ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Eye On Me (Part 7) by...เฟื่อง Warning: เรื่องนี้มีวี่แววจะน้ำเน่ามากอยู่(คนเขียนเองก็ยังไม่รู้ระดับความน้ำเน่าเหมือนกัน แต่คงเน่ากว่าทุก ๆ เรื่องที่เขียนมา) เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ชอบก็ขอเตือนไว้แต่เนิ่น ๆ เน้อ
"พอแล้ว" หล่อนพูดเสียงเข้ม
แล้วจ้องเด็กหนุ่มไม่วางตา เอสเพนขมวดคิ้ว "ทำไมล่ะ?
ไหนว่าจะให้ฉันอ่านให้จบบท" "ถ้าเธอง่วงก็ไปนอนเสียดีกว่า" น้ำเสียงที่เปล่งออกมาทำให้คนฟังยิ้มในหน้า อันที่จริงถึงแม้พอลลีนจะดูเป็นเด็กสาวที่เยือกเย็น แต่ความจริงแล้วเจ้าตัวก็เป็นคนอ่อนไหวมากทีเดียว ถ้าตอนนี้หล่อนไม่ได้กำลังนึกน้อยใจที่เขาแสดงทีท่าเบื่อหน่ายต่อสิ่งที่หล่อนพยายามทำให้ด้วยความหวังดี
ก็คงจะโกรธที่เขาไม่กระตือรือร้นที่จะเรียนเอาเสียเลย "เดี๋ยว" เขายิ้มแห้ง ๆ แล้วเริ่มรู้สึกใจไม่ดีเมื่อเห็นแววสำรวจตรวจค้นที่อยู่ในดวงตาสีนิล "ฉันว่าช่วงนี้เธอดูแปลก
ๆ นะ" "แปลกยังไงหรือ?"
เด็กหนุ่มถามพลางเลิกคิ้ว หล่อนเตรียมตัวจะอ้าปาก
แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ยกมือไล่เขาแทน "ขึ้นไปนอนเถอะ" พอลลีนถอนหายใจกับรอยยิ้มสดใสที่ฝ่ายตรงข้ามส่งให้ก่อนจะเดินหาวออกไป
แล้วกัดริมฝีปากตนเองอย่างครุ่นคิด เท่าที่หล่อนสังเกตมา
นี่ก็สามวันแล้วที่ชาร์ล็อตมีอาการง่วงซึมอย่างเห็นได้ชัดในเวลากลางวัน
ราวกับว่าฝ่ายนั้นใช้เวลาทั้งคืนไปกับการทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่การนอนหลับอย่างนั้น ใบหน้าคมสวยนั้นอยู่ในอาการปกติ
จะมีก็แต่ดวงตาสีนิลที่หรี่ลงอย่างครุ่นคิด เด็กสาวกัดริมฝีปากล่างเล็กน้อย
ก่อนจะถอนหายใจ แล้วเปิดหนังสือที่อ่านค้างอยู่บนตักขณะที่สมองไม่ได้สนใจกับตัวหนังสือที่เรียงแถวกันอยู่นัก +++++++ เอ็ดการ์อมยิ้มเมื่อมือเล็กที่ยังบังคับบังเหียนม้าอยู่เมื่อครู่ตกแปะลงมาราวกับไม่มีเส้นเอ็น
เนื่องจากความง่วงงุนทำให้เจ้าตัวเผลอหลับไปทั้งที่ยังอยู่บนหลังนางม้าที่เดินกุบกับไปตามถนน
ชายหนุ่มมีโอกาสพิจใบหน้านั้นได้ใกล้ขึ้นเมื่อเจ้าของหนุนศีรษะเข้ากับไหล่ของเขาอย่างไม่ทันรู้ตัว
ระยะนี้เมื่อสังเกตดี ๆ จะพบว่าเอสเพนกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลง เด็กหนุ่มตัวสูงขึ้น
จุดนี้แม้แต่มารดาหรือน้องสาวของเขาก็ยังรับรู้ เพราะหล่อนทั้งสองคอยดูแลเสื้อผ้าให้เด็กหนุ่มอยู่เป็นประจำ
นอกจากนั้นแก้มที่เคยอิ่มเนื้อก็ค่อยซูบลง ใบหน้าเรียวยาวขึ้น แนวกระที่เคยเห็นชัดก็บางตาลงไปเล็กน้อยทั้ง
ๆ ที่ผิวของร่างโปร่งขาวขึ้นกว่าตอนที่พบเขาครั้งแรก การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เอ็ดการ์ถอนหายใจออกมาแรง
ๆ อย่างหนักอก ความลับที่เขาทั้งสองช่วยกันเก็บงำอยู่ไม่รู้ว่าจะรอดพ้นสายตาของคนอื่นไปได้อีกนานเท่าไหร่
ในเมื่อหลักฐานที่ว่าแม่สาวชาร์ล็อตคนนี้เป็นผู้ชายค่อย ๆ จะเด่นชัดขึ้นทุกวัน
ๆ แน่นอน
ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้ทุกคนจะตื่นมาแล้วพบว่าแท้จริงแล้วเพศของเด็กหนุ่มไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย
แต่รอเวลาผ่านไปนานเข้า กล้ามเนื้อที่ควรจะเจริญเติบโตก็จะขยับขยายขึ้น เสียงที่ค่อนข้างแหลมในตอนนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นเสียงแหบห้าวเหมือนอย่างตอนที่เขาแตกเนื้อหนุ่ม
ไหนจะเรื่อง
เขาสะบัดศีรษะแรง ๆ และดูเหมือนจะแรงเสียจนทำให้ร่างโปร่งที่เคลิ้มหลับไปสะดุ้งตื่นขึ้นมา มือเล็กคว้าบังเหียนม้าโดยอัตโนมัติ แต่ปากกลับละล่ำละลักถาม "ถึงแล้วหรือ?" "ยังหรอก แต่ใกล้แล้ว
นอนก่อนก็ได้" แทนที่จะพูดกับเจ้าตัวเรื่องที่กำลังหนักใจ
เขากลับส่งยิ้มบาง ๆ ให้เด็กหนุ่มแล้วกดศีรษะฝ่ายนั้นให้เอนซบอยู่กับไหล่ตัวเองต่อ
การได้สนิทสนมกับเอสเพนทำให้เขารู้สึกเหมือนมีน้องเพิ่มมาอีกคน และประวัติอันพิสดารพันลึกน้องคนนี้ก็ค่อนข้างจะน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
หนำซ้ำเจ้าตัวเองก็ยังเป็นเด็กที่ดีมากคนหนึ่ง มาถึงตอนนี้เขาเพิ่งจะพบว่าตัวเองก็เหมือนกับคนอื่น
ๆ ในครอบครัว คือทั้งรักและเอ็นดูสมาชิกใหม่คนนี้อย่างเหลือแสน และถ้าเป็นไปได้
เขาก็อยากให้เด็กหนุ่มอยู่กับครอบครัวของเขาไปตลอด แต่เรื่องมันจะง่ายเหมือนใจคิดที่ไหนกัน เอสเพนรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นเมื่อร่างสูงช่วยพยุงร่างลงจากหลังม้า
แล้วจูงข้อมือเข้าไปในบ้าน เขาจำได้เพียงราง ๆ ว่าได้ยิ้มให้กับคำว่า 'ราตรีสวัสดิ์ครับคุณชาร์ล็อต'
ของโจตอนที่ฝ่ายนั้นจูงม้าไปเก็บ แต่พูดรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าได้มายืนอยู่หน้าประตูห้องนอนตัวเองแล้ว "ไปนอนซะ"
ฝ่ายนั้นรุนหลัง พร้อมเปิดประตูให้ ก่อนจะเดินไปที่ห้องนอนของตัวเองบ้าง เตียงนอนที่เห็นเป็นเพียงเงาสลัวท่ามกลางความมืดทำให้ตาแทบจะปิดเสียเดี๋ยวนั้น เอสเพนปีนขึ้นบนฟูกนุ่ม ๆ แล้วระบายลมหายใจออกยาวอย่างสบายตัว สมองง่วงงุนใกล้เคลิ้มหลับเต็มที่
หากพอพลิกตัวเท่านั้นก็ตาสว่างพรึ่บขึ้นมาทันทีเมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนเตียงคนเดียว "พอลลีน" เขาร้อง
"เธอแทบจะทำให้ฉันหัวใจวาย!" "แต่เธอทำให้ฉันหัวใจวายไปแล้วนะที่รัก"
หล่อนว่าพลางลุกขึ้นนั่ง ดวงตาสีถ่านไม้ดูเหมือนจะคุโชนได้ในความมืด และนั่นทำให้เอสเพนเข้าใจได้ทันทีว่าฝ่ายนั้นหมายถึงอะไร เด็กหนุ่มแตะลิ้นเข้ากับริมฝีปาก ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เพราะในตอนนี้การคิดหาคำแก้ตัวดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ฉลาดกว่ากันเป็นไหน
ๆ เมื่อเห็นจำเลยยังนิ่งเงียบ
เด็กสาวจึงถามขึ้นมาพร้อมจ้องตรงไปยังดวงตาสีเขียวสดที่เป็นประกายเรือง แล้ววางมือเข้ากับผิวแก้มที่ยังเย็นเฉียบจากสายลมของราตรีในฤดูหนาว
"เธอไปไหนมา?" หมดกันที่จะแก้ตัว! พอลลีนฉลาด
รู้ทันเขาไปเสียทุกด้าน ถ้าเขาบอกว่าลงไปเดินเล่นหล่อนคงไม่เชื่อเป็นอันแน่
แล้วถ้าอย่างนั้นเขาควรจะพูดอะไรออกไปดี "ฉัน
" "อย่าได้คิดจะโกหกฉันแม้แต่คำเดียวเชียว"
เด็กสาวแทรกเสียงอ่อย ๆ นั้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดของตนเอง เมื่อมองกันในจุดนี้
หล่อนช่างเหมือนนายอำเภอไวลีย์นัก ร่างโปร่งถอนหายใจอีกครั้ง
คราวนี้หนักหน่วงและเจือไว้ด้วยมวลอากาศแห่งความกลัดกลุ้ม ก่อนจะบอกตัวเอง
เป็นไงเป็นกัน! "ฉันออกไปขี่ม้า" ดูเหมือนเด็กสาวจะเลิกคิ้วเพียงเล็กน้อย
ก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองแล้วจับมือของเขาขึ้นมาข้างหนึ่ง "เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลกันดีกับถุงมือที่เธอใส่อยู่
แต่ฉันไม่คิดว่ายามหน้าประตูจะปล่อยให้เธอออกไปคนเดียว" นี่อย่างไรล่ะ
สมควรแล้วที่เขาไม่ได้โกหก
ก็พอลลีนต้อนเขาไว้เสียทุกทางออกอย่างนี้ แต่เขาจะพูดออกไปได้อย่างไรเล่าว่าออกไปกับใคร "ว่ายังไงชาร์ล็อต
ตอบฉันมาเสียตามตรงว่าเธอออกไปกับใคร? อันที่จริงไม่ต้องบอกฉันก็พอจะเดาได้
แต่อยากรู้จากปากเธอ" เอสเพนถอนหายใจอย่างยอมแพ้
ไหน ๆ หล่อนก็รู้หมดแล้วนี่นะ "ออกไปกับเอ็ดการ์" เขายินเสียงถอนหายใจบางเบาดังขึ้น
ก่อนจะกระจายไปรวมตัวกับความมืด ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบกันไปนาน ก่อนที่เด็กสาวจะทิ้งตัวลงนอนข้าง
ๆ ลูบศีรษะเขาอย่างอ่อนโยนอย่างที่ชอบทำ แล้วเอ่ยขึ้น "เธอคงเดาไม่ถูกแน่
ๆ ว่าตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง" หล่อนเงียบไป ในขณะที่เอสเพนต่อให้ในใจ
เขาไม่อยากเดาถูก
แต่เขาอยากรู้ว่าพอลลีนจะตัดสินโทษเขาอย่างไรหรือหล่อนจะรู้ความลับของเขาไหมมากกว่า
"ฉันดีใจนะชาร์ล็อต
แต่ฉันก็เป็นห่วงเธอ" เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วเข้าหากัน
"เธอดีใจ?" "แน่นอน ฉันดีใจที่เธอกับเอ็ดการ์สนิทสนมกันอย่างนี้
แต่ก็เป็นห่วง เพราะขอบเขตความสนิทสนมของพวกเธอดูเหมือนจะกว้างไปเสียหน่อยเธอไม่รู้ตัวหรอกว่าระยะสองสามวันมานี้ตัวเองมีพิรุธแค่ไหน
นับว่าเป็นโชคดีทั้งของเธอและเอ็ดการ์ที่คนที่เอะใจขึ้นมาก่อนคือฉัน ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นพ่อล่ะก็
" หล่อนเว้นช่วงให้คนฟังคิดตาม
ซึ่งก็ได้ผล เอสเพนกลืนน้ำลายลงคอยากเย็นเมื่อจินตนาการตามไปว่าหากคนที่มาดักรอเขาคืนนี้คือนายอำเภอไวลีย์
ทั้งเขาและเอ็ดการ์จะตกอยู่ในสภาพเช่นไร ไม่ว่าใครต่อใครคงเข้าใจผิดกันไปยกใหญ่
และคนที่จะโชคร้ายที่สุดคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชายหนุ่ม "พอลลีน ฉันขอร้องเอ็ดการ์เอง
" "ฉันรู้ ๆ"
อีกครั้งที่หล่อนพูดแทรกขึ้น "แต่ฉันอยากจะรู้นักว่าเธอจะพิศมัยอะไรกับม้าหนักหนา
มันก็แค่สัตว์สี่เท้าตัวใหญ่ที่ฝึกให้เชื่องได้เท่านั้น" หากเป็นเวลาปกติเขาคงจะยกเหตุผลนานับประการที่จะทำให้คู่สนทนาเห็นความเพลิดเพลินของการขี่ม้า
หากแต่ตอนนี้เขารู้ตัวดีว่าทำผิด พูดอะไรไปมีแต่จะทำให้พอลลีนอารมณ์เสียเปล่า
ๆ นอกจาก
"ฉันขอโทษ" เสียงถอนหายใจดังขึ้นตอบประโยคนั้น
เด็กสาวลุกขึ้นนั่นเก็บเข่าขึ้นมาไว้ในวงแขน แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่เคร่งเครียด "บอกฉันมาตามตรง
เธอกับเอ็ดการ์ทำอะไรกันนอกจากขี่ม้า?" ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างในความมืด
ก่อนที่เจ้าตัวจะละล่ำละลัก "เราแค่ขี่ม้า! ขี่ไม่ถึงชั่วโมงก็กลับบ้านแล้ว" "จริงหรือ?" "ฉันสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้า" เด็กสาวรีบปิดริมฝีปากอีกฝ่าย
"อย่าเอ่ยนามพระองค์พร่ำเพรื่อสิ ในเมื่อเธอพูดถึงขนาดนี้ฉันก็จะเชื่อ
แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องคุยกับเอ็ดการ์ เธอนอนได้แล้วล่ะ นอนให้อิ่ม อย่าแสดงพิรุธให้ใครจับได้อีก" เอสเพนรั้งข้อมือของคนที่กำลังดึงผ้าห่มให้เขา
แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ "เธอ
คงไม่บอกเรื่องนี้กับมิสเตอร์ไวลีย์หรอกใช่ไหม?" ++++++++ ร่างโปร่งชะเง้อคอมองเข้าไปในตัวบ้านเป็นระยะ
ก่อนจะยกมือปัดกระโปรงตัวเองอย่างหงุดหงิด แล้วก้าวยาว ๆ ไปมาเพื่อลดความร้อนใจลง
เมื่อครู่พอลลีนบอกพี่ชายของเธอว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ซึ่งเขารู้ดีว่าร้อยทั้งร้อยคงจะไม่พ้นเรื่องเมื่อคืน
เอสเพนระบายลมหายใจหนักหน่วง ไม่รู้ว่าเอ็ดการ์จะถูกซักฟอกอะไรบ้าง ตัวเขาเองอุตส่าห์ออกมาเดินเตร่อยู่ในป่า
ทั้งเพื่อแสดงมารยาท ทั้งไม่อยากถูกพอลลีนซักไซร้ไล่เลียงไปมากกว่านี้ หวังว่าชายหนุ่มคงจะรู้ว่าเขาใจร้อนแค่ไหน
และตามเขาออกมาในไม่ช้า เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากตัวเองแล้วทรุดตัวลงกับขอนไม้ใหญ่
เขาเริ่มมองหากิจกรรมฆ่าเวลา ทั้งนับยอดไม้ สอดส่ายสายตาหานก และหักข้อนิ้วตัวเองเล่น
เขาไม่เคยทำอย่างนี้ต่อหน้าพอลลีนเลยสักครั้ง เพราะรู้ดีว่าหล่อนจะต้องไม่พอใจอย่างร้ายกาจ
มีอยู่แค่บางครั้งที่ลอร่าเห็นเขาประทุษร้ายนิ้วมือตัวเองเล่น และหล่อนก็แทบลมจับเช่นกัน นับว่าเป็นโชคดีของลอร่าที่เสียง
'กร๊อบ' เพิ่งหลุดออกมาจากนิ้วที่สาม ร่างสูงใหญ่ที่รออยู่ก็เดินออกมาจากตัวบ้านเสียก่อน
เอสเพนถลันลุกขึ้นแล้วก้าวยาว ๆ ไปหาชายหนุ่มทันที ในขณะที่ฝ่ายนั้นยังคงสาวเท้าเดินด้วยจังหวะไม่เร่งร้อน "เอ็ดการ์"
ร่างโปร่งแทบจะถลาไปจับมือฝ่ายนั้น "เป็นยังไงบ้าง?" "อะไรเป็นยังไง?"
เจ้าของดวงตาสีน้ำผึ้งย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่อาทร ผิดกับคู่สนทนาที่ร้อนใจจนเกือบจะยกมือทึ้งผมตัวเองอยู่มะรอมมะร่อ "ก็เรื่องที่พอลลีนเรียกไปคุย
"
เอสเพนชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคนที่กำลังอยู่ในหัวข้อสนทนายืนอยู่หน้าบ้าน
แล้วมองตรงมายังเขาทั้งคู่ หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะขาด ๆ หาย ๆ ค่อยกลับเป็นปกติอีกครั้งเมื่อพบว่าหล่อนเพียงแต่ยืนมองอยู่อย่างนั้นอยู่พักใหญ่
ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านอีกครั้ง ชายหนุ่มมองตามดวงตาสีเขียวสด ก่อนจะรุนแขนเจ้าตัวให้เดินไปหาขอนไม้ที่เพิ่งลุกจากมาเมื่อครู่ พร้อมเอ่ยขึ้นลอย ๆ ด้วยน้ำเสียงขบขัน "เธอกลัวพอลลีนยิ่งกว่าแม่ตัวเองเสียอีกกระมัง" ร่างโปร่งเบี่ยงตัวออกอย่างหงุดหงิด
"ทำไมเวลานี้คุณถึงยังทำเล่นอยู่ได้นะ!?" "แล้วจะให้ฉันทำยังไงดีล่ะ?
หรือจะให้บอกพอลลีนว่า 'เอาล่ะ เพื่อให้เธอสบายใจ พี่จะฆ่าม้าในบ้านให้หมดทุกตัวเลย'
อย่างนี้ดีไหม?" "ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น" เอ็ดการ์ ไวลีย์หัวเราะเบา
ๆ กับเสียงอ่อย ๆ และใบหน้ามุ่ย ๆ ของเด็กตรงหน้า ก่อนจะยกมือลูบศีรษะอีกฝ่ายเบา
ๆ "รู้ไหมว่าตอนนี้ฉันคิดอะไรอยู่?" คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูงเมื่อร่างสูงดูเหมือนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนากระทันหัน
แต่แล้วก็ขำพรืดออกมาเมื่อฝ่ายตรงข้ามพูดต่อด้วยน้ำเสียงโล่งใจ "ฉันคิดว่า พระเจ้าช่างเมตตาอะไรอย่างนี้ที่พอลลีนเป็นแค่น้องสาว
ไม่ใช่แม่ฉัน" รอบตัวมีแต่เสียงลมกระทบยอดไม้และเสียงนกร้องเมื่อคู่สนทนาทั้งสองนิ่งเงียบกันไปพักใหญ่
ต่างฝ่ายต่างจับจ้องผืนดินที่ถูกปกคลุมด้วยใบไม้แห้งตรงหน้า ก่อนที่เสียงลมหายใจจะดังขึ้นตามด้วยเสียงทุ้มแผ่ว "ช่วงนี้เธอคงลำบากหน่อยเพราะถูกพอลลีนจับตามอง
แต่ฉันอยากจะให้เธอรู้ไว้ ที่พอลลีนทำไปทั้งหมดก็เพราะว่าเขารักเธอมาก แล้วก็หวังดีกับเธอเท่านั้นเอง" "ผมรู้ ๆ"
เอสเพนรีบตอบรับ แล้วถามต่ออย่างเป็นกังวล "แล้วเธอ
เอ่อ
ตำหนิอะไรคุณบ้างหรือเปล่า?" ถึงแม้เมื่อคืนเขาแทบจะไม่ถูกเด็กสาวตำหนิเลยสักนิด
ออกจะหนักไปทางไล่ให้จนมุมจนต้องสารภาพความจริงออกมามากกว่า แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกังวลจนนอนไม่หลับ
แน่นอนว่าพอลลีนไม่เล่นงานเขา แต่หล่อนจะต้องโยนความรับผิดชอบในเรื่องนี้ไปให้พี่ชายตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย
แล้วเอ็ดการ์ทำผิดอะไร? ก็แค่หวังดี กลัวเขาจะเหงาเท่านั้น แทบจะทุกคืนชายหนุ่มต้องฝืนตัวเองในตื่นขึ้นมาในยามดึกสงัด
แล้วเข้ามาปลุกเขาที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้กระตือรือร้นอยากขี่ม้าด้วยเลยสักนิด "เธอก็รู้ว่าพอลลีนเป็นยังไง"
ร่างสูงยกยิ้ม ราวกับเพื่อจะให้คนตรงหน้าคลายใจ "ฉันน่ะโดนว่าว่าเป็นผู้ใหญ่แต่กลับทำเหมือนเด็กหนีเที่ยวไม่มีผิด" อีกครั้งที่เอสเพนหัวเราะออกมา
เด็กหนุ่มหันไปหาคนพูด ดวงตาสีมรกตสว่างใสเป็นประกาย "แค่นั้นน่ะหรือ?" "แค่นั้นสิ ถ้ามีมากกว่านี้ฉันคงต้องขอพักยกเสียก่อน" ดวงตาสีน้ำผึ้งทอแสงอ่อนลงเมื่อเห็นรอยยิ้มโล่งใจปรากฏอยู่บนเรียวปากฝ่ายตรงข้าม
ก่อนจะลอบถอนหายใจกับตนเอง ถ้าเอสเพนรู้ว่าเมื่อครู่น้องสาวของเขาคาดคั้นให้ทำอะไร
เด็กหนุ่มคงจะนั่งไม่ติดที่เป็นอันแน่ เพราะตัวเขาเองจนบัดนี้ก็ยังรู้สึกแปลก
ๆ ไม่หาย "แต่งงานกับชาร์ล็อตเสียเถอะเอ็ดการ์"
พอลลีนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบหลังจากที่เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง และหลังจากที่หล่อนบ่นงึมงำว่าแม่สาวชาร์ล็อตนั้นออกจะมีความคิดและนิสัย
'โลดโผนเกินผู้หญิง' เขาจ้องตาน้องสาว พบว่าลูกแก้วสีนิลนั้นปรากฏแววจริงจังมากกว่าปกติ
และแน่นอนว่าหล่อนเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะล้อเล่นสักนิด "เธอว่าอะไรนะ!?" "ฉันบอกให้พี่แต่งงานกับชาร์ล็อตเสีย
พี่รักเธอไม่ใช่หรือ?" "รัก!"
เอ็ดการ์อุทานคำนี้จนลั่นบ้าน
พร้อมกับหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะผิดไปจากทุกที เขาจะรักคนที่ถูกพูดถึงอยู่ได้อย่างไรนะ
ในเมื่อรู้เต็มอกว่าฝ่ายนั้นเป็นเด็กผู้ชาย แต่ความรู้สึกในตอนนั้นก็ไม่มีความรังเกียจเจืออยู่เลยสักนิด
อาจเป็นเพราะเขานึกเอ็นดูเอสเพนมากก็ได้ เด็กสาวเพียงแต่ช้อนตามองพี่ชายพร้อมขมวดคิ้วน้อย
ๆ แต่ส่วนอื่น ๆ ของใบหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่เลยสักนิด "พี่รักชาร์ล็อตไม่ใช่หรือไง?
ฉันไม่เคยเห็นพี่ใส่ใจผู้หญิงคนไหนมากเท่านี้มาก่อน อย่าบอกว่าเป็นเพราะเขาเป็นลูกบุญธรรมของพ่อแม่เลย
จริงไหม?" ร่างสูงอับจนด้วยคำพูด
เหตุผลที่เขาตั้งใจจะยกมาอ้างก็ถูกอีกฝ่ายต้อนไปเก็บเอาไว้เสียแล้ว สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนั้นมีแต่การพยายามหาเหตุผลอื่นมาเถียงข้าง
ๆ คู ๆ ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเอสเพนเลยสักนิด และนั่นดูเหมือนจะทำให้พอลลีนรู้สึกไม่พอใจนัก
เพราะหลังจากที่เขาพูดจบประโยค ใบหน้าที่ติดไปทางเมินเฉยอยู่แล้วก็เรียบตึงมากกว่าที่เป็นอยู่
ก่อนที่หล่อนจะสรุปสั้น ๆ "ถ้าพี่ไม่รักชาร์ล็อตแบบนั้นก็อย่าแสดงอะไรให้คนอื่นเข้าใจผิดเลย
ฉันกลัวว่าเด็กซื่อ ๆ อย่างนั้นจะต้องร้องไห้เพราะพี่เข้าสักวัน" เอ็ดการ์รับประโยคนั้นมาด้วยอาการเมินเฉยไม่ผิดกัน
จะให้เขาอาทรร้อนใจอะไรได้ ในเมื่อรู้ดีว่าเอสเพนไม่มีทางจะมาหลงรักเขาเช่นกัน +++++++ กลิ่นเนื้ออบที่หอมตลบอยู่ในครัว
ทำให้ห้องเล็ก ๆ นั้นดูจะอบอุ่นกว่าห้องอื่น ๆ ภายในบ้าน หญิงสาววัยไล่เลี่ยกันกำลังสาละวนอยู่กับการหั่นโน่นเติมนี่ลงในหม้อใบใหญ่
ร่างระหงในชุดกระโปรงเนื้อหนักสีน้ำตาลอมเขียวยืนเกาะขอบประตูห้องครัวอย่างลังเล
หล่อนทำท่าจะก้าวเข้าไปหลายครั้ง แต่ทาสหญิงหลายคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานตรงหน้าก็ทำให้เปลี่ยนใจเสียทุกที
"คุณหนู" ดอริสเงยหน้าขึ้นจากการกลึงแป้งพายเมื่อหางตาจับภาพเงาร่างคนได้เลือน
ๆ แล้วอุทานออกมาเมื่อเห็นว่าเจ้าของเงาที่ว่าเป็นใคร เสียงของหล่อนทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน
เช่นเดียวกับนางไวลีย์ที่หมุนตัวมาแล้วยิ้มทักบุตรสาว "พอลลีน มีอะไรหรือจ๊ะ?" เจ้าของชื่อกวาดสายตามองไปรอบ
ๆ ห้อง ผู้เป็นมารดาจึงพูดขึ้นมาอย่างรู้ใจ "แม่ปรุงเนื้อเสร็จพอดีจ้ะ
เหลือแต่เคี่ยวให้เปื่อย" "ถ้าอย่างนั้นหนูขอคุยกับแม่ครู่หนึ่งได้ไหมคะ?" แม้ว่าบุตรสาวคนนี้จะมีบุคลิกเหมือนผู้เป็นบิดาราวกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกับ
ที่ค่อนข้างเงียบ และเคร่งขรึม หนำซ้ำสำหรับพอลลีนแล้ว หล่อนมีความคิดความอ่านเกินเด็กวัยเดียวกันไปไกลเลยทีเดียว
แต่ในวันนี้มองปราดเดียวโซฟีก็รับรู้ได้ทันทีว่าเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามจะพูดด้วยจะต้องเป็นเรื่องที่เจ้าตัวเห็นว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดโดยไม่ต้องสงสัย
เนื่องจากดวงตาคู่นั้นฟ้องออกมาก่อนคำพูดเสียด้วยซ้ำ นางเดินตามเด็กสาวออกมาที่ห้องนั่งเล่น
แล้วย้ำความคิดเดิมกับตัวเองเมื่อพอลลีนรีบเบียดตัวเข้ามานั่งใกล้ ๆ ราวกับจะอ้อน "แม่คะ" หล่อนเริ่มธุระอย่างไม่ยอมให้เสียเวลา
"แม่คิดว่าเอ็ดการ์กับชาร์ล็อตเป็นยังไงคะ?" "เอ็ดการ์กับชาร์ล็อต?"
นางไวลีย์แกล้งทวนคำพลางขมวดคิ้วด้วยสีหน้าครุ่นคิด ทว่าในใจรู้ดีว่าลูกสาวต้องการจะพูดอะไร
"ลูกหมายความว่ายังไงกัน พวกเขาก็ดูสนิทกันดีน่ะสิจ๊ะ" "แล้วแม่ไม่คิดเหรอคะว่าเอ็ดการ์ออกจะให้ความสนิทสนมกับชาร์ล็อตมากไปนิด
แล้วชาร์ล็อตก็ออกจะติดเอ็ดการ์มากไปหน่อย" ผู้เป็นมารดาเลิกคิ้ว
แล้วลูบผมบุตรสาวอย่างเอ็นดู "ลูกจะพูดอะไรกันแน่จ๊ะ?" "ให้เอ็ดการ์กับชาร์ล็อตแต่งงานกันเถอะค่ะ" เจ้าตัวพูดโดยไม่สะดุดแม้แต่น้อย
ดวงตาแน่วแน่ น้ำเสียงแผ่วไร้ความตื่นเต้นเจืออยู่ หากแต่จริงจังนัก เห็นได้ชัดว่าหล่อนคิดเรื่องนี้มานานแล้ว พอลลีนยกตัวขึ้นเล็กน้อย
พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจ "เอ็ดการ์รักชาร์ล็อตแน่นอนค่ะแม่" "ทำไมลูกถึงคิดอย่างนั้น?
เขาบอกลูกหรือจ๊ะ?" รอยยิ้มขบขันปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของผู้เป็นมารดาเมื่อจู่
ๆ ฝ่ายตรงข้ามก็ทำจมูกย่น ดูแล้วช่างขัดกับใบหน้าเคร่งขรึมของเจ้าตัวเหลือเกิน "เช่นอะไรบ้างล่ะ?" "เขาอาจจะเห็นว่าชาร์ล็อตยังเด็กไป
แต่จะพูดกันตามจริงปีนี้ชาร์ล็อตก็อายุสิบห้า ไม่เด็กแล้วนะคะ หรือไม่ก็เพราะเขาเป็นผู้ชายจอมปากแข็ง
ไม่รับความรู้สึกของตัวเองง่าย ๆ อีกทีเขาก็อาจจะทึ่มมากจนไม่รู้ว่าตัวเองคิดยังไงกับชาร์ล็อต
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่หนูคิดว่าค่อนข้างจะเป็นไปได้มากที่สุด
เขาเกรงใจโจชัว" "โจชัว?" นางไวลีย์ทวนคำ "โจชัวชอบชาร์ล็อตค่ะ" นางนิ่งสงบ ไม่ตอบคำ
ด้วยพอจะจับสังเกตได้ว่าตั้งแต่ที่บ้านไวลีย์มีสมาชิกเพิ่มมาอีกคน ชายหนุ่มคนนั้นก็ออกจะมาที่นี่บ่อยเป็นพิเศษ
แต่โจชัวเป็นผู้ชายที่มีชื่อเสียงในด้านรูปลักษณ์ความมีเสน่ห์ และเรื่องความเจ้าชู้ของเจ้าตัว
ดังนั้นนางจึงคิดว่าชายหนุ่มคงจะไม่คิดจริงจังอะไรนัก และเท่าที่ดูเด็กในปกครองของนางก็ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษต่อฝ่ายนั้นแต่อย่างใด
นางจึงไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไหร่ "โจชัวอาจจะไม่จริงจัง" พอลลีนพูดต่อทันที "เขาจะจริงจังก็ดี
ไม่จริงจังก็ช่าง แต่หนูอยากให้เอ็ดการ์ตัดสินใจอะไรให้เร็วหน่อย หรือทำอะไรที่ชัดเจนเปิดเผยกว่านี้" "แล้วเอ็ดการ์ทำอะไรไม่เปิดเผยหรือจ๊ะ?" เด็กสาวเม้มปากกับคำถามนี้
หล่อนอยากจะโพล่งเรื่องที่พี่ชายทำเอาไว้นัก ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่ามารดาจะมีความคิดเห็นอย่างไร
แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูบิดาเข้า มันอาจจะลุกลามเป็นปัญหาใหญ่กว่าที่คาดเอาไว้
อีกอย่าง
ไพ่ใบนี้เป็นไพ่ตายของหล่อนเสียด้วย เมื่อเห็นบุตรสาวเงียบไปนาน
นางไวลีย์จึงพูดตัดบทขึ้นเอง "เราอย่าไปเจ้ากี้เจ้าการกับเขาดีกว่าจ้ะ
ถ้าเขารักกันอย่างที่ลูกว่าจริง ก็คงจะมาบอกพวกเราเอง เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดบังไม่ใช่หรือ
แล้วแม่ก็เห็นว่าโจชัวคงจะไม่เป็นคนเลวร้ายถึงกับคัดค้านถ้าเอ็ดการ์กับชาร์ล็อตใจตรงกัน" +++++++ ถึงแม้จะบอกว่ากำหนดเวลาที่จะต้องไปทำธุระที่นิวยอร์คคือสามอาทิตย์
แต่ชายหนุ่มผมสีบลอนด์สว่างก็กลับมาภายในเวลาแค่ครึ่งเดือน
โจชัวบอกตัวเองว่าเขาคิดผิดที่มาเอาเวลานี้
เพราะแทนที่จะได้พูดคุยกับใครบางคนให้หายคิดถึงอย่างที่ตั้งใจไว้ เขาต้องนั่งสงบเสงี่ยมขณะรับประทานของว่างภายใต้สายตาไม่พอใจของพอลลีน
และสายตาสังเกตสังกาของมารดาหล่อน โชคดีที่ช่วงเวลาดังกล่าวกินเวลาไม่นานนัก
เพราะหลังบ่ายสามโมงนางไวลีย์ก็เข้าครัว ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือก็ย้ายมาที่ห้องนั่งเล่น เขาคุยกับเพื่อนสนิทไม่ขาดปาก
หากแต่คอยเหลือบไปยังร่างโปร่งที่นั่งอ่านหนังสืออยู่อีกมุมหนึ่งของห้องไม่ขาดระยะด้วยใจที่ร้อนรน
ในยามปกติชาร์ล็อตจะต้องออกไปเดินเล่นในป่าหลังอาหารว่าง แต่ในยามนี้หล่อนกลับหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านด้วยอาการนิ่งสงบ
ชายหนุ่มไม่อยากคิดว่าฝ่ายตรงข้ามกลัวที่จะต้องอยู่กับเขาตามลำพัง เขาจากไปถึงสองอาทิตย์
แม้ที่นี่จะเป็นรัฐทางใต้ แต่อากาศก็เย็นขึ้นจนถึงขั้นหนาว บางทีอาจเป็นเพราะสายลมในยามบ่ายแก่
ๆ เช่นนี้บาดผิวเนื้อของคนที่ชินแต่กับอากาศร้อนมากเกินไปก็ได้ ในที่สุดเขาก็แทบจะถอนหายใจออกมาดัง ๆ เมื่อพอลลีนเดินออกจากห้องไปทำธุระส่วนตัว โจชัวหยุดบทสนทนากับเพื่อนสนิทไว้ทันทีโดยไม่สนใจอาการประท้วงด้วยการเลิกคิ้วและกระแอมในคอของฝ่ายนั้น
ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับอีกคนที่เหลือ "ผมคิดว่าคุณจะต้องเดินเล่นทุกวันหลังอาหารว่างเสียอีก
หรือว่าตอนนี้อากาศหนาวเกินไป?" "ก็ไม่หนาวเท่าไหร่"
เด็กหนุ่มตอบ "แต่ฉันอยากจะอ่านหนังสือ" เอสเพนรู้สึกยอกในใจเหมือนมีเสี้ยนเล็ก
ๆ ที่มองไม่เห็นแทงอยู่เมื่อรอยยิ้มเศร้าปรากฏอยู่บนใบหน้าทรงเสน่ห์ พร้อม
ๆ กับที่เจ้าตัวพูดขึ้นเบา ๆ "เสียดายจริง ผมตั้งใจจะมาเดินเล่นกับคุณเหมือนอย่างทุกครั้งแท้
ๆ" ภาพของดวงตาสีมรกตที่เหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งข้างกายเขาเป็นเชิงขอความเห็น ก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อเอ็ดการ์เสมองไปทางอื่นเสียทำให้ความปวดใจที่จางหายไปกลับมาทักทายอีกครั้ง เขาเกือบจะลืมไปแล้วเชียวว่าเพื่อนสนิทของตัวเองกับชาร์ล็อตดูเหมือนจะมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
และเขาก็ดูจะกลายเป็นส่วนเกินไปเสีย ทั้ง ๆ ที่ใครกันเล่าได้รู้จักกับเด็กสาวคนนี้ก่อน
เพียงแค่นายอำเภอรับหล่อนให้อยู่ในอุปการะเท่านั้น เอ็ดการ์จึงมีโอกาสมากกว่า
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อยากจะปักใจเชื่อว่าเพื่อนตนเองจะมีความคิดเช่นนั้นจริง
ในเมื่อเอ็ดการ์เป็นคนบอกเขาอย่างหนักแน่นว่าไม่เคยคิดจะสนใจชาร์ล็อตเลยสักนิด โจชัวมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อยเมื่อเอ่ยขอตัวกับบุตรชายนายอำเภอไวลีย์
เขาอยากจะเสนอท่อนแขนให้ร่างโปร่ง แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะต้องผิดหวังจนหน้าม้าน
ทางที่ดีที่สุดคือการเบี่ยงตัวรอให้ฝ่ายนั้นเดินนำไปก่อน แล้วเดินตามเยื้องหลังเล็กน้อยภายในระยะกระชั้นชิด แทนที่จะเดินลึกเข้าไปเล็กน้อยเหมือนอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน
เอสเพนกลับเตร่อยู่ใกล้ ๆ ตัวบ้านแทน เผื่อว่าปุบปับพอลลีนจะออกมาเรียก เขาจะได้หาเรื่องกลับเข้าไปด้านในได้โดยไม่น่าเกลียดนัก
เด็กหนุ่มไม่เคยนึกรังเกียจโจชัว ออกจะคิดถึงและดีใจที่ฝ่ายตรงข้ามกลับมาเร็วกว่าปกติ
แต่เขาไม่อยากให้ชายหนุ่มมีความรู้สึกเกินเลยมากกว่ามิตรภาพปกติไปด้วยเช่นกัน
เพราะถึงอย่างไรเสียเขาก็ไม่มีทางตอบสนองฝ่ายตรงข้ามได้ เมื่อเห็นร่างโปร่งมีท่าทีค่อนข้างจะอึดอัด
ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีฟ้าจึงเริ่มบทสนทนาขึ้นเอง "ไม่คิดว่าไปแค่สองอาทิตย์อากาศจะเย็นลงขนาดนี้
แต่ถึงยังไงก็ยังสู้นิวยอร์คไม่ได้" บทสนทนาของเขาได้ผลเมื่อฝ่ายตรงข้ามดูจะผ่อนคลาย
และมีความกระตือรือร้นที่จะคุยด้วยขึ้นมาทันตา ริมฝีปากบางที่ยกยิ้มน้อย
ๆยังคงทรงประสิทธิภาพเดิมที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงทันทีที่เห็น "ที่นิวยอร์คคงหนาวมาก?" โจชัวนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนจะรู้สึกสะดุดกับความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างของคู่สนทนา
แต่เขาก็หาความเปลี่ยนแปลงที่ว่าไม่เจอ จึงรีบปัดเรื่องนี้ให้พ้นสมอง "หนาวมาก" ชายหนุ่มพยักหน้ารับ พร้อมถือโอกาสขยับกายเข้ามาใกล้จนกลายเป็นเดินเคียงกันเมื่อเขาก้าว แล้วฝ่ายตรงข้ามเดินตามโดยไม่รู้ตัว "มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาวเต็มไปหมด" "หิมะหรือ?" น้ำเสียงตื่นเต้นของอีกฝ่ายทำให้เขาเอื้อมมือออกไปหมายจะคว้ามือเล็กนั้นไว้
หากแต่ก็รั้งตัวเองไว้ได้ทัน เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าเป็นเหมือนแท่งแก้วสวยใสที่ดูแข็งแกร่ง
ทว่าถ้าใจร้อนผลีผลาม เอื้อมมือไปคว้าไว้เร็วไปสักนิด แก้วที่ว่าอาจจะร้าวหรือหัก
และจะขยาดมือเขาได้ "แน่นอน หิมะตกหนักมากในนิวยอร์คโดยเฉพาะช่วงที่ผมกำลังจะกลับ โชคดีที่ทำธุระเสร็จก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าหิมะตกหนักกว่าที่เป็นอยู่คงจะเดินทางลำบาก แล้วผมก็คงจะต้องกลับช้ากว่าที่กำหนดไว้" "จริงสิ" เอสเพนอุทานอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
"งานของคุณเป็นยังไงบ้าง?" "เรียบร้อยและเสร็จเร็วกว่าที่คิดไว้"
เขาตอบพลางมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีฤดูใบไม้ผลิของคนถาม แล้วพูดขึ้นแผ่ว ๆ
"หากคุณเบื่อที่จะต้องอยู่แต่ที่แจ็คสัน วิลล์ คราวหน้าจะไปเที่ยวกับผมบ้างก็ได้
ถ้าไม่รังเกียจ" "ขอบคุณ" เด็กหนุ่มตอบแผ่ว
ๆ แล้วเสเบือนหน้าไปทางอื่นเสีย ด้วยเข้าใจความรู้สึกที่แอบแฝงมากับสายตาและประโยคนั้นเป็นอย่างดี
ทว่าเขาลืมนึกไปเสียสนิท
อิสระที่เคยโหยหาอยู่แค่เอื้อมนี่เอง ก่อนที่เขาจะทันรู้ตัว
อะไรบางอย่างก็ถูกชูอยู่ตรงหน้า เอสเพนกระพริบตาหนึ่งครั้ง ก่อนจะพบว่าสิ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นผีเสื้อสีสวย
ไม่สิ
มันคือปีกผีเสื้อที่ถูกเคลือบแข็งและติดอยู่บนหลังเทพธิดากระเบื้ององค์น้อย
ๆ ต่างหาก "ผมซื้อมาฝาก เป็นของจากทางยุโรป
ชอบไหม?" ชายหนุ่มถาม ร่างโปร่งเอียงคอเล็กน้อย
เทพธิดาองค์จิ๋วนี้นับเป็นของแปลก และสวยน่ารักมากที่สุดที่เขาเคยเห็น ตัวเทพธิดาเป็นสาวน้อยหน้าตากระจุ๋มกระจิ๋มที่ถูกปั้นขึ้นด้วยกระเบื้องสีขาวล้วน
เพื่อขับปีผีเสื้อสีสวยที่ถูกอะไรบางอย่างเคลือบจนแข็งและมีลักษณะคล้ายแก้วให้ดูสวยเด่น
ทว่าของแบบนี้เหมาะกับเด็กผู้หญิง
ไม่ใช่เขา แม้จะรู้สึกอย่างนั้นแต่น้ำใจของคนที่อุตส่าห์ซื้อมาฝากก็ทำให้เอสเพนไม่ลังเลที่จะเอื้อมมือไปรับ
พร้อมตอบผ่านรอยยิ้ม "ชอบสิ ขอบคุณนะ" โจชัวยิ้มบาง แล้วถอนหายใจแผ่ว
ๆ กับตัวเอง จะดีแค่ไหนกันถ้าคนที่พบเด็กสาวตรงหน้าเป็นคนแรกไม่ใช่นายอำเภอไวลีย์
แต่เป็นเขาหรือมารดา ทุกสิ่งทุกอย่างคงจะง่ายกว่าที่เป็นอยู่ หรืออย่างน้อยที่สุดชาร์ล็อตก็น่าจะเป็นเด็กในอุปการะของใครก็ได้ที่ไม่ใช่นายอำเภอไวลีย์
ถึงเขาจะไม่แน่ใจในความรู้สึกของเพื่อนสนิท แต่เขาก็ไม่อยากหมางใจกับเอ็ดการ์เลยสักนิด ++++++ ลูกแก้วสีดำที่มองจ้องไปยังคนตัวสูงกว่านั้นแทบจะไม่กระพริบเลยสักนิด
ไม่ใช่เพราะความตะลึงพรึงเพริศ หากแต่เป็นการประกาศนิสัยไม่ยอมแพ้ของเจ้าตัว
ริมฝีปากคู่สวยปึ่งเฉย และเม้มจนเป็นเส้นตรงในบางคราว แต่การเปลี่ยนแปลงที่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะอะไรนั้นก็สุดที่จะมีใครหยั่งรู้ได้ ตรงนี้เองที่ริมฝีปากของเด็กสาวเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรงอีกครั้ง ตอนนี้คนที่ทำให้หล่อนอารมณ์เสียมีถึงห้าคน
หนึ่งคือเอ็ดการ์ที่ขณะนี้ไม่อยู่บ้าน เพียงเพราะยูจีเนียที่หาโอกาสมาหาพี่ชายหล่อนด้วยการแกล้งนำพายที่เพิ่งอบมาให้
แล้วบ่นลอย ๆ ว่าเหงาบ้างล่ะ อยากไปปิคนิกที่ริมน้ำเพราะตอนนี้อากาศเย็นจนมีไอขาวลอยขึ้นมาจากผิวน้ำบ้างล่ะ
ด้วยมารยาทสุภาพบุรุษยุโรปที่เอ็ดการ์บ่มเพาะมาทำให้เขาไม่เคยปฏิเสธความต้องการของผู้หญิงคนนี้ได้เลยสักครั้ง
ส่วนคนที่น่าโมโหอันดับต่อมาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชาร์ล็อต ไม่ว่าหล่อนจะเฝ้ากระซิบให้เจ้าตัวไปกับสองคนนั้นอย่างไร
ฝ่ายนั้นก็จะปฏิเสธด้วยการส่ายหัวดิก แต่กลับมีอาการเซื่อง ๆ หงอย ๆ ให้หล่อนรำคาญตา
หนำซ้ำยังมีแขกไม่ได้รับเชิญสบโอกาสเหมาะ หาเรื่องมาขลุกอยู่ที่นี่ได้แทบทั้งวัน
ดังนั้นคนสุดท้ายที่หล่อนนึกโมโหก็คือตัวเองนั่นเอง จะไปกับเอ็ดการ์ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้โจชัวและชาร์ล็อตได้อยู่กันตามลำพัง
ดังนั้นวันนี้จึงต้องปล่อยให้ยูจีเนียยิ้มด้วยความสมใจอย่างช่วยไม่ได้ "ฉันว่ามันน่าจะเป็นความคิดที่ดีถ้าให้ชาร์ล็อตได้ฝึกบ้าง
ดีกว่าให้ยืนดูอย่างเดียวแบบนี้" โจชัวพูดขึ้น การนับจังหวะจึงหยุดลงไปด้วย
ทว่าเมื่อเด็กสาวในวงแขนยังก้าวขาต่อไปเรื่อย ๆ เขาจึงต้องก้าวตามโดยอัตโนมัติ
ก่อนจะถามขึ้นเป็นเชิงกระตุ้นเมื่อฝ่ายนั้นทำเหมือนไม่ได้ยิน "ว่าไง?" พอลลีนตวัดตากร้าวขึ้นมองคนพูด
แล้วสะบัดตัวออกไปนั่งบนโซฟาแทนคำตอบรับ หล่อนคร้านที่จะเถียง หรือไม่ก็หงุดหงิดเกินกว่าที่จะเถียง
แล้วแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเสียเมื่อชาร์ล็อตหันมามองราวกับจะขออนุญาต หรือขอความเห็น แม้จะผ่านการเต้นรำมากับพอลลีนบ้าง
แต่เด็กหนุ่มก็ยังเต้นอย่างติดขัดและก้าวพลาดบ่อยครั้ง ทุกครั้งจะได้ยินคำว่า
'ไม่เป็นไร ลองใหม่นะ' จากปากโจชัวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเสมอ เอสเพนถอนหายใจแผ่วเบาแล้วบอกกับตัวเอง
เอาเถิดจะเต้นรำเป็นฝ่ายหญิงหรือชายก็ช่าง
ในเมื่อถ้าหนีจากที่นี่ได้เขาก็คงจะไม่มีโอกาสได้เต้นรำอีกเลยในชีวิต หนีจากที่นี่? ประโยคนั้นก้องขึ้นอีกครั้งในหัวทำให้เด็กหนุ่มพลาดไปเหยียบเท้าของคู่เล่นอย่างแรง
การฝึกซ้อมหยุดลงชั่วคราวพร้อมด้วยการขอโทษขอโพยของเขา ก่อนจะเริ่มอีกครั้ง
และครั้งนี้เอสเพนทำได้แย่กว่าเดิม เรียกได้ว่าแย่มากจนพอลลีนต้องบอกให้หยุดเพราะทนดูไม่ไหวเสียด้วยซ้ำ
เสียงบ่นของหล่อนและสายตาแสดงความเป็นห่วงของโจชัวไม่ได้ผ่านการรับรู้ของเขากี่มากน้อย
ด้วยจิตในมัวแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องเพียงเรื่องเดียว หนีออกจากที่นี่? นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้?
ไม่ได้คิดถึงชีวิตอิสระที่ตัวเองควรจะมี นานแค่ไหนแล้วที่ความรำคาญที่ต้องอยู่ในคราบของผู้หญิงค่อย
ๆ จางไปจนแทบไม่รู้สึก คำสัญญามั่นคงของเอ็ดการ์ในตอนนั้นทำให้เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ไม่เพียงแต่เขา
ชายหนุ่มก็คงจะลืมด้วยกระมังว่าตัวเองเคยพูดอะไรไว้บ้าง ++++++ เอสเพนนอนคู้ตัวอยู่บนเตียง
สายตาที่ชินกับความมืดทำให้เขามองเห็นเงาของทุก ๆ อย่างที่อยู่ในห้องได้เลือนราง
เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหงุดหงิดกับการรอคอย นี่เป็นครั้งที่สองที่เอ็ดการ์สั่งให้ลอร่านำกระดาษที่มีข้อความสั้น
ๆ ข้อความเดิมมาให้เขา เด็กหนุ่มรู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย เอ็ดการ์กลับมาเสียเย็น
และระหว่างที่อยู่บนโต๊ะอาหารทั้งสองก็ไม่มีโอกาสได้คุยกัน เขาจึงได้แต่ส่งสายตาเป็นนัยให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย
และก็ประสบผลสำเร็จเมื่อชายหนุ่มตอบกลับมาด้วยกระดาษแผ่นดังกล่าว ความเงียบที่ยิ่งกว่าเงียบทำให้เขาได้ยินเสียงประตูไกล
ๆ หนึ่งครั้ง เด็กหนุ่มชันตัวขึ้นนั่งกอดเข่า ไม่ถึงอึดใจเสียงลูกบิดประตูห้องเขาก็ดังขึ้นเบา
ๆ ร่างสูงค่อย ๆ ก้าวเข้ามาทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียง
แล้วกระซิบถาม "จะไปกันหรือยัง?" "ไปไหน?" "อ้าว? ฉันคิดว่าเธออยากจะขี่ม้าเสียอีก" เด็กหนุ่มส่ายหน้าในความมืด
เขาอยากขี่ม้าก็จริง แต่ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า "เอ็ดการ์"
เขากระซิบ "ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณ" ฝ่ายตรงข้ามนิ่งไปเล็กน้อยจนเอสเพนพอจะนึกภาพออกว่าตอนนี้ชายหนุ่มคงจะขมวดคิ้วเข้าหากันนิด
ๆ ก่อนที่ฟูกนุ่มจะยวบลงไปตามน้ำหนักตัวที่เขยิบเข้ามาประชิดเจ้าของเตียง "เรื่องอะไร? วันนี้เห็นเธอแปลก
ๆ ฉันนึกว่าเหงาอยากจะออกไปขี่ม้าเสียอีก" ดวงตาสีเขียวเหลือบไปทางคนพูด
"ถ้าผมเอาม้าออกแล้วไม่กลับมาเลยจะได้ไหม?" "อะไรนะ!?" "เอ็ดการ์"
เด็กหนุ่มครางพร้อมทรุดหน้าลงกับหัวเข่าที่คู้ขึ้นของตัวเองอย่างกลัดกลุ้ม
"ผมอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้วนะ" เจ้าของชื่อเงียบไปอีกครั้ง จริงอยู่ว่าเขายังไม่ลืมเรื่องที่ว่าเอสเพนควรจะไปจากที่นี่ก่อนที่ความลับเรื่องเป็นผู้ชายจะแตก แต่เขาก็ไม่เคยจะกระตือรือร้นหาทางแก้ปัญหาอย่างจริง ๆ จัง ๆ เสียที อันที่จริงตอนนี้จะหาทางให้เด็กหนุ่มหนีขึ้นเรือโดยปลอดภัยพร้อมเงินติดตัวสักก้อนก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด
เอสเพนเป็นเด็กฉลาด เด็กหนุ่มสามารถเอาตัวรอดได้ด้วยตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เขาก็ไม่อยากทำอย่างนั้นและคร้านที่จะหาเหตุผลของการกระทำให้ตัวเอง "เอ็ดการ์ อย่าเงียบสิ
ช่วยผมคิดหน่อย" เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงเขย่าแขนอีกฝ่ายอย่างร้อนใจ แต่แล้วก็ถอนหายใจยาว
รู้สึกผ่อนคลายและมั่นคงขึ้นทันทีที่ถูกกดศีรษะให้เอนซบไปกับลาดไหล่กว้าง แทนที่จะช่วยคลายความหนักใจให้
ชายหนุ่มกลับถามขึ้นเรียบ ๆ "เธอเบื่อแจ็คสัน วิลล์ เบื่อฉัน เบื่อทุก
ๆ คน รวมถึงครีคด้วยใช่ไหม?" "ไม่มีทาง"
ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นใจ "ไม่มีทางเบื่อครีค
แต่คงเบื่อฉัน" เอ็ดการ์เย้า ครีคเป็นชื่อของนางม้าที่เขาทั้งสองใช้ทุกครั้งที่แอบออกไปตอนกลางคืน เอสเพนสั่นศีรษะอยู่กับไหล่คนถาม
"ไม่ใช่ ผมไม่มีทางเบื่อทุก ๆ คน แต่คุณเข้าใจไหมเอ็ดการ์ ผมอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้" "เข้าใจสิ" "แล้วผมควรจะทำยังไงดีล่ะ?" "ไม่รู้สิ"
"เอ็ดการ์!" น้ำเสียงเรียบ ๆ เหมือนจะไม่อาทรร้อนใจของฝ่ายตรงข้ามทำเอาเด็กหนุ่มแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น
เขาทำท่าจะผละออกห่าง แต่ลำแขนแข็งแรงทั้งสองข้างก็โอบกายกระชับเข้าไปเสียก่อน
เอ็ดการ์ใช้แขนข้างหนึ่งรั้งร่างโปร่งไว้ และใช้แขนข้างที่เหลือไล้เส้นผมสีแดงเบา
ๆ "เธอจะรีบคิดไปทำไมกันนะ
เรื่องมันยังไม่เกิดเสียหน่อย" "เรื่องมันยังไม่เกิดก็จริง"
เอสเพนแย้งเสียงเครือ "แต่สักวันมันก็ต้อง
" "ชี่ย์" ชายหนุ่มกระซิบ
"สักวันของเธอน่ะ
ยังมาไม่ถึงไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ก็อยู่กับพวกเราไปก่อน
รับรองว่าถ้าถึงคราวจำเป็นเมื่อไหร่ ฉันจะช่วยหาทางให้เธอหนีไปได้อย่างไม่ลำบากเลยสักนิด
เธออายุยังน้อยแค่นี้ เสียเวลาอยู่เป็นเพื่อนฉันสักหน่อยก็คงจะไม่หมดสนุกกับชีวิตนักหรอกใช่ไหม?" คำว่า 'อยู่เป็นเพื่อนฉัน'
หลุดปากออกไปโดยที่เจ้าตัวไม่ทันรู้สึก ทว่าใบหน้าที่ซบลงมาเกลือกกับท่อนแขนทำให้เขายิ้มออกมาได้บาง
ๆ เช่นเดียวกับเอสเพนที่ค่อย ๆ หลับตาลงด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด มือใหญ่ขยี้เรือนผมสีน้ำตาลแดงเสียจนยุ่งกระจาย
พร้อมกับถามขึ้น "ว่ายังไง? ยังสนใจที่จะไปขี่ม้าอยู่ไหม?" เด็กหนุ่มไม่ตอบ เพียงแต่สอดมือเข้าไปคว้าถุงมือใต้หมอนมาสวม
แล้วลุกย่องไปหยิบเสื้อคลุมตัวหนาในตู้เสื้อผ้า ก่อนจะหันมายิ้มให้ฝ่ายตรงข้ามในความมืด เอ็ดการ์หัวเราะเบา ๆ
ในคอ แล้วก้าวเข้าไปคว้ามือเล็กมาไว้ในอุ้งมือตัวเอง ลมเย็นพัดวูบเข้ามาทันทีเมื่อประตูค่อย
ๆ ถูกแง้มออก เงาร่างสูงตระหง่านที่ตัดกับความมืดอยู่หน้าประตูทำให้ชายหนุ่มเสียวสันหลังวาบ
ขณะที่เอสเพนหลุดเสียงอุทานเบา ๆ ในลำคอพร้อมสะดุ้งสุดตัว ก่อนที่ทั้งสองแทบจะถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
ความโล่งใจและความกังวลก่อตัวขึ้นเป็นลำดับเมื่อพบว่าเจ้าของร่างนั้นเป็นคน
และคนดังกล่าวคือนายอำเภอไวลีย์ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนชะงักงันไปชั่วขณะเหมือนโลกหยุดหมุน
ก่อนที่เสียงจุดไม้ขีดไฟจะดังขึ้น แสงสว่างเหลืองนวลค่อย ๆ กระจายออกเป็นวงกว้างเมื่อเปลวไฟถูกจ่อเข้ากับไส้เทียนแท่งใหญ่
และสว่างพอที่จะทำให้เห็นใบหน้าซีดเผือดของคนที่ยังก้าวไม่พ้นประตูห้องและใบหน้าเครียดขมึงของชายชราที่ถามเสียงต่ำ "จะไปไหนกัน?" ***** ขอโทษด้วยนะคะที่แต่งเรื่องนี้ค้าง
ๆ คา ๆ ไม่จบซะที แต่จะพยายามให้จบในอีกตอนสองตอนข้างหน้านี่แล้วล่ะค่ะ เพราะหมดมุขและเบื่อมากกกกกกกกกกกกแล้ว
ขอโทษอีกครั้งจริง ๆ ที่ตอนท้าย ๆ มันดูเหมือนจะรวบรัด ภาษาก็ไม่สละสลวยเท่าไหร่
แต่อย่างที่บอกไป เบื่อแล้วอ่ะ(ในเมื่อเบื่อสักอย่างก็ทำอะไรไม่ได้ดีหรอก
จริงมั้ย?)
|