี้เขายังยอมทนให้พอลลีนบังคับให้ทำโน่นทำนี่ได้ แต่หลังจากเอ็ดการ์รู้ความลับของเขา เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีที่ปรึกษา มีที่ระบาย จึงทนกิจกรรมน่าเบื่อที่เด็กสาวสรรหามาให้ทำได้ไม่มากนัก แต่ตอนนี้ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของเขากลับไม่ว่างเสียนี่ เอสเพนคิดขณะพยายามซ่อนสีหน้าหงุดหงิดของตัวเองไว้ไม่ให้ใครเห็น หรือวันนี้เขาจะแอบหนีออกไปตกปลาคนเดียวดี?
แต่พอกลับมาถึงบ้านก็คงต้องถูกซักยืดยาวแน่
ความคิดของเด็กหนุ่มล่องลอยไปจนไม่ทันสังเกตว่ารถม้าของนายอำเภอไวลีย์นั้นแล่นออกจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาได้สติอีกครั้งเมื่อหันหลังเดินกลับเข้าบ้านแล้วให้รู้สึกเหมือนมีกำแพงสูงตระหง่านมาตั้งขวางไว้อยู่ข้างหน้า ร่างโปร่งไล่สายตาขึ้นสูง แล้วต้องเบิกตากว้างอย่างงุนงงเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ในความคิดเมื่อนาทีก่อนกำลังยืนขวางทางเขาอยู่
"วันนี้อยากตกปลาหรือเปล่า?"
เสียงกระซิบนั้นดังพอให้ได้ยินกันแค่สองคน เอสเพนพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ฉีกยิ้มหรือแสดงอาการตื่นเต้นออกมา เขาพยักหน้า แล้วถามกลับ
"แล้ววันนี้คุณไม่มีธุระกับมิสเตอร์ไวลีย์หรือ?"
ฝ่ายตรงข้ามยิ้มบาง "ถ้ามีแล้วฉันจะถามเธอทำไมว่าอยากตกปลาหรือเปล่า"
"พี่จะพาชาร์ล็อตออกไปนั่งรถเล่นใช่ไหม?" พอลลีนถามแทรกขึ้นมา หล่อนไม่ได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ แต่ก็รู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นคนทั้งสองทำเหมือนมีความลับที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้
"เธอจะไปด้วยกันไหมล่ะ?"
คำชวนของเอ็ดการ์ทำให้เด็กหนุ่มหน้าม่อยลงไปเล็กน้อย เพราะถ้าพอลลีนไปด้วย เขาก็จะไม่มีโอกาสได้ตกปลาอย่างที่ตั้งใจเอาไว้
เด็กสาวแกล้งทำท่านิ่งคิดอยู่นาน ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงใคร่ครวญ "อืม…ที่จริงวันนี้แม่ต้องเข้าเมืองไปซื้อของเพิ่ม ฉันไปเป็นเพื่อนท่านดีกว่า"
ประโยคนั้นทำให้เอสเพนแทบจะถอนหายใจออกมาดัง ๆ ด้วยความโล่งอก เขารีบวิ่งตื๋อเข้าไปเตรียมตัวในบ้านเมื่อร่างสูงบอก อันที่จริงเด็กหนุ่มก็ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากนัก เพียงแค่เขาพูดว่าจะออกไปข้างนอก ลอร่าก็สามารถจัดเตรียม 'ของจำเป็น' ส่วนตัวของเขาได้ในเวลาไม่ถึงสามนาที ซึ่งร่างโปร่งเห็นว่าของที่ผู้หญิงทุกคนเห็นว่าจำเป็นต่อการออกไปข้างนอก อย่างเช่น ร่มลูกไม้ ผ้าเช็ดหน้า หมวก หรือผ้าพันคอนั้น ไม่ได้จำเป็นสำหรับเขาแม้แต่นิดเดียว
ดวงตาสีดำสนิทมองตามจนกระทั่งแผ่นหลังเล็กหายลับเข้าไปในบ้าน ก่อนจะหันมายิ้มให้กับพี่ชายตนเองที่จับจ้องการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่เช่นกัน
"ในที่สุดพี่ก็เห็นว่าชาร์ล็อตเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจแล้วใช่ไหม?"
ร่างสูงขมวดคิ้วกับประโยคนั้นก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงแปร่งหู "รู้สึกเธออยากจะให้พี่รักกับชาร์ล็อตเหลือเกินนะ"
พอลลีนยิ้มรับ "เธอเป็นเด็กน่ารัก ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากให้ชาร์ล็อตอยู่กับพวกเราตลอดไป"
ตลอดไป…คำคำนี้ดูเหมือนจะมีผลต่อความคิดของคนฟังขึ้นมาทันที ตอนนี้เอสเพนยังเป็นเด็ก อายุยังน้อย การปลอมตัวเป็นผู้หญิงจึงทำได้โดยที่ไม่มีใครเอะใจสงสัย แต่ถ้าเด็กหนุ่มโตขึ้นมากกว่านี้ สรีระส่วนต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงไป คำว่า 'ตลอดไป' นั้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้แน่ นอกจากจะบอกความจริงให้ทุกคนรู้เสียก่อน
แต่ที่สำคัญ…
พ่อเขาเป็นนายอำเภอซึ่งเข้มงวดในกฎเกณฑ์และเคารพกฎหมายของรัฐเหนือสิ่งอื่นใด ในขณะที่เอสเพนมีความผิดฆ่าคนตายติดตัว ในเมื่อสภานภาพของคนทั้งคู่แตกต่างกันสุดขั้วเช่นนี้ การเปิดเผยความลับที่ว่าย่อมทำไม่ได้แน่นอน
+++++++++
เสียงสดใสที่ดังแว่วมาแต่ไกลทำให้ชายหนุ่มที่กำลังขึ้นประจำตำแหน่งบังคับม้าชะงักแล้วเขม้นมอง ในขณะที่เอสเพนเริ่มหน้าม่อยเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงคือใคร
ร่างสูงโหนตัวลงจากรถม้า เขายกหมวกทักทายน้องสาวของบาทหลวงแวนด์ ก่อนจะประทับริมฝีปากบนมือเรียวเล็กอย่างสุภาพ
"ช่างเป็นเช้าที่อากาศดีเหมาะแก่การขับรถม้าออกไปหย่อนใจจริงนะคะ เอ็ดการ์"
ชายหนุ่มหันไปมองพาหนะที่อยู่ข้างหลังตน ก่อนจะเอ่ยยิ้ม ๆ "เราจะดีใจมากถ้าคุณไปด้วยกัน"
ประโยคนั้นทำให้เด็กหนุ่มในอาภรณ์หญิงสาวอยากจะบีบคอคนพูดให้แหลกคามือ เอ็ดการ์จะเชิญชวนเพราะมารยาทหรือจากใจจริงก็ตามที ดูจากสีหน้าระรื่นนั้นก็รู้แล้วว่ายูจีเนียไม่ปฏิเสธแน่
เจ้าของดวงตาสีเขียวสดใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าอิดเอื้อนลังเล แต่แล้วก็กลับห่อเหี่ยวไปเหมือนเดิมเมื่อพบว่ามันเป็นมารยาหญิงของหล่อนนั่นเอง
"ฉันก็อยากจะไปเหมือนกันนะคะ อยู่แต่ที่บ้านเบื่อจะแย่ แต่นั่นจะเป็นการรบกวนคุณกับชาร์ล็อต…"
เอ็ดการ์เหลือบมองคนที่ถูกเอ่ยถึงแว่บหนึ่งราวกับจะส่งสายตาขอโทษขอโพย ก่อนจะหันไปยิ้มแย้มกับเด็กสาว "ชาร์ล็อตก็เบื่อกับการอยู่บ้านเหมือนคุณ ผมก็เลยอาสาจะพาออกไปเที่ยวเล่นบ้างเท่านั้นเอง"
อุปกรณ์ตกปลาที่ซ่อนเอาไว้ใต้เบาะรถม้ายิ่งทำให้เอสเพนรู้สึกอารมณ์เสียมากขึ้น เขารู้ดี เอ็ดการ์ไม่ผิด ยูจีเนียไม่ผิด แต่เขาเองก็ไม่ผิด ที่ผิดคือธรรมเนียมบ้าบออะไรนั่นต่างหากที่ว่าเด็กผู้หญิงจะตกปลาไม่ได้ ผิวปากไม่ได้ และขี่ม้าไม่ได้ ถึงแม้การที่ผู้หญิงขับรถม้าจะไม่เป็นเรื่องแปลกประหลาดก็ตามที!
เด็กหนุ่มกำลังลังเล ถ้าหากว่ายูจีเนียไปด้วยล่ะก็ความสนุกของเขาคงจะไม่เหลือ แล้วเอ็ดการ์ก็ต้องคอยเป็นเพื่อนคุยกับหล่อน หรือไม่ตัวหล่อนเองก็คอยดึงเอ็ดการ์ไว้คุยด้วย ส่วนเขาก็คงต้องนั่งเงียบ ๆ ทำตัวให้เล็กลีบที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาของทั้งสองคนว่าเขาไปด้วย
จะเสียมารยาทมากไหมนะถ้าเขาจะบอกว่าไม่อยากไปขึ้นมาเสียเฉย ๆ แน่นอนมันคงจะทำให้ยูจีเนียยิ้มได้ในใจ แต่เขาก็เกรงว่าหล่อนอาจจะนึกค่อนมารยาทของเขา แล้วก็จะตำหนิการอบรมของนายและนางไวลีย์ไปด้วย
นับว่าโชคยังเข้าข้างที่ระหว่างหญิงสาวกำลังเล่นบทอิดออดอยู่นั่นเอง ประตูหน้าบ้านก็เปิดออกมาพร้อมด้วยร่างของพอลลีน เด็กสาวมีสีหน้าเรียบเฉยเมื่อผู้เป็นเพื่อนจุมพิตทักทายที่แก้มอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ยดักคออย่างรู้ทัน
"เธอคงจะไปกับเอ็ดการ์ด้วย?"
ยูจีเนียแสร้งยิ้มประหม่า ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับพี่ชายคนพูด "อันที่จริงฉันเองก็ไม่อยากรบกวน แต่ในเมื่อเอ็ดการ์รบเร้า แล้วฉันเองก็อยู่บ้านว่าง ๆ ด้วย"
"เธอเองอยู่บ้านว่าง ๆ ทุกวันนี่" พอลลีนเลิกคิ้วอย่างไร้เดียงสา แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คู่สนทนาหน้าม้านไปได้
เอสเพนถอนหายใจกับตัวเอง ก่อนจะปีนลงมาจากรถม้า แล้วลงมายืนกระซิบกับบุตรสาวของนายอำเภอไวลีย์ "พอลลีน ฉันว่าฉันจะไม่ไปแล้ว"
"อะไรนะ!?" หล่อนขมวดคิ้วทันที ในขณะที่ร่างสูงเดินเข้ามาหา
"มีอะไรหรือชาร์ล็อต เธอลงมาทำไม?"
เด็กหนุ่มส่งสายตาที่อ่านได้ว่า 'คุณก็น่าจะรู้นี่' ให้คนพูดแว่บหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าแล้วตอบอ้อมแอ้ม "ฉันว่าฉันไม่ไปดีกว่า เดี๋ยวพอลลีนกับมิสซิสไวลีย์จะออกไปซื้อของ ฉันไปเป็นเพื่อนดีกว่า แล้วรถม้าก็มีแค่สองที่นั่ง"
เด็กสาวผมดำยิ้มหวาน…ซึ่งน้อยนักจะได้เห็น "ฉันเองก็ชักจะไม่อยากจะเข้าเมืองแล้วสิ ไปนั่งเล่นที่ริมแม่น้ำก็ไม่เลวเหมือนกัน"
เอ็ดการ์มองหน้าน้องสาวอย่างรู้ทัน ก่อนจะซ่อนรอยยิ้มขำ "อืม เอาสิ ไปกันเยอะ ๆ สนุกดี ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวแล้วกัน พี่จะไปเปลี่ยนรถม้า"
พอลลีนพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปส่งรอยยิ้มไร้เดียงสาให้กับเพื่อนสาวที่กำลังมองหล่อนตาขุ่น
+++++++++++
ลอร่ามองตามเจ้านายตัวเองที่เดินลากขาเข้ามาในบ้าน ก่อนจะหันไปหาพอลลีนที่เพิ่งตามเข้ามาเป็นเชิงถาม เด็กสาวพยักหน้าให้หล่อน ก่อนจะเดินตามร่างโปร่งขึ้นไปบนห้องทันเวลากับที่ฝ่ายนั้นกำลังจะปิดประตูพอดี
"ชาร์ล็อตที่น่าสงสาร" เด็กสาวเอ่ยเสียงอ่อนหวาน "เธอคงเบื่อมากสินะที่รัก"
เอสเพนทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วช้อนตามองคนพูด นึกแปลกใจว่าทำไมเวลาอย่างนี้หล่อนกลับล่วงรู้ถึงจิตใจเขาได้ ผิดกับเวลาสอนให้เขาเต้นรำหรือเคี่ยวเข็ญให้เขาทำตัวสมเป็นกุลสตรีที่เขาทั้งเบื่อทั้งเซ็งจนอยากจะตะโกนออกมาดัง ๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้เลยสักนิด
เขาพยักหน้าเนือย ๆ แทนคำตอบ ก่อนจะหลับตา แล้วต้องลืมตาขึ้นมาใหม่เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอันอ่อนโยนของมือที่กำลังลูบไล้เรือนผมตัวเอง
"เมื่อก่อนฉันเองก็ไม่ค่อยชอบยูจีเนียนักหรอก ตอนนี้ยิ่งเกลียดขี้หน้าหล่อนมากกว่าเดิม"
เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือก เขาก็ชักจะไม่ชอบน้องสาวของบาทหลวงแวนด์ขึ้นมาตะหงิด ๆ แล้วเหมือนกัน ถ้าไม่มีหล่อนเสียคน วันนี้เขาคงได้ตกปลาสนุกไปแล้ว
"ไม่ต้องห่วงนะ คราวหน้าฉันจะหาโอกาสให้เธอไปเที่ยวกับเอ็ดการ์สองคนให้ได้"
ประโยคนั้นทำให้คนฟังหันขวับมามองเจ้าของผมสีดำอย่างไม่เชื่อหู แน่นอนว่าพอลลีนไม่รู้ว่าเขาอยากตกปลา…อยากยิงปืน…แต่ก็นับว่าหล่อนช่างรู้ใจเขาเหลือเกิน เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ก่อนจะพูดอย่างตื้นตัน
"พอลลีน…ขอบใจนะ"
ฝ่ายนั้นยิ้มบ้าง "ไม่เป็นไร ฉันสนับสนุนเธอกับเอ็ดการ์อยู่แล้ว เธอคงไม่รู้หรอกว่าฉันดีใจแค่ไหนที่เห็นเธอมีใจให้เขา"
…หา?…
เอสเพนดีดตัวขึ้นนั่ง แล้วทำท่าตะแคงหูถาม ทั้ง ๆ ที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ชัดเจนทุกตัวอักษร "เธอว่าอะไรนะ?"
"อย่าถามสิ่งที่เธอรู้อยู่แก่ใจแล้วเลยที่รัก ฉันจะดีใจมากถ้าเธอแต่งงานกับเอ็ดการ์ ฉันรับรองว่าเขาเป็นคนดี แล้วจะทำให้เธอมีความสุขได้อย่างแน่นอน"
คนฟังนั่งอ้าปากและเบิกตาค้างอยู่นาน ก่อนจะส่ายหน้ายิก พร้อมนึกขอโทษขอโพยชายหนุ่มที่ถูกพูดถึงอยู่ในใจที่ทำให้ถูกเข้าใจผิดไปด้วย "มันไม่ใช่อย่างนั้น"
หล่อนเลิกคิ้ว "ไม่ใช่อย่างนั้น? การที่เธอเห็นยูจีเนียเข้าไปคลอเคลียกับเอ็ดการ์แล้วแสดงอาการหงุดหงิดออกหน้าออกตา ไม่ใช่เพราะว่าเธอชอบเขาแล้วเกิดอาการหึงหวงหรือ? ตอนที่ฉันบอกว่าจะหาโอกาสให้เธอกับเอ็ดการ์ได้ไปเที่ยวกันตามลำพังเธอก็ยังทำท่าดีใจอยู่เลย ซ้ำยังขอบคุณฉันเสียด้วยซ้ำ"
เอสเพนทำหน้าปั้นยาก นึกหาคำพูดที่ดีที่สุดมาอธิบายให้หล่อนเข้าใจ "คือ…ฉันแค่รู้สึกสนุกที่ได้ไปไหนมาไหนกับเอ็ดการ์…"
"เธอพอใจที่ได้ไปไหนมาไหนกับเขาแค่สองคน?" พอลลีนช่วยเรียบเรียงความคิดให้อีกฝ่าย
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกพิเศษอะไรอย่างที่เธอเข้าใจ"
"อืม" เด็กสาวทำหน้าไตร่ตรองคำพูดของฝ่ายตรงข้าม "ถ้าอย่างนั้นการออกไปเที่ยวกับโจชัวสองคนกับการออกไปเที่ยวกับเอ็ดการ์สองคนเธอคิดว่าอย่างไหนน่าสนใจกว่ากัน?"
"ไปเที่ยวกับเอ็ดการ์สิ" ตอบโดยแทบจะไม่ต้องเว้นช่วงคิด
"ทำไมล่ะ?" หล่อนยังรุกเร้า
ทำไมน่ะหรือ?…เอ็ดการ์รู้ความลับที่เขาเป็นผู้ชาย เวลาอยู่ด้วยกันสองคนจึงปฏิบัติตัวกับเขาอย่างผู้ชาย ผิดกับโจชัวที่คอยหาคำพูดหวานหูมาเอาใจเขา แล้วยังสายตาหยาดเยิ้มนั่นอีก หนำซ้ำเวลาอยู่กับเอ็ดการ์เขายังได้ทำในสิ่งที่อยากทำ แม้จะไม่อิสระมาก แต่ก็คลายความอึดอัดจากการที่ต้องใส่กระโปรงอยู่ตลอดเวลาไปมาก
แน่ล่ะ…เหตุผลแค่นี้เหลือจะเกินพอ หากแต่เขาอธิบายให้คู่สนทนาฟังได้ที่ไหนกัน
"เอาเป็นว่า" เขาพยายามหาข้อสรุปเพื่อให้หล่อนเลิกซักไซ้ "อยู่กับเอ็ดการ์ฉันได้ทำอะไรสนุก ๆ ก็แล้วกัน"
"อะไรสนุก ๆ?" หล่อนทวนคำพร้อมขมวดคิ้วแน่น "แล้วมันอะไรบ้างล่ะ?"
เอสเพนเบือนหน้าไปอีกทาง แล้วตอบอ้อมแอ้ม "เธออย่ารู้เลย"
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วอึดใจ ก่อนที่พอลลีนจะพยายามสบตาเขาอย่างคาดคั้น "ที่รัก เธอบอกฉันมาตามตรง เอ็ดการ์ทำอะไรเธอ!?"
อีกครั้งที่เขาต้องอ้าปากค้าง เด็กหนุ่มนึกอยากทึ้งผมตัวเองนัก เขาพยายามคิดหาข้อแก้ตัวที่แนบเนียนอย่างรวดเร็ว "มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะพอลลีน! ฉันชอบพายเรือ แล้วเอ็ดการ์ก็ให้ฉันพาย ฉันกลัวว่าถ้าบอกเธอไปแล้วเธออาจจะไม่ชอบนัก"
ฝ่ายตรงข้ามมีสีหน้าโล่งใจขึ้นทันตา "ฉันก็ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายชอบฉวยโอกาสอย่างนั้น ทีหลังเธอมีอะไรจะต้องบอกฉันตามตรงเข้าใจไหม"
เอสเพนพยักหน้ารับ หากแต่ยังนึกแย้งในใจ…ถ้าบอกได้ทุกเรื่องก็คงดีน่ะสิ
ฝ่ามือนุ่มนิ่มดันไหล่เล็กให้นอนราบลงไปกับฟูกอย่างนุ่มนวล แล้วพูดประโยคที่ทำให้เด็กหนุ่มแทบจะถอนหายใจออกมาดัง ๆ "เธอคงเพลีย นอนพักผ่อนเสียเถอะที่รัก"
อากาศที่ค่อย ๆ เย็นลงเรื่อย ๆ ในฤดูใบไม้ร่วงทำให้หล่อนไม่ลืมที่จะห่มผ้าให้ร่างบนเตียงก่อนจะก้าวออกจากห้อง แล้วทักทายสาวให้ผิวดำที่เดินสวนขึ้นบันไดมาพอดี
"ลอร่า มีอะไรหรือ?"
ฝ่ายนั้นก้มหน้าตอบ "ดิฉันจะขึ้นไปเก็บผ้าคุณชาร์ล็อตลงมาซักค่ะ"
คุณหนูของบ้านสั่งกำชับ "เปิดประตูเบา ๆ ล่ะ ชาร์ล็อตกำลังพักผ่อนอยู่"
หญิงสาวผิวหมึกรอจนอีกฝ่ายเดินลงบันไดไปแล้วค่อย ๆ หมุนลูกบิดประตูอย่างเบามือที่สุด แล้วต้องอุทานเบา ๆ เมื่อจู่ ๆ คุณชาร์ล็อตของหล่อนก็กระโดดโผลงขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง
"ลอร่า!" เอสเพนอุทานออกมาแล้วถอนหายใจเสียงดัง เมื่อครู่เขากำลังนอนไขว่ห้างตามสบาย ไม่นึกว่าจะมีคนเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ได้เคาะ จนเขาคิดว่าพอลลีนจะกลับเข้ามาเสียอีก
"ขอโทษค่ะ ดิฉันคิดว่าคุณหลับอยู่ก็เลยไม่กล้าเคาะประตู คุณชาร์ล็อตตกใจมากไหมคะ?" ผู้เป็นสาวใช้ถามอย่างเป็นกังวล
เด็กหนุ่มส่ายหน้า "ไม่แล้วล่ะ ว่าแต่ลอร่าเข้ามาเอาอะไรหรือ?"
คู่สนทนาทำท่าหันซ้ายหันขวาอย่างระแวดระวังทั้ง ๆ ที่มีกันอยู่สองคนในห้อง หล่อนล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากผ้ากันเปื้อน แล้วกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มตื่นเต้น "มาสเตอร์เอ็ดการ์สั่งให้เอามาให้ค่ะ แถมยังย้ำว่าอย่าให้คนอื่นเห็นเด็ดขาด"
เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงทำหน้าสงสัย ก่อนจะรับกระดาษจากมืออีกฝ่ายมาคลี่ดู แล้วต้องยิ่งข้องใจหนักกว่าเดิมเมื่อบนกระดาษเขียนเพียงแค่
คืนนี้ ไม่ต้องใส่กลอน
เอ็ดการ์คิดจะเล่นพิเรนทร์อะไรนะ?
"แล้วตอนนี้เอ็ดการ์อยู่ไหน?"
"มาสเตอร์เอ็ดการ์ควบม้าเข้าเมืองไปเมื่อครู่นี้เองค่ะ"
ได้ยินอย่างนี้เข้าเอสเพนก็อดจะขุ่นใจมากกว่าเดิมไม่ได้ ดูเอาเถอะ เกิดเป็นเอ็ดการ์นั้นสบายแสนสบาย นึกอยากจะทำอะไรก็ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นขี่ม้า ยิงนก ตกปลา หนำซ้ำยังมีข้าทาสบริวารรับใช้ไม่ต้องลำบากกาย ช่างเป็นชายหนุ่มที่เกิดมาพร้อมความโชคดีเสียนี่กระไร
"คุณชาร์ล็อต" ลอร่าเรียกก่อนจะกัดริมฝีปากแล้วถามเลียบ ๆ เคียง ๆ "มาสเตอร์เอ็ดการ์เขียนว่าอะไรหรือคะ?"
"ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน" ร่างโปร่งยิ้มแห้งเมื่อเห็นใบหน้าผิดหวังของสาวใช้ส่วนตัว แต่เขาก็ตอบไปตามความจริงนี่นา…คนอะไร อยู่ ๆ ก็เขียนแค่ 'คืนนี้ ไม่ต้องใส่กลอน' แล้วทำเสียเป็นความลับอย่างนั้น จะให้เขานึกรู้ด้วยตัวเองได้อย่างไรกัน
++++++++
ดวงตาสีเขียวเบิกโพรงในความมืด ถึงแม้อยากจะคิดว่ามันเป็นมุขตลกของเอ็ดการ์ที่ชายหนุ่มใช้เพื่อคลายความเบื่อให้เขา แต่กระนั้นก็ยังอดจะคาใจไม่ได้ เด็กหนุ่มคิดถึงเย็นที่ผ่านมา เขาพยายามจะสบตาฝ่ายนั้นบนโต๊ะอาหาร แต่ร่างสูงก็ทำท่าจดจ่ออยู่กับการสนทนากับนายอำเภอไวลีย์โดยไม่มองมาทางเขาเลยแม้แต่น้อย แถมพอรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็รีบขึ้นห้องตัวเอง ทำให้เขาไม่มีโอกาสจะถามให้แน่ชัดเสียทีว่าชายหนุ่มต้องการจะบอกอะไรกันแน่
เขาพลิกตัวตะแคงแล้วถอนหายใจเฮือกกับตัวเองเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาในห้องโถงตีสิบสองครั้ง ถึงจะง่วงแต่นอนเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับเพราะเอ็ดการ์แท้ ๆ ที่สร้างความสงสัยให้ค้างคาไว้ในใจเขาอย่างนี้ เด็กหนุ่มมองเงายอดไม้ที่เต้นไหวตามแรงลมบนผนังห้องพลางกระชับผ้าห่มให้หนาแน่นมากขึ้น…อุ่นสบายดีเหลือเกิน…แม้ฤดูหนาวของรัฐทางใต้จะมาถึงช้าและไม่ทารุณเท่ากับฤดูหนาวในรัฐทางเหนือ หากแต่เมื่อถึงช่วงนั้นของปี เขากับโจเซฟีนจะนอนเบียดกันแน่นเพราะที่บ้านริมน้ำนั้นมีผ้าห่มผืนบางอยู่แค่ผืนเดียว
"โจเซฟีน" เด็กหนุ่มครางชื่อพี่สาวสุดที่รักแล้วรู้สึกตันในลำคอ ไม่มีวันไหนที่ชื่อนี้จะมีปรากฏอยู่ในหัวใจเขา แต่…สักพักได้แล้วกระมังที่เขาไม่เคยคิดถึงหล่อนในสภาพที่เคยเป็นอย่างนั้น
"หึ" เสียงหนึ่งดังขึ้นในความมืด "นังนั่นมันตายไปตั้งนานแล้ว แกยังจะมาอาลัยอาวรณ์ถึงมันอยู่อีกหรือไง!?"
เอสเพนสะดุ้งเฮือกแล้วหันไปโดยรอบเพื่อหาต้นเสียง ขนบนต้นแขนลุกชัน เขาจำเสียงนั้นได้ติดหู…เสียงที่แสนจะน่าขยะแขยงนั่น…
เด็กหนุ่มรู้สึกอยากอาเจียนเมื่อจมูกกระสากลิ่นลมหายใจเหม็นบูดที่ผสมผสานกับกลิ่นเหล้า เขามองกลับไปยังทิศทางเดิม แล้วแทบจะแข็งเป็นหินเมื่อเห็นร่างเทอะทะอาบเลือดที่กำลังเดินตรงมายังเตียงนอนของตน ใบหน้าที่รกเรื้อไปด้วยหนวดเคราปรากฏรอยยิ้มหยัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาขนลุกไปทั้งตัวได้ก็คือขวานเล่มเขื่องที่ปักอยู่บนหลังของจอห์น…พ่อเลี้ยงของเขานั่นเอง
"ยังจำฉันได้ไหมล่ะเจ้าหนู?"
ชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาเรื่อย ๆ จนถึงเตียง ในขณะที่เอสเพนพบว่าขาตัวเองเป็นตะคริวทั้งสองข้าง เขาอยากจะหนี…แต่ทำไม่ได้แม้แต่จะร้องออกมาด้วยซ้ำ
เสียง 'ฉัวะ' ดังขึ้นเมื่อฝ่ายนั้นเอื้อมมือไปดึงขวานออกจากแผ่นหลังตัวเอง ดวงตาสีเขียวมองตามวัตถุที่ถูกเงื้อขึ้นสูง แล้วพยายามกระถดตัวหนีสุดชีวิตเมื่อหยดเลือดกลิ่นคาวคลุ้งจากคมขวานไหลรดผ้าห่มที่คลุมร่างตัวเองอยู่
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังขึ้น เด็กหนุ่มหลับตาปี๋เมื่อเห็นภาพพ่อเลี้ยงของตัวเองเงื้ออาวุธในมือขึ้นสุดแขน พร้อมตะโกน
"แกเตรียมใจไว้ได้เลยไอ้เด็กระยำ!!"
คมขวานไม่ได้ถูกเหวี่ยงลงมาบนคอ หากแต่เอสเพนก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกว่ามีคนมาเขย่าแขน เขาเผลอหวีดร้อง หากแต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาเพราะมือที่มองไม่เห็นตะปบปากไว้ได้ทันท่วงที
"เอสเพน…เอสเพน…" คราวนี้เสียงทุ้มคุ้นเคยดังอยู่ที่ริมหู "เป็นอะไรไป?"
เอ็ดการ์ค่อยคลายมือที่ปิดปากอีกฝ่ายออกเมื่อรู้สึกถึงความเปียกชื้นจากหยดน้ำตาที่ปลายนิ้ว เข้ารั้งร่างที่กำลังหอบจนตัวโยนเข้ามาไว้ในวงแขน กดศีรษะอีกฝ่ายให้ซบลงไปกับบ่าตัวเอง แล้วถามเสียงอ่อนโยน "เป็นอะไรไป ฝันร้ายหรือ"
เด็กหนุ่มหลับตาแน่นพลางกลืนน้ำลายลงคอ แล้วควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ ก่อนจะยกมือขึ้นยันอกชายหนุ่ม แต่ร่างนั้นไม่ขยับแม้แต่น้อย
"พอเถอะ" เขาพูด แล้วพบว่าเสียงตัวเองสั่นกว่าที่คิดไว้ "ผมไม่เป็นอะไรแล้ว"
"บอกฉันมาก่อนว่าเธอฝันเห็นอะไร"
กระแสปลอบประโลมที่เจือมากับน้ำเสียงทำให้เจ้าของดวงตาสีเขียวคลายอาการเกร็ง แล้วซบหน้าลงกับบ่ากว้างเหมือนเดิม "พ่อเลี้ยง…มันจะมาฆ่าผม"
มือใหญ่สางเข้าไปในผมสีน้ำตาลแดงชื้นเหงื่อแล้วลูบไล้อย่างเบามือ "ไม่เป็นไรหรอก หมอนั่นตายไปแล้ว ไม่มีอะไรที่เธอต้องกลัว"
"ผมไม่ได้กลัว" เขาทำปากแข็ง
"โกหก" ฝ่ายนั้นสวนกลับทันควัน "หัวใจเต้นแรงขนาดนี้ยังว่าไม่กลัว"
เอสเพนถอนหายใจแล้วหลับตาอย่างยอมแพ้เมื่อจับจังหวะหัวใจตัวเองได้…เขากลัวจริง ๆ นั่นแหละ กลัวมากเสียด้วย
สัมผัสของถุงมือที่ถูกสวมเข้ามาทำให้เขาลืมตาขึ้น แสงจันทร์ที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เขาเห็นภาพของเอ็ดการ์ที่กำลังก้มหน้าขะมักเขม้นอยู่กับการสวมถุงมือหนังสีน้ำตาลให้กับเขา แต่แล้วเจ้าตัวก็บ่นงึมงำในคอเบา ๆ
"ผิดข้างแฮะ"
ชายหนุ่มดึงถุงมือข้างนั้นออกแล้วใส่ข้างใหม่ให้แทนที่ พร้อม ๆ กับที่ร่างโปร่งถามขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว "คุณจะทำอะไร?"
"ใส่ถุงมือให้เธอไง ฉันอุตส่าห์ไปซื้อมาให้เมื่อตอนบ่าย"
"ใส่ไปทำไม?" เขายังไม่สิ้นคำถาม
"ก็ที่ฉันนัดเธอคืนนี้ไง"
"อ้อ" เอสเพนทำเสียงประชด "นั่นคือการนัดของคุณเหรอ? อยู่ ๆ ก็เขียนอะไรมาก็ไม่รู้ ผมนึกว่าจะหาเรื่องให้ผมแก้เซ็งเล่น ๆ เสียอีก"
เอ็ดการ์ยิ้มในแสงสลัว ก่อนจะบีบปลายจมูกอีกฝ่ายเบา ๆ "ช่างพูดเสียจริงนะ ฉันกำลังจะหาอะไรให้เธอทำแก้เบื่ออยู่นี่ไง"
"จะไปไหน?" เด็กหนุ่มถามเมื่อถูกฉุดข้อมือให้ลุกขึ้น
"เดี๋ยวก็รู้"
+++++++++
เด็กหนุ่มต้องใช้เวลาสักพักในการยืนนิ่ง ๆ เมื่อออกมาจากห้องนอนของตัวเองเพื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืดมิดของตัวบ้านที่แสงจันทร์ส่องเข้ามาไม่ถึงเหมือนอย่างในห้องเขา ร่างที่เดินนำหน้าลงบันไดไปหันมามองด้วยความฉงน แล้วกระซิบถาม
"เป็นอะไรไป"
"มันมืด ไม่เหมือนในห้อง ต้องยืนสักพักก่อน"
เขาแว่วเสียงอีกฝ่ายบ่นอะไรงึมงำในคอ ก่อนที่เงาร่างสูงใหญ่จะเคลื่อนเข้ามาใกล้แล้วคว้าข้อมือตัวเองหมับ เอสเพนค่อย ๆ ไต่บันไดตามคนนำทางไปเรื่อย ๆ ถุงมือหนังที่สวมอยู่ถึงจะทำให้รู้สึกรำคาญแต่ในไม่ช้าเขาก็เห็นคุณค่าของมันเมื่อเปิดประตูหน้าบ้านออกมาพบกับความหนาวเย็นของอากาศปลายเดือนตุลาคม ทาสชายที่นายอำเภอไวลีย์วางให้ยืนยามไว้อยู่หันมาทักทายชายหนุ่มด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเดินหายไปที่ไหนสักแห่ง
"คุณจะทำอะไรน่ะเอ็ดการ์?" เด็กหนุ่มหันมาถามด้วยเสียงสั่นน้อย ๆ เพราะลมหนาวแทรกเข้ามาในชุดนอนตัวบาง แต่ถึงอย่างไรเสียเขาก็ไม่คิดว่าเอ็ดการ์จะสวมถึงมือให้แค่กันหนาวหรอกนะ
ชายหนุ่มทำหน้าระอา แต่คนมองก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ใจจริงของฝ่ายนั้น "เธอหัดใจเย็นเป็นบ้างไหม?"
เอสเพนลอบเบะริมฝีปาก เขาน่ะหรือไม่ใจเย็น ถ้าเขาไม่ใจเย็นก็ทนแต่งชุดผู้หญิงทุกวันอย่างนี้ไม่ได้หรอก
แล้วดวงตาสีเขียวก็ต้องเบิกกว้างอย่างตื่นเต้นเมื่อทาสชายคนเดิมเดินกลับมาพร้อมอาชาสีน้ำตาลที่ย่างเยาะอยู่เคียงค้าง มือสีคล้ำค่อยลูบสีข้างของมันอย่างปลอบประโลม อาจเป็นไปเพื่อปลอบประโลมให้มันสงบเสงี่ยมไม่เสียงดัง หรือไม่ก็อาจทำเพื่อขอโทษขอโพยที่ต้องปลุกมันขึ้นมาทั้งที่ยังนอนฝันหวานถึงแครอทหัวอ่อน
"ทีนี้รู้หรือยัง?" เอ็ดการ์ถามยิ้ม ๆ แล้วต้องตัวแข็งทันทีเมื่อร่างเล็กโผเข้ามากอดด้วยอารามดีใจ กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเรือนผมนั้นถูกลมกลางคืนพัดโชยเข้าจมูก เนื้อตัวอีกฝ่ายก็ไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนอย่างหญิงสาว แต่ก็ไม่ได้หยาบกร้านเหมือนอย่างเขา อาจเป็นเพราะเด็กหนุ่มยังไม่โตเต็มที่ หรือไม่ก็เป็นผลจากการประทินโฉมของน้องสาวเขาเป็นแน่
ความตื่นเต้นยิ่งทวีคูณเมื่อทาสชายคนนั้นส่งบังเหียนม้าให้กับเขาแทนที่จะเป็นเอ็ดการ์ แต่กลับส่งเสื้อโค้ทและรองเท้าบู้ทที่หิ้วมาด้วยให้ชายหนุ่มแทน เอสเพนหันมามองเมื่อถูกสะกิด แล้วปล่อยให้ร่างสูงสวมเสื้อโค้ทตัวหนาให้ตัวเองแต่โดยดีเพราะมัวแต่ลูบแผงคอม้าอยู่
"รองเท้าต้องใส่เองแล้วนะ"
"อืม ๆ"
เด็กหนุ่มตอบรับแล้วยัดเท้าเข้าไปในบู้ทลวก ๆ โดยเกาะแขนเอ็ดการ์ไว้เพื่อพยุงตัว ก่อนจะชะงักเมื่อรู้สึกว่าตัวเองถูกจ้องมอง เขาเงยหน้าขึ้น แล้วพบกับดวงตาโปนโตของทาสคนนั้นที่เสหลบไปอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก เขาไม่คุ้นเคยกับยามตอนกลางคืนมากนัก แต่ถ้าจำไม่ผิดยามผู้นี้น่าจะเป็นคนเดียวกับยามที่เอ็ดการ์สั่งให้เก็บเรื่องที่เขาหนีออกจากบ้านไวลีย์ในครั้งนั้นเป็นความลับ
"เขาชื่ออะไรน่ะ?" ร่างโปร่งค่อย ๆ หันไปกระซิบถามชายหนุ่ม
"โจ"
เอสเพนพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปมองคนที่ถูกเอ่ยถึงอีกทีแล้วโบกมือตอบเมื่อเห็นฝ่ายนั้นโบกมือให้ราวกับจะอวยพรให้โชคดีหรือเที่ยวสนุกอะไรทำนองนั้น
"ท่าทางเป็นคนดีนะ"
"ปากหนักดี แล้วก็เป็นคนดีอย่างที่เธอว่า ไม่เคยเกี่ยงงาน" ชายหนุ่มพูดเรียบ ๆ ขณะจูงม้าเดินออกจากตัวบ้าน ความสงัดในยามราตรีทำให้เขาไม่กล้าให้เอสเพนขึ้นควบตั้งแต่ทีแรก เพราะกลัวว่ามันอาจจะกำลังหงุดหงิดที่ถูกจูงออกจากคอกในกลางดึกแล้วจะออกอิทธิฤทธิเอาได้ง่าย ๆ
"เราจะเดินไปถึงไหน?" เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงที่ปลิวไปตามแรงลมถามพร้อมกระชับโค้ทเข้าหาตัวเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะให้เขาขึ้นมาเสียที
ร่างสูงย้อนกลับไปมองยังทิศทางที่ผ่านมา หลังคาบ้านเขาเล็กลงเรื่อย ๆ ถ้าบิดาเขาประกอบอาชีพอื่นป่านนี้เขาคงได้ขึ้นม้าไปแล้ว แต่นี่การรั้งตำแหน่งนายอำเภอที่เคร่งครัดในหน้าที่ทำให้นายไวลีย์มีความระแวดระวังและเป็นคนตื่นง่ายเป็นพิเศษ
"ไปอีกสักพักแล้วกัน"
+++++++++++
หากเขาไม่ร้องเตือน เอสเพนก็คงจะควบม้าวนรอบลานร้างอยู่อย่างนั้นจนรุ่งสาง
เอ็ดการ์อ้าปากหาวหวอดเป็นครั้งที่ห้าตั้งแต่ขึ้นบนหลังม้ามาได้สิบนาที ผิดกับคนที่ไม่ยอมปล่อยบังเหียนที่กำลังฮัมเพลงอยู่หงิง ๆ ทำให้เขาอดจะรู้สึกหมั่นไส้แกมเอ็นดูไม่ได้ ชายหนุ่มจามติด ๆ กันสามสี่ครั้ง เขาเป็นคนขี้หนาวและเกลียดลมกลางคืนที่เย็นหวิวแบบนี้จับใจ ถ้าไม่ติดว่าเห็นเด็กหนุ่มเหงาจนถึงขั้นซังกะตายป่านนี้คงได้นอนอุ่นอยู่ในเตียงไปแล้ว
"ถ้าฉันเป็นหวัดเธอจะต้องรับผิดชอบ" เขาพูดทีเล่นทีจริง
เอสเพนหันมายิ้มให้ พื้นอารมณ์ของเด็กหนุ่มอยู่ในขั้นดีจัดจนรู้สึกได้ "เอ็ดการ์ที่น่าสงสาร ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะคอยรับใช้คุณเอง"
คำว่า 'รับใช้' ทำให้คนฟังหัวเราะ เด็กหนุ่มช่างไม่รู้จักสรรคำมาพูดเอาเสียเลย ถ้าพูดว่า 'ปรนนิบัติ' หรือ 'ดูและ' ยังจะฟังดูเข้าท่ามากกว่าเสียอีก
แขนทั้งสองข้างของเขาถูกมือเล็กที่อยู่ในถุงมือหนังดึงไปพันรอบเอวเจ้าตัวเมื่อเขาจามออกมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มหันมายิ้มถาม "ดีขึ้นไหม?"
คนถูกถามนิ่งไปครู่หนึ่ง จะว่าดีขึ้นไหมก็คงดีขึ้นแน่ล่ะ แต่จะเป็นเพราะเสื้อโค้ทตัวหนาที่คลุมร่างโปร่งอยู่หรือเป็นเพราะอุณหภูมิของฝ่ายนั้นกันแน่ที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันตา
ร่างสูงค่อย ๆ เอาคางของตนเกยไหล่เล็กไว้แล้วปิดเปลือกตาลงราวกับจะหลับไปทั้งอย่างนั้น ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดขึ้นมาเสียก่อน
"พรุ่งนี้มาอีกไหม?"
"เอสเพน…" เขาว่าพลางทำเสียงเหนื่อยใจ "เธอไม่คิดจะหลับจะนอนแต่ฉันคิดนะ"
"คุณก็หลับได้นี่" ฝ่ายตรงข้ามแย้งทันที พร้อมกดศีรษะเขาให้ซุกลงกับไหล่ตัวเองมากขึ้น "นี่ไง นอนอย่างนี้"
ชายหนุ่มหัวเราะในคอ แล้วกระชับวงแขนแน่นขึ้น ร่างเล็ก ๆ นี่อุ่นดีจริง ๆ "ถ้าพ่อรู้ฉันโดนฆ่าแน่รู้ไหม?"
"ก็อย่าให้นายอำเภอรู้สิ" เจ้าของดวงตาสีเขียวตัดสินให้เสร็จสรรพ ก่อนจะทำเสียงอ้อนวอน "นะ…เอ็ดการ์ ได้โปรด"
เจ้าของชื่อนิ่งไปสักพักในขณะที่คิดชั่งน้ำหนักความสงสารที่ตัวเองมีให้เด็กหนุ่มกับผลได้ผลเสียที่จะเกิดขึ้น ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดประโยคที่ทำให้คนฟังยิ้มหน้าบานขึ้นทันที
"แต่ทุกคืนไม่ได้นะ"
+++++++++

*****
End of Part 6

comment