ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Eye On Me (Part 8) by...เฟื่อง Warning: เรื่องนี้มีวี่แววจะน้ำเน่ามากอยู่(คนเขียนเองก็ยังไม่รู้ระดับความน้ำเน่าเหมือนกัน แต่คงเน่ากว่าทุก ๆ เรื่องที่เขียนมา) เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ชอบก็ขอเตือนไว้แต่เนิ่น ๆ เน้อ
ชายหนุ่มอุทานออกมาเบา ๆ
แล้วหยุดเพียงแค่นั้น เนื่องจากอับจนด้วยคำพูดนานา นายอำเภอไวลีย์มองใบหน้าซีดเผือดของบุตรชายด้วยดวงตาเขม็งกร้าว
ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่บ่งอารมณ์แม้เพียงเสี้ยว "ตกใจมากใช่ไหมที่เห็นฉัน?" สายตาที่เลื่อนต่ำลงมาทำให้เอสเพนเพิ่งนึกได้ว่ามือข้างหนึ่งของตัวเองยังอยู่ในการเกาะกุมของชายหนุ่ม
เขารีบดึงมันออก กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "มิสเตอร์ไวลีย์
" "เธอไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น
ชาร์ล็อต กลับเข้าห้องแล้วนอนเสีย ฉันมีเรื่องจะคุยกับเอ็ดการ์" ดวงตาสีเขียวเหลือบมองร่างสูงโดยอัตโนมัติ
แล้วทำตามที่บอกเมื่อฝ่ายนั้นพยักหน้าให้ เขาหมุนตัวหันกลับมาหานายอำเภอไวลีย์อีกครั้งอย่างลังเล
แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกมา ฝ่ายนั้นก็ตัดบทด้วยเสียงหนัก ๆ "นอนเสียชาร์ล็อต" ประตูห้องถูกปิดลงสักพักหนึ่งแล้ว
หากแต่เอ็ดการ์รู้ดีว่าป่านนี้ผู้ที่อยู่ข้างในคงจะเดินพล่านไปทั่วด้วยความร้อนใจ
เขาสบตาบิดา แล้วรู้สึกใจเต้นจนแทบทะลุออกจากอกกับสายตาที่อีกฝ่ายมองจ้องมา "ตามฉันมา" ชายชรากล่าว ก่อนจะเดินนำบุตรชายไปยังห้องทำงานของตนที่อยู่ทางด้านขวาสุดของทางเดิน
ภายในห้องที่เคยมืดสนิทเกิดแสงสว่างเพียงแค่สลัว ๆ ด้วยเทียนในมือผู้เป็นบิดา
และนายอำเภอก็ไม่คิดจะต่อเทียนอื่น ๆ เอ็ดการ์ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวนุ่มมุมห้องพร้อมหลับตาลงแล้วยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วตัวเอง
เป็นเวลานานที่ห้องทั้งห้องแทบจะเงียบสนิท จะได้ยินแต่เสียงขยับตัวไปมาของคนที่อยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่
ก่อนจะเกิดเสียงกระแอมเบา ๆ ขึ้น "แกมีอะไรจะพูดไหม?" ผู้เป็นบุตรชายส่ายหน้ากับตัวเอง
"ผมพูดไปพ่อก็ไม่เชื่อ" "ไม่เชื่อ?" ฝ่ายตรงข้ามทวนคำ
"แกคงอยากจะบอกว่า แกเข้าไปในห้องชาร์ล็อตดึกดื่นขนาดนี้เพียงแค่เข้าไปคุยกับเธอ
แล้วออกมาเดินเล่นเท่านั้นหรือ?" เกือบถูก
เอ็ดการ์ต่อให้ในใจ
ผิดตรงที่พวกเขากำลังจะออกไปขี่ม้ากันเท่านั้น ชายหนุ่มมองคู่สนทนา สันกรามที่ขบเข้าหากันเป็นนูนสันบ่งบอกถึงอาการพยายามกลั้นโทสะอย่างสุดกำลังของเจ้าตัว
หากบุตรชายทำผิดในวัยเด็ก นายอำเภอไวลีย์คงไม่ลังเลที่จะใช้กำลังลงโทษ หรือกักบริเวณให้หลาบจำ
แต่บุตรชายของเขาในตอนนี้โตและมีวุฒิภาวะเกินกว่าที่จะลงโทษเช่นนั้นได้ เสียงหัวเราะหยันในคอดังขึ้นทำลายความคิด
นายอำเภอไวลีย์สูดหายใจเข้าลึกราวกับกำลังสะกดอารมณ์ให้มั่นคง ก่อนจะพูดด้วยเสียงหนัก
ๆ "พ่อครับ
" ชายชรายกมือปราม ก่อนจะพูดต่อ
"ฉันอยากจะเข้าไปลากคอแกออกมานัก แต่ถ้าทำอย่างนั้นแม่แกก็ต้องรู้เรื่อง
แล้วถ้าเขารู้ว่าแกทำตัวอย่างนี้จะเสียใจแค่ไหนรู้ไหม? พ่อถามจริง ๆ เถอะเอ็ดการ์
ถ้าแกกับชาร์ล็อตรักกันทำไมถึงไม่บอกพ่อแม่?" เอ็ดการ์นิ่งไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจแย้งขึ้นมา
"พ่อครับ
พ่อเข้าใจผิด" ประโยคนั้นทำให้ประกายตาของผู้เป็นบิดาวาววับขึ้นมาทันตา "แกกำลังจะบอกพ่อว่าแกหายเข้าไปในห้องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่นานในเวลากลางดึกโดยที่ไม่ได้รักกันอย่างนั้นหรือ
แกเป็นผู้ชายแบบไหนกัน? ชาร์ล็อตไม่ใช่เด็กผู้หญิงตามร้านเหล้า แต่หล่อนอยู่ที่นี่ในฐานะลูกบุญธรรมของฉัน!" หางเสียงที่ตวัดดังจากอาการลืมตัวทำให้คนพูดชะงัก
ชายชราคำรามในคอพลางขยับตัวไปมาบนเก้าอี้ราวกับว่าการกระทำเช่นนั้นจะช่วยลดความคุกรุ่นในอารมณ์ลงได้
ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อีกครั้ง ก่อนที่เอ็ดการ์จะเหลือบตามองบิดาพร้อมอ้าปากพูด
แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ชิงถามขึ้นมาเสียก่อน "แกจะจัดการเรื่องนี้ยังไง?" 'จะจัดการอย่างไร?' ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดว่านายอำเภอไวลีย์กำลังเรียกร้องความรับผิดชอบจากเขาแทนลูกบุญธรรมตัวเอง
ซึ่งป่านนี้คงจะกระสับกระส่ายด้วยความร้อนใจอยู่ในห้อง
แต่เขาล่ะ? ตัวเขาควรจะทำอย่างไรดี? น่าแปลกที่สิ่งที่วาบเข้ามาในหัวชายหนุ่มตอนนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ว่าคู่กรณีของเขาไม่ใช่ผู้หญิง
แต่เป็นใบหน้าของเพื่อนสนิท โจชัวจะว่าอย่างไรถ้ารู้เรื่องนี้เข้า? "แต่งงานกับเธอเสีย
เอ็ดการ์" อาการลังเลอึกอักของบุตรชายทำให้นายอำเภอไวลีย์ตัดสินใจขึ้นแทนด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ราวกับตรึกตรองสิ่งที่พูดมาแล้วเป็นอย่างดี ร่างสูงถอนหายใจแล้วยกมือกุมขมับอย่างกลัดกลุ้ม
ก่อนจะพยายามแก้ต่างให้ตัวเองอีกครั้ง "พ่อ
ผมไม่ได้คิดกับชาร์ล็อตแบบ
" คำพูดทั้งมวลหยุดชะงักลงกับเสียงทุบโต๊ะ
แม้ว่ามันจะเป็นเสียงที่ไม่ดังนัก แต่แรงที่ใช้ก็มากพอที่จะทำให้เชิงเทียนสั่นไปเล็กน้อย
ชายชรากัดฟันแน่น พร้อมชะโงกหน้าข้ามโต๊ะมาจ้องตาบุตรชายอย่างดุดัน "ฉันไม่เคยคิดเลยว่าปารีสจะสอนมารยาทสุภาพบุรุษเลว
ๆ อย่างนี้ให้แก ชาร์ล็อตเป็นผู้หญิง และปีนี้เธอก็อายุสิบห้า ไม่นับว่าเป็นเด็กต่อไปอีกแล้ว
ถึงเรื่องนี้จะรู้กันแต่ในครอบครัวเรา แต่แกไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือไงกัน!" ชาร์ล็อตของพ่อเป็นเด็กผู้ชายจอมแก่นเฮี้ยวต่างหาก
เอ็ดการ์นึกเถียงบิดาในใจ
พลางขมวดคิ้วด้วยความกลัดกลุ้ม หากเอสเพนรู้คำตัดสินของนายอำเภอไวลีย์เข้า
ฝ่ายนั้นคงจะไม่ลังเลเลยที่จะหนีออกจากที่นี่อีกครั้ง และเขา
ก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มทำเช่นนั้น
เพราะถ้าขาดเพื่อนไปสักคนเขาคงเหงาน่าดู ใช่
เขาคงจะเหงามากนั่นเอง เขาเหลือบตามองบิดาอีกครั้ง
ประกายตากร้าวทำให้เอ็ดการ์นึกรู้ได้ทันที การพยายามพูดแก้ตัวในตอนนี้กลับจะเป็นการโหมกระพือโทสะที่เจ้าตัวพยายามจะสะกัดเก็บไว้ให้ปะทุแรงขึ้น
ส่วนการปฏิเสธนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึงเลยด้วยซ้ำ เพราะในสถานการณ์เช่นนี้
คำตอบที่นายอำเภอไวลีย์ต้องการมีเพียงอย่างเดียว เอ็ดการ์สบตาชายชราที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะทำงาน
แล้วระบายลมหายใจออกยาวพร้อมพยักหน้าช้า ๆ ยังผลให้ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางคู่นั้นวาววับด้วยความพอใจ ++++++++++ เสียงก้อนหินก้อนเล็กกระทบกันดังเป็นจังหวะสอดแทรกกับเสียงลมกระทบยอดไม้และเสียงนกครวญเพลง
เอสเพนแกล้งทำเป็นจดจ่อกับการเคาะก้อนหินในมือทั้งสองของตัวเองเพื่อหนีสายตาที่มองออกมาจากบานหน้าต่างอย่างเป็นห่วง
พอลลีนคงจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบนโต๊ะอาหารเช้า เอ็ดการ์ลอบมองเขาเป็นระยะ
แต่พอเขาหันไปสบตาด้วย ชายหนุ่มเป็นอันต้องหลบตาทุกทีไป ส่วนนายอำเภอไวลีย์นั้นหนักยิ่งกว่า
เพราะคอยจับสังเกตปฏิกิริยาของทั้งเขาและบุตรชายตัวเองดูอย่างเงียบ ๆ อีกที
ทำเอาเด็กหนุ่มแทบจะกลืนอะไรไม่ลงด้วยอยากรู้แทบขาดใจว่าชายชราพูดอะไรกับเอ็ดการ์บ้าง
ทั้ง ๆ ที่หวังว่าหลังมื้อเช้าผ่านพ้นร่างสูงคงจะรีบมาเล่าให้เขาฟังว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
แต่ฝ่ายนั้นกลับรีบร้อนตามบิดาเข้าไปในเมืองโดยไม่พูดอะไรกับเขาสักคำ นอกจากหันมามองเล็กน้อยตอนขึ้นรถม้า
ดวงตาสีน้ำตาลทองแฝงความยุ่งยากใจอะไรบางอย่างเอาไว้ และนั่น
ยิ่งส่งผลให้ความร้อนใจของเด็กหนุ่มสูงขึ้นกว่าเดิมอีกไม่รู้กี่เท่า เสียงล้อรถและเกือกม้าบดถนนแว่วเข้ามาโสตประสาทของคนที่จมอยู่กับความคิดของตัวเองไปถึงไหนต่อไหน
เอสเพนทิ้งก้อนหินในมือลงพื้นแล้วดีดตัวลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ แต่แล้วใบหน้าที่สว่างไสวไปด้วยความหวังนั้นก็ม่อยลงไปถนัดตา
เมื่อพบว่าคนที่ก้าวลงจากรถไม่ใช่ชายหนุ่มที่ตัวเองกำลังรออยู่ หากแต่เป็นเจ้าของผมสีบลอนด์สว่างที่ส่งยิ้มมาให้แต่ไกล
แล้ววิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาหา โดยไม่ทันสังเกตว่าเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงบานหน้าต่างเขม้นมองตนด้วยสายตาไม่พอใจเป็นที่สุด ยิ้มกว้างลดเลือนลงเมื่อสังเกตสีหน้าของร่างโปร่งได้ถนัด
โจชัวชะงักกลางทางเล็กน้อย ก่อนจะเดินเลียบเข้าไปหาพร้อมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง "ชาร์ล็อต
เป็นอะไรหรือเปล่า?" เอสเพนลอบถอนหายใจเล็กน้อย
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้คนพูด โดยที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังรู้ดีว่ารอยยิ้มนั้นดูฝืนเพียงใด "เอ็ดการ์ไม่อยู่ เขาเข้าเมืองไปกับนายอำเภอไวลีย์ตั้งแต่เช้า" โจชัวจับอารมณ์คนพูดได้แน่ถนัด
เขาทั้งรู้สึกแปลกใจและใคร่รู้ในเวลาเดียวกัน และนั่นทำให้ชายหนุ่มเพียงแค่ส่งเสียงตอบรับในคอ
แทนที่จะพูดออกไปอย่างทุกทีว่าคนที่เขาตั้งใจมาหานั้นที่แท้เป็นใคร ทั้งสองหันไปพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงรถม้าอีกคันดังเข้ามาในลานบ้าน
เอสเพนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นชายหนุ่มที่ก้าวลงมาจากตำแหน่งคนควบคุมม้า
เขาบีบมือตัวเองแน่น พยายามอย่างเป็นที่สุดที่จะสำรวมกิริยาตัวเองไม่ให้เดินไปลากแขนร่างสูงมาคุยกันให้รู้เรื่อง ใบหน้าที่เหมือนจะผ่านการเตรียมใจมาแล้วของเอ็ดการ์กลับส่อเค้าความยุ่งยากใจเหมือนเดิมเมื่อเห็นว่าร่างโปร่งไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
เขาเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่อย่างลังเล แล้วยิ้มฝืน ๆ เมื่อถูกทักทาย "กลับมาแล้วหรือ? ชาร์ล็อตบอกฉันว่านายเข้าเมืองไปตั้งแต่เช้า" ชายหนุ่มเจ้าของผมสีน้ำผึ้งพยักหน้ารับพร้อมยิ้มให้
รอยยิ้มที่ทำให้โจชัวสะดุดใจ
เพราะมันเป็นรอยยิ้มเดียวกับรอยยิ้มของชาร์ล็อตเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน ความสะดุดใจแปรเปลี่ยนเป็นความไม่สบายใจและความขุ่นใจตามลำดับ
เมื่อเห็นเพื่อนสนิทลอบสบตาร่างโปร่งสลับกับมองหน้าตนอย่างชั่งใจ ส่วนชาร์ล็อตเองก็มีอาการไม่ต่างกันเท่าไหร่
ผิดแต่ที่ว่าเป้าสายตาของฝ่ายนั้นอยู่ที่เพื่อนสนิทของเขาเพียงคนเดียว ก่อนที่เขาจะได้หงุดหงิดใจมากไปกว่านี้
เสียงถอนหายใจหนักหน่วงของเพื่อนสนิทก็ดังขัดขึ้น ก่อนที่เอ็ดการ์จะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก "โจชัว
ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย" ++++++++++ เด็กสาวที่นั่งอยู่ริมบานหน้าต่างเมื่อครู่ลุกขึ้นเดินขึ้นไปชั้นบนโดยไม่คิดทักทายอาคันตุกะ
หลังจากที่พี่ชายพยักหน้าให้ พอลลีนหมุนตัวกลับมามองชายหนุ่มทั้งสองเพียงเล็กน้อยเมื่อถึงชั้นสอง
แต่เพียงครู่เดียวก็เดินเข้าห้องตัวเองไปโดยเก็บความสงสัยเอาไว้เงียบ ๆ ในใจ ความรู้สึกอึดอัดกลับทวีคูณขึ้นเมื่ออยู่กันตามลำพังกับเพื่อนสนิท
เอ็ดการ์สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกั๊ก แล้วหยิบซิการ์ออกมาสองมวน ก่อนจะส่งมันให้กับฝ่ายตรงข้ามและตัวเอง เป็นเวลานานทีเดียวที่ฝ่ายเจ้าบ้านอัดซิการ์เข้าลึกโดยไม่เอ่ยคำ
ดวงตาสีน้ำตาลทองจับจ้องอยู่กับม่านลูกไม้ที่หน้าต่าง ก่อนจะมองเลยไปยังร่างโปร่งที่เดินเตร่อยู่แถวชายป่า
แล้วถอนหายใจติด ๆ กันนับครั้งไม่ถ้วน จนเขาต้องเอ่ยถามขึ้นมาเสียเอง "นายมีเรื่องอะไรจะพูดกับฉัน?" ความเคลือบแคลงและกังวลใจตามหลังคำถามมาติด
ๆ โจชัวรู้สึกสังหรณ์อย่างประหลาด เรื่องที่ว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับชาร์ล็อตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง "นาย
คิดยังไงกับชาร์ล็อต?" แม้จะเตรียมใจเอาไว้ว่าหัวข้อสนทนาคงจะหนีไม่พ้นบุคคลที่สามที่เพิ่งถูกเอ่ยถึง
แต่กระนั้นโจชัวก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันทีกับคำถามของเพื่อนสนิท "ฉันจำได้ว่าเคยบอกนายไปแล้วว่ารู้สึกยังไงกับชาร์ล็อต" เอ็ดการ์ลอบถอนหายใจด้วยเสียงที่ไม่เบานัก
"ฉันรู้ ๆ" ชายหนุ่มรับคำซ้ำ ๆ "แต่
นาย
เอ่อ
นายจริงจังมากแค่ไหน?" "ฉันจำได้ว่าเคยบอกนายไปแล้วเหมือนกัน
ฉันจริงจังกับเธอ เอ็ดการ์
ฉันรักชาร์ล็อต และฉันก็หวังว่าการที่ฉันจะรักเด็กในอุปการะของพ่อนาย
คงจะไม่ต้องถามความเห็นชอบจากนาย จริงไหม?" น้ำเสียงสั้นห้วนและถ้อยคำประชดประชันท้ายประโยคบ่งอารมณ์คนพูดได้เป็นอย่างดี
ดวงตาสีทองเหลือบมองใบหน้าคู่สนทนา แล้วถอนหายใจออกมาอีกนับครั้งไม่ถ้วนเมื่อเห็นความจริงจังแฝงมากับแววตาไม่พอใจคู่นั้น "โจชัว" เขากระซิบเรียก
แล้วแตะลิ้นเข้ากับริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองพร้อมคลึงแท่งซิการ์ในมือเล่น
"ฉัน
ฉันจะแต่งงานกับชาร์ล็อต" คำตอบในตอนต้นคือความเงียบและสีหน้าตะลึงพรึงเพริศของผู้ฟัง
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเลื่อนเก้าอี้เมื่อฝ่ายนั้นถลันลุกขึ้น "นายว่ายังไงนะ!?" อย่างน้อยโจชัวก็ไม่ได้ปราดเข้ามาชกเขาหรือตะโกนโวยวายอะไรเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้
กลับเค้นเสียงที่แทบจะไม่ออกมาจากลำคอถามขึ้น แต่อย่างนี้กลับทำให้เขารู้สึกผิดมากกว่า
เพราะแววตาที่เพื่อนสนิทใช้มองตนนั้นไม่ต่างอะไรกับแววตาของคนถูกหักหลัง "ฉัน
" ชายหนุ่มพูดได้แค่นั้นก็ปิดตาแน่นอยู่ครู่หนึ่ง
"ฉันจะแต่งงานกับชาร์ล็อต" ประโยคนั้นแทบจะทำให้เจ้าของดวงตาสีท้องฟ้าในฤดูซัมเมอร์ตัวแข็งเป็นหินไป
แต่แล้วก็พยายามนึกปลอบใจตัวเอง ไม่สิ
นี่อาจจะเป็นมุขตลกที่หนุ่มฝรั่งเศสชอบใช้เล่นกับเพื่อน
และเอ็ดการ์จอมเจ้าเล่ห์ก็กำลังใช้มันกับเขา พระเจ้า
ขอให้มันเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่นด้วยเถิด ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ฝืนยิ้ม
แต่มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น "แกล้งให้ฉันตกใจเล่นหรือไงกันเพื่อน?" "ฉันพูดจริง ๆ โจชัว
เรื่องแต่งงานจะเป็นเมื่อไหร่ไม่รู้ได้ แต่ฉันจะหมั้นกับเธออาทิตย์หน้า" เอ็ดการ์มองคู่สนทนาที่ยืนนิ่งงันแล้วรู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วย
ก่อนจะกระซิบเบา ๆ "ฉันเสียใจ
โจชัว" คนฟังเขวี้ยงซิการ์ในมือตัวเองลงกับพื้น
ก่อนจะปราดเข้าประชิดคู่สนทนาแล้วแผดเสียงลั่นอย่างลืมตัว "พระเจ้า! ทำไมนายถึงพูดอย่างนี้ออกมาได้
ไหนนายบอกว่าไม่เคยคิดอะไรกับเธอไง แล้วนี่มันอะไรกันเอ็ดการ์!!" "ฉัน
" ฝ่ายตรงข้ามตั้งใจจะปฏิเสธ
แต่ทว่ารู้ดีว่ามันจะทำให้เพื่อนสนิทคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิม ถ้าเขาจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ฝ่ายนั้นรัก
โดยที่ประกาศอยู่ปาว ๆ ว่าเขาไม่ได้มีใจให้หล่อน แต่ถ้าจะพูดกันตามจริง เขาจะนึกรักแม่สาวชาร์ล็อตของใครต่อใครในทางชู้สาวได้อย่างไรทั้งที่รู้ความจริงว่าฝ่ายนั้นไม่ใช่ผู้หญิง "ฉัน
" "นายไม่ได้รักเธอแล้วมีเหตุผลอะไรจะต้องแต่งงานกับเธอเอ็ดการ์!!" "ฉัน
เอ่อ
" "เมื่อกี้คุณว่าใครจะแต่งงานนะ?"
เสียงหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูยังผลให้ชายหนุ่มทั้งสองคนหันไปมองพร้อมกัน
เอสเพนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าซีดขาว เด็กหนุ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ได้
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าร่างโปร่งได้ยินส่วนใดส่วนหนึ่งของบทสนทนาเมื่อครู่ "ชาร์ล็อต" โจชัวร้องเรียก
แล้วปราดเข้าไปกุมมือเจ้าของชื่อไว้ด้วยสายตาของคนหัวใจสลายที่มองเห็นแสงเห็นความหวังลอดเข้ามาแม้เพียงเศษเสี้ยว
"ขอบคุณพระเจ้า คุณยังไม่รู้เรื่องนี้" "ไม่...ฉันคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ" เด็กหนุ่มส่ายศีรษะพลางพูดตามความจริง
ดวงตาสีเขียวที่จ้องเขม็งไปยังชายหนุ่มอีกคนนั้นเรียกร้องคำอธิบายอย่างเห็นได้ชัด "ชาร์ล็อต" ว่าที่คู่หมั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม
"อย่าเพิ่งพูดอะไรจะได้ไหม ฉันจะอธิบายทุกอย่างให้เธอฟังทีหลัง" "อ้อ!" โจชัวแค่นหัวเราะพร้อมยิ้มหยันที่มุมปาก
กำลังใจที่สูญเสียไปกลับคืนมาโขเมื่อพบว่าหญิงสาวที่ตนหมายปองไม่ได้รับรู้เรื่องนี้แต่อย่างใด
หนำซ้ำยังมีทีท่าต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด "ดีนี่เอ็ดการ์ นี่นายถึงกับจะบังคับชาร์ล็อตทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้ไม่เห็นด้วยอย่างนั้นหรือ!?" "ฉันไม่ได้จะบังคับ
แต่เรายังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้" ร่างสูงเถียงทันควัน "คนที่พยายามจะไม่คุยคือคุณต่างหาก" เด็กหนุ่มว่าพร้อมบิดข้อมือตัวเองออกจากมือของโจชัว
แล้วเดินเข้ามาหาชายหนุ่มอีกคน ก่อนจะกระซิบ "คุณทำอย่างนี้ไม่ได้เอ็ดการ์
เราจะทำอย่างนี้ไม่ได้ คุณก็รู้!" "ชีย์
อย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น
เชื่อฉัน" "พอเสียทีเอ็ดการ์!
นายกำลังบังคับให้ชาร์ล็อตแต่งงานด้วยทั้ง ๆ ที่เธอไม่ได้เต็มใจ" โจชัวว่า
ก่อนจะหันไปหาคนกลาง "ใช่ไหมชาร์ล็อต คุณไม่ได้รักเอ็ดการ์" เอสเพนเกือบจะปฏิเสธออกไปเต็มเสียงถ้าไม่เห็นสายตาแผงนัยของชายหนุ่มอีกคน
มาถึงตรงนี้เขาแทบจะไม่อยากเชื่อใจอะไรเอ็ดการ์อีกแล้ว แต่ความเคยชินที่เคยพึ่งพาฝ่ายนั้นมาตลอดทำให้เขาอดจะลังเลไม่ได้ และก่อนที่เขาจะได้ปฏิเสธหรือตอบรับให้โจชัวดีใจไปมากกว่านี้
เสียงหนึ่งก็ตัดสินให้เสร็จสรรพ "ฉันเป็นกับลอร่าเป็นพยานยืนยันได้ว่าเอ็ดการ์กับชาร์ล็อตรักกัน
แม้ว่าพวกเขาจะค่อนข้างปากแข็งและค่อนข้างทึ่มที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเองก็ตาม" แน่นอนว่าเจ้าของเสียงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพอลลีน
ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ลอร่าตรงหัวบันได อันที่จริงเสียงตะโกนของโจชัวเรียกสาวใช้ทั้งบ้านให้มายืนออกันแอบฟังอยู่นอกห้องด้วยซ้ำ
แต่ถึงตอนนี้พวกหล่อนต่างก็หลบหายกันไปคนละทิศละทางเมื่อได้ยินเสียงคุณหนูของบ้าน เด็กสาวก้าวเข้ามากลางวงพร้อมจ้องหน้าชายหนุ่มทั้งสองทีละคน
ก่อนจะยกมุมปากให้กับร่างโปร่งที่ยืนหน้าซีดอยู่ "เธอมันน้องสาวเอ็ดการ์นี่
จะพูดอะไรก็ได้อยู่แล้ว ที่ฉันอยากจะฟังคือความรู้สึกของชาร์ล็อต" โจชัวประกาศ ก่อนจะหันไปจ้องเอาคำตอบกับเจ้าของชื่อ เอสเพนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ การถูกบังคับให้แต่งงานกับเอ็ดการ์เพราะความเข้าใจผิดของนายอำเภอไวลีย์ไม่ใช่ความคิดที่ดีแม้แต่นิดเดียว เพราะมันจะทำให้เกิดผลเสียกับทั้งสองฝ่าย และเขาก็คิดไม่ถึงว่าเอ็ดการ์จะซื่อบื้อถึงขนาดตกปากรับคำอะไรไปง่าย ๆ โดยไม่ปรึกษาเขาซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงแม้แต่นิดเดียว "ฉัน..." ดวงตาสีเขียวไล่มองหน้าผู้ที่ยืนอยู่รอบตัวทีละคน
แล้วขยับปากอยู่หลายครั้งอย่างลังเลใจ สิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาของเขาและเอ็ดการ์ได้ในตอนนี้คือการบอกความจริงทั้งหมดตั้งแต่ต้น
แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ขี้ขลาดเกินกว่าที่จะทำอย่างใจนึกได้ "ชาร์ล็อต ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอหน่อย" ดูเหมือนเอ็ดการ์จะล่วงรู้ถึงความคิดของเด็กหนุ่ม
จึงได้พูดขึ้นแล้วดึงมือเจ้าตัวเดินออกจากประตูไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ปล่อยจังหวะให้ใครได้ทักท้วงทัน +++++++++ ร่างโปร่งไม่ได้ถูกลากมาที่ชายป่าเหมือนอย่างที่คาดไว้
แต่กับเป็นบริเวณคอกม้าที่อยู่หน้าไร่ตรงอีกด้านของตัวบ้าน ไร่ข้าวโพดของตระกูลไวลีย์ที่กว้างสุดลูกหูลูกตากลายเป็นสีทองอร่ามจากฝักข้าวโพดที่อยู่ในช่วงของฤดูเก็บเกี่ยวระยะสุดท้ายและใบแห้งของมัน
ฤดูหนาวกำลังมาเยือน และนั่นจะเป็นฤดูแห่งการพักผ่อนของคนงงานในไร่ที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งปี
น่าชื่นใจแทนพวกเขาที่เห็นผลผลิตจากน้ำเหงื่อน้ำแรงของตนเองออกมางดงามเช่นนี้
ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลาจะมาชื่นชมความงามหรือชื่นใจแทนใครแม้แต่นิดเดียว "เอ็ดการ์! คุณจะฆ่าตัวตายหรือยังไง
ทำไมถึงทำอะไรแบบนี้!" แม้ว่าบริเวณนั้นจะมีพวกเขาแต่เพียงลำพัง
เพราะคนงานส่วนใหญ่กำลังทำงานอยู่ในไร่ พวกที่เตร็ดเตร่อยู่แถวนั้นก็เดินเลี่ยงไปตั้งแต่เห็นมาสเตอร์เอ็ดการ์ลากแขนคุณชาร์ล็อตตามหลังมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทั้งคู่
แต่ถึงกระนั้นเอสเพนก็ยังรอบคอบพอที่จะลดเสียงลงจนเกือบกระซิบ "แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไงได้เล่า!"
ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงแบบเดียวกัน แม้การบอกความจริงกับร่างโปร่งจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาทำใจอยู่ไม่น้อย
แต่ถึงตรงนี้เขากลับคิดว่าเอสเพนควรจะเข้าใจและโอนอ่อนตามเขาอย่างที่แล้ว
ๆ มามากกว่าจะมีปฏิกิริยาต่อต้านให้เสียเรื่องเหมือนอย่างเมื่อครู่ "เธอน่าจะพอเดาได้ว่าพ่อฉันจะต้องบังคับให้ฉันแต่งงานกับเธอ
เพราะท่านนึกว่าฉันเข้าไปในห้องเธอแล้ว
" "แต่มันก็น่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้"
ฝ่ายตรงข้ามแย้ง เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว "ฉันมีทางเลือกอะไร
ชาร์ล็อต?" เอ็ดการ์เรียกชื่อกำมะลอของเขาอย่างจงใจจะประชด ทำให้คนฟังถึงกับนิ่งไปเล็กน้อย
เพราะแทบจะไม่เคยได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ของชายหนุ่ม "ถ้าฉันไม่แสดงความรับผิดชอบ
พ่อฉันคงจะเสียใจมากว่าท่านมีลูกชายที่เลวที่สุด ทางเลือกเดียวที่ฉันมีในตอนนั้นคือบอกความจริงเรื่องของเธอ
แต่มันทำได้เสียที่ไหนกัน" ความหงุดหงิดและกังวลใจแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดและสำนึกในบุญคุณทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น
เอสเพนนึกด่าตัวเอง
เขาช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง เฝ้าคิดถึงแต่ความลำบากและปัญหาของตนเอง
โดยไม่ทันได้ฉุกคิดว่าคนที่ต้องลำบากมากที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเอ็ดการ์
ถ้าเขาไม่ดึงดันจะออกไปขี่ม้าตั้งแต่แรกสุด เมื่อคืนเอ็ดการ์ก็คงจะไม่เข้ามาในห้องเขา
และถึงแม้เขาจะเป็นผู้ชาย แต่ในเมื่อทุกคนรู้จักเขาในตัวตนของผู้หญิง เรื่องในครั้งนี้เขาจึงเป็นแค่ฝ่ายที่ได้รับความเสียหาย
แต่จะไม่ใช่ฝ่ายผิดเป็นเด็ดขาด ตรงกันข้าม ความผิดทั้งหลายทั้งมวลกลับไปตกอยู่กับเอ็ดการ์ที่น่าสงสารเสียหมด "แต่โจชัว
" "อ้อ นี่เธอคงกลัวโจชัวจะเสียใจมากใช่ไหม?" "ไม่ใช่นะ" เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
แล้วอธิบาย "พวกคุณอาจจะมองหน้ากันไม่ติดเพราะผม" ประโยคนั้นทำให้คนฟังนิ่งไปพักใหญ่
เขาหันมองไปทางตัวบ้าน ก่อนจะพูดเบา ๆ เหมือนจะรำพึงกับตัวเอง "ฉันกับโจชัวคบกันมาตั้งแต่เล็ก
กับเรื่องแค่นี้ ฉันเชื่อว่าไม่นานเขาก็คงจะหายโกรธ เธออย่ากังวลไปเลย" เจ้าของดวงตาสีเขียวก้มหน้านิ่ง
จะไม่ให้เขากังวลได้อย่างไร เพราะถ้าตัดเรื่องที่โจชัวตาบอดมาหลงรักเขาไปได้
เขาก็ถูกอัธยาศัยกับชายหนุ่มคนนี้อยู่ไม่น้อย แต่หลังจากนี้คงจะเข้าหน้ากันไม่ได้ทีเดียว "ตกลงเธอจะว่ายังไง?" คำถามนั้นทำให้เอสเพนได้สติ
เขาเงยหน้ามองคนพูด พร้อมเอ่ยขึ้นมาอย่างลำบากใจ "จริงอยู่ว่าเราไม่มีทางเลือก
แต่ถ้าเรา
เอ่อ
แต่งงานกัน มันก็ไม่เท่ากับคุณต้องผูกขาดกับผมไปชั่วชีวิตหรือ
แล้วอย่าลืมข้อสำคัญไปสิ ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้ตลอดไปหรอกนะ" เอ็ดการ์นึกขอบคุณพระเจ้าที่เด็กหนุ่มไม่ใช่คนเคร่งครัดศาสนาพอที่จะโวยวายและปฏิเสธที่จะไม่ทำอะไรขัดต่อหลักคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์โดยเด็ดขาด
และที่เห็นจะต้องขอบคุณอีกประการหนึ่งคือดูเหมือนว่าเอสเพนจะลืมไปว่าถ้าพวกเขาแต่งงานกันจริง
ตัวเองจะต้องอยู่ในฐานะภรรยาของผู้ชายด้วยกันไปสักพักหนึ่ง "เธอคิดว่าฉันจะตกปากรับคำพ่อโดยไม่เตรียมแผนอะไรไว้เลยหรือไง
เชื่อฉันเถอะน่า" "ผมเชื่อคุณมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วนะ
ถ้าคุณปล่อยให้ผมหนีไปตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้" เด็กหนุ่มอุทธรณ์ "รับรองว่าคราวนี้เธอจะได้อิสระสมใจ
พอเราแต่งงานกัน ฉันหาข้ออ้างพาเธอไปเที่ยวยุโรป แล้วค่อยวางแผนให้เธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยระหว่างเดินทาง
รับรองไม่มีใครสงสัยแน่นอน เป็นแผนที่ดีไม่ใช่หรือไง" อีกครั้งที่เด็กหนุ่มสบตาคู่สนทนา
ก่อนจะยิ้มรับบาง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสัมผัสของมือใหญ่ที่กำลังลูบศีรษะเขาอย่างอ่อนโยน
หรือแผนการที่วางเอาไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนน่าเชื่อถือในแบบที่เจ้าตัวไม่เคยทำมาก่อนก็ตาม
แต่เขาก็รู้สึกว่าความคิดของเอ็ดการ์ครั้งนี้ออกจะเข้าท่าไม่น้อยเลยทีเดียว "พอเรา
เอ่อ
แต่งงานกันแล้ว
ก็ทำตามแผนได้เลยใช่ไหม?" เสียงกระซิบถามอย่างกระตือรือร้นและรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยประกายของความหวัง
อดจะทำให้คนมองยิ้มตามไม่ได้ เขาพยักหน้า แล้วดึงร่างโปร่งเข้ามากอดเอาไว้หลวม
ๆ ไม่ว่าเอสเพนจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่การแต่งงานที่ว่าคงจะไม่เกิดขึ้นในเร็ว
ๆ นี้ ไม่อย่างนั้นเด็กหนุ่มคงจะหนีหายไปเสีย แม้จะฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ตอนนี้ครอบครัวของเขายังไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะสูญเสียสมาชิกคนนี้ไป
และเขาเองก็ยังไม่เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับความว้าเหว่ที่จะเกิดขึ้นเมื่อไม่มีเด็กหนุ่มอยู่ข้างกาย ภาพที่เห็นเมื่อมองผ่านบานหน้าต่างฟ้องอะไรต่ออะไรได้ดีกว่าคำพูดเป็นล้านเท่า
โจชัวขบกรามแน่นจนรู้สึกเจ็บ แต่ความเจ็บนั้นก็เทียบอะไรไม่ได้กับความเจ็บร้าวในอกเหมือนหัวใจถูกทุบจนแหลกละเอียดทั้งจากน้ำมือของความผิดหวัง
และจากความรู้สึกว่าตัวเองถูกเพื่อนสนิททรยศ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมเบือนหน้าหนีจากภาพบาดตา
แล้วฉวยเสื้อโค้ทเดินผลุนผลันออกไปขึ้นรถม้าโดยไม่คิดจะกล่าวลาเด็กสาวเจ้าของบ้านที่มองตามหลังตนด้วยสายตาเห็นใจเป็นครั้งแรก +++++++++++++ แม้ว่าจะเป็นเพียงการหมั้นหมายกันเพียงเงียบ
ๆ แต่ข่าวดังกล่าวก็สะพัดไปทั่วเมืองเล็ก ๆ อย่างแจ็คสันส์ วิลภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน
จริงอยู่ว่าการที่คู่หมั้นทั้งสองฝ่ายจะอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันก่อนแต่งงานเป็นเรื่องที่ไม่ใคร่จะถูกธรรมเนียมนัก
แต่ในเมื่อบ้านดังกล่าวเป็นบ้านของนายอำเภอไวลีย์ ผู้ซึ่งได้รับความนับถือและไว้ใจจากชาวเมืองทั้งปวง
พวกชาวเมืองจึงทำเป็นเพิกเฉยต่อธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่ใคร่จะถูกต้องนี้เสีย
นี่ยังไม่นับรวมถึงความชื่นชมที่ใครต่อใครมีให้เอ็ดการ์ซึ่งผ่านการศึกษาทางฝั่งยุโรปมาอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจแม้แต่น้อยนิดที่เช้าวันรุ่งขึ้น
ใครต่อใครต่างพากันแสดงความยินดีกับนายอำเภอแห่งแจ็คสันส์ วิลล์กันอย่างไม่ขาดระยะ
แม้ว่าพวกชาวเมืองจะไม่ค่อยได้เห็นเด็กสาวที่ชื่อชาร์ล็อตนัก เพราะตามคำบอกเล่าของนางไวลีย์
บุตรสาวบุญธรรมของหล่อนชอบที่จะเก็บตัวอยู่ในบ้านมากกว่าออกมาเดินเที่ยวจับจ่ายซื้อของแต่งตัวเหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่น
ๆ แต่ถึงกระนั้นในเมื่อเด็กที่ว่าเป็นเด็กในปกครองของนายอำเภอไวลีย์ และกำลังจะเปลี่ยนตำแหน่งมาเป็นลูกสะใภ้ในอนาคตอันใกล้
หล่อนจะต้องเป็นภรรยาที่ดีของเอ็ดการ์ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ยูจีเนีย แวนด์ เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่แสดงความยินดีกับการหมั้นหมายครั้งนี้
ผิดแต่ที่ว่า หนึ่ง หล่อนไม่ได้รู้สึกยินดีอย่างจริงใจเท่าไหร่ และสอง
หล่อนมาแสดงความยินดีที่บ้านไวลีย์ด้วยตัวเอง
โดยเลือกเอาวันที่พอลลีนเข้าเมืองไปซื้อของกับมารดา ภาพที่เห็นเมื่อเดินไปข้างในตัวบ้านนั้นคือภาพเอ็ดการ์และคู่หมั้นหมาด
ๆ กำลังนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงบนโซฟายาวตัวเดียวกันที่อยู่หน้าเตาผิง อันที่จริงแล้วถ้าหญิงสาวสังเกตสีหน้าของร่างโปร่งสักนิด
ก็จะเข้าใจว่าบทสนทนาของทั้งคู่ไม่ได้ 'กระหนุงกระหนิง' อย่างที่คนทั่วไปคิดสักเท่าไหร่
เพราะตั้งแต่ที่เขาทั้งสองมีสถานะเป็น 'คู่หมั้น' ก็ไม่มีวันไหน
หรือจะให้ถูกคือไม่มีชั่วโมงไหนที่เด็กหนุ่มจะไม่ถามร่างสูงว่า
การแต่งงานจะมีขึ้นเมื่อไหร่ และเขาจะหนีได้ตอนไหน คนที่สังเกตว่ามีอาคันตุกะอยู่ในบ้านก่อนคือเอ็ดการ์
ชายหนุ่มสะกิดไหล่ร่างที่นั่งข้าง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นค้อมศีรษะให้หญิงสาว แล้วเดินไปช่วยถือข้าวของที่ฝ่ายนั้นหอบมา "ยูจีเนีย" "ฉันมาแสดงความยินดีค่ะเอ็ดการ์"
หล่อนหัวเราะเสียงแปร่ง พร้อมก้มลงมองช่อดอกไม้ในมือ "แต่คิดไม่ถึงจริง
ๆ ว่าพวกคุณจะหมั้นกันเร็วขนาดนี้" ชายหนุ่มเจ้าของบ้านไม่ตอบคำ
ได้แต่ยิ้มรับด้วยอาการปกติ ผิดกับเอสเพนที่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับยูจีเนียที่มองมาอย่างรู้สึกผิด
จากท่าทีของหญิงสาว ใครต่อใครก็รู้ได้ไม่ยากว่ายูจีเนียพึงใจเอ็ดการ์ ในเมื่อเรื่องเป็นอย่างนี้หล่อนคงจะไม่ค่อยชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่นัก เด็กหนุ่มเดินหลบออกมาจากห้องสักพักก็กลับเข้าไปพร้อมเครื่องดื่มร้อน
ๆ สามแก้ว เอ็ดการ์ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิมเลิกคิ้วและส่งสายตาคำถามมาให้เมื่อเห็นเขาหลบไปนั่งบนโซฟาเดี่ยว
แทนที่จะนั่งตัวเดียวกันเหมือนเมื่อครู่ จริงอยู่ว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องแปลกสำหรับคู่หมั้น
แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดกับสายตาของหญิงสาวอีกคนได้น้อยลง "แล้วคุณวางแผนเอาไว้หรือยังคะเอ็ดการ์
ว่าจะแต่งงานกันเมื่อไหร่?" เจ้าของชื่อเหลือบมองร่างโปร่งที่กำลังพยายามทำตัวให้เล็กลีบมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เล็กน้อย
ก่อนจะตอบผ่านรอยยิ้มบางบนริมฝีปาก "อาจจะเป็นเร็ว ๆ นี้" คนโกหก
เอสเพนนึกค่อนในใจ
ไม่ว่าเขาจะเพียรเซ้าซี้เท่าไหร่ ชายหนุ่มก็จะแกล้งทำเสียงรำคาญและตอบแต่ว่า
'ยังไม่ถึงเวลา' หรือไม่ก็ 'อย่าเพิ่งใจร้อนสิ' ทั้งนั้น คราวนี้หญิงสาวหันมาทางเขา
และยิ้มให้อย่างหวานหยดพอ ๆ กับน้ำเสียงที่ใช้ "ชาร์ล็อต
เธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีมาก
รู้ไหม? ฉันรับประกันได้ว่าผู้หญิงหลายต่อหลายคนในแจ็คสันส์ วิลล์ จะต้องอิจฉาเธอ" หญิงสาวไม่อยากที่จะคิดสักนิดว่า
'ผู้หญิงหลายต่อหลายคน' ที่หล่อนพูดถึงจะรวมตัวหล่อนเองด้วย หล่อนไม่ได้หลงรักเอ็ดการ์จนหัวปักหัวปำ
และไม่ได้ริษยาคู่หมั้นวัยเยาว์ของเขาอีกด้วย แต่ก็นั่นแหละ
หล่อนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจและหมั่นไส้ในความสุขของคนอื่น
หล่อนพึงใจในตัวเอ็ดการ์ และคิดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มจะหมั้นหมายหลังจากที่เพิ่งกลับมาไม่นาน
เอ็ดการ์ผู้เป็นบุตรชายคนเดียวของนายอำเภอไวลีย์ที่ใครต่อใครต่างให้ความเคารพนับถือ
เอ็ดการ์ผู้ผ่านการศึกษาจากยุโรป เอ็ดการ์ผู้เคยเห็นและสัมผัสความเจริญรุ่งเรืองทางอารยธรรมที่สั่งสมมานับร้อยนับพันปี
กลับจะมาแต่งงานกับเด็กสาวไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ท่องคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้สักบทมันควรอยู่หรือ? ไม่สิ
จะว่าไปแล้วตอนที่มาอยู่บ้านไวลีย์ใหม่
ๆ แม่ชาร์ล็อตนี่ยังอ่านหนังสือไม่ออกสักตัวด้วยซ้ำ! ดูเหมือนยูจีเนียจะรู้ตัวว่าความรู้สึกของตนส่งผ่านมาทางสายตาที่ใช้จ้องมองร่างโปร่งอย่างชัดแจ้ง
หญิงสาวจึงปกปิดมันด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะหันไปทางเจ้าบ้าน "เห็นจะต้องกลับแล้วล่ะค่ะเอ็ดการ์
ฉันจะต้องไปช่วยแม่อบพาย" "แต่คุณยังไม่ได้จิบโกโก้สักคำ"
ร่างสูงท้วง ออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยกับท่าทางเซื่องซึมผิดจากทุกครั้งของหล่อน "ไว้วันหลังเถอะค่ะ
วันนี้ฉันมารบกวนคุณกับชาร์ล็อตด้วยซ้ำ" เอสเพนทำหน้าตื่นเล็กน้อยเมื่อคนพูดหันมายิ้มให้
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้ดีว่าเอ็ดการ์จัดการเรื่องนี้ได้ดีกว่าเขา "ความจริงคุณไม่ได้รบกวนอะไรเราเลย"
ชายหนุ่มพูดพลางลุกขึ้นยืน "แต่ในเมื่อคุณยืนยันอย่างนั้นผมก็จะไม่ท้วง
เดี๋ยวให้ผมเดินไปส่งดีไหม?" "อย่าเลยค่ะ" ยูจีเนียปฏิเสธ
แล้วหันมามองเด็กหนุ่มอีกครั้งพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงใจ "ความจริงฉันอยากจะให้ชาร์ล็อตเดินไปส่งมากกว่า
เราจะได้คุยกันตามประสาผู้หญิงน่ะค่ะ" ไม่ต้องมองก็รู้ได้ว่าเอ็ดการ์จะต้องพยักเพยิดให้เขาทำตามใจหล่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นเองแล้วยิ้มให้กับคนพูดเล็กน้อย แม้จะค่อนข้างขัดหูกับคำว่า
'ประสาผู้หญิง' ของหล่อนก็ตามที ลมเย็นที่พัดเข้ามาปะทะทันทีที่เปิดประตูออกมาข้างนอกทำให้เอสเพนลังเลเล็กน้อยว่าควรจะเข้าไปเอาผ้าคลุมไหล่หรือถุงมือติดไปด้วยดีหรือไม่
แต่เมื่อเห็นยูจีเนียเดินนำหน้าไปเล็กน้อยแล้ว เขาจึงปัดความคิดนั้นออกไปเสีย
และเดินตามหล่อนไปเงียบ ๆ แล้วให้รู้สึกเสียใจภายหลังเมื่อความหนาวเย็นของอากาศทำให้เขาต้องเดินห่อตัวพร้อมถูมือไปมาไม่ขาดระยะ
ผิดกับยูจีเนียซึ่งมีทั้งถุงมือและผ้าคลุมไหล่ หล่อนจึงเดินคล้องตะกร้าที่แขนได้ด้วยท่วงท่างามสง่าราวกับเจ้าหญิงหรือนางพญา
แตกต่างกับเขาซึ่งคงดูเหมือนลิงหรืออะไรสักอย่างโดยสิ้นเชิง บ้านแวนด์และบ้านไวลีย์ไม่ห่างกันมากก็จริง
แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงยี่สิบนาทีในการไปและกลับ ยังไม่รับรวมถึงเวลาที่เจ้าของบ้านจะแสดงมารยาทเชิญเขาไปนั่งดื่มเครื่องดื่มอุ่น
ๆ ในตัวบ้าน แต่วันนี้เจ้าของบ้านที่ว่าคงจะไม่ทำอย่างนั้นเพราะหล่อนคงนึกชังขี้หน้าเขาเต็มทน
หลักฐานที่เห็นได้ชัดคือหล่อนยังไม่พูดคุย 'ตามประสาผู้หญิง' กับเขาไว้อย่างที่ว่าสักคำทั้งที่เดินมาค่อนทางแล้ว แต่ในที่สุดยูจีเนียก็หยุดเดินกระทันหัน
ทำให้เด็กหนุ่มพลอยหยุดตามไปด้วย และเมื่อเห็นว่าเขาไม่เดินตามขึ้นมา หล่อนจึงก้าวถอยหลังไปจนยืนได้ระดับเสมอกัน
และรุนแขนร่างโปร่งให้เดินเคียงคู่ "เธอสูงขึ้นนะชาร์ล็อต"
น้องสาวของบาทหลวงแวนด์เอ่ยขึ้น และนั่นทำให้เอสเพนยิ้มออกเล็กน้อย "จริงหรือ?" "อือฮึ" หญิงสาวส่งเสียงตอบรับในลำคอ
พร้อมชำเลืองมองคู่สนทนา จริงอยู่ว่ากระสีน้ำตาลบนดั้งจมูกที่เคยเห็นชัดนั้นบางลง
จมูกรั้น ๆ ก็ดูโด่งขึ้น แต่ถึงจะพูดกันอย่างไม่มีอคติแล้ว เด็กสาวข้างกายหล่อนไม่ได้สวยขึ้นเลย
การเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้ใบหน้าดูคมเข้มขึ้นต่างหาก หนำซ้ำรูปร่างของอีกฝ่ายก็ดูค่อนข้างเก้งก้างเมื่อเทียบกับเด็กผู้หญิงคนอื่น
ๆ ในวัยเดียวกัน เสียงถอนหายใจหนักหน่วงทำให้รอยยิ้มบาง
ๆ บนใบหน้าของเด็กหนุ่มอันตรธานไป เขาได้แต่เดินก้มหน้าถูมือตัวเองเข้าหากันไปมา
ก่อนจะชะงักเมื่อยูจีเนียดึงผ้าคลุมไหล่ของตัวเองส่งให้พร้อมเอ่ยสั้น ๆ "คลุมมือไว้ แล้วเอากลับบ้านไปด้วย" ดวงตาสีเขียวสดมองไหมพรมถักที่ถูกส่งมาให้อย่างรู้สึกผิดอีกครั้ง
พอลลีนเคยบอกเขาว่าไม่ค่อยจะถูกใจเพื่อนคนนี้สักเท่าไหร่ และเขาเองก็รู้สึกรำคาญหล่อนบ้างเป็นบางครั้ง
แต่เขาเพิ่งจะประจักษ์เดี๋ยวนี้เองว่าหล่อนช่างมีน้ำใจเสียจริง "ขอบคุณ" เด็กหนุ่มตอบ
แล้วรีบหาเรื่องพูดต่อเมื่อรู้สึกว่าประโยคของตัวเองห้วนเกินไป "แล้วก็
ขอบคุณสำหรับของที่คุณเอามาในวันนี้" "ไม่เป็นไร ฉันว่าดอกไม้นั่นเหมาะกับเธอดี" หล่อนพูดถึงดอกไม้ป่าสีขาวขุ่นที่จะบานเฉพาะในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงถึงกลางฤดูหนาว
แต่เอสเพนเห็นว่าสิ่งที่เขาควรจะนึกขอบคุณคือขนมอบและแยมรสต่าง ๆ ของหล่อนมากกว่า
เพราะยูจีเนียถือว่ามีฝีมือการทำอาหารที่ใช้ได้ แม้จะเทียบกับนางไวลีย์ไม่ติดก็ตาม "คิดไม่ถึงจริง ๆ"
หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาอีก ขณะเดินขึ้นเนินที่นำไปสู่ตัวบ้านของตน "ฉันเคยคิดเอาไว้ว่าคู่ของเอ็ดการ์จะต้องเป็นผู้หญิงปราดเปรียว
สวยอย่างไม่มีที่ติ และรู้ทันเขาไปเสียทุกเรื่องเสียอีก" ไม่ว่าหล่อนจะแกล้งพูดให้ฝ่ายตรงข้ามใจเสียหรืออะไรก็ตาม
แต่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าน้ำเสียงที่หล่อนใช้ขอโทษขอโพนยเขาในวินาทีถัดมาฟังดูจริงใจเหลือเกิน "ตายแล้ว ขอโทษนะจ๊ะชาร์ล็อต
ฉันไม่ได้จะบอกว่าเธอไม่เหมาะสมกับเอ็ดการ์ เพียงแต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงในแบบที่ฉันจินตนาการไว้เท่านั้นเอง" "ไม่เป็นไร" ร่างโปร่งส่ายหน้าพร้อมยิ้มบาง
ก่อนจะส่งหล่อนเข้าบ้านโดยที่ไม่ลืมจะขอบคุณสำหรับผ้าคลุมไหล่ไหมพรมที่ได้มาอีกครั้ง
แล้วเดินกลับพลางใช้ความคิดเงียบ ๆ กับตัวเอง เรื่องที่ว่าเขาเหมาะสมกับเอ็ดการ์หรือไม่นั้นตัดทิ้งไปได้เลย
เพราะเขาเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ และการหมั้นการแต่งงานที่จะเกิดขึ้นก็เป็นหนึ่งในหนทางที่ใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
แต่ยูจีเนียที่น่าสงสาร
หล่อนต่างหากที่เรียกได้ว่าเหมาะสมกับเอ็ดการ์ รอก่อนเถอะนะยูจีเนีย ++++++++++ เอสเพนเพิ่งจะสังเกตเห็นเอาเมื่อสองสามวันมานี้ว่า
หากเขาไม่พูดถึงแผนแต่งงานนั่น
เอ็ดการ์จะอารมณ์ดี วันนี้เป็นวันแรกที่แรงงานในบ้านไวลีย์เริ่มพักผ่อนหลังฤดูเก็บเกี่ยว
ไร่ข้าวโพดในตอนนี้จึงมีเพียงแต่ใบแห้งสีเหลืองทองที่สะบัดลู่ไปตามลม ไร้ซึ่งจุดสีดำเป็นหย่อม
ๆ ของพวกทาสที่เคยทำงานกันหน้ามัน คริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงช่างเป็นช่วงเวลาเหมาะเจาะที่จะให้พวกเขาได้พักผ่อน
ไม่ต่างอะไรจากของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า "ตื่นเต้นหรือเปล่า?"
เสียงทุ้มของคนที่นั่งซ้อนหลังถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
พวกเขากำลังอยู่บนหลังของนางม้าสีน้ำตาลที่ย่างเยาะไปตามทางเดินคั่นกลางระหว่างไร่สองฝั่ง
สถานะคู่หมั้นทำให้เขาทั้งสองได้ทำตัวสนิทสนมกันมากกว่าเมื่อก่อน แต่จนแล้วจนรอดเด็กหนุ่มก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าการที่เอ็ดการ์คอยมานั่งซ้อนหลังเขาบนหลังม้า
ดูดีกว่าการที่เขาขี่ม้าควบไปมาอยู่คนเดียวตรงไหน? "ตื่นเต้นอะไร?" "ก็จะคริสต์มาสแล้วไง
แจ็คสันส์ วิลล์เป็นเมืองไม่ใหญ่ก็จริง แต่เราก็ฉลองคริสต์มาสกันอย่างสนุกสนานทุกปี" จริงอย่างที่ชายหนุ่มว่า
ความจริงแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นนิด ๆ ตามที่ได้ยินมา ชาวเมืองแจ็คสันส์
วิลล์ จะฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวในตอนเช้า ส่วนตอนกลางคืนจะจัดงานรื่นเริงที่ศาล
และที่ยิ่งไปกว่านั้น
นี่เป็นคริสต์มาสแรกที่เขาจะได้ร่วมฉลองกับครอบครัวไวลีย์ เท่าที่จำความได้ คนที่ฉลองคริสต์มาสกับเขาอยู่ทุกปีคือโจเซฟีน แม้ว่าความเป็นอยู่ในช่วงเทศกาลแสนพิเศษนี้กับความเป็นอยู่ตามปกติของพวกเขาจะไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก แต่โจเซฟีนก็จะหาของขวัญเท่าที่หล่อนพอจะหาได้มาให้เขาประหลาดใจได้เสมอ ปีนี้ไม่มีโจเซฟีน
แต่เขาจะได้ฉลองคริสต์มาสกับสมาชิกครอบครัวไวลีย์อย่างอบอุ่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายหนัก
ๆ เมื่อรู้สึกตีบตันในลำคอขึ้นมาเฉย ๆ แต่กระนั้นเขาก็อดจะลูบแผงคอครีค
นางม้าที่ขี่อยู่เบา
ๆ อย่างอาลัยไม่ได้ นี่ก็อีก
หลังที่เขาต้องจากที่นี่ไปแล้ว เขาคงจะคิดถึงมันมากทีเดียว
เอสเพนเคยคิดตั้งใจเอาไว้อย่างแน่วแน่ ต่อไปหากเขามีม้าสักตัว
เขาจะตั้งชื่อมันว่าครีค
และหากเขาเกิดโชคดีมีม้าหลายตัว
เขาจะตั้งชื่อตัวที่เขารักที่สุดว่าครีคเช่นกัน "เอ็ดการ์
" ร่างโปร่งครางออกมาเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างได้ "หืม?" "รู้หรือเปล่าว่ายูจีเนียสนใจคุณ?" ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย "ไม่รู้
แต่ก็ไม่แปลกที่จะมีผู้หญิงที่รู้สึกเหมือนหล่อนสักสามสี่คน" คนอเมริกันในยุคนั้นมีนิสัยแปลกประหลาดที่คิดว่าพวกตนสูงส่งและบริสุทธิ์กว่าชาวยุโรปที่ความสูงส่งทางจิตวิญญาณถูกความเจริญทางวัฒนธรรมกัดกินเสียเน่าเฟะ
แต่ในขณะเดียวกัน ลูกหลานที่เติบโตบนแผ่นดินอเมริกันก็อดจะตื่นตาตื่นใจกับความรุ่งเรืองทางอารยธรรมที่พัฒนาจากรากฐานที่สั่งสมมานานนับพันปีไม่ได้
ในสายตาของคนเหล่านั้นอเมริกาคือผืนผ้าสีขาวบริสุทธิ์ ในขณะที่ยุโรปคือผ้าแพรหลากสีสันอันสวยงามตระการตา
ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ชายหนุ่มผู้ทรงไว้ด้วยมรรยาทสุภาพบุรุษฝรั่งเศสอย่างเอ็ดการ์จะเป็นที่สนใจและชื่นชมของใครต่อใคร แม้จะตระหนักถึงความจริงในข้อนั้นเป็นอย่างดี
แต่เอสเพนก็อดจะเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้แล้วนึกเปรียบเทียบกับชายหนุ่มอีกคนไม่ได้
ถึงโจชัวจะมีท่าทีเจ้าชู้กรุ้มกริ่มอย่างไร ฝ่ายนั้นก็ไม่เคยชมตัวเองออกมาโต้ง
ๆ อย่างหน้าไม่อายเหมือนอย่างเอ็ดการ์ในตอนนี้เลย คิดถึงตรงนี้ก็ต้องระบายลมหายใจออกยาวอีกครั้ง
เพราะตั้งแต่วันนั้น
โจชัวไม่เคยมาให้เขาเห็นหน้าอีกเลย "เอ็ดการ์" เด็กหนุ่มกระซิบเรียกอีกครั้ง
"รู้ไหมว่าถ้าเราแต่งงานกันเร็วขึ้น ผมก็จะหายตัวไปได้เร็วขึ้น ผู้หญิงอย่างยูจีเนียก็จะได้มีความหวัง
และคุณกับโจชัวก็จะคืนดีกันได้เร็วขึ้น" คราวนี้ร่างสูงนิ่งไปนานกว่าครั้ง
นานจนเอสเพนคิดว่าเจ้าตัวคงกำลังไตร่ตรองสิ่งที่เขาพูด และคงจะเห็นด้วยกับเขา
แต่แล้วเขาก็พบว่าตนเองคิดผิดเมื่อเสียงที่เจือความไม่พอใจของเอ็ดการ์ดังขึ้น "จะมีสักวันไหมที่เธอจะไม่คิดเรื่องนี้?" ไม่มีสักวันหรอกที่เขาจะไม่คิด
แต่เขาก็อุตส่าห์ไม่พูดถึงมันมาตั้งสองสามวัน แล้วดวงตาสีเขียวก็ต้องเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคต่อมา "เธอทำให้ฉันรู้สึกเสียใจนะเอสเพน
เธอทำเหมือนกับว่าฉันและครอบครัวของฉันทำให้เธอต้องมีชีวิตอยู่อย่างทรมาน
วัน ๆ เธอก็เลยไม่ทำอะไรนอกจากจะคิดเรื่องหนีจากพวกเราไปให้พ้น ๆ" "ไม่ใช่นะ" เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียงสูง
แล้วถอนหายใจอย่างหนักอก "ผมพูดอย่างนี้เพราะเป็นห่วงคุณนะ" "ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นห่วง" "แต่ผมเป็นตัวถ่วงคุณ" "ตัวถ่วงอะไร?" "เอ็ดการ์!" คู่สนทนาเรียกอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
"คุณไม่เข้าใจจริง ๆ หรือว่าแกล้งไม่เข้าใจกันแน่" ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะอารมณ์ดีขึ้นทันตาเมื่อเห็นเขาหงุดหงิด
"ฉันจะไม่เข้าใจจริง ๆ ก็ช่าง จะแกล้งไม่เข้าใจก็ดี เอาเป็นว่าฉันขอร้องเธอว่าอย่าเพิ่งรีบไปจากเรา
คิดดูสิทุกคนจะเสียใจมากแค่ไหนที่ต้องเสียเธอไป โดยเฉพาะถ้าทำตามแผนซึ่งก็คือเธอจะหายตัวไปเฉย
ๆ นานทีเดียวกว่าทุกคนจะทำใจได้ว่าเธอจะเป็นหรือจะตาย" เรื่องแบบนี้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งตัดใจได้เร็วเท่านั้นต่างหาก
เอสเพนเถียงในใจอย่างไม่ยอมแพ้
แต่ที่ไม่พูดออกมาก็เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มพูดทำให้เขารู้สึกปวดใจตามไปด้วย "และก็ขอย้ำว่าไม่ต้องเป็นห่วงฉัน
เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว" ชายหนุ่มว่าพลางบังคับม้าให้หันกลับไปยังทิศทางเดิม
ทำเอาร่างโปร่งในวงแขนร้องประท้วงขึ้นทันที "อย่ากลับเร็วนักสิ!" "พอลลีนบอกว่าบ่ายสามโมงให้เธอกลับไปเรียนเต้นรำ" "แต่ผมไม่อยากเรียนนี่นา!" "แต่ฉันอยากให้เธอเรียนให้คล่อง
เพราะเราต้องเต้นรำกันวันคริสต์มาส คงจะสนุกดีใช่ไหม?" คนถามเย้าเสียงถามพลางกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ในขณะที่คู่สนทนาทำหน้ามุ่ยพร้อมตะโกน "คุณเพี้ยนแน่แล้ว!!" ++++++++++++ ***** แฮ่ก ๆ
(กรุณาอย่านึกว่าเสียงหอบเพราะความหื่น เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรให้หื่นอยู่แล้ว)
จบไปอีกตอน ตอนหน้าจะอวสานแล้วค่าาาาา แล้วเราก็จะได้ขึ้นเรื่องใหม่ ดีใจเจรง
ๆ คิดว่าคงมีคนอ่านบางส่วนที่เริ่มเบื่อกันแล้ว ไม่แปลกอะไร เพราะคนเขียนเองยังเบื่อ
จะว่าไปมันเป็นนิยายเรื่องแรกที่เราไม่รู้สึกสนุกในการเขียนมากที่สุด แต่เห็นว่าเขียนมาเยอะแล้ว
เลยกัดฟันเขียนต่อไปเรื่อย ๆ จนจะจบอยู่ตอนหน้าแล้วล่ะจ้าาาา ดีใจ เย้ว ๆ
|