ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

บันทึกของคนบ้า -- A Mad man's Diary

(แปลจากต้นฉบับภาษาจีนซึ่งใช้ชื่อว่า 'ขวงเหรินรื่อจี้')

ผู้แต่ง: Lu Xun

ผู้แปล: เฟื่อง

พี่น้องคู่หนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะออกนามในที่นี้ เป็นเพื่อนนักเรียนสมัยมัธยมปลายของข้าพเจ้า ที่หลังจากเรียนจบแล้ว ก็ค่อย ๆ ขาดการติดต่อกันไป เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าพเจ้าได้ยินมาว่าพวกเขาคนหนึ่งล้มป่วยอย่างหนัก จึงได้แวะเข้าไปเยี่ยมเยียนเพราะเป็นเวลาที่ข้าพเจ้ากำลังจะกลับบ้านเกิดอยู่พอดี แต่พบเพียงคนพี่ที่ได้แจ้งแก่ข้าพเจ้าว่า เขามีความยินดีที่ข้าพเจ้าเดินทางไกลมาเยี่ยม แต่อาการป่วยของน้องชายหายเป็นปกติแล้ว และได้เดินทางไปรับราชการที่อื่น เขาว่าดังนั้นแล้วหัวเราะ และหยิบสมุดบันทึกสองเล่มของน้องชายออกมาให้เพื่อนเก่าดูอย่างไม่รังเกียจ เขาบอกว่าหลังจากที่อ่านแล้ว ก็จะรู้อาการป่วยของน้องชายเขาได้ ข้าพเจ้าลองอ่านดูก็พบว่าอาการที่ว่านั้นจัดอยู่ในพวก "โรคกลัวคนจะทำร้าย" ภาษาที่ใช้บันทึกนั้นทั้งสับสนและไม่ประติดประต่อกัน ข้อความก็ล้วนเหลวไหลไร้สาระ รวมทั้งไม่ได้เขียนวันเดือนปีที่เขียนบันทึกไว้ จะดูได้จากสีที่ไม่เสมอกันของหมึกและความแตกต่างของการเขียนเท่านั้น ที่ทำให้รู้ว่าไม่ได้บันทึกในคราวเดียวกัน แต่ถึงจะอย่างนั้น เนื้อความบางตอนก็ไม่ใช่ว่าจะแตกแยกเสียทีเดียว และข้าพเจ้าก็ได้ทำการคัดลอกส่วนหนึ่งเพื่อใช้ประกอบการค้นคว้าทางการแพทย์ ตัวข้าพเจ้าเองไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงเนื้อความของบันทึกนี้มีแต่คำเดียว เพียงแต่เปลี่ยนชื่อต่าง ๆ เท่านั้น แม้ว่าผู้ที่ถูกเอ่ยถึงจะเป็นแค่ชาวชนบทที่ไม่มีใครรู้จัก และจะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ก็ตาม สำหรับชื่อเรื่องนั้น ผู้จดบันทึกเป็นคนตั้งขึ้นเองหลังจากอาการป่วยหายเป็นปกติ และข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงใด ๆ


1

คืนนี้พระจันทร์สว่างดีเหลือเกิน

ฉันไม่ได้เห็นมันมาสามสิบกว่าปีแล้ว พอคืนนี้มาเห็นอีกครั้งก็ให้รู้สึกเบิกบานใจเป็นพิเศษ เพิ่งจะรู้ว่าสามสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น ฉันอยู่ในความมืดมาตลอด แต่ตอนนี้ฉันจะต้องระวังตัวให้มาก ไม่อย่างนั้น ไอ้หมาบ้านจ้าวจะมองฉันจนตาโปนทำไม?

ฉันกลัวอย่างมีเหตุมีผลนะ


2

คืนนี้ไม่มีแสงจันทร์เลย ฉันว่าท่าทางจะไม่ค่อยดีแล้วนะเนี่ย เมื่อเช้านี้ฉันออกนอกบ้านอย่างระวังตัว สายตาของจ้าวกุ้ยเวิงดูแปลก ๆ เหมือนกลัวฉัน และเหมือนอยากจะทำร้ายฉัน แล้วยังอีกเจ็ดแปดคนที่แอบสุมหัวกันกระซิบกระซาบเกี่ยวกับตัวฉัน แต่ก็กลัวฉันจะเห็น พวกคนที่อยู่ตามทางก็เป็นแบบเดียวกันหมด คนที่ร้ายที่สุดยิงฟันยิ้มให้ฉัน ทำให้ฉันรู้สึกหนาวเยือกตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว เพราะรู้ว่าแผนการของพวกเขาได้ถูกตระเตรียมไว้จนเสร็จแล้ว

แต่ฉันก็ไม่กลัวนะ ฉันก็เดินของฉันไป กลุ่มเด็กที่อยู่ข้างหน้าก็กำลังพูดถึงฉัน สายตาที่มองมาก็เหมือนสายตาของจ้าวกุ้ยเวิงไม่มีผิด สีหน้าก็ดูซีดจนเขียว ฉันสงสัยว่าตัวเองมีความแค้นอะไรกับเด็กพวกนี้ พวกมันถึงได้ทำตัวแบบนั้น พอทนไม่ไหวหนัก ๆ เข้าฉันก็ตวาดออกไปว่า "บอกมา!" พวกเด็ก ๆ ก็วิ่งหนีไปกันหมด

ฉันสงสัยว่าตัวเองมีความแค้นอะไรกับจ้าวกุ้ยเวิง มีความแค้นอะไรกับพวกที่อยู่บนถนน คิด ๆ ดูแล้วคงจะมีแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนที่เดินเหยียบสมุดของคุณกู่จิ่ว* ทำให้แกไม่พอใจมาก จ้าวกุ้ยเวิงอาจจะไม่รู้จักแก แต่ต้องได้เคยยินเรื่องนี้อย่างแน่นอน ก็เลยคิดนัดแนะกับพวกที่อยู่บนถนนจะแก้แค้นแทน แล้วพวกเด็ก ๆ พวกนั้นล่ะ? เมื่อยี่สิบปีก่อนพวกมันยังไม่เกิดเลย แต่วันนี้กลับมองฉันแปลก ๆ ดูเหมือนกลัวฉัน แล้วก็ดูเหมือนจะทำร้ายฉัน ทำให้ฉันรู้สึกกลัว สงสัย และเศร้าใจมาก

ฉันรู้แล้ว พ่อแม่มันต้องสอนมาแน่ ๆ เลย!


3

คืนนี้ฉันนอนไม่หลับ พอคิดเรื่องทั้งหมดอย่างรอบคอบแล้วก็เข้าใจ

คนพวกนั้นบางคนเคยถูกนายอำเภอใส่ขื่อคานประจาน บางคนเคยถูกพวกผู้ดีตบปาก บางคนเคยถูกพวกเจ้าของที่ดินยึดเมียไป พ่อแม่ของพวกเขาบางคนเคยถูกเจ้าของที่ดินขู่บังคับจนต้องฆ่าตัวตาย แต่สีหน้าของพวกเขาในตอนนั้นก็ไม่ได้ดูหวาดกลัว ดูดุร้ายเท่ากับเมื่อวาน

ที่แปลกที่สุดก็คือผู้หญิงบนถนนที่ตีลูกชาย ปากก็พร่ำด่า "ไอ้เด็กเปรต! เดี๋ยวกัดให้ซะเลยนี่!" แต่ตอนพูดนั้นเขากลับมองฉัน ฉันแปลกใจมากและเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วพวกคนหน้าเขียวเขี้ยวยาวพวกนั้นก็หัวเราะกันใหญ่ ตาแก่เฉินเหลาอู่ก็รีบออกมาลากฉันกลับบ้าน

พอแกลากฉันเข้าบ้าน พวกคนในบ้านต่างก็แกล้งทำเป็นไม่รู้จักฉัน สายตาของพวกเขาเหมือนกับคนอื่น ๆ ไม่มีผิด พอเข้าไปในห้องหนังสือ พวกเขาก็ล็อคประตูข้างนอกเหมือนกับขังเล้าเป็ดไก่ เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้ฉันงงงวยขึ้นไปอีก

เมื่อสองสามวันก่อน ชาวนาจากหมู่บ้านหลางจื่อ*ที่เช่าที่ดินของเราได้เข้ามารายงานความล้มเหลวของการเพาะปลูกในปีนี้ และบอกพี่ชายฉันว่า คนเลวในหมู่บ้านคนหนึ่งถูกตีจนตาย แล้วบางคนก็ควักหัวใจเขาออกมาทอดกิน เพราะเชื่อว่าจะเสริมความกล้าหาญ พอฉันพูดแทรกขึ้นมา ชาวนากับพี่ชายก็จ้องฉันเอา ๆ วันนี้เองที่ฉันเพิ่งจะอ่านสายตาพวกเขาออกว่ามันเหมือนสายตาของพวกคนข้างนอกอย่างกับโขกกันมา

แค่คิด ก็สั่นไปตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว

พวกเขากินคนได้ จะไม่กินฉันได้ยังไง

แกลองดูที่ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า "เดี๋ยวกัดให้ซะเลย" สิ แล้วก็เสียงหัวเราะของพวกหน้าเขียวเขี้ยวโง้งพวกนั้น แล้วก็คำพูดของชาวนาเมื่อวันก่อน เห็นได้ชัด ๆ เลยว่าบอกนัยอะไรบางอย่างไว้ ฉันดูออกว่าคำพูดของพวกเขาล้วนแต่เป็นยาพิษ เสียงหัวเราะล้วนแต่เป็นมีด ฟันของพวกเขาที่ดูสะอาดขาวจั๊วะล้วนแต่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้กินคนทั้งนั้น

ตามที่ฉันคิด ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่คนเลว แต่พอไปเหยียบสมุดของตระกูลกู่เข้าก็พูดยากแล้ว พวกเขาเหมือนจะมีเจตนาอื่นอยู่ในใจซึ่งฉันก็เดาไม่ออก แถมเวลาโกรธพวกเขาก็จะว่าคนอื่นว่าเป็นคนเลว ฉันยังจำตอนที่พี่ชายสอนเรื่องการเขียนวิพากษ์วิจารณ์ได้ ไม่ว่าคนจะดีขนาดไหน แต่ถ้าพูดไม่ตรงความจริงพี่ก็ยังชมไม่ขาดปาก ถ้าช่วยพูดแก้ตัวแทนคนเลว ก็จะยิ่งบอกว่า "เขียนได้ดีจริง ๆ มีเอกลักษณ์มาก" แล้วฉันจะไปคาดเดาจิตใจของพวกเขาถูกได้ยังไงกันล่ะ โดยเฉพาะเวลาที่พวกเขาเกิดนึกอยากจะกินคนขึ้นมา

ถ้าอยากจะเข้าใจก็ต้องคิดเรื่องทั้งหมดให้รอบคอบ ฉันจำได้ว่าการกินคนมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่จำได้ไม่กระจ่างนัก ฉันตรวจสอบประวัติศาสตร์ดู ประวัติศาสตร์ของฉันนี้ไม่มียุคสมัย และคำที่ถูกเขียนไว้โย้ ๆ เย้ ๆ อยู่ทุกหน้าคือคำว่า "มนุษยธรรม" ฉันอ่านอย่างละเอียดอยู่ค่อนคืนเพราะนอนเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับ ถึงได้มองเห็นว่าที่ว่างที่อยู่ระหว่างแต่ละตัวอักษรนั้น ล้วนมีคำเขียนแทรกไว้อยู่สองคำ "กินคน"!

ทุกตัวอักษรที่อยู่ในหนังสือก็ดี คำพูดทั้งหลายของชาวนาก็ดี ล้วนแต่กำลังจ้องมองดูฉันด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ

ฉันก็เป็นคน พวกเขาต้องอยากกินฉันแน่ ๆ


4

เช้านี้ฉันนั่งสมาธิอยู่สักพัก ตาแก่เฉินเหลาอู่เอาข้าวมาส่งให้ จานหนึ่งเป็นผัก จานหนึ่งเป็นปลานึ่ง ตาของปลาตัวนั้นทั้งขาวทั้งแข็ง ปากอ้า เหมือนกับพวกที่คิดจะกินคนไม่มีผิด กินไปสองสามคำก็ให้นึกสงสัยว่าเนื้อมันเละ ๆ ลื่น ๆ ที่กินอยู่มันเป็นเนื้อปลาหรือเนื้อคนกันแน่ ฉันก็เลยอ้วกออกมาจนหมด

ฉันพูดว่า "เหลาอู่ ไปบอกพี่ว่าฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายเลย อยากจะออกไปเดินเล่นในสวนสักหน่อย" ตาแก่เฉินไม่ตอบแต่ก็เดินออกไป ฉันรออยู่พักหนึ่ง แกก็กลับมาเปิดประตูให้

ฉันไม่ขยับตัว จะดูซิว่าพวกเขาจะทำยังไงกัน ฉันรู้ว่าพวกเขาคงจะอยู่เฉยไม่ได้แน่ แล้วก็จริงด้วย! พี่พาตาแก่คนหนึ่งเดินเข้ามาช้า ๆ ดวงตาของแกดูชั่วร้ายมาก แถมยังกลัวว่าฉันจะดูออก แกค้อมหัวคำนับพลางแอบมองฉันจากกรอบแว่นตา พี่พูดว่า "วันนี้แกดูอาการดีขึ้นมากนะ" ฉันตอบว่า "ใช่แล้ว" พี่ว่า "วันนี้พี่เชิญหมอเหอมาตรวจแกหน่อย" ฉันพูดว่า "ได้สิ!" จริง ๆ แล้วฉันรู้ดีทีเดียวว่าตาแก่คนนี้เป็นเพชรฆาตปลอมตัวมา! เขาแค่จับชีพจรเพื่อดูว่าฉันอ้วนแค่ไหนแล้ว เพราะแกมีหน้าที่อย่างนี้เอง ก็เลยถือเป็นความดีความชอบที่จะได้แบ่งเนื้อกินด้วย แต่ฉันก็ไม่กลัว ถึงแม้จะไม่กินคนก็ยังมีความกล้ากว่าพวกเขามาก ฉันเหยียดกำปั้นทั้งสองออกไปแล้วดูว่าแกจะทำยังไง ตาแกนั่นนั่งลง หลับตาแล้วลูบ ๆ คลำ ๆ อยู่ชั่วครู่ พอนิ่งไปอีกสักพักก็ลืมตาที่เต็มไปด้วยเลศนัยขึ้นแล้วพูดว่า "อย่าคิดฟุ้งซ่าน บำรุงร่างกายให้ดี ๆ สักสองสามวัน ก็จะดีขึ้นเอง"

ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่าน บำรุงร่างกาย! เลี้ยงจนอ้วนแล้ว จะได้มีเนื้อให้พวกเขากินเยอะ ๆ น่ะสิ ฉันมีอะไรดี ทำไมถึง "จะดีขึ้น"? คนพวกนี้คิดอยากจะกินคนแต่ก็ยังทำลับ ๆ ล่อ ๆ คอยรักษาภาพพจน์ตัวเองอีกถึงได้ไม่กล้าลงมือเร็วเกินไป มันน่าขันเสียจริง ๆ ฉันทนไม่ไหวเลยหัวเราะออกมาดัง ๆ รู้สึกเป็นสุขดีแท้ ฉันรู้ว่าเสียงหัวเราะของตัวเองนั้นมีทั้งความกล้าหาญและคุณธรรมแฝงอยู่ ใบหน้าของตาแก่นั่นกับพี่ต่างก็ซีดเผือดลงเพราะตกตะลึงในความกล้าหาญของฉัน

แต่ก็เป็นเพราะความกล้าของฉันนั่นแหละ พวกเขาถึงคิดจะกินฉัน เพราะถ้ากินแล้วก็จะทำให้มีความกล้ามากขึ้น ตาแก่นั่นเดินออกจากประตูไปไม่ไกลนักก็กระซิบเสียงต่ำ ๆ กับพี่ว่า "รีบกินเถอะ!" พี่ผงกหัวรับ ที่แท้ก็ยังมีพี่อีกคนนี่เอง! การรู้ซึ้งในครั้งนี้แม้จะทำให้ฉันตกตะลึง แต่มันก็เหมือนกับที่เคยคาดเอาไว้ พวกที่รวมหัวคิดจะกินฉันก็มีพี่ชายฉันอยู่ด้วย!

พี่เป็นคนกินคน!

ฉันเป็นน้องของคนกินคน!

ตัวฉันเองจะถูกคนกิน แต่ก็ยังเป็นน้องของคนกินคน!


5

สองสามวันนี้ฉันคิดทบทวนไปมา ถ้าตาแก่นั่นเป็นหมอจริง ๆ ไม่ใช่เพชรฆาตปลอมตัวมา ก็ยังเป็นพวกกินคนอยู่ดี หนังสือ "เปิ่นเฉ่า…อะไรสักอย่าง"* ที่หลี่สือเฉิน ปรมาจารย์ของตาหมอนั่นเขียนเอาไว้ ก็เขียนอยู่ชัด ๆ ว่าเนื้อคนนั้นเอามาทอดกินได้ แล้วเขาจะยังพูดได้อีกไหมว่าตัวเองไม่กินคน

สำหรับพี่นั้น ฉันไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสีเขาสักนิด ตอนที่สอนหนังสือฉันเขาเองก็พูดกับปากว่าคนเรา "แลกลูกกันกิน" ได้ แล้วมีอยู่ครั้งที่บังเอิญไปพูดถึงคนไม่ดีคนหนึ่งเข้า เขาก็ว่าผู้ชายคนนั้นไม่เพียงแต่สมควรจะถูกฆ่า แต่ยังควรถูก "กินเนื้อแล้วเอาหนังมาปูนอน" ตอนนั้นฉันยังเด็ก พอได้ยินพี่ว่าอย่างนั้นก็ใจเต้นไปนาน วันก่อนที่ชาวนาจากหมู่บ้านหลางจื่อพูดเรื่องกินหัวใจ พี่ก็ดูจะไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว แต่กลับพยักหน้ารับไม่หยุด เห็นได้ชัด ๆ เลยว่าพี่ใจคอโหดร้ายมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ถ้าหากถึงขนาด "แลกลูกกันกิน" ได้ อะไรก็แลกได้ จะเป็นใครก็กินได้ทั้งนั้น เมื่อก่อนฉันเพียงแค่ฟังพี่อธิบายแล้วก็เชื่อไปตามนั้น ตอนนี้รู้แล้วว่าเวลาพี่พูดอธิบายเหตุผลอะไรนั้น ไม่เพียงมีน้ำมันคนติดอยู่ที่มุมปาก แต่ใจก็ยังเต็มไปด้วยความคิดที่จะกินคน


6

มืดตึ๊ดตื๋ดเลย ฉันไม่รู้ว่ากลางวันหรือกลางคืน ไอ้หมาบ้านจ้าวมันเห่าขึ้นมาอีกแล้ว

ดุร้ายเหมือนสิงโต ขี้ขลาดเหมือนกระต่าย เจ้าเล่ห์เหมือนหมาจิ้งจอก


7

ฉันเข้าใจวิธีการของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะไม่ฆ่าคนทันทีหรอก พวกเขาไม่กล้าเพราะกลัวผลที่จะตามมา เพราะอย่างนั้นพวกเขาทุกคนก็จะร่วมมือกันวางแผนบังคับให้ฉันฆ่าตัวตาย ดูจากพฤติกรรมของพวกผู้ชายผู้หญิงที่อยู่บนถนนวันนั้นสิ แล้วก็อาการของพี่เมื่อสองสามวันที่แล้ว เห็นได้ชัดเชียวล่ะ พวกนั้นอยากจะให้คนดึงผ้าคาดเอว*ตัวเองออกมาแขวนไว้กับคานบ้านแล้วผูกคอตาย พวกเขาจะได้สมความปรารถนาโดยไม่มีความผิดโทษฐานฆ่าคนไง เสร็จแล้วก็จะหัวเราะด้วยความสุขใจ แต่ถึงจะอย่างนั้น ถ้าคนคนนั้นจะกังวลและกลัวมากจนผอมไป พวกเขาก็ยังพยักหน้าลงความเห็นชอบว่ากินได้

พวกนั้นกินเนื้อไม่สดได้อยู่แล้ว ฉันจำได้ว่ามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งเขียนไว้ว่า มีสัตว์ชนิดหนึ่ง ชื่อ "ไฮอีน่า" รูปร่างหน้าตาน่าเกลียด ชอบกินเนื้อที่ตายแล้ว แม้แต่กระดูกชิ้นที่ใหญ่ที่สุดมันก็ยังเคี้ยวกินไม่เหลือ คิด ๆ ดูก็น่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย "ไฮอีน่า" เป็นหมาป่าสายพันธุ์หนึ่ง ส่วนหมาป่าก็เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับหมา เมื่อวันก่อนหมาบ้านจ้าวมันจ้องฉันเอา ๆ แสดงว่ามันต้องเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับคนพวกนั้นด้วยแน่ แล้วสายตาของตาแก่ที่หลบลงต่ำน่ะก็ปิดบังฉันไม่ได้หรอก

ที่น่าสงสารที่สุดคือพี่ เขาก็เป็นคนคนหนึ่ง ทำไมถึงไม่กลัวว่าจะถูกกินนะ? แถมยังสมรู้ร่วมคิดจะกินฉันเสียอีก หรือว่าพี่เคยชินมานานแล้วก็เลยไม่รู้สึกว่ามันผิด? หรือว่าพี่ทำหัวใจตัวเองให้เหี้ยมโหดขึ้นเพื่อจะทำในสิ่งที่รู้ว่าผิด?

ถ้าฉันจะสาปแช่งคนกินคนก็ต้องเริ่มจากพี่ตัวเองก่อน ถ้าจะเปลี่ยนใจคนไม่ให้กินคน ฉันก็ต้องเริ่มจากเขาก่อนเหมือนกัน


8

จริง ๆ แล้วไอ้หลักเกณฑ์แบบนั้นน่ะ พวกเขาควรจะรู้นานแล้วนะ…

อยู่ ๆ ก็มีใครคนหนึ่งเข้ามา อายุประมาณยี่สิบ ฉันเห็นรูปร่างเขาไม่ถนัดนักหรอก รู้แต่ว่าใบหน้าเขายิ้มแย้ม แต่พอเขาพยักหน้าให้ฉันไอ้รอยยิ้มนั้นมันก็ดูหลอก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ฉันถามเขา "ไอ้การกินคนนี่มันถูกต้องไหม?" เขาก็ยังยิ้มอยู่แล้วตอบว่า "ไม่ใช่ยุคข้าวยากหมากแพง จะกินคนไปทำไมกัน" ฉันรู้ในทันทีเลยว่าเขาก็เป็นพวกนั้น พวกชอบกินคน แต่ฉันก็ยังรวบรวมความกล้าเพื่อทวนคำถามเดิมอีกครั้ง

"แล้วมันถูกต้องไหมล่ะ?"

"เรื่องแบบนี้จะถามไปทำไมกัน คุณนี่…ช่างพูดเล่นเก่งเสียจริง ๆ เลย…วันนี้อากาศดีเหลือเกินนะ"

อากาศน่ะดี พระจันทร์ก็สว่างดี แต่ฉันก็ยังอยากจะถามแก "แล้วมันถูกต้องไหม?"

เขาเริ่มมีอาการต่อต้านขึ้นมา แล้วตอบอ้อม ๆ แอ้ม ๆ "ไม่…"

"ไม่ถูกต้อง? แล้วทำไมพวกเขายังกินอยู่ล่ะ?!"

"ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย…"

"ไม่มีเรื่องแบบนั้น? ตอนนี้คนหมู่บ้านหลางจื่อก็กิน แล้วในหนังสือเล่มไหน ๆ ก็เขียนไว้หมดด้วยตัวหนังสือสีแดงเหมือนเลือดน่ะ!"

เขาหน้าถอดสี จ้องมองฉันแล้วพูดว่า "ก็อาจจะมีอยู่บ้าง มันเป็นอย่างนั้นตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว…"

"มันถูกต้องเพราะเป็นอย่างนั้นตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วเหรอ?"

"ผมจะไม่ถกเรื่องนี้กับคุณหรอกนะ แต่ถึงยังไงคุณก็ไม่ควรพูด ใครพูดก็ถือว่าผิด!"

ฉันสะดุ้งเฮือก เบิกตากว้าง แต่ก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นแล้ว เหงื่อฉันออกจนโทรมตัวไปหมด ผู้ชายคนนั้นอายุน้อยกว่าพี่มาก คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเป็นพวกเดียวกัน ต้องเป็นเพราะพ่อแม่ของเขาสอนมาแน่ ๆ แล้วผู้ชายคนนั้นก็คงจะสอนลูกชายตัวเองต่อน่ะสิ เด็ก ๆ ถึงได้มองฉันอย่างดุร้ายนัก


9

ตัวเองคิดจะกินคน แล้วยังไม่กลัวถูกคนกิน ต่างคนต่างก็ใช้สายตาหวาดระแวงสงสัยมองกันไปมองกันมา

ถ้ากำจัดจิตใจหวาดระแวงสงสัยไปได้ พวกเขาจะไปทำงาน เดินไปไหนต่อไหน กินข้าว และนอนหลับได้อย่างสงบสุขแค่ไหนกันนะ มันเป็นแค่ปมเพียงปมเดียวที่พวกเขาต้องก้าวพ้นไป คนพวกนั้นอาจจะเป็นพ่อลูก พี่น้อง ผัวเมีย เพื่อน ครู-ศิษย์ ศัตรูคู่แค้น หรือแม้แต่คนแปลกหน้า รวมเข้าเป็นกลุ่มเดียวกัน แล้วคอยฉุดรั้ง กีดกันไม่ไห้คนอื่นก้าวข้ามปมนี้ไป


10

ตอนรุ่งเช้าฉันเดินไปหาพี่ เขากำลังยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่หน้าประตู ฉันก็เลยเดินไปยืนข้างหลังเขา ยืนคั่นระหว่างเขากับประตูอย่างเงียบเชียบเป็นพิเศษ แล้วก็พูดกับพี่ด้วยเสียงสุภาพ

"พี่ใหญ่ ฉันมีเรื่องจะบอกพี่"

"ว่ามาสิ" เขาหันมาหาฉันอย่างรวดเร็วแล้วพยักหน้า

"ฉันจะพูดไม่กี่คำหรอก แต่มันพูดไม่ออก พี่ใหญ่ ตอนที่มนุษย์ยังอาศัยอยู่ในป่าก็กินเนื้อคนบ้าง ต่อมาพอเริ่มมีความแตกต่างทางความคิด ก็มีบางคนเลิกกินคนเพราะตั้งใจจะเป็นคนดี ตั้งใจจะเปลี่ยนเป็นคน เป็นคนที่มีความเป็นคนจริง ๆ แต่ก็มีบางคนที่ยังกินคนอยู่ เหมือนกับพวกสัตว์เลื้อยคลานไม่มีผิด บางคนก็กลายเป็นปลา นก ลิง แล้วท้ายที่สุดก็กลายเป็นคน บางคนไม่พยายามทำตัวเป็นคนดี แล้วก็ยังเป็นเหมือนพวกสัตว์เลื้อยคลานอยู่ พวกคนกินคนถ้ามาเปรียบเทียบกับคนที่ไม่กินคนแล้ว พวกเขาจะรู้สึกอดสูขนาดไหนกันนะ น่ากลัวว่ามันจะน่าอดสูกว่าพวกสัตว์เลื้อยคลานเวลาเปรียบเทียบกับลิงเสียอีก

"ในสมัยโบราณ ยี่หยาก็เอาลูกชายตัวเองนึ่งให้เจี๋ยกับโจ้วกิน* มันเป็นเรื่องตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้ว ที่จริงหลังจากที่ผานกู่สร้างโลกสร้างสวรรค์** จนถึงยุคที่กินลูกยี่หยา จนถึงยุคที่กินสูซีหลิน มาจนถึงคนในหมู่บ้านหลางจื่อกินผู้ชายคนนั้น คนก็กินคนด้วยกันเองมาโดยตลอด นักโทษที่ถูกประหารในเมืองเมื่อปีก่อนก็ถูกคนป่วยเป็นวัณโรคใช้หมั่นโถวจิ้มเลือดกิน

"พวกเขาคิดจะกินฉัน พี่ก็เหมือนกัน ถึงพี่จะช่วยอะไรฉันไม่ได้ก็เถอะ แต่ทำไมต้องไปรวมหัวกับพวกนั้นด้วย คนที่กินคนได้จะมีอะไรที่ทำไมได้อีก? เขากินฉันได้ก็ต้องกินพี่ได้ ในกลุ่มเดียวกันก็กินกันเองได้ แต่ถ้าก้าวพ้นไปตอนนี้ ถ้าทำการเปลี่ยนแปลงในทันที ทุกคนก็จะมีชีวิตที่สงบสุขได้ ถึงแม้เรื่องแบบนี้มันจะมีมานมนานแล้ว แต่ตอนนี้พวกเราสามารถทำให้มันเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้ แค่พูดว่า 'ไม่' เท่านั้นแหละ! พี่ใหญ่ ฉันเชื่อว่าพี่พูดได้ วันก่อนที่ชาวนาขอลดค่าเช่าที่ดิน พี่บอกว่าลดไมได้"

ตอนที่ฟังแรก ๆ พี่แค่ยิ้มเยาะ ๆ ต่อมาก็มีแววตาดุร้ายขึ้น พอฉันพูดถึงความลับของพวกเขาพี่ก็หน้าซีดเผือด มีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู จ้าวกุ้ยเวิงกับไอ้หมาตัวนั้นยืนอยู่ข้างใน ทุกคนต่างยืดคอเข้ามาแอบดู ฉันเห็นหน้าไม่หมดทุกคนหรอก เพราะเหมือนมีบางคนเอาผ้าคลุมหน้าไว้ บางคนก็กำลังพยายามกลั้นหัวเราะด้วยหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ฉันรู้ว่าคนทั้งหมดนั้นเป็นพวกเดียวกัน เป็นพวกคนกินคนกันทั้งนั้น แต่ก็รู้ว่าจิตใจของพวกนั้นไม่เหมือนกันเสียทีเดียว บางคนคิดว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็มีการกินคนอยู่แล้วก็สมควรจะกินต่อไป บางพวกก็รู้ว่าไม่สมควรจะกินแต่ก็ยังกินอยู่ คนจำพวกนี้กลัวคนอื่นจะรู้ความลับตัวเอง ถึงได้โกรธนักโกรธหนาตอนได้ยินฉันพูด แต่ก็ยังทำเป็นยิ้มเยาะอยู่

อยู่ ๆ พี่ก็ทำหน้าเหี้ยมเกรียมแล้วพูดตวาดเสียงดังว่า

"ออกไปให้หมด! คนบ้ามีอะไรน่าดู!"

ตอนนั้น ฉันเริ่มล่วงรู้เล่ห์กระเท่ห์ของพวกเขาบ้างแล้ว พวกนี้ไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แถมวางแผนการไว้เป็นอย่างดีแล้ว พวกเขาตราหน้าฉันว่าเป็นคนบ้า พอตอนกินฉันจะได้ไม่มีปัญหา แถมคนอื่นจะขอบอกขอบใจเขาเสียด้วยซ้ำ มันก็เป็นแผนเดียวกับที่ชาวนาที่เช่าที่ดินเราพูดถึงคนเลวที่ถูกกินนั่นแหละ มันเป็นแผนเก่า ๆ เดิม ๆ

ตาแก่เฉินเหลาอู่ก็เดินเข้ามาด้วยอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงเหมือนกัน แต่ไม่มีใครห้ามปากฉันได้หรอก ฉันหันไปพูดกับคนพวกนั้น

"พวกแกก็เปลี่ยนได้นะ เปลี่ยนจากก้นบึ้งของหัวใจน่ะ! รู้ไว้ซะด้วยว่าต่อไปในโลกนี้จะไม่มีที่สำหรับคนกินคนอีกแล้ว

"ถ้าพวกแกไม่เปลี่ยน ก็อาจจะถูกคนอื่นกิน ถึงแม้จะออกลูกออกหลานกันมาเยอะ แต่ก็จะถูกคนที่เป็นคนจริง ๆ กำจัดทิ้ง เหมือนกับที่หมาป่าถูกนายพรานฆ่า! เหมือนกับพวกสัตว์เลื้อยคลาน!"

คนพวกนั้นถูกตาแก่เฉินไล่ตะเพิดออกไปหมด พี่ก็ไม่รู้หายไปไหนแล้ว ตาแก่เฉินบอกให้ฉันกลับเข้าห้อง ในห้องช่างมืดอึมครึมเหลือเกิน คานและหลังคาบ้านสั่นไหวอยู่เหนือหัวฉัน สั่นได้สักพักมันก็ขยายใหญ่ขึ้น…ใหญ่ขึ้น และหล่นลงมาทับตัวฉัน

หนักเหลือเกิน ขยับตัวไม่ได้เลย มันอยากให้ฉันตาย ฉันรู้ว่าน้ำหนักที่อยู่บนตัวนี้ไม่ได้มีอยู่จริงก็เลยตะเกียกตะกายออกมา เหงื่อออกจนโทรมตัว แต่ฉันก็ยังต้องพูด

"พวกแกเปลี่ยนเสียตอนนี้ เปลี่ยนจากหัวใจ! รู้ไว้ซะว่าต่อไปโลกนี้จะไม่มีที่สำหรับคนกินคนอีกแล้ว…"


11

ไม่มีแสงอาทิตย์ ประตูก็ไม่เปิด วัน ๆ มีแต่ข้าวสองมื้อ

พอฉันหยิบตะเกียบขึ้นมาก็กลับนึกถึงพี่ ชักจะรู้สาเหตุการตายของน้องสาวแล้วว่าเป็นเพราะเขานี่เอง ตอนนั้นน้องเพิ่งอายุห้าขวบ ฉันยังจำได้ติดตาว่าแกเป็นเด็กที่น่ารักน่าสงสารขนาดไหน แม่ร้องไห้ไม่หยุด พี่ขอร้องให้แม่หยุดร้องไห้ก็คงจะเป็นเพราะตัวเองนั่นแหละกินน้องเข้าไปแล้ว จะร้องไห้ขึ้นมาก็ทำให้ละอายใจเสียเปล่า ๆ ถ้าพี่ยังมีความรู้สึกละอายใจหลงเหลืออยู่บ้างนะ…
……

ฉันไม่รู้ว่าแม่จะรู้บ้างไหมว่าน้องถูกพี่กิน

แม่อาจจะรู้ แต่ตอนที่ร้องไห้แม่ไม่พูดออกมา สงสัยเพราะแม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรแล้วกระมัง ฉันจำได้ว่าตอนอายุสี่ห้าขวบ ขณะที่นั่งตากลมเล่นอยู่หน้าบ้าน พี่บอกฉันว่าถ้าคนคนหนึ่งอยากจะแสดงความเป็นคนดีนั้น เวลาพ่อแม่ป่วยให้เฉือนเนื้อตัวเองต้มให้กิน พอพี่พูดแม่ก็ไม่ได้ค้านอะไร ถ้ากินได้ชิ้นหนึ่ง ก็ต้องกินได้ทั้งตัว แต่พอคิดถึงเสียงร้องไห้ในตอนนั้น ฉันก็ยังปวดหัวใจอยู่ดี เป็นเรื่องที่แปลกจริง ๆ!


12

คิดต่อไปไม่ไหวแล้ว

ฉันเพิ่งจะประจักษ์ว่าในตลอดช่วงระยะเวลาสี่พันปีที่คนกินคนนั้น ฉันเองก็รวมกลุ่มอยู่ในนั้นหลายปี ตอนที่น้องสาวตาย พี่เพิ่งขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เขาอาจจะแอบเอาเนื้อน้องใส่กับข้าวให้พวกเรากินก็ได้

ตอนนั้นฉันอาจจะกินเนื้อน้องโดยไม่รู้ตัวไปหลายคำ คราวนี้ถึงตาฉันจะถูกกินบ้างแล้ว…

ตัวฉันที่รู้ประวัติศาสตร์คนกินคนที่มีมาสี่พันปีนั้น ถึงแม้ตอนแรกจะไม่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว จะกล้าเผชิญหน้ากับคนที่เป็นคนจริง ๆ ได้ยังไง!


13

เด็กที่ไม่เคยกินคนเลยจะยังพอมีอยู่บ้างไหม?

ช่วยเด็ก ๆ ด้วย…

เมษายน 1918

*****

 

บทความเข้าใจเกี่ยวกับผู้แต่งและเนื้อเรื่อง

"หลู่ซวิ่น" ถือเป็นบิดาแห่งวรรณกรรมสมัยใหม่ของจีน เพราะเรื่อง "บันทึกของคนบ้า" ซึ่งเป็นผลงานชิ้นแรกของเขามีลักษณะการใช้ภาษาพูด(ป๋ายฮว่า)ในการประพันธ์ ตามต้นฉบับ ผู้เขียนจะใช้ภาษาป๋ายฮว่าในส่วนที่เป็นบันทึกของคนบ้า ส่วนอารัมภบทนั้น ยังเป็นภาษาจีนโบราณอยู่ สื่อให้เห็นถึงความแตกต่างในการใช้ภาษาระหว่าง "ผู้เปิดเรื่อง" ซึ่งผู้อ่านสามารถอนุมานเอาได้ว่าคงจะเป็นหมอหรือนักเรียนแพทย์ และระหว่าง "คนบ้า"

"คนบ้า" ของหลู่ซวิ่นมีลักษณะสมจริง เนื่องจากผู้แต่งเคยศึกษาทางแพทย์เมื่อตอนเป็นวัยรุ่น แต่ภายหลังเขาได้ประจักษ์ว่า การเป็นหมอนั้น อาจจะช่วยชีวิตคนได้ แต่ไม่อาจชี้นำหนทางให้กับคนจำนวนมากได้เท่ากับการเป็นนักเขียน ดังนั้น หลู่ซวิ่นจึงเลิกเรียนหมอ และหันมาศึกษาวรรณกรรมเต็มตัว ผลงานของเขาได้รับอิทธิพลจากนักเขียนตะวันตกอย่างมาก เห็นได้ชัดจากเรื่อง "บันทึกของคนบ้า" ที่ได้รับอิทธิพลทางชื่อเรื่องจาก "A Madman's Diary" ของ นิโคไล โกกอล นักเขียนชาวรัสเซีย ซึ่งเป็นเรื่องราวของพนักงานออฟฟิศที่คิดว่าตัวเองเป็นกษัตริย์สเปน

จุดประสงค์ในการเขียนเรื่อง "บันทึกของคนบ้า" ของหลู่ซวิ่นคือ ปลดปล่อยชาวจีนให้หลุดพ้นจากคำสอนที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นของลัทธิขงจื๊อในสังคมศักดินา ที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ของคนระหว่างชนชั้น เช่น หน้าที่ของลูกที่มีต่อพ่อมีอะไรบ้าง ลูกน้องควรจะปฏิบัติตัวต่อเจ้านายอย่างไร ความสัมพันธ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความเอารัดเอาเปรียบ ("กินคน") ระหว่างชนชั้นที่มีมาถึงสี่พันปี หลู่ซวิ่นเล็งเห็นว่า หากชาวจีนทั้งประเทศยังถูกลัทธิขงจื๊อครอบงำทางความคิดอย่างฝังรากลึกเช่นนี้ ประเทศจีนก็จะไม่สามารถหลุดพ้นและทัดเทียมชาติอื่น ๆ ได้ หากจะทำการแก้ไข ก็ต้องทำการเปลี่ยนแปลงทางความคิดอย่างถอนรากถอนโคนและทำอย่างเฉียบพลัน แต่เขาก็ประจักษ์ดีว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เพราะลัทธิขงจื๊อได้หยั่งรากลึกเข้าไปยังความคิดของคนจีนทุกคนไม่เว้นแม้แต่ตัวเองด้วย (จะเห็นได้จากตอนสุดท้ายที่คนบ้ารู้ตัวว่า ตัวเองก็เข้ารวมอยู่ใน "สังคมกินคน" อย่างไม่รู้ตัว) แต่ถึงกระนั้นความหวังของหลู่ซวิ่นยังไม่หมดไป เพราะในประโยคสุดท้ายของเรื่อง คนบ้าฝากความหวังไว้ที่เด็กเล็ก ๆ ที่ยังไม่ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางความคิดของสังคม ว่าจะสามารถทำให้เกิดความเท่าเทียมในแผ่นดินขึ้นได้

"บันทึกของคนบ้า" ไม่เพียงแต่สะท้อนภาพความเอารัดเอาเปรียบของสังคมจีนก่อนที่จะได้รับการปลดแอกโดยคอมมิวนิสต์เท่านั้น สำหรับนักอ่านทั่วโลก "บันทึกของคนบ้า" ยังซ่อนนัยที่ชวนคิดมากกว่านั้น เพราะการเอารัดเอาเปรียบระหว่างคนด้วยกันไม่ได้เกิดขึ้นในสังคมจีนที่อยู่ภายใต้ลัทธิขงจื๊อเท่านั้น หากแต่ยังเกิดขึ้นกับมนุษย์ทั่วโลกอีกด้วย

comment