ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Eye On Me (Part 8)

by...เฟื่อง

Warning: เรื่องนี้มีวี่แววจะน้ำเน่ามากอยู่(คนเขียนเองก็ยังไม่รู้ระดับความน้ำเน่าเหมือนกัน แต่คงเน่ากว่าทุก ๆ เรื่องที่เขียนมา) เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ชอบก็ขอเตือนไว้แต่เนิ่น ๆ เน้อ


"พ่อ!"

ชายหนุ่มอุทานออกมาเบา ๆ แล้วหยุดเพียงแค่นั้น เนื่องจากอับจนด้วยคำพูดนานา นายอำเภอไวลีย์มองใบหน้าซีดเผือดของบุตรชายด้วยดวงตาเขม็งกร้าว ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่บ่งอารมณ์แม้เพียงเสี้ยว

"ตกใจมากใช่ไหมที่เห็นฉัน?"

สายตาที่เลื่อนต่ำลงมาทำให้เอสเพนเพิ่งนึกได้ว่ามือข้างหนึ่งของตัวเองยังอยู่ในการเกาะกุมของชายหนุ่ม เขารีบดึงมันออก กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

"มิสเตอร์ไวลีย์…"

"เธอไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ชาร์ล็อต กลับเข้าห้องแล้วนอนเสีย ฉันมีเรื่องจะคุยกับเอ็ดการ์"

ดวงตาสีเขียวเหลือบมองร่างสูงโดยอัตโนมัติ แล้วทำตามที่บอกเมื่อฝ่ายนั้นพยักหน้าให้ เขาหมุนตัวหันกลับมาหานายอำเภอไวลีย์อีกครั้งอย่างลังเล แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกมา ฝ่ายนั้นก็ตัดบทด้วยเสียงหนัก ๆ

"นอนเสียชาร์ล็อต"

ประตูห้องถูกปิดลงสักพักหนึ่งแล้ว หากแต่เอ็ดการ์รู้ดีว่าป่านนี้ผู้ที่อยู่ข้างในคงจะเดินพล่านไปทั่วด้วยความร้อนใจ เขาสบตาบิดา แล้วรู้สึกใจเต้นจนแทบทะลุออกจากอกกับสายตาที่อีกฝ่ายมองจ้องมา

"ตามฉันมา"

ชายชรากล่าว ก่อนจะเดินนำบุตรชายไปยังห้องทำงานของตนที่อยู่ทางด้านขวาสุดของทางเดิน ภายในห้องที่เคยมืดสนิทเกิดแสงสว่างเพียงแค่สลัว ๆ ด้วยเทียนในมือผู้เป็นบิดา และนายอำเภอก็ไม่คิดจะต่อเทียนอื่น ๆ

เอ็ดการ์ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวนุ่มมุมห้องพร้อมหลับตาลงแล้วยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วตัวเอง เป็นเวลานานที่ห้องทั้งห้องแทบจะเงียบสนิท จะได้ยินแต่เสียงขยับตัวไปมาของคนที่อยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ก่อนจะเกิดเสียงกระแอมเบา ๆ ขึ้น

"แกมีอะไรจะพูดไหม?"

ผู้เป็นบุตรชายส่ายหน้ากับตัวเอง "ผมพูดไปพ่อก็ไม่เชื่อ"

"ไม่เชื่อ?" ฝ่ายตรงข้ามทวนคำ "แกคงอยากจะบอกว่า แกเข้าไปในห้องชาร์ล็อตดึกดื่นขนาดนี้เพียงแค่เข้าไปคุยกับเธอ แล้วออกมาเดินเล่นเท่านั้นหรือ?"

เกือบถูก…เอ็ดการ์ต่อให้ในใจ…ผิดตรงที่พวกเขากำลังจะออกไปขี่ม้ากันเท่านั้น

ชายหนุ่มมองคู่สนทนา สันกรามที่ขบเข้าหากันเป็นนูนสันบ่งบอกถึงอาการพยายามกลั้นโทสะอย่างสุดกำลังของเจ้าตัว หากบุตรชายทำผิดในวัยเด็ก นายอำเภอไวลีย์คงไม่ลังเลที่จะใช้กำลังลงโทษ หรือกักบริเวณให้หลาบจำ แต่บุตรชายของเขาในตอนนี้โตและมีวุฒิภาวะเกินกว่าที่จะลงโทษเช่นนั้นได้
ใบหน้าและแววตาของบิดาทำให้เอ็ดการ์ถอนหายใจ ตอนนี้ถึงพูดอะไรออกไปก็เท่ากับเป็นการแก้ตัวเท่านั้น มองในแง่กลับกัน ถ้าเขาไม่รู้ว่าเอสเพนเป็นเด็กผู้ชาย แล้วพบว่าลูกชายตนเองหายเข้าไปในห้องนอนของฝ่ายนั้นกลางดึกอยู่พักใหญ่ ก็คงจะคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

เสียงหัวเราะหยันในคอดังขึ้นทำลายความคิด นายอำเภอไวลีย์สูดหายใจเข้าลึกราวกับกำลังสะกดอารมณ์ให้มั่นคง ก่อนจะพูดด้วยเสียงหนัก ๆ
"รู้ไหมว่าฉันเริ่มเอะใจตั้งแต่แกกับชาร์ล็อตลอบสบตากันบนโต๊ะอาหารแล้ว แต่ตอนนั้นฉันเพียงแต่มองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อยว่าแกสองคนคงจะใจตรงกันเข้าให้แล้ว ก็เลยคิดอะไรต่ออะไรเพลินจนไม่ได้หลับ ตอนที่ได้ยินเสียงเปิดประตู ฉันเข้าไปในห้องแก เห็นแกไม่ได้อยู่ในนั้นก็เดาได้ไม่ยากว่าอยู่ที่ไหน"

"พ่อครับ…"

ชายชรายกมือปราม ก่อนจะพูดต่อ "ฉันอยากจะเข้าไปลากคอแกออกมานัก แต่ถ้าทำอย่างนั้นแม่แกก็ต้องรู้เรื่อง แล้วถ้าเขารู้ว่าแกทำตัวอย่างนี้จะเสียใจแค่ไหนรู้ไหม? พ่อถามจริง ๆ เถอะเอ็ดการ์ ถ้าแกกับชาร์ล็อตรักกันทำไมถึงไม่บอกพ่อแม่?"

เอ็ดการ์นิ่งไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจแย้งขึ้นมา "พ่อครับ…พ่อเข้าใจผิด"

ประโยคนั้นทำให้ประกายตาของผู้เป็นบิดาวาววับขึ้นมาทันตา

"แกกำลังจะบอกพ่อว่าแกหายเข้าไปในห้องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่นานในเวลากลางดึกโดยที่ไม่ได้รักกันอย่างนั้นหรือ แกเป็นผู้ชายแบบไหนกัน? ชาร์ล็อตไม่ใช่เด็กผู้หญิงตามร้านเหล้า แต่หล่อนอยู่ที่นี่ในฐานะลูกบุญธรรมของฉัน!"

หางเสียงที่ตวัดดังจากอาการลืมตัวทำให้คนพูดชะงัก ชายชราคำรามในคอพลางขยับตัวไปมาบนเก้าอี้ราวกับว่าการกระทำเช่นนั้นจะช่วยลดความคุกรุ่นในอารมณ์ลงได้ ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อีกครั้ง ก่อนที่เอ็ดการ์จะเหลือบตามองบิดาพร้อมอ้าปากพูด แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ชิงถามขึ้นมาเสียก่อน

"แกจะจัดการเรื่องนี้ยังไง?"

'จะจัดการอย่างไร?'

ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดว่านายอำเภอไวลีย์กำลังเรียกร้องความรับผิดชอบจากเขาแทนลูกบุญธรรมตัวเอง…ซึ่งป่านนี้คงจะกระสับกระส่ายด้วยความร้อนใจอยู่ในห้อง แต่เขาล่ะ? ตัวเขาควรจะทำอย่างไรดี?

น่าแปลกที่สิ่งที่วาบเข้ามาในหัวชายหนุ่มตอนนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ว่าคู่กรณีของเขาไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นใบหน้าของเพื่อนสนิท โจชัวจะว่าอย่างไรถ้ารู้เรื่องนี้เข้า?

"แต่งงานกับเธอเสีย เอ็ดการ์"

อาการลังเลอึกอักของบุตรชายทำให้นายอำเภอไวลีย์ตัดสินใจขึ้นแทนด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ราวกับตรึกตรองสิ่งที่พูดมาแล้วเป็นอย่างดี

ร่างสูงถอนหายใจแล้วยกมือกุมขมับอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะพยายามแก้ต่างให้ตัวเองอีกครั้ง

"พ่อ…ผมไม่ได้คิดกับชาร์ล็อตแบบ…"

คำพูดทั้งมวลหยุดชะงักลงกับเสียงทุบโต๊ะ แม้ว่ามันจะเป็นเสียงที่ไม่ดังนัก แต่แรงที่ใช้ก็มากพอที่จะทำให้เชิงเทียนสั่นไปเล็กน้อย ชายชรากัดฟันแน่น พร้อมชะโงกหน้าข้ามโต๊ะมาจ้องตาบุตรชายอย่างดุดัน

"ฉันไม่เคยคิดเลยว่าปารีสจะสอนมารยาทสุภาพบุรุษเลว ๆ อย่างนี้ให้แก ชาร์ล็อตเป็นผู้หญิง และปีนี้เธอก็อายุสิบห้า ไม่นับว่าเป็นเด็กต่อไปอีกแล้ว ถึงเรื่องนี้จะรู้กันแต่ในครอบครัวเรา แต่แกไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือไงกัน!"

ชาร์ล็อตของพ่อเป็นเด็กผู้ชายจอมแก่นเฮี้ยวต่างหาก…เอ็ดการ์นึกเถียงบิดาในใจ พลางขมวดคิ้วด้วยความกลัดกลุ้ม หากเอสเพนรู้คำตัดสินของนายอำเภอไวลีย์เข้า ฝ่ายนั้นคงจะไม่ลังเลเลยที่จะหนีออกจากที่นี่อีกครั้ง และเขา…ก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มทำเช่นนั้น เพราะถ้าขาดเพื่อนไปสักคนเขาคงเหงาน่าดู

ใช่…เขาคงจะเหงามากนั่นเอง

เขาเหลือบตามองบิดาอีกครั้ง ประกายตากร้าวทำให้เอ็ดการ์นึกรู้ได้ทันที การพยายามพูดแก้ตัวในตอนนี้กลับจะเป็นการโหมกระพือโทสะที่เจ้าตัวพยายามจะสะกัดเก็บไว้ให้ปะทุแรงขึ้น ส่วนการปฏิเสธนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึงเลยด้วยซ้ำ เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ คำตอบที่นายอำเภอไวลีย์ต้องการมีเพียงอย่างเดียว

เอ็ดการ์สบตาชายชราที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะทำงาน แล้วระบายลมหายใจออกยาวพร้อมพยักหน้าช้า ๆ ยังผลให้ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางคู่นั้นวาววับด้วยความพอใจ
ทุกอย่างย่อมมีทางออกของมันเองเมื่อถึงเวลา…ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นเสมอ…และครั้งนี้เขาก็ขอให้มันเป็นเช่นนั้น

++++++++++

เสียงก้อนหินก้อนเล็กกระทบกันดังเป็นจังหวะสอดแทรกกับเสียงลมกระทบยอดไม้และเสียงนกครวญเพลง เอสเพนแกล้งทำเป็นจดจ่อกับการเคาะก้อนหินในมือทั้งสองของตัวเองเพื่อหนีสายตาที่มองออกมาจากบานหน้าต่างอย่างเป็นห่วง พอลลีนคงจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบนโต๊ะอาหารเช้า เอ็ดการ์ลอบมองเขาเป็นระยะ แต่พอเขาหันไปสบตาด้วย ชายหนุ่มเป็นอันต้องหลบตาทุกทีไป ส่วนนายอำเภอไวลีย์นั้นหนักยิ่งกว่า เพราะคอยจับสังเกตปฏิกิริยาของทั้งเขาและบุตรชายตัวเองดูอย่างเงียบ ๆ อีกที ทำเอาเด็กหนุ่มแทบจะกลืนอะไรไม่ลงด้วยอยากรู้แทบขาดใจว่าชายชราพูดอะไรกับเอ็ดการ์บ้าง

ทั้ง ๆ ที่หวังว่าหลังมื้อเช้าผ่านพ้นร่างสูงคงจะรีบมาเล่าให้เขาฟังว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ฝ่ายนั้นกลับรีบร้อนตามบิดาเข้าไปในเมืองโดยไม่พูดอะไรกับเขาสักคำ นอกจากหันมามองเล็กน้อยตอนขึ้นรถม้า ดวงตาสีน้ำตาลทองแฝงความยุ่งยากใจอะไรบางอย่างเอาไว้ และนั่น…ยิ่งส่งผลให้ความร้อนใจของเด็กหนุ่มสูงขึ้นกว่าเดิมอีกไม่รู้กี่เท่า

เสียงล้อรถและเกือกม้าบดถนนแว่วเข้ามาโสตประสาทของคนที่จมอยู่กับความคิดของตัวเองไปถึงไหนต่อไหน เอสเพนทิ้งก้อนหินในมือลงพื้นแล้วดีดตัวลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ แต่แล้วใบหน้าที่สว่างไสวไปด้วยความหวังนั้นก็ม่อยลงไปถนัดตา เมื่อพบว่าคนที่ก้าวลงจากรถไม่ใช่ชายหนุ่มที่ตัวเองกำลังรออยู่ หากแต่เป็นเจ้าของผมสีบลอนด์สว่างที่ส่งยิ้มมาให้แต่ไกล แล้ววิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาหา โดยไม่ทันสังเกตว่าเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงบานหน้าต่างเขม้นมองตนด้วยสายตาไม่พอใจเป็นที่สุด

ยิ้มกว้างลดเลือนลงเมื่อสังเกตสีหน้าของร่างโปร่งได้ถนัด โจชัวชะงักกลางทางเล็กน้อย ก่อนจะเดินเลียบเข้าไปหาพร้อมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

"ชาร์ล็อต…เป็นอะไรหรือเปล่า?"

เอสเพนลอบถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้คนพูด โดยที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังรู้ดีว่ารอยยิ้มนั้นดูฝืนเพียงใด

"เอ็ดการ์ไม่อยู่ เขาเข้าเมืองไปกับนายอำเภอไวลีย์ตั้งแต่เช้า"
เด็กหนุ่มจอบไม่ตรงคำถาม ซ้ำยังพูดขึ้นมาเองเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่ถึงกระนั้นความหงุดหงิดก็อดจะเจือเข้ามาในน้ำเสียงไม่ได้ โดยเฉพาะตรงท้ายประโยค…ตั้งแต่เช้า…ปล่อยให้เขากลุ้มใจแทบบ้าอยู่คนเดียว

โจชัวจับอารมณ์คนพูดได้แน่ถนัด เขาทั้งรู้สึกแปลกใจและใคร่รู้ในเวลาเดียวกัน และนั่นทำให้ชายหนุ่มเพียงแค่ส่งเสียงตอบรับในคอ แทนที่จะพูดออกไปอย่างทุกทีว่าคนที่เขาตั้งใจมาหานั้นที่แท้เป็นใคร

ทั้งสองหันไปพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงรถม้าอีกคันดังเข้ามาในลานบ้าน เอสเพนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นชายหนุ่มที่ก้าวลงมาจากตำแหน่งคนควบคุมม้า เขาบีบมือตัวเองแน่น พยายามอย่างเป็นที่สุดที่จะสำรวมกิริยาตัวเองไม่ให้เดินไปลากแขนร่างสูงมาคุยกันให้รู้เรื่อง

ใบหน้าที่เหมือนจะผ่านการเตรียมใจมาแล้วของเอ็ดการ์กลับส่อเค้าความยุ่งยากใจเหมือนเดิมเมื่อเห็นว่าร่างโปร่งไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เขาเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่อย่างลังเล แล้วยิ้มฝืน ๆ เมื่อถูกทักทาย

"กลับมาแล้วหรือ? ชาร์ล็อตบอกฉันว่านายเข้าเมืองไปตั้งแต่เช้า"

ชายหนุ่มเจ้าของผมสีน้ำผึ้งพยักหน้ารับพร้อมยิ้มให้…รอยยิ้มที่ทำให้โจชัวสะดุดใจ…เพราะมันเป็นรอยยิ้มเดียวกับรอยยิ้มของชาร์ล็อตเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน

ความสะดุดใจแปรเปลี่ยนเป็นความไม่สบายใจและความขุ่นใจตามลำดับ เมื่อเห็นเพื่อนสนิทลอบสบตาร่างโปร่งสลับกับมองหน้าตนอย่างชั่งใจ ส่วนชาร์ล็อตเองก็มีอาการไม่ต่างกันเท่าไหร่ ผิดแต่ที่ว่าเป้าสายตาของฝ่ายนั้นอยู่ที่เพื่อนสนิทของเขาเพียงคนเดียว
ราวกับว่าเขาเป็นส่วนเกิน!

ก่อนที่เขาจะได้หงุดหงิดใจมากไปกว่านี้ เสียงถอนหายใจหนักหน่วงของเพื่อนสนิทก็ดังขัดขึ้น ก่อนที่เอ็ดการ์จะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก

"โจชัว…ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย"

++++++++++

เด็กสาวที่นั่งอยู่ริมบานหน้าต่างเมื่อครู่ลุกขึ้นเดินขึ้นไปชั้นบนโดยไม่คิดทักทายอาคันตุกะ หลังจากที่พี่ชายพยักหน้าให้ พอลลีนหมุนตัวกลับมามองชายหนุ่มทั้งสองเพียงเล็กน้อยเมื่อถึงชั้นสอง แต่เพียงครู่เดียวก็เดินเข้าห้องตัวเองไปโดยเก็บความสงสัยเอาไว้เงียบ ๆ ในใจ

ความรู้สึกอึดอัดกลับทวีคูณขึ้นเมื่ออยู่กันตามลำพังกับเพื่อนสนิท เอ็ดการ์สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกั๊ก แล้วหยิบซิการ์ออกมาสองมวน ก่อนจะส่งมันให้กับฝ่ายตรงข้ามและตัวเอง

เป็นเวลานานทีเดียวที่ฝ่ายเจ้าบ้านอัดซิการ์เข้าลึกโดยไม่เอ่ยคำ ดวงตาสีน้ำตาลทองจับจ้องอยู่กับม่านลูกไม้ที่หน้าต่าง ก่อนจะมองเลยไปยังร่างโปร่งที่เดินเตร่อยู่แถวชายป่า แล้วถอนหายใจติด ๆ กันนับครั้งไม่ถ้วน จนเขาต้องเอ่ยถามขึ้นมาเสียเอง

"นายมีเรื่องอะไรจะพูดกับฉัน?"

ความเคลือบแคลงและกังวลใจตามหลังคำถามมาติด ๆ โจชัวรู้สึกสังหรณ์อย่างประหลาด เรื่องที่ว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับชาร์ล็อตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
…และเขาก็พบว่าการคาดเดาของตัวเองไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว…

"นาย…คิดยังไงกับชาร์ล็อต?"

แม้จะเตรียมใจเอาไว้ว่าหัวข้อสนทนาคงจะหนีไม่พ้นบุคคลที่สามที่เพิ่งถูกเอ่ยถึง แต่กระนั้นโจชัวก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันทีกับคำถามของเพื่อนสนิท

"ฉันจำได้ว่าเคยบอกนายไปแล้วว่ารู้สึกยังไงกับชาร์ล็อต"

เอ็ดการ์ลอบถอนหายใจด้วยเสียงที่ไม่เบานัก "ฉันรู้ ๆ" ชายหนุ่มรับคำซ้ำ ๆ "แต่…นาย…เอ่อ…นายจริงจังมากแค่ไหน?"

"ฉันจำได้ว่าเคยบอกนายไปแล้วเหมือนกัน ฉันจริงจังกับเธอ เอ็ดการ์…ฉันรักชาร์ล็อต และฉันก็หวังว่าการที่ฉันจะรักเด็กในอุปการะของพ่อนาย คงจะไม่ต้องถามความเห็นชอบจากนาย จริงไหม?"

น้ำเสียงสั้นห้วนและถ้อยคำประชดประชันท้ายประโยคบ่งอารมณ์คนพูดได้เป็นอย่างดี ดวงตาสีทองเหลือบมองใบหน้าคู่สนทนา แล้วถอนหายใจออกมาอีกนับครั้งไม่ถ้วนเมื่อเห็นความจริงจังแฝงมากับแววตาไม่พอใจคู่นั้น

"โจชัว" เขากระซิบเรียก แล้วแตะลิ้นเข้ากับริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองพร้อมคลึงแท่งซิการ์ในมือเล่น "ฉัน…ฉันจะแต่งงานกับชาร์ล็อต"

คำตอบในตอนต้นคือความเงียบและสีหน้าตะลึงพรึงเพริศของผู้ฟัง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเลื่อนเก้าอี้เมื่อฝ่ายนั้นถลันลุกขึ้น

"นายว่ายังไงนะ!?"

อย่างน้อยโจชัวก็ไม่ได้ปราดเข้ามาชกเขาหรือตะโกนโวยวายอะไรเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ กลับเค้นเสียงที่แทบจะไม่ออกมาจากลำคอถามขึ้น แต่อย่างนี้กลับทำให้เขารู้สึกผิดมากกว่า เพราะแววตาที่เพื่อนสนิทใช้มองตนนั้นไม่ต่างอะไรกับแววตาของคนถูกหักหลัง

"ฉัน…" ชายหนุ่มพูดได้แค่นั้นก็ปิดตาแน่นอยู่ครู่หนึ่ง "ฉันจะแต่งงานกับชาร์ล็อต"

ประโยคนั้นแทบจะทำให้เจ้าของดวงตาสีท้องฟ้าในฤดูซัมเมอร์ตัวแข็งเป็นหินไป แต่แล้วก็พยายามนึกปลอบใจตัวเอง ไม่สิ…นี่อาจจะเป็นมุขตลกที่หนุ่มฝรั่งเศสชอบใช้เล่นกับเพื่อน และเอ็ดการ์จอมเจ้าเล่ห์ก็กำลังใช้มันกับเขา พระเจ้า…ขอให้มันเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่นด้วยเถิด

ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ฝืนยิ้ม แต่มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น "แกล้งให้ฉันตกใจเล่นหรือไงกันเพื่อน?"

"ฉันพูดจริง ๆ โจชัว เรื่องแต่งงานจะเป็นเมื่อไหร่ไม่รู้ได้ แต่ฉันจะหมั้นกับเธออาทิตย์หน้า"

เอ็ดการ์มองคู่สนทนาที่ยืนนิ่งงันแล้วรู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วย ก่อนจะกระซิบเบา ๆ "ฉันเสียใจ…โจชัว"

คนฟังเขวี้ยงซิการ์ในมือตัวเองลงกับพื้น ก่อนจะปราดเข้าประชิดคู่สนทนาแล้วแผดเสียงลั่นอย่างลืมตัว

"พระเจ้า! ทำไมนายถึงพูดอย่างนี้ออกมาได้ ไหนนายบอกว่าไม่เคยคิดอะไรกับเธอไง แล้วนี่มันอะไรกันเอ็ดการ์!!"

"ฉัน…" ฝ่ายตรงข้ามตั้งใจจะปฏิเสธ แต่ทว่ารู้ดีว่ามันจะทำให้เพื่อนสนิทคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิม ถ้าเขาจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ฝ่ายนั้นรัก โดยที่ประกาศอยู่ปาว ๆ ว่าเขาไม่ได้มีใจให้หล่อน แต่ถ้าจะพูดกันตามจริง เขาจะนึกรักแม่สาวชาร์ล็อตของใครต่อใครในทางชู้สาวได้อย่างไรทั้งที่รู้ความจริงว่าฝ่ายนั้นไม่ใช่ผู้หญิง

"ฉัน…"

"นายไม่ได้รักเธอแล้วมีเหตุผลอะไรจะต้องแต่งงานกับเธอเอ็ดการ์!!"

"ฉัน…เอ่อ…"

"เมื่อกี้คุณว่าใครจะแต่งงานนะ?"

เสียงหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูยังผลให้ชายหนุ่มทั้งสองคนหันไปมองพร้อมกัน เอสเพนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าซีดขาว เด็กหนุ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าร่างโปร่งได้ยินส่วนใดส่วนหนึ่งของบทสนทนาเมื่อครู่

"ชาร์ล็อต" โจชัวร้องเรียก แล้วปราดเข้าไปกุมมือเจ้าของชื่อไว้ด้วยสายตาของคนหัวใจสลายที่มองเห็นแสงเห็นความหวังลอดเข้ามาแม้เพียงเศษเสี้ยว "ขอบคุณพระเจ้า คุณยังไม่รู้เรื่องนี้"

"ไม่...ฉันคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ"

เด็กหนุ่มส่ายศีรษะพลางพูดตามความจริง ดวงตาสีเขียวที่จ้องเขม็งไปยังชายหนุ่มอีกคนนั้นเรียกร้องคำอธิบายอย่างเห็นได้ชัด
เอสเพนไม่ใช่เด็กโง่ อันที่จริงเขาพอจะคาดเดาได้ราง ๆ เหมือนกันว่านายอำเภอไวลีย์จะพูดอะไรกับลูกชายตนเองบ้าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าเอ็ดการ์ผู้เป็นที่พึ่งของเขามาโดยตลอดจะหาทางแก้ปัญหาอย่างอื่นที่ดีกว่าการยินยอมทำตามความต้องการของบิดาไม่ได้

"ชาร์ล็อต" ว่าที่คู่หมั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม "อย่าเพิ่งพูดอะไรจะได้ไหม ฉันจะอธิบายทุกอย่างให้เธอฟังทีหลัง"

"อ้อ!" โจชัวแค่นหัวเราะพร้อมยิ้มหยันที่มุมปาก กำลังใจที่สูญเสียไปกลับคืนมาโขเมื่อพบว่าหญิงสาวที่ตนหมายปองไม่ได้รับรู้เรื่องนี้แต่อย่างใด หนำซ้ำยังมีทีท่าต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด "ดีนี่เอ็ดการ์ นี่นายถึงกับจะบังคับชาร์ล็อตทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้ไม่เห็นด้วยอย่างนั้นหรือ!?"

"ฉันไม่ได้จะบังคับ แต่เรายังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้" ร่างสูงเถียงทันควัน

"คนที่พยายามจะไม่คุยคือคุณต่างหาก"

เด็กหนุ่มว่าพร้อมบิดข้อมือตัวเองออกจากมือของโจชัว แล้วเดินเข้ามาหาชายหนุ่มอีกคน ก่อนจะกระซิบ

"คุณทำอย่างนี้ไม่ได้เอ็ดการ์ เราจะทำอย่างนี้ไม่ได้ คุณก็รู้!"

"ชีย์…อย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น เชื่อฉัน"

"พอเสียทีเอ็ดการ์! นายกำลังบังคับให้ชาร์ล็อตแต่งงานด้วยทั้ง ๆ ที่เธอไม่ได้เต็มใจ" โจชัวว่า ก่อนจะหันไปหาคนกลาง "ใช่ไหมชาร์ล็อต คุณไม่ได้รักเอ็ดการ์"

เอสเพนเกือบจะปฏิเสธออกไปเต็มเสียงถ้าไม่เห็นสายตาแผงนัยของชายหนุ่มอีกคน มาถึงตรงนี้เขาแทบจะไม่อยากเชื่อใจอะไรเอ็ดการ์อีกแล้ว แต่ความเคยชินที่เคยพึ่งพาฝ่ายนั้นมาตลอดทำให้เขาอดจะลังเลไม่ได้

และก่อนที่เขาจะได้ปฏิเสธหรือตอบรับให้โจชัวดีใจไปมากกว่านี้ เสียงหนึ่งก็ตัดสินให้เสร็จสรรพ

"ฉันเป็นกับลอร่าเป็นพยานยืนยันได้ว่าเอ็ดการ์กับชาร์ล็อตรักกัน แม้ว่าพวกเขาจะค่อนข้างปากแข็งและค่อนข้างทึ่มที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเองก็ตาม"

แน่นอนว่าเจ้าของเสียงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพอลลีน ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ลอร่าตรงหัวบันได อันที่จริงเสียงตะโกนของโจชัวเรียกสาวใช้ทั้งบ้านให้มายืนออกันแอบฟังอยู่นอกห้องด้วยซ้ำ แต่ถึงตอนนี้พวกหล่อนต่างก็หลบหายกันไปคนละทิศละทางเมื่อได้ยินเสียงคุณหนูของบ้าน

เด็กสาวก้าวเข้ามากลางวงพร้อมจ้องหน้าชายหนุ่มทั้งสองทีละคน ก่อนจะยกมุมปากให้กับร่างโปร่งที่ยืนหน้าซีดอยู่

"เธอมันน้องสาวเอ็ดการ์นี่ จะพูดอะไรก็ได้อยู่แล้ว ที่ฉันอยากจะฟังคือความรู้สึกของชาร์ล็อต"

โจชัวประกาศ ก่อนจะหันไปจ้องเอาคำตอบกับเจ้าของชื่อ

เอสเพนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ การถูกบังคับให้แต่งงานกับเอ็ดการ์เพราะความเข้าใจผิดของนายอำเภอไวลีย์ไม่ใช่ความคิดที่ดีแม้แต่นิดเดียว เพราะมันจะทำให้เกิดผลเสียกับทั้งสองฝ่าย และเขาก็คิดไม่ถึงว่าเอ็ดการ์จะซื่อบื้อถึงขนาดตกปากรับคำอะไรไปง่าย ๆ โดยไม่ปรึกษาเขาซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงแม้แต่นิดเดียว

"ฉัน..."

ดวงตาสีเขียวไล่มองหน้าผู้ที่ยืนอยู่รอบตัวทีละคน แล้วขยับปากอยู่หลายครั้งอย่างลังเลใจ สิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาของเขาและเอ็ดการ์ได้ในตอนนี้คือการบอกความจริงทั้งหมดตั้งแต่ต้น แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ขี้ขลาดเกินกว่าที่จะทำอย่างใจนึกได้

"ชาร์ล็อต ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอหน่อย"

ดูเหมือนเอ็ดการ์จะล่วงรู้ถึงความคิดของเด็กหนุ่ม จึงได้พูดขึ้นแล้วดึงมือเจ้าตัวเดินออกจากประตูไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ปล่อยจังหวะให้ใครได้ทักท้วงทัน

+++++++++

ร่างโปร่งไม่ได้ถูกลากมาที่ชายป่าเหมือนอย่างที่คาดไว้ แต่กับเป็นบริเวณคอกม้าที่อยู่หน้าไร่ตรงอีกด้านของตัวบ้าน ไร่ข้าวโพดของตระกูลไวลีย์ที่กว้างสุดลูกหูลูกตากลายเป็นสีทองอร่ามจากฝักข้าวโพดที่อยู่ในช่วงของฤดูเก็บเกี่ยวระยะสุดท้ายและใบแห้งของมัน ฤดูหนาวกำลังมาเยือน และนั่นจะเป็นฤดูแห่งการพักผ่อนของคนงงานในไร่ที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งปี น่าชื่นใจแทนพวกเขาที่เห็นผลผลิตจากน้ำเหงื่อน้ำแรงของตนเองออกมางดงามเช่นนี้ ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลาจะมาชื่นชมความงามหรือชื่นใจแทนใครแม้แต่นิดเดียว

"เอ็ดการ์! คุณจะฆ่าตัวตายหรือยังไง ทำไมถึงทำอะไรแบบนี้!"

แม้ว่าบริเวณนั้นจะมีพวกเขาแต่เพียงลำพัง เพราะคนงานส่วนใหญ่กำลังทำงานอยู่ในไร่ พวกที่เตร็ดเตร่อยู่แถวนั้นก็เดินเลี่ยงไปตั้งแต่เห็นมาสเตอร์เอ็ดการ์ลากแขนคุณชาร์ล็อตตามหลังมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทั้งคู่ แต่ถึงกระนั้นเอสเพนก็ยังรอบคอบพอที่จะลดเสียงลงจนเกือบกระซิบ

"แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไงได้เล่า!" ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงแบบเดียวกัน แม้การบอกความจริงกับร่างโปร่งจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาทำใจอยู่ไม่น้อย แต่ถึงตรงนี้เขากลับคิดว่าเอสเพนควรจะเข้าใจและโอนอ่อนตามเขาอย่างที่แล้ว ๆ มามากกว่าจะมีปฏิกิริยาต่อต้านให้เสียเรื่องเหมือนอย่างเมื่อครู่ "เธอน่าจะพอเดาได้ว่าพ่อฉันจะต้องบังคับให้ฉันแต่งงานกับเธอ เพราะท่านนึกว่าฉันเข้าไปในห้องเธอแล้ว…"

"แต่มันก็น่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้" ฝ่ายตรงข้ามแย้ง เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว

"ฉันมีทางเลือกอะไร ชาร์ล็อต?" เอ็ดการ์เรียกชื่อกำมะลอของเขาอย่างจงใจจะประชด ทำให้คนฟังถึงกับนิ่งไปเล็กน้อย เพราะแทบจะไม่เคยได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ของชายหนุ่ม

"ถ้าฉันไม่แสดงความรับผิดชอบ พ่อฉันคงจะเสียใจมากว่าท่านมีลูกชายที่เลวที่สุด ทางเลือกเดียวที่ฉันมีในตอนนั้นคือบอกความจริงเรื่องของเธอ แต่มันทำได้เสียที่ไหนกัน"

ความหงุดหงิดและกังวลใจแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดและสำนึกในบุญคุณทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น เอสเพนนึกด่าตัวเอง…เขาช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง เฝ้าคิดถึงแต่ความลำบากและปัญหาของตนเอง โดยไม่ทันได้ฉุกคิดว่าคนที่ต้องลำบากมากที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเอ็ดการ์ ถ้าเขาไม่ดึงดันจะออกไปขี่ม้าตั้งแต่แรกสุด เมื่อคืนเอ็ดการ์ก็คงจะไม่เข้ามาในห้องเขา และถึงแม้เขาจะเป็นผู้ชาย แต่ในเมื่อทุกคนรู้จักเขาในตัวตนของผู้หญิง เรื่องในครั้งนี้เขาจึงเป็นแค่ฝ่ายที่ได้รับความเสียหาย แต่จะไม่ใช่ฝ่ายผิดเป็นเด็ดขาด ตรงกันข้าม ความผิดทั้งหลายทั้งมวลกลับไปตกอยู่กับเอ็ดการ์ที่น่าสงสารเสียหมด

"แต่โจชัว…"

"อ้อ นี่เธอคงกลัวโจชัวจะเสียใจมากใช่ไหม?"

"ไม่ใช่นะ" เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วอธิบาย "พวกคุณอาจจะมองหน้ากันไม่ติดเพราะผม"

ประโยคนั้นทำให้คนฟังนิ่งไปพักใหญ่ เขาหันมองไปทางตัวบ้าน ก่อนจะพูดเบา ๆ เหมือนจะรำพึงกับตัวเอง "ฉันกับโจชัวคบกันมาตั้งแต่เล็ก กับเรื่องแค่นี้ ฉันเชื่อว่าไม่นานเขาก็คงจะหายโกรธ เธออย่ากังวลไปเลย"

เจ้าของดวงตาสีเขียวก้มหน้านิ่ง จะไม่ให้เขากังวลได้อย่างไร เพราะถ้าตัดเรื่องที่โจชัวตาบอดมาหลงรักเขาไปได้ เขาก็ถูกอัธยาศัยกับชายหนุ่มคนนี้อยู่ไม่น้อย แต่หลังจากนี้คงจะเข้าหน้ากันไม่ได้ทีเดียว

"ตกลงเธอจะว่ายังไง?"

คำถามนั้นทำให้เอสเพนได้สติ เขาเงยหน้ามองคนพูด พร้อมเอ่ยขึ้นมาอย่างลำบากใจ "จริงอยู่ว่าเราไม่มีทางเลือก แต่ถ้าเรา…เอ่อ…แต่งงานกัน มันก็ไม่เท่ากับคุณต้องผูกขาดกับผมไปชั่วชีวิตหรือ แล้วอย่าลืมข้อสำคัญไปสิ ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้ตลอดไปหรอกนะ"

เอ็ดการ์นึกขอบคุณพระเจ้าที่เด็กหนุ่มไม่ใช่คนเคร่งครัดศาสนาพอที่จะโวยวายและปฏิเสธที่จะไม่ทำอะไรขัดต่อหลักคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์โดยเด็ดขาด และที่เห็นจะต้องขอบคุณอีกประการหนึ่งคือดูเหมือนว่าเอสเพนจะลืมไปว่าถ้าพวกเขาแต่งงานกันจริง ตัวเองจะต้องอยู่ในฐานะภรรยาของผู้ชายด้วยกันไปสักพักหนึ่ง

"เธอคิดว่าฉันจะตกปากรับคำพ่อโดยไม่เตรียมแผนอะไรไว้เลยหรือไง เชื่อฉันเถอะน่า"

"ผมเชื่อคุณมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วนะ ถ้าคุณปล่อยให้ผมหนีไปตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้" เด็กหนุ่มอุทธรณ์

"รับรองว่าคราวนี้เธอจะได้อิสระสมใจ พอเราแต่งงานกัน ฉันหาข้ออ้างพาเธอไปเที่ยวยุโรป แล้วค่อยวางแผนให้เธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยระหว่างเดินทาง รับรองไม่มีใครสงสัยแน่นอน เป็นแผนที่ดีไม่ใช่หรือไง"

อีกครั้งที่เด็กหนุ่มสบตาคู่สนทนา ก่อนจะยิ้มรับบาง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสัมผัสของมือใหญ่ที่กำลังลูบศีรษะเขาอย่างอ่อนโยน หรือแผนการที่วางเอาไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนน่าเชื่อถือในแบบที่เจ้าตัวไม่เคยทำมาก่อนก็ตาม แต่เขาก็รู้สึกว่าความคิดของเอ็ดการ์ครั้งนี้ออกจะเข้าท่าไม่น้อยเลยทีเดียว

"พอเรา…เอ่อ…แต่งงานกันแล้ว ก็ทำตามแผนได้เลยใช่ไหม?"

เสียงกระซิบถามอย่างกระตือรือร้นและรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยประกายของความหวัง อดจะทำให้คนมองยิ้มตามไม่ได้ เขาพยักหน้า แล้วดึงร่างโปร่งเข้ามากอดเอาไว้หลวม ๆ ไม่ว่าเอสเพนจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่การแต่งงานที่ว่าคงจะไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ไม่อย่างนั้นเด็กหนุ่มคงจะหนีหายไปเสีย แม้จะฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ตอนนี้ครอบครัวของเขายังไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะสูญเสียสมาชิกคนนี้ไป และเขาเองก็ยังไม่เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับความว้าเหว่ที่จะเกิดขึ้นเมื่อไม่มีเด็กหนุ่มอยู่ข้างกาย

ภาพที่เห็นเมื่อมองผ่านบานหน้าต่างฟ้องอะไรต่ออะไรได้ดีกว่าคำพูดเป็นล้านเท่า โจชัวขบกรามแน่นจนรู้สึกเจ็บ แต่ความเจ็บนั้นก็เทียบอะไรไม่ได้กับความเจ็บร้าวในอกเหมือนหัวใจถูกทุบจนแหลกละเอียดทั้งจากน้ำมือของความผิดหวัง และจากความรู้สึกว่าตัวเองถูกเพื่อนสนิททรยศ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมเบือนหน้าหนีจากภาพบาดตา แล้วฉวยเสื้อโค้ทเดินผลุนผลันออกไปขึ้นรถม้าโดยไม่คิดจะกล่าวลาเด็กสาวเจ้าของบ้านที่มองตามหลังตนด้วยสายตาเห็นใจเป็นครั้งแรก

+++++++++++++

แม้ว่าจะเป็นเพียงการหมั้นหมายกันเพียงเงียบ ๆ แต่ข่าวดังกล่าวก็สะพัดไปทั่วเมืองเล็ก ๆ อย่างแจ็คสันส์ วิลภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน จริงอยู่ว่าการที่คู่หมั้นทั้งสองฝ่ายจะอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันก่อนแต่งงานเป็นเรื่องที่ไม่ใคร่จะถูกธรรมเนียมนัก แต่ในเมื่อบ้านดังกล่าวเป็นบ้านของนายอำเภอไวลีย์ ผู้ซึ่งได้รับความนับถือและไว้ใจจากชาวเมืองทั้งปวง พวกชาวเมืองจึงทำเป็นเพิกเฉยต่อธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่ใคร่จะถูกต้องนี้เสีย นี่ยังไม่นับรวมถึงความชื่นชมที่ใครต่อใครมีให้เอ็ดการ์ซึ่งผ่านการศึกษาทางฝั่งยุโรปมาอีกส่วนหนึ่ง

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจแม้แต่น้อยนิดที่เช้าวันรุ่งขึ้น ใครต่อใครต่างพากันแสดงความยินดีกับนายอำเภอแห่งแจ็คสันส์ วิลล์กันอย่างไม่ขาดระยะ แม้ว่าพวกชาวเมืองจะไม่ค่อยได้เห็นเด็กสาวที่ชื่อชาร์ล็อตนัก เพราะตามคำบอกเล่าของนางไวลีย์ บุตรสาวบุญธรรมของหล่อนชอบที่จะเก็บตัวอยู่ในบ้านมากกว่าออกมาเดินเที่ยวจับจ่ายซื้อของแต่งตัวเหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ แต่ถึงกระนั้นในเมื่อเด็กที่ว่าเป็นเด็กในปกครองของนายอำเภอไวลีย์ และกำลังจะเปลี่ยนตำแหน่งมาเป็นลูกสะใภ้ในอนาคตอันใกล้ หล่อนจะต้องเป็นภรรยาที่ดีของเอ็ดการ์ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ยูจีเนีย แวนด์ เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่แสดงความยินดีกับการหมั้นหมายครั้งนี้ ผิดแต่ที่ว่า หนึ่ง หล่อนไม่ได้รู้สึกยินดีอย่างจริงใจเท่าไหร่ และสอง…หล่อนมาแสดงความยินดีที่บ้านไวลีย์ด้วยตัวเอง โดยเลือกเอาวันที่พอลลีนเข้าเมืองไปซื้อของกับมารดา

ภาพที่เห็นเมื่อเดินไปข้างในตัวบ้านนั้นคือภาพเอ็ดการ์และคู่หมั้นหมาด ๆ กำลังนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงบนโซฟายาวตัวเดียวกันที่อยู่หน้าเตาผิง อันที่จริงแล้วถ้าหญิงสาวสังเกตสีหน้าของร่างโปร่งสักนิด ก็จะเข้าใจว่าบทสนทนาของทั้งคู่ไม่ได้ 'กระหนุงกระหนิง' อย่างที่คนทั่วไปคิดสักเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่ที่เขาทั้งสองมีสถานะเป็น 'คู่หมั้น' ก็ไม่มีวันไหน…หรือจะให้ถูกคือไม่มีชั่วโมงไหนที่เด็กหนุ่มจะไม่ถามร่างสูงว่า การแต่งงานจะมีขึ้นเมื่อไหร่ และเขาจะหนีได้ตอนไหน

คนที่สังเกตว่ามีอาคันตุกะอยู่ในบ้านก่อนคือเอ็ดการ์ ชายหนุ่มสะกิดไหล่ร่างที่นั่งข้าง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นค้อมศีรษะให้หญิงสาว แล้วเดินไปช่วยถือข้าวของที่ฝ่ายนั้นหอบมา

"ยูจีเนีย"

"ฉันมาแสดงความยินดีค่ะเอ็ดการ์" หล่อนหัวเราะเสียงแปร่ง พร้อมก้มลงมองช่อดอกไม้ในมือ "แต่คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพวกคุณจะหมั้นกันเร็วขนาดนี้"

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านไม่ตอบคำ ได้แต่ยิ้มรับด้วยอาการปกติ ผิดกับเอสเพนที่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับยูจีเนียที่มองมาอย่างรู้สึกผิด จากท่าทีของหญิงสาว ใครต่อใครก็รู้ได้ไม่ยากว่ายูจีเนียพึงใจเอ็ดการ์ ในเมื่อเรื่องเป็นอย่างนี้หล่อนคงจะไม่ค่อยชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่นัก

เด็กหนุ่มเดินหลบออกมาจากห้องสักพักก็กลับเข้าไปพร้อมเครื่องดื่มร้อน ๆ สามแก้ว เอ็ดการ์ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิมเลิกคิ้วและส่งสายตาคำถามมาให้เมื่อเห็นเขาหลบไปนั่งบนโซฟาเดี่ยว แทนที่จะนั่งตัวเดียวกันเหมือนเมื่อครู่ จริงอยู่ว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องแปลกสำหรับคู่หมั้น แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดกับสายตาของหญิงสาวอีกคนได้น้อยลง

"แล้วคุณวางแผนเอาไว้หรือยังคะเอ็ดการ์ ว่าจะแต่งงานกันเมื่อไหร่?"

เจ้าของชื่อเหลือบมองร่างโปร่งที่กำลังพยายามทำตัวให้เล็กลีบมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เล็กน้อย ก่อนจะตอบผ่านรอยยิ้มบางบนริมฝีปาก "อาจจะเป็นเร็ว ๆ นี้"

คนโกหก…เอสเพนนึกค่อนในใจ ไม่ว่าเขาจะเพียรเซ้าซี้เท่าไหร่ ชายหนุ่มก็จะแกล้งทำเสียงรำคาญและตอบแต่ว่า 'ยังไม่ถึงเวลา' หรือไม่ก็ 'อย่าเพิ่งใจร้อนสิ' ทั้งนั้น

คราวนี้หญิงสาวหันมาทางเขา และยิ้มให้อย่างหวานหยดพอ ๆ กับน้ำเสียงที่ใช้ "ชาร์ล็อต…เธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีมาก รู้ไหม? ฉันรับประกันได้ว่าผู้หญิงหลายต่อหลายคนในแจ็คสันส์ วิลล์ จะต้องอิจฉาเธอ"

หญิงสาวไม่อยากที่จะคิดสักนิดว่า 'ผู้หญิงหลายต่อหลายคน' ที่หล่อนพูดถึงจะรวมตัวหล่อนเองด้วย หล่อนไม่ได้หลงรักเอ็ดการ์จนหัวปักหัวปำ และไม่ได้ริษยาคู่หมั้นวัยเยาว์ของเขาอีกด้วย แต่ก็นั่นแหละ…หล่อนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจและหมั่นไส้ในความสุขของคนอื่น หล่อนพึงใจในตัวเอ็ดการ์ และคิดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มจะหมั้นหมายหลังจากที่เพิ่งกลับมาไม่นาน เอ็ดการ์ผู้เป็นบุตรชายคนเดียวของนายอำเภอไวลีย์ที่ใครต่อใครต่างให้ความเคารพนับถือ เอ็ดการ์ผู้ผ่านการศึกษาจากยุโรป เอ็ดการ์ผู้เคยเห็นและสัมผัสความเจริญรุ่งเรืองทางอารยธรรมที่สั่งสมมานับร้อยนับพันปี กลับจะมาแต่งงานกับเด็กสาวไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ท่องคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้สักบทมันควรอยู่หรือ?

ไม่สิ…จะว่าไปแล้วตอนที่มาอยู่บ้านไวลีย์ใหม่ ๆ แม่ชาร์ล็อตนี่ยังอ่านหนังสือไม่ออกสักตัวด้วยซ้ำ!

ดูเหมือนยูจีเนียจะรู้ตัวว่าความรู้สึกของตนส่งผ่านมาทางสายตาที่ใช้จ้องมองร่างโปร่งอย่างชัดแจ้ง หญิงสาวจึงปกปิดมันด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะหันไปทางเจ้าบ้าน

"เห็นจะต้องกลับแล้วล่ะค่ะเอ็ดการ์ ฉันจะต้องไปช่วยแม่อบพาย"

"แต่คุณยังไม่ได้จิบโกโก้สักคำ" ร่างสูงท้วง ออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยกับท่าทางเซื่องซึมผิดจากทุกครั้งของหล่อน

"ไว้วันหลังเถอะค่ะ วันนี้ฉันมารบกวนคุณกับชาร์ล็อตด้วยซ้ำ"

เอสเพนทำหน้าตื่นเล็กน้อยเมื่อคนพูดหันมายิ้มให้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้ดีว่าเอ็ดการ์จัดการเรื่องนี้ได้ดีกว่าเขา

"ความจริงคุณไม่ได้รบกวนอะไรเราเลย" ชายหนุ่มพูดพลางลุกขึ้นยืน "แต่ในเมื่อคุณยืนยันอย่างนั้นผมก็จะไม่ท้วง เดี๋ยวให้ผมเดินไปส่งดีไหม?"

"อย่าเลยค่ะ" ยูจีเนียปฏิเสธ แล้วหันมามองเด็กหนุ่มอีกครั้งพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงใจ "ความจริงฉันอยากจะให้ชาร์ล็อตเดินไปส่งมากกว่า เราจะได้คุยกันตามประสาผู้หญิงน่ะค่ะ"

ไม่ต้องมองก็รู้ได้ว่าเอ็ดการ์จะต้องพยักเพยิดให้เขาทำตามใจหล่อนอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นเองแล้วยิ้มให้กับคนพูดเล็กน้อย แม้จะค่อนข้างขัดหูกับคำว่า 'ประสาผู้หญิง' ของหล่อนก็ตามที

ลมเย็นที่พัดเข้ามาปะทะทันทีที่เปิดประตูออกมาข้างนอกทำให้เอสเพนลังเลเล็กน้อยว่าควรจะเข้าไปเอาผ้าคลุมไหล่หรือถุงมือติดไปด้วยดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นยูจีเนียเดินนำหน้าไปเล็กน้อยแล้ว เขาจึงปัดความคิดนั้นออกไปเสีย และเดินตามหล่อนไปเงียบ ๆ แล้วให้รู้สึกเสียใจภายหลังเมื่อความหนาวเย็นของอากาศทำให้เขาต้องเดินห่อตัวพร้อมถูมือไปมาไม่ขาดระยะ ผิดกับยูจีเนียซึ่งมีทั้งถุงมือและผ้าคลุมไหล่ หล่อนจึงเดินคล้องตะกร้าที่แขนได้ด้วยท่วงท่างามสง่าราวกับเจ้าหญิงหรือนางพญา แตกต่างกับเขาซึ่งคงดูเหมือนลิงหรืออะไรสักอย่างโดยสิ้นเชิง

บ้านแวนด์และบ้านไวลีย์ไม่ห่างกันมากก็จริง แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงยี่สิบนาทีในการไปและกลับ ยังไม่รับรวมถึงเวลาที่เจ้าของบ้านจะแสดงมารยาทเชิญเขาไปนั่งดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ ในตัวบ้าน แต่วันนี้เจ้าของบ้านที่ว่าคงจะไม่ทำอย่างนั้นเพราะหล่อนคงนึกชังขี้หน้าเขาเต็มทน หลักฐานที่เห็นได้ชัดคือหล่อนยังไม่พูดคุย 'ตามประสาผู้หญิง' กับเขาไว้อย่างที่ว่าสักคำทั้งที่เดินมาค่อนทางแล้ว

แต่ในที่สุดยูจีเนียก็หยุดเดินกระทันหัน ทำให้เด็กหนุ่มพลอยหยุดตามไปด้วย และเมื่อเห็นว่าเขาไม่เดินตามขึ้นมา หล่อนจึงก้าวถอยหลังไปจนยืนได้ระดับเสมอกัน และรุนแขนร่างโปร่งให้เดินเคียงคู่

"เธอสูงขึ้นนะชาร์ล็อต" น้องสาวของบาทหลวงแวนด์เอ่ยขึ้น และนั่นทำให้เอสเพนยิ้มออกเล็กน้อย

"จริงหรือ?"

"อือฮึ"

หญิงสาวส่งเสียงตอบรับในลำคอ พร้อมชำเลืองมองคู่สนทนา จริงอยู่ว่ากระสีน้ำตาลบนดั้งจมูกที่เคยเห็นชัดนั้นบางลง จมูกรั้น ๆ ก็ดูโด่งขึ้น แต่ถึงจะพูดกันอย่างไม่มีอคติแล้ว เด็กสาวข้างกายหล่อนไม่ได้สวยขึ้นเลย การเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้ใบหน้าดูคมเข้มขึ้นต่างหาก หนำซ้ำรูปร่างของอีกฝ่ายก็ดูค่อนข้างเก้งก้างเมื่อเทียบกับเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน

เสียงถอนหายใจหนักหน่วงทำให้รอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าของเด็กหนุ่มอันตรธานไป เขาได้แต่เดินก้มหน้าถูมือตัวเองเข้าหากันไปมา ก่อนจะชะงักเมื่อยูจีเนียดึงผ้าคลุมไหล่ของตัวเองส่งให้พร้อมเอ่ยสั้น ๆ

"คลุมมือไว้ แล้วเอากลับบ้านไปด้วย"

ดวงตาสีเขียวสดมองไหมพรมถักที่ถูกส่งมาให้อย่างรู้สึกผิดอีกครั้ง พอลลีนเคยบอกเขาว่าไม่ค่อยจะถูกใจเพื่อนคนนี้สักเท่าไหร่ และเขาเองก็รู้สึกรำคาญหล่อนบ้างเป็นบางครั้ง แต่เขาเพิ่งจะประจักษ์เดี๋ยวนี้เองว่าหล่อนช่างมีน้ำใจเสียจริง

"ขอบคุณ" เด็กหนุ่มตอบ แล้วรีบหาเรื่องพูดต่อเมื่อรู้สึกว่าประโยคของตัวเองห้วนเกินไป "แล้วก็…ขอบคุณสำหรับของที่คุณเอามาในวันนี้"

"ไม่เป็นไร ฉันว่าดอกไม้นั่นเหมาะกับเธอดี"

หล่อนพูดถึงดอกไม้ป่าสีขาวขุ่นที่จะบานเฉพาะในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงถึงกลางฤดูหนาว แต่เอสเพนเห็นว่าสิ่งที่เขาควรจะนึกขอบคุณคือขนมอบและแยมรสต่าง ๆ ของหล่อนมากกว่า เพราะยูจีเนียถือว่ามีฝีมือการทำอาหารที่ใช้ได้ แม้จะเทียบกับนางไวลีย์ไม่ติดก็ตาม

"คิดไม่ถึงจริง ๆ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาอีก ขณะเดินขึ้นเนินที่นำไปสู่ตัวบ้านของตน "ฉันเคยคิดเอาไว้ว่าคู่ของเอ็ดการ์จะต้องเป็นผู้หญิงปราดเปรียว สวยอย่างไม่มีที่ติ และรู้ทันเขาไปเสียทุกเรื่องเสียอีก"

ไม่ว่าหล่อนจะแกล้งพูดให้ฝ่ายตรงข้ามใจเสียหรืออะไรก็ตาม แต่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าน้ำเสียงที่หล่อนใช้ขอโทษขอโพนยเขาในวินาทีถัดมาฟังดูจริงใจเหลือเกิน

"ตายแล้ว ขอโทษนะจ๊ะชาร์ล็อต ฉันไม่ได้จะบอกว่าเธอไม่เหมาะสมกับเอ็ดการ์ เพียงแต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงในแบบที่ฉันจินตนาการไว้เท่านั้นเอง"

"ไม่เป็นไร"

ร่างโปร่งส่ายหน้าพร้อมยิ้มบาง ก่อนจะส่งหล่อนเข้าบ้านโดยที่ไม่ลืมจะขอบคุณสำหรับผ้าคลุมไหล่ไหมพรมที่ได้มาอีกครั้ง แล้วเดินกลับพลางใช้ความคิดเงียบ ๆ กับตัวเอง เรื่องที่ว่าเขาเหมาะสมกับเอ็ดการ์หรือไม่นั้นตัดทิ้งไปได้เลย เพราะเขาเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ และการหมั้นการแต่งงานที่จะเกิดขึ้นก็เป็นหนึ่งในหนทางที่ใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่ยูจีเนียที่น่าสงสาร…หล่อนต่างหากที่เรียกได้ว่าเหมาะสมกับเอ็ดการ์
ไม่ว่าเอ็ดการ์จะรักหญิงสาวบ้างหรือไม่ก็ตาม แต่อีกไม่นานหล่อนก็จะรู้สึกโล่งใจได้เมื่ออยู่ ๆ เขาก็หายสาบสูญไปเสียเฉย ๆ และคราวนี้แหละ…ความรักของหล่อนจะไม่มีอะไรมาขวางอีกแล้ว

รอก่อนเถอะนะยูจีเนีย

++++++++++

เอสเพนเพิ่งจะสังเกตเห็นเอาเมื่อสองสามวันมานี้ว่า…หากเขาไม่พูดถึงแผนแต่งงานนั่น เอ็ดการ์จะอารมณ์ดี

วันนี้เป็นวันแรกที่แรงงานในบ้านไวลีย์เริ่มพักผ่อนหลังฤดูเก็บเกี่ยว ไร่ข้าวโพดในตอนนี้จึงมีเพียงแต่ใบแห้งสีเหลืองทองที่สะบัดลู่ไปตามลม ไร้ซึ่งจุดสีดำเป็นหย่อม ๆ ของพวกทาสที่เคยทำงานกันหน้ามัน คริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงช่างเป็นช่วงเวลาเหมาะเจาะที่จะให้พวกเขาได้พักผ่อน ไม่ต่างอะไรจากของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า

"ตื่นเต้นหรือเปล่า?"

เสียงทุ้มของคนที่นั่งซ้อนหลังถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พวกเขากำลังอยู่บนหลังของนางม้าสีน้ำตาลที่ย่างเยาะไปตามทางเดินคั่นกลางระหว่างไร่สองฝั่ง สถานะคู่หมั้นทำให้เขาทั้งสองได้ทำตัวสนิทสนมกันมากกว่าเมื่อก่อน แต่จนแล้วจนรอดเด็กหนุ่มก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าการที่เอ็ดการ์คอยมานั่งซ้อนหลังเขาบนหลังม้า ดูดีกว่าการที่เขาขี่ม้าควบไปมาอยู่คนเดียวตรงไหน?

"ตื่นเต้นอะไร?"

"ก็จะคริสต์มาสแล้วไง แจ็คสันส์ วิลล์เป็นเมืองไม่ใหญ่ก็จริง แต่เราก็ฉลองคริสต์มาสกันอย่างสนุกสนานทุกปี"

จริงอย่างที่ชายหนุ่มว่า ความจริงแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นนิด ๆ ตามที่ได้ยินมา ชาวเมืองแจ็คสันส์ วิลล์ จะฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวในตอนเช้า ส่วนตอนกลางคืนจะจัดงานรื่นเริงที่ศาล และที่ยิ่งไปกว่านั้น…นี่เป็นคริสต์มาสแรกที่เขาจะได้ร่วมฉลองกับครอบครัวไวลีย์

เท่าที่จำความได้ คนที่ฉลองคริสต์มาสกับเขาอยู่ทุกปีคือโจเซฟีน แม้ว่าความเป็นอยู่ในช่วงเทศกาลแสนพิเศษนี้กับความเป็นอยู่ตามปกติของพวกเขาจะไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก แต่โจเซฟีนก็จะหาของขวัญเท่าที่หล่อนพอจะหาได้มาให้เขาประหลาดใจได้เสมอ

ปีนี้ไม่มีโจเซฟีน…แต่เขาจะได้ฉลองคริสต์มาสกับสมาชิกครอบครัวไวลีย์อย่างอบอุ่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย…

เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายหนัก ๆ เมื่อรู้สึกตีบตันในลำคอขึ้นมาเฉย ๆ แต่กระนั้นเขาก็อดจะลูบแผงคอครีค…นางม้าที่ขี่อยู่เบา ๆ อย่างอาลัยไม่ได้ นี่ก็อีก…หลังที่เขาต้องจากที่นี่ไปแล้ว เขาคงจะคิดถึงมันมากทีเดียว เอสเพนเคยคิดตั้งใจเอาไว้อย่างแน่วแน่ ต่อไปหากเขามีม้าสักตัว…เขาจะตั้งชื่อมันว่าครีค และหากเขาเกิดโชคดีมีม้าหลายตัว…เขาจะตั้งชื่อตัวที่เขารักที่สุดว่าครีคเช่นกัน

"เอ็ดการ์…" ร่างโปร่งครางออกมาเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างได้

"หืม?"

"รู้หรือเปล่าว่ายูจีเนียสนใจคุณ?"

ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย "ไม่รู้ แต่ก็ไม่แปลกที่จะมีผู้หญิงที่รู้สึกเหมือนหล่อนสักสามสี่คน"

คนอเมริกันในยุคนั้นมีนิสัยแปลกประหลาดที่คิดว่าพวกตนสูงส่งและบริสุทธิ์กว่าชาวยุโรปที่ความสูงส่งทางจิตวิญญาณถูกความเจริญทางวัฒนธรรมกัดกินเสียเน่าเฟะ แต่ในขณะเดียวกัน ลูกหลานที่เติบโตบนแผ่นดินอเมริกันก็อดจะตื่นตาตื่นใจกับความรุ่งเรืองทางอารยธรรมที่พัฒนาจากรากฐานที่สั่งสมมานานนับพันปีไม่ได้ ในสายตาของคนเหล่านั้นอเมริกาคือผืนผ้าสีขาวบริสุทธิ์ ในขณะที่ยุโรปคือผ้าแพรหลากสีสันอันสวยงามตระการตา ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ชายหนุ่มผู้ทรงไว้ด้วยมรรยาทสุภาพบุรุษฝรั่งเศสอย่างเอ็ดการ์จะเป็นที่สนใจและชื่นชมของใครต่อใคร

แม้จะตระหนักถึงความจริงในข้อนั้นเป็นอย่างดี แต่เอสเพนก็อดจะเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้แล้วนึกเปรียบเทียบกับชายหนุ่มอีกคนไม่ได้ ถึงโจชัวจะมีท่าทีเจ้าชู้กรุ้มกริ่มอย่างไร ฝ่ายนั้นก็ไม่เคยชมตัวเองออกมาโต้ง ๆ อย่างหน้าไม่อายเหมือนอย่างเอ็ดการ์ในตอนนี้เลย

คิดถึงตรงนี้ก็ต้องระบายลมหายใจออกยาวอีกครั้ง เพราะตั้งแต่วันนั้น…โจชัวไม่เคยมาให้เขาเห็นหน้าอีกเลย

"เอ็ดการ์" เด็กหนุ่มกระซิบเรียกอีกครั้ง "รู้ไหมว่าถ้าเราแต่งงานกันเร็วขึ้น ผมก็จะหายตัวไปได้เร็วขึ้น ผู้หญิงอย่างยูจีเนียก็จะได้มีความหวัง และคุณกับโจชัวก็จะคืนดีกันได้เร็วขึ้น"

คราวนี้ร่างสูงนิ่งไปนานกว่าครั้ง นานจนเอสเพนคิดว่าเจ้าตัวคงกำลังไตร่ตรองสิ่งที่เขาพูด และคงจะเห็นด้วยกับเขา แต่แล้วเขาก็พบว่าตนเองคิดผิดเมื่อเสียงที่เจือความไม่พอใจของเอ็ดการ์ดังขึ้น

"จะมีสักวันไหมที่เธอจะไม่คิดเรื่องนี้?"

ไม่มีสักวันหรอกที่เขาจะไม่คิด…แต่เขาก็อุตส่าห์ไม่พูดถึงมันมาตั้งสองสามวัน

แล้วดวงตาสีเขียวก็ต้องเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

"เธอทำให้ฉันรู้สึกเสียใจนะเอสเพน เธอทำเหมือนกับว่าฉันและครอบครัวของฉันทำให้เธอต้องมีชีวิตอยู่อย่างทรมาน วัน ๆ เธอก็เลยไม่ทำอะไรนอกจากจะคิดเรื่องหนีจากพวกเราไปให้พ้น ๆ"

"ไม่ใช่นะ" เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียงสูง แล้วถอนหายใจอย่างหนักอก "ผมพูดอย่างนี้เพราะเป็นห่วงคุณนะ"

"ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นห่วง"

"แต่ผมเป็นตัวถ่วงคุณ"

"ตัวถ่วงอะไร?"

"เอ็ดการ์!" คู่สนทนาเรียกอย่างอ่อนอกอ่อนใจ "คุณไม่เข้าใจจริง ๆ หรือว่าแกล้งไม่เข้าใจกันแน่"

ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะอารมณ์ดีขึ้นทันตาเมื่อเห็นเขาหงุดหงิด "ฉันจะไม่เข้าใจจริง ๆ ก็ช่าง จะแกล้งไม่เข้าใจก็ดี เอาเป็นว่าฉันขอร้องเธอว่าอย่าเพิ่งรีบไปจากเรา คิดดูสิทุกคนจะเสียใจมากแค่ไหนที่ต้องเสียเธอไป โดยเฉพาะถ้าทำตามแผนซึ่งก็คือเธอจะหายตัวไปเฉย ๆ นานทีเดียวกว่าทุกคนจะทำใจได้ว่าเธอจะเป็นหรือจะตาย"

เรื่องแบบนี้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งตัดใจได้เร็วเท่านั้นต่างหาก…เอสเพนเถียงในใจอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ที่ไม่พูดออกมาก็เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มพูดทำให้เขารู้สึกปวดใจตามไปด้วย

"และก็ขอย้ำว่าไม่ต้องเป็นห่วงฉัน เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว"

ชายหนุ่มว่าพลางบังคับม้าให้หันกลับไปยังทิศทางเดิม ทำเอาร่างโปร่งในวงแขนร้องประท้วงขึ้นทันที

"อย่ากลับเร็วนักสิ!"

"พอลลีนบอกว่าบ่ายสามโมงให้เธอกลับไปเรียนเต้นรำ"

"แต่ผมไม่อยากเรียนนี่นา!"

"แต่ฉันอยากให้เธอเรียนให้คล่อง เพราะเราต้องเต้นรำกันวันคริสต์มาส คงจะสนุกดีใช่ไหม?"

คนถามเย้าเสียงถามพลางกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่คู่สนทนาทำหน้ามุ่ยพร้อมตะโกน

"คุณเพี้ยนแน่แล้ว!!"

++++++++++++

*****
End of Part 8

แฮ่ก ๆ (กรุณาอย่านึกว่าเสียงหอบเพราะความหื่น เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรให้หื่นอยู่แล้ว) จบไปอีกตอน ตอนหน้าจะอวสานแล้วค่าาาาา แล้วเราก็จะได้ขึ้นเรื่องใหม่ ดีใจเจรง ๆ คิดว่าคงมีคนอ่านบางส่วนที่เริ่มเบื่อกันแล้ว ไม่แปลกอะไร เพราะคนเขียนเองยังเบื่อ จะว่าไปมันเป็นนิยายเรื่องแรกที่เราไม่รู้สึกสนุกในการเขียนมากที่สุด แต่เห็นว่าเขียนมาเยอะแล้ว เลยกัดฟันเขียนต่อไปเรื่อย ๆ จนจะจบอยู่ตอนหน้าแล้วล่ะจ้าาาา ดีใจ เย้ว ๆ

comment