ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Eye On Me (Part 7)

by...เฟื่อง

Warning: เรื่องนี้มีวี่แววจะน้ำเน่ามากอยู่(คนเขียนเองก็ยังไม่รู้ระดับความน้ำเน่าเหมือนกัน แต่คงเน่ากว่าทุก ๆ เรื่องที่เขียนมา) เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ชอบก็ขอเตือนไว้แต่เนิ่น ๆ เน้อ


ดวงตาปรือปรอยหลังจากที่เจ้าตัวอ้าปากหาวยาวเหยียดทำให้ร่างที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะจ้องตาขุ่น แล้วดึงหนังสือที่อีกฝ่ายถืออยู่มาไว้ในมือตัวเองอย่างหงุดหงิด

"พอแล้ว" หล่อนพูดเสียงเข้ม แล้วจ้องเด็กหนุ่มไม่วางตา

เอสเพนขมวดคิ้ว "ทำไมล่ะ? ไหนว่าจะให้ฉันอ่านให้จบบท"

"ถ้าเธอง่วงก็ไปนอนเสียดีกว่า"

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาทำให้คนฟังยิ้มในหน้า อันที่จริงถึงแม้พอลลีนจะดูเป็นเด็กสาวที่เยือกเย็น แต่ความจริงแล้วเจ้าตัวก็เป็นคนอ่อนไหวมากทีเดียว

ถ้าตอนนี้หล่อนไม่ได้กำลังนึกน้อยใจที่เขาแสดงทีท่าเบื่อหน่ายต่อสิ่งที่หล่อนพยายามทำให้ด้วยความหวังดี ก็คงจะโกรธที่เขาไม่กระตือรือร้นที่จะเรียนเอาเสียเลย

"เดี๋ยว"
เสียงของพอลลีนทำให้ร่างที่กำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ชะงักกึกอยู่ในท่านั้นราวกับเป็นประกาศิตนางพญา เอสเพนเคยคิดกับตัวเองเล่น ๆ ว่าเขากลัวเด็กสาวที่อายุมากกว่าเพียงแค่หนึ่งปีคนนี้มากกว่าแม่ตัวเองหรือโจเซฟีนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้ท่าจะจริง

เขายิ้มแห้ง ๆ แล้วเริ่มรู้สึกใจไม่ดีเมื่อเห็นแววสำรวจตรวจค้นที่อยู่ในดวงตาสีนิล

"ฉันว่าช่วงนี้เธอดูแปลก ๆ นะ"

"แปลกยังไงหรือ?" เด็กหนุ่มถามพลางเลิกคิ้ว

หล่อนเตรียมตัวจะอ้าปาก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ยกมือไล่เขาแทน "ขึ้นไปนอนเถอะ"

พอลลีนถอนหายใจกับรอยยิ้มสดใสที่ฝ่ายตรงข้ามส่งให้ก่อนจะเดินหาวออกไป แล้วกัดริมฝีปากตนเองอย่างครุ่นคิด เท่าที่หล่อนสังเกตมา…นี่ก็สามวันแล้วที่ชาร์ล็อตมีอาการง่วงซึมอย่างเห็นได้ชัดในเวลากลางวัน ราวกับว่าฝ่ายนั้นใช้เวลาทั้งคืนไปกับการทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่การนอนหลับอย่างนั้น

ใบหน้าคมสวยนั้นอยู่ในอาการปกติ จะมีก็แต่ดวงตาสีนิลที่หรี่ลงอย่างครุ่นคิด เด็กสาวกัดริมฝีปากล่างเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจ แล้วเปิดหนังสือที่อ่านค้างอยู่บนตักขณะที่สมองไม่ได้สนใจกับตัวหนังสือที่เรียงแถวกันอยู่นัก

+++++++

เอ็ดการ์อมยิ้มเมื่อมือเล็กที่ยังบังคับบังเหียนม้าอยู่เมื่อครู่ตกแปะลงมาราวกับไม่มีเส้นเอ็น เนื่องจากความง่วงงุนทำให้เจ้าตัวเผลอหลับไปทั้งที่ยังอยู่บนหลังนางม้าที่เดินกุบกับไปตามถนน ชายหนุ่มมีโอกาสพิจใบหน้านั้นได้ใกล้ขึ้นเมื่อเจ้าของหนุนศีรษะเข้ากับไหล่ของเขาอย่างไม่ทันรู้ตัว ระยะนี้เมื่อสังเกตดี ๆ จะพบว่าเอสเพนกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลง เด็กหนุ่มตัวสูงขึ้น จุดนี้แม้แต่มารดาหรือน้องสาวของเขาก็ยังรับรู้ เพราะหล่อนทั้งสองคอยดูแลเสื้อผ้าให้เด็กหนุ่มอยู่เป็นประจำ นอกจากนั้นแก้มที่เคยอิ่มเนื้อก็ค่อยซูบลง ใบหน้าเรียวยาวขึ้น แนวกระที่เคยเห็นชัดก็บางตาลงไปเล็กน้อยทั้ง ๆ ที่ผิวของร่างโปร่งขาวขึ้นกว่าตอนที่พบเขาครั้งแรก

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เอ็ดการ์ถอนหายใจออกมาแรง ๆ อย่างหนักอก ความลับที่เขาทั้งสองช่วยกันเก็บงำอยู่ไม่รู้ว่าจะรอดพ้นสายตาของคนอื่นไปได้อีกนานเท่าไหร่ ในเมื่อหลักฐานที่ว่าแม่สาวชาร์ล็อตคนนี้เป็นผู้ชายค่อย ๆ จะเด่นชัดขึ้นทุกวัน ๆ แน่นอน…ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้ทุกคนจะตื่นมาแล้วพบว่าแท้จริงแล้วเพศของเด็กหนุ่มไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย แต่รอเวลาผ่านไปนานเข้า กล้ามเนื้อที่ควรจะเจริญเติบโตก็จะขยับขยายขึ้น เสียงที่ค่อนข้างแหลมในตอนนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นเสียงแหบห้าวเหมือนอย่างตอนที่เขาแตกเนื้อหนุ่ม ไหนจะเรื่อง…

เขาสะบัดศีรษะแรง ๆ และดูเหมือนจะแรงเสียจนทำให้ร่างโปร่งที่เคลิ้มหลับไปสะดุ้งตื่นขึ้นมา มือเล็กคว้าบังเหียนม้าโดยอัตโนมัติ แต่ปากกลับละล่ำละลักถาม

"ถึงแล้วหรือ?"

"ยังหรอก แต่ใกล้แล้ว นอนก่อนก็ได้"

แทนที่จะพูดกับเจ้าตัวเรื่องที่กำลังหนักใจ เขากลับส่งยิ้มบาง ๆ ให้เด็กหนุ่มแล้วกดศีรษะฝ่ายนั้นให้เอนซบอยู่กับไหล่ตัวเองต่อ การได้สนิทสนมกับเอสเพนทำให้เขารู้สึกเหมือนมีน้องเพิ่มมาอีกคน และประวัติอันพิสดารพันลึกน้องคนนี้ก็ค่อนข้างจะน่าสนใจอยู่ไม่น้อย หนำซ้ำเจ้าตัวเองก็ยังเป็นเด็กที่ดีมากคนหนึ่ง มาถึงตอนนี้เขาเพิ่งจะพบว่าตัวเองก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ในครอบครัว คือทั้งรักและเอ็นดูสมาชิกใหม่คนนี้อย่างเหลือแสน และถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากให้เด็กหนุ่มอยู่กับครอบครัวของเขาไปตลอด แต่เรื่องมันจะง่ายเหมือนใจคิดที่ไหนกัน

เอสเพนรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นเมื่อร่างสูงช่วยพยุงร่างลงจากหลังม้า แล้วจูงข้อมือเข้าไปในบ้าน เขาจำได้เพียงราง ๆ ว่าได้ยิ้มให้กับคำว่า 'ราตรีสวัสดิ์ครับคุณชาร์ล็อต' ของโจตอนที่ฝ่ายนั้นจูงม้าไปเก็บ แต่พูดรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าได้มายืนอยู่หน้าประตูห้องนอนตัวเองแล้ว
คราวนี้ร่างโปร่งง่วงเกินกว่าที่จะเอะใจหรือทักท้วงเมื่อเอ็ดการ์รั้งร่างเขาไปกอดแล้วประทับริมฝีปากเบา ๆ บนหน้าผาก แต่รู้เพียงแค่ว่าสัมผัสนั้นช่างอบอุ่นดีเหลือเกิน

"ไปนอนซะ" ฝ่ายนั้นรุนหลัง พร้อมเปิดประตูให้ ก่อนจะเดินไปที่ห้องนอนของตัวเองบ้าง

เตียงนอนที่เห็นเป็นเพียงเงาสลัวท่ามกลางความมืดทำให้ตาแทบจะปิดเสียเดี๋ยวนั้น เอสเพนปีนขึ้นบนฟูกนุ่ม ๆ แล้วระบายลมหายใจออกยาวอย่างสบายตัว

สมองง่วงงุนใกล้เคลิ้มหลับเต็มที่ หากพอพลิกตัวเท่านั้นก็ตาสว่างพรึ่บขึ้นมาทันทีเมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนเตียงคนเดียว
ประสาททุกส่วนในร่างกายกลับเข้าสู่ภาวะปกติในบัดดล เอสเพนสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะหันมาแล้วพบกับดวงตาที่แวววามอยู่ในความมืดของฝ่ายตรงข้าม คราวนี้หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ แต่แล้วก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียดเมื่อเพ่งมองดี ๆ แล้วพบว่าดวงตาคู่นั้นคือลูกแก้วสีดำอันเคยคุ้น

"พอลลีน" เขาร้อง "เธอแทบจะทำให้ฉันหัวใจวาย!"

"แต่เธอทำให้ฉันหัวใจวายไปแล้วนะที่รัก"

หล่อนว่าพลางลุกขึ้นนั่ง ดวงตาสีถ่านไม้ดูเหมือนจะคุโชนได้ในความมืด และนั่นทำให้เอสเพนเข้าใจได้ทันทีว่าฝ่ายนั้นหมายถึงอะไร เด็กหนุ่มแตะลิ้นเข้ากับริมฝีปาก

ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เพราะในตอนนี้การคิดหาคำแก้ตัวดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ฉลาดกว่ากันเป็นไหน ๆ

เมื่อเห็นจำเลยยังนิ่งเงียบ เด็กสาวจึงถามขึ้นมาพร้อมจ้องตรงไปยังดวงตาสีเขียวสดที่เป็นประกายเรือง แล้ววางมือเข้ากับผิวแก้มที่ยังเย็นเฉียบจากสายลมของราตรีในฤดูหนาว

"เธอไปไหนมา?"

หมดกันที่จะแก้ตัว! พอลลีนฉลาด รู้ทันเขาไปเสียทุกด้าน ถ้าเขาบอกว่าลงไปเดินเล่นหล่อนคงไม่เชื่อเป็นอันแน่ แล้วถ้าอย่างนั้นเขาควรจะพูดอะไรออกไปดี
ใบหน้าที่นึกถึงในตอนนี้มีเพียงเอ็ดการ์ หากชายหนุ่มอยู่ข้าง ๆ คงจะช่วยเขาหาคำแก้ตัวที่สมเหตุสมผลได้อยู่หรอก

"ฉัน…"

"อย่าได้คิดจะโกหกฉันแม้แต่คำเดียวเชียว" เด็กสาวแทรกเสียงอ่อย ๆ นั้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดของตนเอง เมื่อมองกันในจุดนี้ หล่อนช่างเหมือนนายอำเภอไวลีย์นัก

ร่างโปร่งถอนหายใจอีกครั้ง คราวนี้หนักหน่วงและเจือไว้ด้วยมวลอากาศแห่งความกลัดกลุ้ม ก่อนจะบอกตัวเอง…เป็นไงเป็นกัน!

"ฉันออกไปขี่ม้า"

ดูเหมือนเด็กสาวจะเลิกคิ้วเพียงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองแล้วจับมือของเขาขึ้นมาข้างหนึ่ง "เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลกันดีกับถุงมือที่เธอใส่อยู่ แต่ฉันไม่คิดว่ายามหน้าประตูจะปล่อยให้เธอออกไปคนเดียว"

นี่อย่างไรล่ะ…สมควรแล้วที่เขาไม่ได้โกหก ก็พอลลีนต้อนเขาไว้เสียทุกทางออกอย่างนี้ แต่เขาจะพูดออกไปได้อย่างไรเล่าว่าออกไปกับใคร

"ว่ายังไงชาร์ล็อต ตอบฉันมาเสียตามตรงว่าเธอออกไปกับใคร? อันที่จริงไม่ต้องบอกฉันก็พอจะเดาได้ แต่อยากรู้จากปากเธอ"

เอสเพนถอนหายใจอย่างยอมแพ้ ไหน ๆ หล่อนก็รู้หมดแล้วนี่นะ "ออกไปกับเอ็ดการ์"

เขายินเสียงถอนหายใจบางเบาดังขึ้น ก่อนจะกระจายไปรวมตัวกับความมืด ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบกันไปนาน ก่อนที่เด็กสาวจะทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ ลูบศีรษะเขาอย่างอ่อนโยนอย่างที่ชอบทำ แล้วเอ่ยขึ้น

"เธอคงเดาไม่ถูกแน่ ๆ ว่าตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง"

หล่อนเงียบไป ในขณะที่เอสเพนต่อให้ในใจ…เขาไม่อยากเดาถูก แต่เขาอยากรู้ว่าพอลลีนจะตัดสินโทษเขาอย่างไรหรือหล่อนจะรู้ความลับของเขาไหมมากกว่า

"ฉันดีใจนะชาร์ล็อต แต่ฉันก็เป็นห่วงเธอ"

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วเข้าหากัน "เธอดีใจ?"

"แน่นอน ฉันดีใจที่เธอกับเอ็ดการ์สนิทสนมกันอย่างนี้ แต่ก็เป็นห่วง เพราะขอบเขตความสนิทสนมของพวกเธอดูเหมือนจะกว้างไปเสียหน่อยเธอไม่รู้ตัวหรอกว่าระยะสองสามวันมานี้ตัวเองมีพิรุธแค่ไหน นับว่าเป็นโชคดีทั้งของเธอและเอ็ดการ์ที่คนที่เอะใจขึ้นมาก่อนคือฉัน ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นพ่อล่ะก็…"

หล่อนเว้นช่วงให้คนฟังคิดตาม ซึ่งก็ได้ผล เอสเพนกลืนน้ำลายลงคอยากเย็นเมื่อจินตนาการตามไปว่าหากคนที่มาดักรอเขาคืนนี้คือนายอำเภอไวลีย์ ทั้งเขาและเอ็ดการ์จะตกอยู่ในสภาพเช่นไร ไม่ว่าใครต่อใครคงเข้าใจผิดกันไปยกใหญ่ และคนที่จะโชคร้ายที่สุดคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชายหนุ่ม

"พอลลีน ฉันขอร้องเอ็ดการ์เอง…"

"ฉันรู้ ๆ" อีกครั้งที่หล่อนพูดแทรกขึ้น "แต่ฉันอยากจะรู้นักว่าเธอจะพิศมัยอะไรกับม้าหนักหนา มันก็แค่สัตว์สี่เท้าตัวใหญ่ที่ฝึกให้เชื่องได้เท่านั้น"

หากเป็นเวลาปกติเขาคงจะยกเหตุผลนานับประการที่จะทำให้คู่สนทนาเห็นความเพลิดเพลินของการขี่ม้า หากแต่ตอนนี้เขารู้ตัวดีว่าทำผิด พูดอะไรไปมีแต่จะทำให้พอลลีนอารมณ์เสียเปล่า ๆ นอกจาก…

"ฉันขอโทษ"

เสียงถอนหายใจดังขึ้นตอบประโยคนั้น เด็กสาวลุกขึ้นนั่นเก็บเข่าขึ้นมาไว้ในวงแขน แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่เคร่งเครียด

"บอกฉันมาตามตรง เธอกับเอ็ดการ์ทำอะไรกันนอกจากขี่ม้า?"

ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างในความมืด ก่อนที่เจ้าตัวจะละล่ำละลัก "เราแค่ขี่ม้า! ขี่ไม่ถึงชั่วโมงก็กลับบ้านแล้ว"

"จริงหรือ?"

"ฉันสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้า"

เด็กสาวรีบปิดริมฝีปากอีกฝ่าย "อย่าเอ่ยนามพระองค์พร่ำเพรื่อสิ ในเมื่อเธอพูดถึงขนาดนี้ฉันก็จะเชื่อ แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องคุยกับเอ็ดการ์ เธอนอนได้แล้วล่ะ นอนให้อิ่ม อย่าแสดงพิรุธให้ใครจับได้อีก"

เอสเพนรั้งข้อมือของคนที่กำลังดึงผ้าห่มให้เขา แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ "เธอ…คงไม่บอกเรื่องนี้กับมิสเตอร์ไวลีย์หรอกใช่ไหม?"
ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบ แต่ในความมืดนั้นเขาเห็นรอยยิ้มบางบนริมฝีปากเจ้าตัวได้เลือนราง เด็กหนุ่มถอนหายใจเหยียดยาว ทั้งโล่งอกที่รู้ว่าเรื่องนี้คงจะไม่เข้าถึงหูนายอำเภอไวลีย์ และทั้งกลุ้มใจ…ความสนุกในคืนนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้าย

++++++++

ร่างโปร่งชะเง้อคอมองเข้าไปในตัวบ้านเป็นระยะ ก่อนจะยกมือปัดกระโปรงตัวเองอย่างหงุดหงิด แล้วก้าวยาว ๆ ไปมาเพื่อลดความร้อนใจลง เมื่อครู่พอลลีนบอกพี่ชายของเธอว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ซึ่งเขารู้ดีว่าร้อยทั้งร้อยคงจะไม่พ้นเรื่องเมื่อคืน เอสเพนระบายลมหายใจหนักหน่วง ไม่รู้ว่าเอ็ดการ์จะถูกซักฟอกอะไรบ้าง ตัวเขาเองอุตส่าห์ออกมาเดินเตร่อยู่ในป่า ทั้งเพื่อแสดงมารยาท ทั้งไม่อยากถูกพอลลีนซักไซร้ไล่เลียงไปมากกว่านี้ หวังว่าชายหนุ่มคงจะรู้ว่าเขาใจร้อนแค่ไหน และตามเขาออกมาในไม่ช้า

เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากตัวเองแล้วทรุดตัวลงกับขอนไม้ใหญ่ เขาเริ่มมองหากิจกรรมฆ่าเวลา ทั้งนับยอดไม้ สอดส่ายสายตาหานก และหักข้อนิ้วตัวเองเล่น เขาไม่เคยทำอย่างนี้ต่อหน้าพอลลีนเลยสักครั้ง เพราะรู้ดีว่าหล่อนจะต้องไม่พอใจอย่างร้ายกาจ มีอยู่แค่บางครั้งที่ลอร่าเห็นเขาประทุษร้ายนิ้วมือตัวเองเล่น และหล่อนก็แทบลมจับเช่นกัน

นับว่าเป็นโชคดีของลอร่าที่เสียง 'กร๊อบ' เพิ่งหลุดออกมาจากนิ้วที่สาม ร่างสูงใหญ่ที่รออยู่ก็เดินออกมาจากตัวบ้านเสียก่อน เอสเพนถลันลุกขึ้นแล้วก้าวยาว ๆ ไปหาชายหนุ่มทันที ในขณะที่ฝ่ายนั้นยังคงสาวเท้าเดินด้วยจังหวะไม่เร่งร้อน

"เอ็ดการ์" ร่างโปร่งแทบจะถลาไปจับมือฝ่ายนั้น "เป็นยังไงบ้าง?"

"อะไรเป็นยังไง?" เจ้าของดวงตาสีน้ำผึ้งย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่อาทร ผิดกับคู่สนทนาที่ร้อนใจจนเกือบจะยกมือทึ้งผมตัวเองอยู่มะรอมมะร่อ

"ก็เรื่องที่พอลลีนเรียกไปคุย…"

เอสเพนชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคนที่กำลังอยู่ในหัวข้อสนทนายืนอยู่หน้าบ้าน แล้วมองตรงมายังเขาทั้งคู่ หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะขาด ๆ หาย ๆ ค่อยกลับเป็นปกติอีกครั้งเมื่อพบว่าหล่อนเพียงแต่ยืนมองอยู่อย่างนั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านอีกครั้ง

ชายหนุ่มมองตามดวงตาสีเขียวสด ก่อนจะรุนแขนเจ้าตัวให้เดินไปหาขอนไม้ที่เพิ่งลุกจากมาเมื่อครู่ พร้อมเอ่ยขึ้นลอย ๆ ด้วยน้ำเสียงขบขัน

"เธอกลัวพอลลีนยิ่งกว่าแม่ตัวเองเสียอีกกระมัง"

ร่างโปร่งเบี่ยงตัวออกอย่างหงุดหงิด "ทำไมเวลานี้คุณถึงยังทำเล่นอยู่ได้นะ!?"

"แล้วจะให้ฉันทำยังไงดีล่ะ? หรือจะให้บอกพอลลีนว่า 'เอาล่ะ เพื่อให้เธอสบายใจ พี่จะฆ่าม้าในบ้านให้หมดทุกตัวเลย' อย่างนี้ดีไหม?"

"ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น"

เอ็ดการ์ ไวลีย์หัวเราะเบา ๆ กับเสียงอ่อย ๆ และใบหน้ามุ่ย ๆ ของเด็กตรงหน้า ก่อนจะยกมือลูบศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ

"รู้ไหมว่าตอนนี้ฉันคิดอะไรอยู่?"

คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูงเมื่อร่างสูงดูเหมือนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนากระทันหัน แต่แล้วก็ขำพรืดออกมาเมื่อฝ่ายตรงข้ามพูดต่อด้วยน้ำเสียงโล่งใจ

"ฉันคิดว่า พระเจ้าช่างเมตตาอะไรอย่างนี้ที่พอลลีนเป็นแค่น้องสาว ไม่ใช่แม่ฉัน"

รอบตัวมีแต่เสียงลมกระทบยอดไม้และเสียงนกร้องเมื่อคู่สนทนาทั้งสองนิ่งเงียบกันไปพักใหญ่ ต่างฝ่ายต่างจับจ้องผืนดินที่ถูกปกคลุมด้วยใบไม้แห้งตรงหน้า ก่อนที่เสียงลมหายใจจะดังขึ้นตามด้วยเสียงทุ้มแผ่ว

"ช่วงนี้เธอคงลำบากหน่อยเพราะถูกพอลลีนจับตามอง แต่ฉันอยากจะให้เธอรู้ไว้ ที่พอลลีนทำไปทั้งหมดก็เพราะว่าเขารักเธอมาก แล้วก็หวังดีกับเธอเท่านั้นเอง"

"ผมรู้ ๆ" เอสเพนรีบตอบรับ แล้วถามต่ออย่างเป็นกังวล "แล้วเธอ…เอ่อ…ตำหนิอะไรคุณบ้างหรือเปล่า?"

ถึงแม้เมื่อคืนเขาแทบจะไม่ถูกเด็กสาวตำหนิเลยสักนิด ออกจะหนักไปทางไล่ให้จนมุมจนต้องสารภาพความจริงออกมามากกว่า แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกังวลจนนอนไม่หลับ แน่นอนว่าพอลลีนไม่เล่นงานเขา แต่หล่อนจะต้องโยนความรับผิดชอบในเรื่องนี้ไปให้พี่ชายตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วเอ็ดการ์ทำผิดอะไร? ก็แค่หวังดี กลัวเขาจะเหงาเท่านั้น แทบจะทุกคืนชายหนุ่มต้องฝืนตัวเองในตื่นขึ้นมาในยามดึกสงัด แล้วเข้ามาปลุกเขาที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้กระตือรือร้นอยากขี่ม้าด้วยเลยสักนิด

"เธอก็รู้ว่าพอลลีนเป็นยังไง" ร่างสูงยกยิ้ม ราวกับเพื่อจะให้คนตรงหน้าคลายใจ "ฉันน่ะโดนว่าว่าเป็นผู้ใหญ่แต่กลับทำเหมือนเด็กหนีเที่ยวไม่มีผิด"

อีกครั้งที่เอสเพนหัวเราะออกมา เด็กหนุ่มหันไปหาคนพูด ดวงตาสีมรกตสว่างใสเป็นประกาย "แค่นั้นน่ะหรือ?"

"แค่นั้นสิ ถ้ามีมากกว่านี้ฉันคงต้องขอพักยกเสียก่อน"

ดวงตาสีน้ำผึ้งทอแสงอ่อนลงเมื่อเห็นรอยยิ้มโล่งใจปรากฏอยู่บนเรียวปากฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะลอบถอนหายใจกับตนเอง ถ้าเอสเพนรู้ว่าเมื่อครู่น้องสาวของเขาคาดคั้นให้ทำอะไร เด็กหนุ่มคงจะนั่งไม่ติดที่เป็นอันแน่ เพราะตัวเขาเองจนบัดนี้ก็ยังรู้สึกแปลก ๆ ไม่หาย

"แต่งงานกับชาร์ล็อตเสียเถอะเอ็ดการ์" พอลลีนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบหลังจากที่เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง และหลังจากที่หล่อนบ่นงึมงำว่าแม่สาวชาร์ล็อตนั้นออกจะมีความคิดและนิสัย 'โลดโผนเกินผู้หญิง'

เขาจ้องตาน้องสาว พบว่าลูกแก้วสีนิลนั้นปรากฏแววจริงจังมากกว่าปกติ และแน่นอนว่าหล่อนเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะล้อเล่นสักนิด

"เธอว่าอะไรนะ!?"

"ฉันบอกให้พี่แต่งงานกับชาร์ล็อตเสีย พี่รักเธอไม่ใช่หรือ?"

"รัก!"

เอ็ดการ์อุทานคำนี้จนลั่นบ้าน พร้อมกับหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะผิดไปจากทุกที เขาจะรักคนที่ถูกพูดถึงอยู่ได้อย่างไรนะ ในเมื่อรู้เต็มอกว่าฝ่ายนั้นเป็นเด็กผู้ชาย แต่ความรู้สึกในตอนนั้นก็ไม่มีความรังเกียจเจืออยู่เลยสักนิด อาจเป็นเพราะเขานึกเอ็นดูเอสเพนมากก็ได้

เด็กสาวเพียงแต่ช้อนตามองพี่ชายพร้อมขมวดคิ้วน้อย ๆ แต่ส่วนอื่น ๆ ของใบหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่เลยสักนิด

"พี่รักชาร์ล็อตไม่ใช่หรือไง? ฉันไม่เคยเห็นพี่ใส่ใจผู้หญิงคนไหนมากเท่านี้มาก่อน อย่าบอกว่าเป็นเพราะเขาเป็นลูกบุญธรรมของพ่อแม่เลย จริงไหม?"

ร่างสูงอับจนด้วยคำพูด เหตุผลที่เขาตั้งใจจะยกมาอ้างก็ถูกอีกฝ่ายต้อนไปเก็บเอาไว้เสียแล้ว สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนั้นมีแต่การพยายามหาเหตุผลอื่นมาเถียงข้าง ๆ คู ๆ ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเอสเพนเลยสักนิด และนั่นดูเหมือนจะทำให้พอลลีนรู้สึกไม่พอใจนัก เพราะหลังจากที่เขาพูดจบประโยค ใบหน้าที่ติดไปทางเมินเฉยอยู่แล้วก็เรียบตึงมากกว่าที่เป็นอยู่ ก่อนที่หล่อนจะสรุปสั้น ๆ

"ถ้าพี่ไม่รักชาร์ล็อตแบบนั้นก็อย่าแสดงอะไรให้คนอื่นเข้าใจผิดเลย ฉันกลัวว่าเด็กซื่อ ๆ อย่างนั้นจะต้องร้องไห้เพราะพี่เข้าสักวัน"

เอ็ดการ์รับประโยคนั้นมาด้วยอาการเมินเฉยไม่ผิดกัน จะให้เขาอาทรร้อนใจอะไรได้ ในเมื่อรู้ดีว่าเอสเพนไม่มีทางจะมาหลงรักเขาเช่นกัน

+++++++

กลิ่นเนื้ออบที่หอมตลบอยู่ในครัว ทำให้ห้องเล็ก ๆ นั้นดูจะอบอุ่นกว่าห้องอื่น ๆ ภายในบ้าน หญิงสาววัยไล่เลี่ยกันกำลังสาละวนอยู่กับการหั่นโน่นเติมนี่ลงในหม้อใบใหญ่ ร่างระหงในชุดกระโปรงเนื้อหนักสีน้ำตาลอมเขียวยืนเกาะขอบประตูห้องครัวอย่างลังเล หล่อนทำท่าจะก้าวเข้าไปหลายครั้ง แต่ทาสหญิงหลายคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานตรงหน้าก็ทำให้เปลี่ยนใจเสียทุกที

"คุณหนู" ดอริสเงยหน้าขึ้นจากการกลึงแป้งพายเมื่อหางตาจับภาพเงาร่างคนได้เลือน ๆ แล้วอุทานออกมาเมื่อเห็นว่าเจ้าของเงาที่ว่าเป็นใคร

เสียงของหล่อนทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน เช่นเดียวกับนางไวลีย์ที่หมุนตัวมาแล้วยิ้มทักบุตรสาว

"พอลลีน มีอะไรหรือจ๊ะ?"

เจ้าของชื่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง ผู้เป็นมารดาจึงพูดขึ้นมาอย่างรู้ใจ "แม่ปรุงเนื้อเสร็จพอดีจ้ะ เหลือแต่เคี่ยวให้เปื่อย"

"ถ้าอย่างนั้นหนูขอคุยกับแม่ครู่หนึ่งได้ไหมคะ?"

แม้ว่าบุตรสาวคนนี้จะมีบุคลิกเหมือนผู้เป็นบิดาราวกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกับ ที่ค่อนข้างเงียบ และเคร่งขรึม หนำซ้ำสำหรับพอลลีนแล้ว หล่อนมีความคิดความอ่านเกินเด็กวัยเดียวกันไปไกลเลยทีเดียว แต่ในวันนี้มองปราดเดียวโซฟีก็รับรู้ได้ทันทีว่าเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามจะพูดด้วยจะต้องเป็นเรื่องที่เจ้าตัวเห็นว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดโดยไม่ต้องสงสัย เนื่องจากดวงตาคู่นั้นฟ้องออกมาก่อนคำพูดเสียด้วยซ้ำ

นางเดินตามเด็กสาวออกมาที่ห้องนั่งเล่น แล้วย้ำความคิดเดิมกับตัวเองเมื่อพอลลีนรีบเบียดตัวเข้ามานั่งใกล้ ๆ ราวกับจะอ้อน

"แม่คะ" หล่อนเริ่มธุระอย่างไม่ยอมให้เสียเวลา "แม่คิดว่าเอ็ดการ์กับชาร์ล็อตเป็นยังไงคะ?"

"เอ็ดการ์กับชาร์ล็อต?" นางไวลีย์แกล้งทวนคำพลางขมวดคิ้วด้วยสีหน้าครุ่นคิด ทว่าในใจรู้ดีว่าลูกสาวต้องการจะพูดอะไร "ลูกหมายความว่ายังไงกัน พวกเขาก็ดูสนิทกันดีน่ะสิจ๊ะ"

"แล้วแม่ไม่คิดเหรอคะว่าเอ็ดการ์ออกจะให้ความสนิทสนมกับชาร์ล็อตมากไปนิด แล้วชาร์ล็อตก็ออกจะติดเอ็ดการ์มากไปหน่อย"

ผู้เป็นมารดาเลิกคิ้ว แล้วลูบผมบุตรสาวอย่างเอ็นดู "ลูกจะพูดอะไรกันแน่จ๊ะ?"

"ให้เอ็ดการ์กับชาร์ล็อตแต่งงานกันเถอะค่ะ"

เจ้าตัวพูดโดยไม่สะดุดแม้แต่น้อย ดวงตาแน่วแน่ น้ำเสียงแผ่วไร้ความตื่นเต้นเจืออยู่ หากแต่จริงจังนัก เห็นได้ชัดว่าหล่อนคิดเรื่องนี้มานานแล้ว
โซฟีถอนหายใจน้อย ๆ แล้วยิ้มบาง พร้อมอธิบายช้า ๆ "แม่รู้ดีว่าลูกรักชาร์ล็อต และอยากให้เธออยู่กับเราตลอดไป แต่เรื่องอย่างนี้ต้องอยู่ที่เอ็ดการ์กับชาร์ล็อตนะลูก แม่จะตัดสินใจแทนพวกเขาไม่ได้"

พอลลีนยกตัวขึ้นเล็กน้อย พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจ "เอ็ดการ์รักชาร์ล็อตแน่นอนค่ะแม่"

"ทำไมลูกถึงคิดอย่างนั้น? เขาบอกลูกหรือจ๊ะ?"

รอยยิ้มขบขันปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของผู้เป็นมารดาเมื่อจู่ ๆ ฝ่ายตรงข้ามก็ทำจมูกย่น ดูแล้วช่างขัดกับใบหน้าเคร่งขรึมของเจ้าตัวเหลือเกิน
"เขาไม่เคยสารภาพออกมาตรง ๆ หรอกค่ะ คนอย่างเอ็ดการ์น่ะมีหลายเหตุผลที่จะไม่ทำอย่างนั้น"

"เช่นอะไรบ้างล่ะ?"

"เขาอาจจะเห็นว่าชาร์ล็อตยังเด็กไป แต่จะพูดกันตามจริงปีนี้ชาร์ล็อตก็อายุสิบห้า ไม่เด็กแล้วนะคะ หรือไม่ก็เพราะเขาเป็นผู้ชายจอมปากแข็ง ไม่รับความรู้สึกของตัวเองง่าย ๆ อีกทีเขาก็อาจจะทึ่มมากจนไม่รู้ว่าตัวเองคิดยังไงกับชาร์ล็อต ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่หนูคิดว่าค่อนข้างจะเป็นไปได้มากที่สุด…เขาเกรงใจโจชัว"

"โจชัว?" นางไวลีย์ทวนคำ

"โจชัวชอบชาร์ล็อตค่ะ"

นางนิ่งสงบ ไม่ตอบคำ ด้วยพอจะจับสังเกตได้ว่าตั้งแต่ที่บ้านไวลีย์มีสมาชิกเพิ่มมาอีกคน ชายหนุ่มคนนั้นก็ออกจะมาที่นี่บ่อยเป็นพิเศษ แต่โจชัวเป็นผู้ชายที่มีชื่อเสียงในด้านรูปลักษณ์ความมีเสน่ห์ และเรื่องความเจ้าชู้ของเจ้าตัว ดังนั้นนางจึงคิดว่าชายหนุ่มคงจะไม่คิดจริงจังอะไรนัก และเท่าที่ดูเด็กในปกครองของนางก็ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษต่อฝ่ายนั้นแต่อย่างใด นางจึงไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไหร่

"โจชัวอาจจะไม่จริงจัง"

พอลลีนพูดต่อทันที "เขาจะจริงจังก็ดี ไม่จริงจังก็ช่าง แต่หนูอยากให้เอ็ดการ์ตัดสินใจอะไรให้เร็วหน่อย หรือทำอะไรที่ชัดเจนเปิดเผยกว่านี้"

"แล้วเอ็ดการ์ทำอะไรไม่เปิดเผยหรือจ๊ะ?"

เด็กสาวเม้มปากกับคำถามนี้ หล่อนอยากจะโพล่งเรื่องที่พี่ชายทำเอาไว้นัก ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่ามารดาจะมีความคิดเห็นอย่างไร แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูบิดาเข้า มันอาจจะลุกลามเป็นปัญหาใหญ่กว่าที่คาดเอาไว้ อีกอย่าง…ไพ่ใบนี้เป็นไพ่ตายของหล่อนเสียด้วย

เมื่อเห็นบุตรสาวเงียบไปนาน นางไวลีย์จึงพูดตัดบทขึ้นเอง "เราอย่าไปเจ้ากี้เจ้าการกับเขาดีกว่าจ้ะ ถ้าเขารักกันอย่างที่ลูกว่าจริง ก็คงจะมาบอกพวกเราเอง เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดบังไม่ใช่หรือ แล้วแม่ก็เห็นว่าโจชัวคงจะไม่เป็นคนเลวร้ายถึงกับคัดค้านถ้าเอ็ดการ์กับชาร์ล็อตใจตรงกัน"

+++++++

ถึงแม้จะบอกว่ากำหนดเวลาที่จะต้องไปทำธุระที่นิวยอร์คคือสามอาทิตย์ แต่ชายหนุ่มผมสีบลอนด์สว่างก็กลับมาภายในเวลาแค่ครึ่งเดือน…
การปรากฏตัวขึ้นของโจชัวยังความแปลกใจมาให้ทุก ๆ คนในบ้านไวลีย์ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มเพิ่งจะถึงแจ็คสัน วิลล์ เมื่อตอนบ่ายกว่า ๆ แต่ก็กลับควบรถม้ามาที่นี่ตรงเวลาอาหารว่างพอดิบพอดี

โจชัวบอกตัวเองว่าเขาคิดผิดที่มาเอาเวลานี้ เพราะแทนที่จะได้พูดคุยกับใครบางคนให้หายคิดถึงอย่างที่ตั้งใจไว้ เขาต้องนั่งสงบเสงี่ยมขณะรับประทานของว่างภายใต้สายตาไม่พอใจของพอลลีน และสายตาสังเกตสังกาของมารดาหล่อน

โชคดีที่ช่วงเวลาดังกล่าวกินเวลาไม่นานนัก เพราะหลังบ่ายสามโมงนางไวลีย์ก็เข้าครัว ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือก็ย้ายมาที่ห้องนั่งเล่น

เขาคุยกับเพื่อนสนิทไม่ขาดปาก หากแต่คอยเหลือบไปยังร่างโปร่งที่นั่งอ่านหนังสืออยู่อีกมุมหนึ่งของห้องไม่ขาดระยะด้วยใจที่ร้อนรน ในยามปกติชาร์ล็อตจะต้องออกไปเดินเล่นในป่าหลังอาหารว่าง แต่ในยามนี้หล่อนกลับหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านด้วยอาการนิ่งสงบ ชายหนุ่มไม่อยากคิดว่าฝ่ายตรงข้ามกลัวที่จะต้องอยู่กับเขาตามลำพัง เขาจากไปถึงสองอาทิตย์ แม้ที่นี่จะเป็นรัฐทางใต้ แต่อากาศก็เย็นขึ้นจนถึงขั้นหนาว บางทีอาจเป็นเพราะสายลมในยามบ่ายแก่ ๆ เช่นนี้บาดผิวเนื้อของคนที่ชินแต่กับอากาศร้อนมากเกินไปก็ได้

ในที่สุดเขาก็แทบจะถอนหายใจออกมาดัง ๆ เมื่อพอลลีนเดินออกจากห้องไปทำธุระส่วนตัว

โจชัวหยุดบทสนทนากับเพื่อนสนิทไว้ทันทีโดยไม่สนใจอาการประท้วงด้วยการเลิกคิ้วและกระแอมในคอของฝ่ายนั้น ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับอีกคนที่เหลือ

"ผมคิดว่าคุณจะต้องเดินเล่นทุกวันหลังอาหารว่างเสียอีก หรือว่าตอนนี้อากาศหนาวเกินไป?"

"ก็ไม่หนาวเท่าไหร่" เด็กหนุ่มตอบ "แต่ฉันอยากจะอ่านหนังสือ"

เอสเพนรู้สึกยอกในใจเหมือนมีเสี้ยนเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นแทงอยู่เมื่อรอยยิ้มเศร้าปรากฏอยู่บนใบหน้าทรงเสน่ห์ พร้อม ๆ กับที่เจ้าตัวพูดขึ้นเบา ๆ

"เสียดายจริง ผมตั้งใจจะมาเดินเล่นกับคุณเหมือนอย่างทุกครั้งแท้ ๆ"

ภาพของดวงตาสีมรกตที่เหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งข้างกายเขาเป็นเชิงขอความเห็น

ก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อเอ็ดการ์เสมองไปทางอื่นเสียทำให้ความปวดใจที่จางหายไปกลับมาทักทายอีกครั้ง

เขาเกือบจะลืมไปแล้วเชียวว่าเพื่อนสนิทของตัวเองกับชาร์ล็อตดูเหมือนจะมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ และเขาก็ดูจะกลายเป็นส่วนเกินไปเสีย ทั้ง ๆ ที่ใครกันเล่าได้รู้จักกับเด็กสาวคนนี้ก่อน เพียงแค่นายอำเภอรับหล่อนให้อยู่ในอุปการะเท่านั้น เอ็ดการ์จึงมีโอกาสมากกว่า แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อยากจะปักใจเชื่อว่าเพื่อนตนเองจะมีความคิดเช่นนั้นจริง ในเมื่อเอ็ดการ์เป็นคนบอกเขาอย่างหนักแน่นว่าไม่เคยคิดจะสนใจชาร์ล็อตเลยสักนิด

โจชัวมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อยเมื่อเอ่ยขอตัวกับบุตรชายนายอำเภอไวลีย์ เขาอยากจะเสนอท่อนแขนให้ร่างโปร่ง แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะต้องผิดหวังจนหน้าม้าน ทางที่ดีที่สุดคือการเบี่ยงตัวรอให้ฝ่ายนั้นเดินนำไปก่อน แล้วเดินตามเยื้องหลังเล็กน้อยภายในระยะกระชั้นชิด

แทนที่จะเดินลึกเข้าไปเล็กน้อยเหมือนอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน เอสเพนกลับเตร่อยู่ใกล้ ๆ ตัวบ้านแทน เผื่อว่าปุบปับพอลลีนจะออกมาเรียก เขาจะได้หาเรื่องกลับเข้าไปด้านในได้โดยไม่น่าเกลียดนัก เด็กหนุ่มไม่เคยนึกรังเกียจโจชัว ออกจะคิดถึงและดีใจที่ฝ่ายตรงข้ามกลับมาเร็วกว่าปกติ แต่เขาไม่อยากให้ชายหนุ่มมีความรู้สึกเกินเลยมากกว่ามิตรภาพปกติไปด้วยเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรเสียเขาก็ไม่มีทางตอบสนองฝ่ายตรงข้ามได้

เมื่อเห็นร่างโปร่งมีท่าทีค่อนข้างจะอึดอัด ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีฟ้าจึงเริ่มบทสนทนาขึ้นเอง

"ไม่คิดว่าไปแค่สองอาทิตย์อากาศจะเย็นลงขนาดนี้ แต่ถึงยังไงก็ยังสู้นิวยอร์คไม่ได้"

บทสนทนาของเขาได้ผลเมื่อฝ่ายตรงข้ามดูจะผ่อนคลาย และมีความกระตือรือร้นที่จะคุยด้วยขึ้นมาทันตา ริมฝีปากบางที่ยกยิ้มน้อย ๆยังคงทรงประสิทธิภาพเดิมที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงทันทีที่เห็น

"ที่นิวยอร์คคงหนาวมาก?"

โจชัวนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนจะรู้สึกสะดุดกับความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างของคู่สนทนา แต่เขาก็หาความเปลี่ยนแปลงที่ว่าไม่เจอ จึงรีบปัดเรื่องนี้ให้พ้นสมอง

"หนาวมาก" ชายหนุ่มพยักหน้ารับ พร้อมถือโอกาสขยับกายเข้ามาใกล้จนกลายเป็นเดินเคียงกันเมื่อเขาก้าว แล้วฝ่ายตรงข้ามเดินตามโดยไม่รู้ตัว

"มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาวเต็มไปหมด"

"หิมะหรือ?"

น้ำเสียงตื่นเต้นของอีกฝ่ายทำให้เขาเอื้อมมือออกไปหมายจะคว้ามือเล็กนั้นไว้ หากแต่ก็รั้งตัวเองไว้ได้ทัน เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าเป็นเหมือนแท่งแก้วสวยใสที่ดูแข็งแกร่ง ทว่าถ้าใจร้อนผลีผลาม เอื้อมมือไปคว้าไว้เร็วไปสักนิด แก้วที่ว่าอาจจะร้าวหรือหัก และจะขยาดมือเขาได้

"แน่นอน หิมะตกหนักมากในนิวยอร์คโดยเฉพาะช่วงที่ผมกำลังจะกลับ โชคดีที่ทำธุระเสร็จก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าหิมะตกหนักกว่าที่เป็นอยู่คงจะเดินทางลำบาก

แล้วผมก็คงจะต้องกลับช้ากว่าที่กำหนดไว้"

"จริงสิ" เอสเพนอุทานอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ "งานของคุณเป็นยังไงบ้าง?"

"เรียบร้อยและเสร็จเร็วกว่าที่คิดไว้" เขาตอบพลางมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีฤดูใบไม้ผลิของคนถาม แล้วพูดขึ้นแผ่ว ๆ "หากคุณเบื่อที่จะต้องอยู่แต่ที่แจ็คสัน วิลล์ คราวหน้าจะไปเที่ยวกับผมบ้างก็ได้ ถ้าไม่รังเกียจ"

"ขอบคุณ" เด็กหนุ่มตอบแผ่ว ๆ แล้วเสเบือนหน้าไปทางอื่นเสีย ด้วยเข้าใจความรู้สึกที่แอบแฝงมากับสายตาและประโยคนั้นเป็นอย่างดี ทว่าเขาลืมนึกไปเสียสนิท…

อิสระที่เคยโหยหาอยู่แค่เอื้อมนี่เอง

ก่อนที่เขาจะทันรู้ตัว อะไรบางอย่างก็ถูกชูอยู่ตรงหน้า เอสเพนกระพริบตาหนึ่งครั้ง ก่อนจะพบว่าสิ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นผีเสื้อสีสวย…ไม่สิ มันคือปีกผีเสื้อที่ถูกเคลือบแข็งและติดอยู่บนหลังเทพธิดากระเบื้ององค์น้อย ๆ ต่างหาก

"ผมซื้อมาฝาก เป็นของจากทางยุโรป ชอบไหม?" ชายหนุ่มถาม

ร่างโปร่งเอียงคอเล็กน้อย เทพธิดาองค์จิ๋วนี้นับเป็นของแปลก และสวยน่ารักมากที่สุดที่เขาเคยเห็น ตัวเทพธิดาเป็นสาวน้อยหน้าตากระจุ๋มกระจิ๋มที่ถูกปั้นขึ้นด้วยกระเบื้องสีขาวล้วน เพื่อขับปีผีเสื้อสีสวยที่ถูกอะไรบางอย่างเคลือบจนแข็งและมีลักษณะคล้ายแก้วให้ดูสวยเด่น…ทว่าของแบบนี้เหมาะกับเด็กผู้หญิง ไม่ใช่เขา

แม้จะรู้สึกอย่างนั้นแต่น้ำใจของคนที่อุตส่าห์ซื้อมาฝากก็ทำให้เอสเพนไม่ลังเลที่จะเอื้อมมือไปรับ พร้อมตอบผ่านรอยยิ้ม "ชอบสิ ขอบคุณนะ"

โจชัวยิ้มบาง แล้วถอนหายใจแผ่ว ๆ กับตัวเอง จะดีแค่ไหนกันถ้าคนที่พบเด็กสาวตรงหน้าเป็นคนแรกไม่ใช่นายอำเภอไวลีย์ แต่เป็นเขาหรือมารดา ทุกสิ่งทุกอย่างคงจะง่ายกว่าที่เป็นอยู่ หรืออย่างน้อยที่สุดชาร์ล็อตก็น่าจะเป็นเด็กในอุปการะของใครก็ได้ที่ไม่ใช่นายอำเภอไวลีย์ ถึงเขาจะไม่แน่ใจในความรู้สึกของเพื่อนสนิท แต่เขาก็ไม่อยากหมางใจกับเอ็ดการ์เลยสักนิด

++++++

ลูกแก้วสีดำที่มองจ้องไปยังคนตัวสูงกว่านั้นแทบจะไม่กระพริบเลยสักนิด ไม่ใช่เพราะความตะลึงพรึงเพริศ หากแต่เป็นการประกาศนิสัยไม่ยอมแพ้ของเจ้าตัว ริมฝีปากคู่สวยปึ่งเฉย และเม้มจนเป็นเส้นตรงในบางคราว แต่การเปลี่ยนแปลงที่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะอะไรนั้นก็สุดที่จะมีใครหยั่งรู้ได้
หล่อนก้าวขาตวัดพริ้วไปมาอย่างคล่องแคล่วตามจังหวะที่ถูกนับ สอง…สาม…สี่ ก่อนที่คนนับจะเหลือบมองไปยังร่างโปร่งที่ยืนมองอยู่ตรงมุมห้องพร้อมยิ้มให้

ตรงนี้เองที่ริมฝีปากของเด็กสาวเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรงอีกครั้ง

ตอนนี้คนที่ทำให้หล่อนอารมณ์เสียมีถึงห้าคน หนึ่งคือเอ็ดการ์ที่ขณะนี้ไม่อยู่บ้าน เพียงเพราะยูจีเนียที่หาโอกาสมาหาพี่ชายหล่อนด้วยการแกล้งนำพายที่เพิ่งอบมาให้ แล้วบ่นลอย ๆ ว่าเหงาบ้างล่ะ อยากไปปิคนิกที่ริมน้ำเพราะตอนนี้อากาศเย็นจนมีไอขาวลอยขึ้นมาจากผิวน้ำบ้างล่ะ ด้วยมารยาทสุภาพบุรุษยุโรปที่เอ็ดการ์บ่มเพาะมาทำให้เขาไม่เคยปฏิเสธความต้องการของผู้หญิงคนนี้ได้เลยสักครั้ง ส่วนคนที่น่าโมโหอันดับต่อมาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชาร์ล็อต ไม่ว่าหล่อนจะเฝ้ากระซิบให้เจ้าตัวไปกับสองคนนั้นอย่างไร ฝ่ายนั้นก็จะปฏิเสธด้วยการส่ายหัวดิก แต่กลับมีอาการเซื่อง ๆ หงอย ๆ ให้หล่อนรำคาญตา หนำซ้ำยังมีแขกไม่ได้รับเชิญสบโอกาสเหมาะ หาเรื่องมาขลุกอยู่ที่นี่ได้แทบทั้งวัน ดังนั้นคนสุดท้ายที่หล่อนนึกโมโหก็คือตัวเองนั่นเอง จะไปกับเอ็ดการ์ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้โจชัวและชาร์ล็อตได้อยู่กันตามลำพัง ดังนั้นวันนี้จึงต้องปล่อยให้ยูจีเนียยิ้มด้วยความสมใจอย่างช่วยไม่ได้

"ฉันว่ามันน่าจะเป็นความคิดที่ดีถ้าให้ชาร์ล็อตได้ฝึกบ้าง ดีกว่าให้ยืนดูอย่างเดียวแบบนี้"

โจชัวพูดขึ้น การนับจังหวะจึงหยุดลงไปด้วย ทว่าเมื่อเด็กสาวในวงแขนยังก้าวขาต่อไปเรื่อย ๆ เขาจึงต้องก้าวตามโดยอัตโนมัติ ก่อนจะถามขึ้นเป็นเชิงกระตุ้นเมื่อฝ่ายนั้นทำเหมือนไม่ได้ยิน

"ว่าไง?"

พอลลีนตวัดตากร้าวขึ้นมองคนพูด แล้วสะบัดตัวออกไปนั่งบนโซฟาแทนคำตอบรับ หล่อนคร้านที่จะเถียง หรือไม่ก็หงุดหงิดเกินกว่าที่จะเถียง แล้วแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเสียเมื่อชาร์ล็อตหันมามองราวกับจะขออนุญาต หรือขอความเห็น

แม้จะผ่านการเต้นรำมากับพอลลีนบ้าง แต่เด็กหนุ่มก็ยังเต้นอย่างติดขัดและก้าวพลาดบ่อยครั้ง ทุกครั้งจะได้ยินคำว่า 'ไม่เป็นไร ลองใหม่นะ' จากปากโจชัวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเสมอ เอสเพนถอนหายใจแผ่วเบาแล้วบอกกับตัวเอง…เอาเถิดจะเต้นรำเป็นฝ่ายหญิงหรือชายก็ช่าง ในเมื่อถ้าหนีจากที่นี่ได้เขาก็คงจะไม่มีโอกาสได้เต้นรำอีกเลยในชีวิต

หนีจากที่นี่?

ประโยคนั้นก้องขึ้นอีกครั้งในหัวทำให้เด็กหนุ่มพลาดไปเหยียบเท้าของคู่เล่นอย่างแรง การฝึกซ้อมหยุดลงชั่วคราวพร้อมด้วยการขอโทษขอโพยของเขา ก่อนจะเริ่มอีกครั้ง และครั้งนี้เอสเพนทำได้แย่กว่าเดิม เรียกได้ว่าแย่มากจนพอลลีนต้องบอกให้หยุดเพราะทนดูไม่ไหวเสียด้วยซ้ำ เสียงบ่นของหล่อนและสายตาแสดงความเป็นห่วงของโจชัวไม่ได้ผ่านการรับรู้ของเขากี่มากน้อย ด้วยจิตในมัวแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องเพียงเรื่องเดียว

หนีออกจากที่นี่? นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้? ไม่ได้คิดถึงชีวิตอิสระที่ตัวเองควรจะมี นานแค่ไหนแล้วที่ความรำคาญที่ต้องอยู่ในคราบของผู้หญิงค่อย ๆ จางไปจนแทบไม่รู้สึก คำสัญญามั่นคงของเอ็ดการ์ในตอนนั้นทำให้เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ไม่เพียงแต่เขา…ชายหนุ่มก็คงจะลืมด้วยกระมังว่าตัวเองเคยพูดอะไรไว้บ้าง

++++++

เอสเพนนอนคู้ตัวอยู่บนเตียง สายตาที่ชินกับความมืดทำให้เขามองเห็นเงาของทุก ๆ อย่างที่อยู่ในห้องได้เลือนราง เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหงุดหงิดกับการรอคอย นี่เป็นครั้งที่สองที่เอ็ดการ์สั่งให้ลอร่านำกระดาษที่มีข้อความสั้น ๆ ข้อความเดิมมาให้เขา เด็กหนุ่มรู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย เอ็ดการ์กลับมาเสียเย็น และระหว่างที่อยู่บนโต๊ะอาหารทั้งสองก็ไม่มีโอกาสได้คุยกัน เขาจึงได้แต่ส่งสายตาเป็นนัยให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย และก็ประสบผลสำเร็จเมื่อชายหนุ่มตอบกลับมาด้วยกระดาษแผ่นดังกล่าว

ความเงียบที่ยิ่งกว่าเงียบทำให้เขาได้ยินเสียงประตูไกล ๆ หนึ่งครั้ง เด็กหนุ่มชันตัวขึ้นนั่งกอดเข่า ไม่ถึงอึดใจเสียงลูกบิดประตูห้องเขาก็ดังขึ้นเบา ๆ

ร่างสูงค่อย ๆ ก้าวเข้ามาทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียง แล้วกระซิบถาม "จะไปกันหรือยัง?"

"ไปไหน?"

"อ้าว? ฉันคิดว่าเธออยากจะขี่ม้าเสียอีก"

เด็กหนุ่มส่ายหน้าในความมืด เขาอยากขี่ม้าก็จริง แต่ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า

"เอ็ดการ์" เขากระซิบ "ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณ"

ฝ่ายตรงข้ามนิ่งไปเล็กน้อยจนเอสเพนพอจะนึกภาพออกว่าตอนนี้ชายหนุ่มคงจะขมวดคิ้วเข้าหากันนิด ๆ ก่อนที่ฟูกนุ่มจะยวบลงไปตามน้ำหนักตัวที่เขยิบเข้ามาประชิดเจ้าของเตียง

"เรื่องอะไร? วันนี้เห็นเธอแปลก ๆ ฉันนึกว่าเหงาอยากจะออกไปขี่ม้าเสียอีก"

ดวงตาสีเขียวเหลือบไปทางคนพูด "ถ้าผมเอาม้าออกแล้วไม่กลับมาเลยจะได้ไหม?"

"อะไรนะ!?"

"เอ็ดการ์" เด็กหนุ่มครางพร้อมทรุดหน้าลงกับหัวเข่าที่คู้ขึ้นของตัวเองอย่างกลัดกลุ้ม "ผมอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้วนะ"

เจ้าของชื่อเงียบไปอีกครั้ง จริงอยู่ว่าเขายังไม่ลืมเรื่องที่ว่าเอสเพนควรจะไปจากที่นี่ก่อนที่ความลับเรื่องเป็นผู้ชายจะแตก แต่เขาก็ไม่เคยจะกระตือรือร้นหาทางแก้ปัญหาอย่างจริง ๆ จัง ๆ เสียที

อันที่จริงตอนนี้จะหาทางให้เด็กหนุ่มหนีขึ้นเรือโดยปลอดภัยพร้อมเงินติดตัวสักก้อนก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด เอสเพนเป็นเด็กฉลาด เด็กหนุ่มสามารถเอาตัวรอดได้ด้วยตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาก็ไม่อยากทำอย่างนั้นและคร้านที่จะหาเหตุผลของการกระทำให้ตัวเอง

"เอ็ดการ์ อย่าเงียบสิ ช่วยผมคิดหน่อย" เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงเขย่าแขนอีกฝ่ายอย่างร้อนใจ แต่แล้วก็ถอนหายใจยาว รู้สึกผ่อนคลายและมั่นคงขึ้นทันทีที่ถูกกดศีรษะให้เอนซบไปกับลาดไหล่กว้าง

แทนที่จะช่วยคลายความหนักใจให้ ชายหนุ่มกลับถามขึ้นเรียบ ๆ "เธอเบื่อแจ็คสัน วิลล์ เบื่อฉัน เบื่อทุก ๆ คน รวมถึงครีคด้วยใช่ไหม?"

"ไม่มีทาง" ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

"ไม่มีทางเบื่อครีค แต่คงเบื่อฉัน"

เอ็ดการ์เย้า ครีคเป็นชื่อของนางม้าที่เขาทั้งสองใช้ทุกครั้งที่แอบออกไปตอนกลางคืน

เอสเพนสั่นศีรษะอยู่กับไหล่คนถาม "ไม่ใช่ ผมไม่มีทางเบื่อทุก ๆ คน แต่คุณเข้าใจไหมเอ็ดการ์ ผมอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้"

"เข้าใจสิ"

"แล้วผมควรจะทำยังไงดีล่ะ?"

"ไม่รู้สิ"

"เอ็ดการ์!"

น้ำเสียงเรียบ ๆ เหมือนจะไม่อาทรร้อนใจของฝ่ายตรงข้ามทำเอาเด็กหนุ่มแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น เขาทำท่าจะผละออกห่าง แต่ลำแขนแข็งแรงทั้งสองข้างก็โอบกายกระชับเข้าไปเสียก่อน เอ็ดการ์ใช้แขนข้างหนึ่งรั้งร่างโปร่งไว้ และใช้แขนข้างที่เหลือไล้เส้นผมสีแดงเบา ๆ

"เธอจะรีบคิดไปทำไมกันนะ เรื่องมันยังไม่เกิดเสียหน่อย"

"เรื่องมันยังไม่เกิดก็จริง" เอสเพนแย้งเสียงเครือ "แต่สักวันมันก็ต้อง…"

"ชี่ย์" ชายหนุ่มกระซิบ "สักวันของเธอน่ะ…ยังมาไม่ถึงไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ก็อยู่กับพวกเราไปก่อน รับรองว่าถ้าถึงคราวจำเป็นเมื่อไหร่ ฉันจะช่วยหาทางให้เธอหนีไปได้อย่างไม่ลำบากเลยสักนิด เธออายุยังน้อยแค่นี้ เสียเวลาอยู่เป็นเพื่อนฉันสักหน่อยก็คงจะไม่หมดสนุกกับชีวิตนักหรอกใช่ไหม?"

คำว่า 'อยู่เป็นเพื่อนฉัน' หลุดปากออกไปโดยที่เจ้าตัวไม่ทันรู้สึก ทว่าใบหน้าที่ซบลงมาเกลือกกับท่อนแขนทำให้เขายิ้มออกมาได้บาง ๆ เช่นเดียวกับเอสเพนที่ค่อย ๆ หลับตาลงด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด

มือใหญ่ขยี้เรือนผมสีน้ำตาลแดงเสียจนยุ่งกระจาย พร้อมกับถามขึ้น "ว่ายังไง? ยังสนใจที่จะไปขี่ม้าอยู่ไหม?"

เด็กหนุ่มไม่ตอบ เพียงแต่สอดมือเข้าไปคว้าถุงมือใต้หมอนมาสวม แล้วลุกย่องไปหยิบเสื้อคลุมตัวหนาในตู้เสื้อผ้า ก่อนจะหันมายิ้มให้ฝ่ายตรงข้ามในความมืด

เอ็ดการ์หัวเราะเบา ๆ ในคอ แล้วก้าวเข้าไปคว้ามือเล็กมาไว้ในอุ้งมือตัวเอง ลมเย็นพัดวูบเข้ามาทันทีเมื่อประตูค่อย ๆ ถูกแง้มออก เงาร่างสูงตระหง่านที่ตัดกับความมืดอยู่หน้าประตูทำให้ชายหนุ่มเสียวสันหลังวาบ ขณะที่เอสเพนหลุดเสียงอุทานเบา ๆ ในลำคอพร้อมสะดุ้งสุดตัว ก่อนที่ทั้งสองแทบจะถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ความโล่งใจและความกังวลก่อตัวขึ้นเป็นลำดับเมื่อพบว่าเจ้าของร่างนั้นเป็นคน และคนดังกล่าวคือนายอำเภอไวลีย์

ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนชะงักงันไปชั่วขณะเหมือนโลกหยุดหมุน ก่อนที่เสียงจุดไม้ขีดไฟจะดังขึ้น แสงสว่างเหลืองนวลค่อย ๆ กระจายออกเป็นวงกว้างเมื่อเปลวไฟถูกจ่อเข้ากับไส้เทียนแท่งใหญ่ และสว่างพอที่จะทำให้เห็นใบหน้าซีดเผือดของคนที่ยังก้าวไม่พ้นประตูห้องและใบหน้าเครียดขมึงของชายชราที่ถามเสียงต่ำ

"จะไปไหนกัน?"

*****
End of Part 7

ขอโทษด้วยนะคะที่แต่งเรื่องนี้ค้าง ๆ คา ๆ ไม่จบซะที แต่จะพยายามให้จบในอีกตอนสองตอนข้างหน้านี่แล้วล่ะค่ะ เพราะหมดมุขและเบื่อมากกกกกกกกกกกกแล้ว ขอโทษอีกครั้งจริง ๆ ที่ตอนท้าย ๆ มันดูเหมือนจะรวบรัด ภาษาก็ไม่สละสลวยเท่าไหร่ แต่อย่างที่บอกไป เบื่อแล้วอ่ะ(ในเมื่อเบื่อสักอย่างก็ทำอะไรไม่ได้ดีหรอก จริงมั้ย?)

comment