A
Gentle Reminder
|
Summary
หลังจากตกงานมาเป็นเวลานาน โชยติสคิดว่าถึงเวลาที่เขาควรจะกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดเสียที คนอย่างเขาไม่เหมาะที่จะดื้นรนอยู่ในกรุงเทพ แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก ใช่แล้ว โชคชะตา เขาได้งานก็เพราะโชคชะตาเนี่ยแหละ การเป็นตัวนำโชคในกองถ่ายคงไม่เลวเกินไปนัก เสียอยู่อย่างที่ผู้กำกับหลานชายคุณก๋งซึ่งเป็นคนที่รับเขาเข้ามาทำงานออกจะปากร้ายไปหน่อย แต่หมอนั่นก็มีด้านที่อบอุ่นอย่างคาดไม่ถึงอยู่เหมือนกันนะ
Preview
เสียงเพลงลูกทุ่งที่ดังแว่วมาจากห้องข้าง ๆ ทำให้ผมงัวเงียลุกขึ้นจากฟูกผืนบางที่ปูอยู่กลางห้องอย่างเสียไม่ได้
ผมไม่รู้ว่าจะตื่นมาทำอะไร เมื่อรู้ล่วงหน้าว่าถ้าลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องมานั่งปลงสังเวชตัวเอง ว่าวันนี้จะเอาอะไรกิน ขนาดนอนนิ่ง ๆ ไม่ค่อยขยับตัวก็ยังรู้สึกแสบท้องชะมัด เพราะเมื่อเย็นวานไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากน้ำเปล่า กัดฟันข่มตาหลับให้ลืม ๆ ไปเสียบ้างว่าคนเราเกิดมาต้องกิน นี่เป็นเพราะความหยิ่งผยองของผมเองนั่นแหละ ถ้ากลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดคงจะไม่มีชีวิตที่อดมื้อกินมื้ออย่างนี้หรอก อย่างน้อยพ่อกับแม่คงจะจุนเจือด้วยข้าวปลาครบสามมื้อ แต่ผมดันโพล่งออกไปเมื่อตอนเรียนจบใหม่ ๆ ว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวในเมืองหลวงให้จงได้ โดยลืมไปว่ามันหมดยุคเสื่อผืนหมอนใบแล้ว สมัยนี้ต่อให้มีอุปกรณ์ยังชีพมากกว่านั้นก็มีสิทธิอดตายในกรุงเทพเมืองฟ้าอมรได้ เพราะคนมันล้นงาน หนุ่ม ๆ สาว ๆ ต้องเดินเตะฝุ่นกันให้ฟุ้งไปหมด
ปัจจุบันนี้ หากใครว่างงาน ก่อนนอนให้หอนขึ้นสามครั้ง โดยรับทอดกันเป็นช่วง ๆ รับรองต้องได้ฟังเสียงหอนกันระงมจากหัวค่ำยันสว่างไม่มีขาดตอน
ขอบ่นต่ออีกสักหน่อยเถอะครับ การศึกษาของไทยเราเนี่ย ก้มหน้าก้มตาผลิตบัณฑิตออกมาอย่างไม่ขาดสายประหนึ่งคนท้องเสีย ครั้นผลิตออกมาแล้วก็หาตลาดจำหน่ายไม่ได้ ขายไม่ออก ไอ้ครั้นจะไปกองไว้หน้าทำเนียบเหมือนพวกผลผลิตการเกษตรให้มันเน่าประชดรัฐบาล คนว่างงานคงนั่งกันหน้าสลอนตั้งแต่หน้าทำเนียบรัฐบาลยันอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หรือจะให้เหมือนสมัยหนึ่งที่เขาเอาลูกไก่ไปโยนทิ้งทะเลเพราะลูกไก่ล้นตลาด ให้มันว่ายกระแด๊ก ๆ ก่อนจมน้ำตาย มันคงแช่งชักหักกระดูกว่า รู้ว่าขายไม่ออกแล้วให้ผม (กู) เกิดมาทำไมวะ ก็ใช่ที่ นั่นแหละครับสภาพบัณฑิตว่างงานอย่างผม
"เดียว เดียว เดียวโว้ย!" เสียงทุบประตูห้องผมโครมคราม ทำให้ผมต้องค่อย ๆ เดินกระย่องกระแย่งออกไปเปิดประตูห้องพัก บอกแล้วไงครับว่าต้องเซฟพลังงานไว้ให้มากที่สุด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นยอดมนุษย์อุลตร้าแมนยังไงก็ไม่รู้ ปุ่มที่หน้าอกมันมีไฟกระพริบว่าพลังงานหมดแย้ว หมดแย้ว เตือนอยู่ตลอด
ผมเปิดประตูห้องออกไป ก็เจอหน้าผอม ๆ ของเพื่อนร่วมโครงการชาวประชาว่างงานยืนฉีกยิ้มอยู่หน้าห้อง
"มีอะไรวะ?"
"ข่าวดีโว้ย วันนี้มีงานทำแล้วว่ะ เขาบอกรับพนักงานประชาสัมพันธ์งานแสดงเทคโนโลยีที่ศูนย์แสดงสินค้าสามวัน วันละห้าร้อย รับแค่ไม่กี่คนเอง แต่ที่นี้ข้ามีคนรู้จักแนะนำไป รับรองได้ชัวร์" ไอ้หนอง หรือสนองพูดรัวเร็วเป็นประทัดแตก
"จริงง่ะ?" ผมกระตือรือร้นตามไปด้วย แค่สามวันก็ยังดี วันละห้าร้อย สามวันก็พันห้า แบบนี้พอให้ค่าเช่าแฟลตแน่ ๆ ค้างเขามานานแล้ว
"ไปแต่งตัวเร็วเข้า" มันเร่งยิก
ผมกลับเข้าไปในห้องแล้วรีบอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนจะหยิบเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนตัวเก่งที่มีอยู่ตัวเดียวมาสวมด้วยหัวใจเบิกบาน อย่างน้อยสวรรค์ก็ยังมีตาล่ะนะ
+++++++
ผมกับเพื่อนโหนรถเมล์ไปยังสถานที่จัดงาน อากาศนั้นร้อนตับแลบเชียวแหละครับ เหงื่อซึมเต็มแผ่นหลังผมเห็นเป็นรอยเปียกที่หลังเสื้อดวงใหญ่ กับรอยวงเล็ก ๆ ที่รักแร้อีกสองข้าง ต้องคอยชูมือให้จั๊กกะแร้รับลมอยู่เป็นระยะ ๆ
เข้าไปยืนต่อแถวเพื่อยื่นใบสมัครอยู่นานจนขาแทบแข็ง แต่ดูเหมือนดวงตาของสวรรค์จะเห็นว่าผมสมควรจะเดินเตะฝุ่นต่อไปแน่นอน ทำให้ทางบริษัทตัดแถวผู้มาสมัครตรงหน้าผมนั่นเอง มีไอ้หนองเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับคัดเลือก
"ครบพอดี คนที่เหลือกลับบ้านได้"
"พี่รับผมอีกคนไม่ได้หรือครับ?" ผมพยายามอ้อนวอน
"ถ้าทำแบบนั้นคนข้างหลังน้องคงจะพูดแบบเดียวกับน้องอีกนั่นแหละ ตอนนี้เรารับคนพอแล้ว ไว้ครั้งหน้าถ้ามีงานก็มาให้เร็ว ๆ กว่านี้ก็แล้วกัน"
ผมคอตก ไอ้หนองตบไหล่ผมเป็นเชิงปลอบใจ
"ไว้เดี๋ยวเย็นนี้ข้าจะซื้อกับข้าวไปเผื่อเอ็งก็แล้วกันนะ"
+++++++
หลังจากผิดหวังจากงานที่เกือบจะได้ ผมก็เดินหูตกหางตูบเรื่อยเปื่อยไปตามทางเท้า อันที่จริงผมนั้นมีความคิดจะกลับบ้านดงมะปริงหลายครั้งแล้ว แต่ก็คอยให้กำลังใจตัวเองว่า บางทีพรุ่งนี้อาจจะมีงานวิ่งเข้ามาหาก็เป็นได้ จึงยังคงรออยู่ในกรุงเทพมหานครเมืองฟ้าเมืองเทวดาต่อไป แต่ครั้งนี้ผมคงจะตัดสินใจได้สักที เพราะพรุ่งนี้สำหรับผมนั้นไม่เคยเป็นอย่างที่ตั้งใจไว้สักครั้งเดียว สงสัยผมคงไม่มีโชคเรื่องงานในเมืองหลวงแน่นอน
ลาก่อนกรุงเทพฯ บ๊ายบายแบงคอก
ผมแหงนมองฟากฟ้าของเมืองใหญ่เพื่อจะอำลาอาลัย มองเสาไฟฟ้าและกำแพงบ้านสูงท่วมหัวท่วมหูของคนกรุงเทพฯ อย่างจะจดจำไว้เล่าให้ลูกหลานฟัง เมื่อเดินอ้อมมุมกำแพงซีเมนต์สีขาวออกมาก็เห็นภาพสะเทือนขวัญ
คนแก่เชื้อสายจีนเครายาวสีขาวกับสุนัขตัวเล็ก ๆ กำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของหมาหมู่ที่แยกเขี้ยวคำรามอย่างไม่เป็นมิตร
ตัวของผมเองนั้นยึดหลักประหัตประหารคนพาล อภิบาลคนดีมาโดยตลอด เมื่อเห็นคนแก่โดนหมารุมจึงจำเป็นต้องช่วยเหลือ อันความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่ คิดได้ดังนั้น ผมก็คว้าไม้แถวนั้นได้ท่อนหนึ่งขนาดเหมาะมือจึงเดินตวัดไล่พวกสี่ขาที่วิ่งดักหน้าดักหลังอาแป๊ะแก่กับหมาตัวเล็กด้วยท่าทีที่คิดว่าพวกหมาหมู่น่าจะเกรงใจบ้าง
"ชิ้ว ชิ้ว ชิ้ว"
เกิดมาไม่เคยรบกับหมาสักที แต่คิดว่าหมาไม่น่าจะเก่งไปกว่าคน จับกินกันมาเยอะแล้วแถวท่าแร่เนี่ย
ไม่รู้ว่าท่าทีของผมจะน่าเกรงขามขนาดไหน เพราะสักพักพวกหมาหมู่ก็เผ่นหนีหายไป แต่ก็มีบางตัวยังเหลียวหลังมาขู่แฮ่เหมือนจะจำหน้าอาฆาตผมไว้ ผมเองก็จำหน้ามันไว้เหมือนกัน เผื่อวันหลังโผล่มาแถวนี้จะได้ฟาดหัวมันทันก่อนที่มันจะงับน่องเข้าให้
ผมหันไปประคองอาแป๊ะแก่ที่ทำท่าจะทรุดตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อย ทั้งที่แถวนี้ขี้หมาตรึม
"เป็นอะไรหรือเปล่าลุง?"
แกทำท่าหอบ "ม่ายเปงไร?"
"บ้านลุงอยู่แถวนี้หรือเปล่า จะพาไปส่ง"
"โน่น" แกชี้ไปทางซ้ายมือ ซึ่งผมก็พยายามเขม้นมองแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากกำแพงบ้าน กำลังจะหันไปถามก็รู้สึกตึง ๆ ที่ข้อเท้า ก้มลงไปมองก็เห็นเจ้าหมาน้อยกำลังประทุษร้ายขาผมด้วยความใคร่อยู่ยิก ๆ ทั้งที่ผมเพิ่งจะช่วยมันออกจากวงล้อมของพวกเผ่าพันธุ์เดียวกับมันมาหยก ๆ
"เฮ้ย!" ผมพยายามจะสลัดให้หลุด แต่ดูเหมือนมันกำลังเมามันเห็นน่องผมเป็นหมาตัวเมียไปเสียแล้ว กำลังจะหันไปฟ้องเจ้าของ ก็เห็นนัยน์ตาสีขุ่นภายใต้คิ้วขาวโพลนกำลังจ้องหน้าผมอยู่อย่างพินิจพิเคราะห์
"ลื้อชื่ออาราย?"
"โชยติส ว่าแต่หมาของลุงนี่มันเป็นอะไร เอามันออกไปจากขาผมที"
แต่ตาแป๊ะแก่ไม่สนใจเรื่องผมกับหมาของแกสักนิด "เรียกยาก อารายติ๊ด ๆ นะ?"
"ชะ-โย-ติ๊ด เอาหมาของลุงออกไปที เดี๋ยวผมเตะทิ้งนะ"
"มีชื่อเรียกง่ายกว่านี้หรือป่าวอาตี๋?"
"เรียกว่าเดียวก็ได้ หมาลุงนี่ผมเตะได้หรือเปล่า?"
"เลียว?"
"ไม่ใช่เลียว เดียวครับเดียว"
"อ้อ เลียว"
ผมพยักหน้า เอาวะ เลียวก็เลียว "มีอะไรหรืออาแปะ?"
"ลื้อเกิดวันอารายหืออาเลียว?"
"ถามไปทำไม?"
"ถามลูเฉย ๆ ไม่ล่ายเหรอ ลื้อเกิดวันอาราย?"
ผมเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่จะปิดบังอะไร จึงบอกวันเดือนปีเกิดให้อีกฝ่ายรู้ พร้อมกับพยายามจะสลัดไอ้หมาจอมหื่นออกจากขา เห็นคนแก่นั่งนับนิ้ว เหลือกตามองฟ้า ก้มหน้ามองมือสักพักก็ยิ้มเห็นฟันปลอมสีขาวแหง๋เรียงเป็นแถว
"แล้วตอนนี้ลื้อทำงานอยู่ที่หนาย?"
คำถามโดนใจเลยครับนี่
"ตกงานอยู่ครับ"
"ลี ลี" แกพยักหน้าหงึก ๆ
ผมหน้าหงิก "ดีตรงไหนล่ะแปะ ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน"
"ก็ลีตรงที่ปูเหลียวลื้อก็จะได้งานเลี้ยว มากับอั๊วนี่" พูดจบแกก็คว้าแขนลากผมเดินไปยังทิศที่แกชี้ให้เห็นว่าเป็นบ้านแก ตอนแรกผมเองก็ว่าจะผละจากตาแป๊ะกับหมาน้อยจอมหื่นไปแล้ว แต่พอได้ยินว่าจะได้งานทำ ก็ลืมหมดสิ้นซึ่งความคิดเดิม ปล่อยให้ตาแป๊ะลากมือเดินไปข้างหน้างก ๆ เงิ่น ๆ โดยมีหมาน้อยเกาะติดขาพร้อมปฏิบัติการอันน่าอับอายไปเรื่อย ๆ เอาวะ เดี๋ยวมันคงฟิน
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ประตูรั้วเหล็กอัลลอยด์อันโอ่อ่า เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กหญิงหน้าตาเหรอหราวิ่งพรวดออกมาหยุดชะงัก
"คุณก๋งไปไหนมาคะ หนูตามหาแทบแย่"
"อั๊วก็ปายเรื่อย ๆ" ตาแป๊ะแก่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะจูงมือผมเดินเข้าไปในบ้าน
"เดี๋ยว ลุง ที่นี่บ้านใคร?" ผมชะงักเพราะกลัวข้อหาบุกรุกน่ะสิครับ
"บ้านอั๊วเอง ตามมาเหอะน่าอาเลียว" ตาแป๊ะแก่หรือที่เด็กผู้หญิงคนเมื่อครู่เรียกว่า 'คุณก๋ง' สาวเท้าเดินให้เร็วขึ้น ผมมองตามทางราดซีเมนต์ที่ยาวเหยียดไปจนถึงบ้านหรือจะเรียกว่าคฤหาสถ์สีขาวหลังมหึมา แล้วบทเพลง 'บ้านทรายทอง' ก็คล้ายกับจะดังก้องอยู่ในหูขึ้นมาทันควัน
นี่คือสถานแห่งบ้านทรายทองที่ฉันปองมาสู่ ฉันยังไม่รู้เขาจะต้อนรับขับสู้เพียงหนายยย
ยังกะตัวเองเป็นพจมานยังไงยังงั้น เว้นแต่ไม่ได้ถักเปียและก็ไม่มีชะลอมผลไม้ มีแต่อาแป๊ะแก่ที่จูงมืออยู่กับหมาน้อยจอมหื่นที่กำลังข่มขืนตาตุ่มของผมอย่างเมามัน
เด็กหญิงคนเดิมวิ่งตามมาติด ๆ "คุณก๋งรออยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวหนูไปบอกให้เขาเอารถมารับ"
"ไม่ต้อง อั๊วเดินล่าย"
"มันไกลนะคะคุณก๋ง เดี๋ยวคุณก๋งจะเหนื่อย"
"ช่างอั๊ว"
"เดี๋ยวหนูโดนคุณจินตนาดุ"
"ช่างลื้อ"
ผมเองนั้นเท่าที่ได้ฟังคนแก่กับเด็กเถียงกัน ก็รู้สึกว่าตาแป๊ะแก่นี่ท่าทางเอาแต่ใจน่าดู ทันใดนั้นเราทั้งสามคนก็หยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงประตูรั้วบานใหญ่เปิดอย่างช้า ๆ ท่าทางจะเป็นระบบควบคุมระยะไกลจากเจ้าของรถยุโรปคันใหญ่ที่กำลังแล่นเข้ามา สักพักก็ชะลออยู่ข้าง ๆ พวกเรา
คนขับเลื่อนกระจกรถลง แล้วโผล่หน้าขาว ๆ ตี๋ ๆ ออกมา ก็จะให้ผมบรรยายอย่างไรกันล่ะครับ ก็มันตี๋จริง ๆ นี่ครับ
"ก๋งมาทำอะไรตรงนี้ครับ?"
"คุณกายคะ คุณก๋งหนีออกไปข้างนอกอีกแล้วค่ะ" เด็กหญิงรีบฟ้องนายหน้าตี๋นั้นทันที
คนที่นั่งคู่มากับคนขับรีบเปิดประตูออกมา ผมเห็นแล้วก็ตกใจ ฝรั่งครับฝรั่ง! เกิดมาเป็นโรคแพ้ฝรั่งครับ ภาษาอังกฤษท่องเอยังไม่ถึงแซด ขนาดเขียนประโยคง่าย ๆ ว่ามะม่วงมีสองลูก ผมยังเขียนเป็นแมงโกแฮบทูชายด์ จนอาจารย์ด่าประจานหน้าห้องมาแล้ว แต่ยิ่งตกใจยิ่งกว่านั้นเมื่ออีกฝ่ายยกมือไหว้คุณก๋งแล้วพูดภาษาไทยชัดเจน
"เดี๋ยวนี้เปรี้ยวใหญ่แล้วนะคุณก๋ง ไว้ถ้าจะหนีเที่ยวก็บอกผมสิ ผมพาไปเอง" หมอนั่นพูดภาษาไทยชัดกว่าเด็กวัยรุ่นสมัยนี้พูดกันเสียด้วยซ้ำ
คุณก๋งหัวเราะเห็นเหงือกแดง "ลี ลี อาหน่อง พาไปที่เดิมนะ อั๊วชอบเบอร์ตองสาม"
"นั่นใคร?" คนขับบุ้ยปากมาทางผม
ผมหันไปทางคนที่พามา เห็นกำลังฝอยกับฝรั่งพูดไทยจนน้ำลายฟุ้ง จึงกระตุกแขนคุณก๋งให้สนใจมั่ง
"อ้อ อีชื่ออาเลียว อั๊วจารับอีมาทำงานกับลื้อ" คุณก๋งรีบแนะนำทันที
ผมยกมือไหว้ไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย หมอพยักหน้าหงึกเป็นการรับไหว้อย่างเสียไม่ได้ เล่นเอาคิ้วผมกระตุกดิก ๆ ต้องคอยยั้งตัวเองไว้ไม่ให้ปากไวเกินไปนัก อดทนไว้นะลูก อดทนไว้
"ก๋งไปรู้จักจากไหน? รับมาสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไงกัน ทำอะไรได้หรือเปล่าก็ไม่รู้" เสียงนั้นแม้จะเป็นเชิงตำหนิ แต่ก็ลดเสียงจนให้คนฟังรู้ว่าเจ้าตัวเกรงใจคุณก๋งมากขนาดไหน
"เหอะน่า อากาย อั๊วลูโหงวเฮ้งอาเลียวแล้ว รับรองว่าถ้าล่ายอีปายทำงานกับลื้อ ไม่ว่างานอาไรก็ต้องผ่านฉาหลุย"
คุณก๋งพูดพร้อมกับคว้าหัวของผมไว้ในอุ้งมือ พลิกซ้ายพลิกขวาเหมือนเลือกส้มโอหรือทุเรียน ดีอยู่อย่างที่แกไม่เอาสันมีดเคาะฟังเสียงว่าได้ที่หรือยัง
"ลื้อดูนา ลูกกาตาอีใสปิ๊ง คิ้วหนาได้รูป ม่ายเป็งโป้ยหยี่ไบ้ จาหมูกก็ล่ายที่ม่ายใหญ่ปายม่ายเล็กปาย แก้มอีก็มีเนื้อม่ายแห้งปายม่ายพองปาย รวม ๆ แล้วอีก็โป้ยหมิ่งเหล่งล้ง หน้าตากาจ่างใส เข้ากับคราย ๆ เขาล่ายลี อั๊วลูแล้ว อีต้องทำงานกับลื้อได้แน่"
ผมฟังไปด้วยอาการมึน ไม่รู้ว่าคุณก๋งพูดอะไรบ้าง แต่คนฟังดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เพราะยังถามด้วยเสียงเครียดอยู่เหมือนเดิม
"ก๋งไปเอามาจากไหน?" หมอนั่นพูดเหมือนสำราก ทำยังกะผมเป็นแมวถูกทิ้งในกล่องกระดาษข้างพงหญ้า
"แถวนี้"
โห คุณก๋ง พูดยังกะเก็บผมมาจากถังขยะ ซึ่งผมคิดว่าถ้าผมเป็นหมาหรือแมวที่คุณก๋งเก็บมา หมอนั่นคงจะบอกให้เอากลับไปปล่อยแล้ว กลัวมาขี้เยี่ยวไม่เป็นที่เป็นทางที่บ้านเขา
ชะ ชะ ชะ คนอย่างไอ้นิดเดียวลูกแม่จันทน์หอมแห่งบ้านดงมะปริง ไหนเลยจะให้ใครมาดูถูกเยี่ยงนี้ได้
"คุณไม่ต้องไล่ ผมไปเองได้ ขอบคุณมากนะลุง ผมไปล่ะ" ตอนท้ายผมผมทำท่าหยิ่งเชิดหน้าพยายามแกะมือออกจากคุณก๋ง แต่ดูเหมือนมือคุณก๋งจะติดหนึบกับแขนของผม
"อากาย ทำมายลื้อทำอย่างนี้วะ อั๊วอุตส่าห์จะช่วยลื้อ ถ้าลื้อปล่อยอาเลียวนี่ไป รับรองหนังลื้อต้องเจ๊งแน่"
ฝรั่งทำหน้าตกใจ "คุณก๋งแช่งเฮียกายทำไม?"
"อั๊วม่ายล่ายแช่ง ลื้อม่ายเห็งหรืองายว่าหนังอากายอีมีแต่เรื่องมาตลอดตั้งแต่เปิดโก้ง"
"มันเป็นปัญหาของกองถ่ายเขาทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับโชคหรือดวงหรอกก๋ง" อากายของคุณก๋งทำหน้าเบื่อหน่าย
"นั่นแหละ ปังหามังเกิดจากที่ลื้อมีแต่พวกไม่เอาไหน ถ้าลื้อเอาอาเลียวเข้ากองถ่ายรับรองไม่มีปังหา อั๊วลูดวงแล้ว อาเลียวมีดวงหนุนลื้ออยู่นา"
"เชื่ออะไรกับดวงล่ะครับก๋ง?" หลานคุณก๋งเถียงกลับ แต่เสียงก็ยังอ่อนอยู่ดี
"เรื่องที่เลี้ยวเพราะลื้อไม่เชื่ออั๊ว เลยเจ๊งม่ายเป็งท่า หนนี้อั๊วเป็นคงออกตังค์ให้ลื้อนาอากาย อั๊วก็น่าจามีสิทธิมีเสียงบ้างซี่"
นายหน้าตี๋ขมวดคิ้วทันควัน แสดงว่าเรื่องที่คุณก๋งพูดนี่แทงใจดำ
"แล้วก๋งจะให้ผมทำอะไร?"
คุณก๋งยิ้ม แล้วดันผมออกหน้า "รับอาเลียวเข้าทำงานกับลื้อล่วย"
หลานคุณก๋งมองหน้าผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนชะงักเมื่อเห็นที่เท้าข้างขวาของผมมีเจ้าหมาน้อยเกาะติดอยู่ "ไอ้ไมเคิล เอ็งทำอะไรเขาวะ?"
"โห ไอ้นี่ คน สัตว์ สิ่งของไม่เว้นสักอย่างเชียวนะ เมื่อวานเพิ่งเย่อกับตุ๊กตาหมีพูห์มาหยก ๆ" ฝรั่งก้มลงทำตาโตเมื่อเห็นเจ้าหมาน้อยหลับตาพริ้ม ก่อนจะผละจากขาผมไปนั่งก้มหน้าก้มตาเลียของตัวเองแพล็บ ๆ
ผมก้มลงมองขากางเกงตัวเอง เลอะเป็นแถบเชียว เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นหลานชายคุณก๋งทำท่ากระแอมแต่ดูลูกตาก็รู้ว่ากำลังแอบหัวเราะอยู่ในใจแน่ ๆ
"เราชื่อเลียวใช่ไหม?"
"เดียว ครับ" ตอนแรกก็ไม่คิดจะมีหางเสียงหรอก แต่พอนึกได้ว่าเขาอาจจะมาเป็นนายจ้างเลยต้องเติมท้ายคำให้สุภาพขึ้นมาบ้าง
"อ้อ ประเดี๋ยวเดียว"
"ไม่ใช่ นิดเดียว" ผมแก้ให้ถูกต้อง ลืมไปว่าชื่อเล่นแบบเต็ม ๆ นี่มีแต่ญาติพี่น้องและเพื่อนสมัยเด็กที่เรียกเท่านั้น เพราะเมื่อผมเรียนในระดับมัธยมก็แนะนำตัวด้วยชื่อเล่นที่สั้นเหลือแค่พยางค์เดียว เนื่องจากเห็นว่าชื่อ 'นิดเดียว' นี่มันค่อนข้างจะไม่เหมาะกับผู้ชายสักเท่าไร เพราะดูไม่แข็งแรงบึกบึน แต่ผมก็ดันไปหลวมตัวบอกคนแปลกหน้าไปแล้วละสิ
คราวนี้เสียงหัวเราะพุ่งออกทางจมูกของหมอนั่นดังพรืด
ผมเขม้นมองอีกฝ่ายอย่างเคือง ๆ คนบ้าอะไรวะ แค่ชื่อคนยังมาทำเป็นขำอีก ทำยังกะชื่อตัวเองไม่ตลกอย่างนั้นแหละ ไอ้กายเวอร์ เกราะอสูรชีวะ วิบูลย์กิจพิมพ์มาสิบชาติยังไม่จบ ผมได้แต่บ่นด่าในใจเท่านั้นแหละ
หมอนั่นยื่นนามบัตรส่งให้ผม "พรุ่งนี้ไปที่สำนักงาน ถามหาพี่อ้อย แล้วไปกรอกใบสมัครไว้ที่นั่น"
"ม่ายต้องกรอกอารายหรอกน่า อั๊วรับแล้วรับเลย" คุณก๋งรีบขัดจังหวะ
"ทำอย่างนั้นได้ไงกันละครับก๋ง เรามีระเบียบวางไว้"
"ช่างลื้อ" คุณก๋งพูดตัดบท แล้วหันมาพยักเพยิดกับผม "อาเลียว ไปกิงน้ำกิงท่าในบ้านกันก่อง จาล่ายคุยกังนานนาน ปาย ปาย"
พูดจบก็ลากผมขึ้นรถให้ไปนั่งเบาะหลังด้วยกันซึ่งฝรั่งไปยืนเปิดประตูคอยท่าอยู่แล้ว โดยไม่สนใจคนรอบข้าง
เกิดมาก็เพิ่งเคยนั่งรถยุโรปก็วันนี้แหละ แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีก็เหอะ เพราะสักครู่รถยนต์ก็แล่นไปจอดหน้าตึกสีขาว
หญิงทำงานบ้านวัยกลางคนเดินออกมาเปิดประตูบ้านเป็นเชิงต้อนรับ ผมรีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งอ้อมไปพยุงคุณก๋งออกมาจากรถ ก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณที่ทำให้ผมได้งานทำ จึงต้องเนรคุณให้สาสม เอ้ย! ไม่ใช่สิ ต้องตอบแทนบุญคุณต่างหาก และก็เป็นเวลาเดียวกับที่คนขับและคนที่นั่งตอนหน้าเปิดประตูออกมาพอดี ฝรั่งตัวโตนี่ไม่แปลกหรอก แต่ไอ้เจ้าหน้าตี๋นี่ดันตัวโตผิดเผ่าพันธุ์ไปกับเขาด้วยนะสิ ทำให้ผมเหมือนตกอยู่ในวงล้อมของยักษ์ไปเลย
ยักษ์ฝรั่งกับยักษ์จีนเดินขนาบผมกับคุณก๋งเข้าไปในห้องรับแขกหรูหรา พอนั่งลงจิบน้ำที่แม่บ้านนำมาเสิร์ฟ คุณก๋งก็เริ่มบรรยาย
"อากายอีทำหนังอยู่ หนังโทละทัด เรื่องนี้เรื่องที่สองเลี้ยว เรื่องแรกลื้อล่ายลูหรือป่าว? เรื่องอารายว้า อ้อ กูอยากกลับบ้าน ลื้อเคยลูไหม?"
"อยากกลับบ้านเฉย ๆ คุณก๋ง" ฝรั่งแก้ชื่อเรื่องให้คุณก๋ง "เฮียกายเสนอชื่อ 'กูอยากกลับบ้าน' แล้วทางสถานีไม่อนุมัติ เขาบอกว่าถ้าเสนอชื่อนี้ มึงต้องไปทำมาใหม่"
"เออ เรื่องน้านแหละ ลื้อเคยลูหรือป่าว? อาเลียว"
ผมร้องอ้อขึ้นมาทันที เป็นละครโทรทัศน์ที่ไม่ค่อยมีคนดูเท่าไร ผมเองก็ไม่ได้ดูหรอกครับ เพราะที่ห้องพักไม่มีเครื่องรับโทรทัศน์ โธ่! จะกินให้ครบสามมื้อยังลำบาก ถ้ามีเครื่องใช้ไฟฟ้าผมก็แบกไปฝากสถานธนานุบาลของรัฐไปแล้วสิ แต่แถวแฟลตที่ผมอยู่นั้นมีพวกติดละครโทรทัศน์งอมแงมกันทั้งนั้น แต่สำหรับละครโทรทัศน์เรื่องนี้กลับไม่มีใครพูดถึงสักคน แต่ที่ผมรู้ก็เพราะเวลาฉายไปชนกับละครดังของอีกหลายช่อง หนังสือพิมพ์เคยวิจารณ์ว่าเป็นละครดีที่คนไม่ดู เนื่องจากเป็นเรื่องเครียดแล้วสะท้อนสังคมของคนชนบทที่เข้ามาหางานทำในเมืองหลวง แต่ท้ายที่สุดก็ยอมแพ้ต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมในเมืองใหญ่ จนคิดจะกลับบ้าน ไม่ดังเท่าเรื่องทำนองแย่งผัวแย่งเมียที่มีกันเกลื่อน
"หนที่เลี้ยวเจ๊งม่ายเป็งท่า โคสสะนาไม่เข้าสักตัว อาจินเลยให้แก้ตัวใหม่ คาวนี้ให้อากายลองทำลาคอนเจ็กซีตอฮู"
ผมฟังตอนแรกนึกว่าหลานคุณก๋งจะทำละครจีน "มันเป็นยังไงหรือครับ?"
"ก็ลาคอนที่มีพูหญิงคนเลียวแต่มีพูชายหลายคนมาชอบอี เขาม่ายเรียกเจ็กซีตอฮูหรือวะ? เรื่องนี้อาหน่องก้อเล่น" คุณก๋งพยักเพยิดไปทางฝรั่งที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เออ อารมณ์ดีจังว่ะ
หน้าตาดูเหมือนจะคุ้น ๆ อยู่เหมือนกันเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน คลับคล้ายคลับคลาจะอยู่ในจอโทรทัศน์ เอ ดูเหมือนพี่แกจะชื่อสรวัฒน์ แซ่ล้อ
"ผมจำได้แล้ว! พี่ใช่ดาราที่ชื่อสรวัฒน์ ใช่ไหมครับ?" ผมตื่นเต้น เพิ่งเคยเจอดาราตัวเป็น ๆ อย่างใกล้ชิดก็วันนี้แหละ
"ใช่ พี่เอง หน่องสรวัฒน์" หมอนั้นยืดตัว ก่อนจะทำอกแฟบเมื่อคุณก๋งอธิบายต่อ
"อีเล่นเป็นตัวโกง"
"เมื่อก่อนผมก็เคยเล่นเป็นพระเอกนาคุณก๋ง" หมอนั่นตัดพ้อคนแก่
"แล้วทำไมพี่หน่องถึงตกอับมาเป็นผู้ร้ายล่ะ?" ผมถามอย่างสงสัย
"ใครว่าตกอับ เป็นผู้ร้ายสิดี ได้ปล้ำนางเอก"
คุณก๋งโบกมือว่อน "อย่าปายเชื่ออี อีเล่นเป็นพระเอกกี่เรื่อง ๆ เรกติ้งตกฮวบฮาบหมก ม่ายลู้เป็นงาย คนลูอีไม่ชอบ สงสัยอีคงหมั่งไส้เพราะอาหน่องอีเก็กจัดเหลือเกิง ขาหนาดผู้กำกับคงที่ปั้งอีมายังหมั่งไส้มันเลย ที่นี้อาผู้กำกับเลยคิกหม่ายทำหม่าย เอาอาหน่องมาเล่นเป็งพูร้ายให้พระเอกอีต่อยลูบ้าง ปรากดว่าคงลูอีชอบว่ะ คงอยากลูอาหน่องอีโดนต่อยมานานเลี้ยว นับจากนั้งมังเลยได้แต่บทตัวโกงตัวพูร้ายเรื่อยมา"
"คุณก๋งเล่นดิสเครดิตกันแบบนี้เลยเรอะ?" คุณพี่หน่องทำท่างอน
"รึม่ายจิง" คุณก๋งลอยหน้าลอยตาพูด
ผมสะกิดคุณก๋งเมื่อเห็นว่าแกกำลังเมามันกับการสนทนากับฝรั่ง "แล้วคุณก๋งจะให้ผมไปทำอะไรล่ะครับ?"
"ลื้อม่ายต้องทำอารายก้อล่าย ไปนั่งเฉย ๆ ในกองก็เลี้ยวกัง" คุณก๋งตอบหน้าตาเฉย
"จ้างไปนั่งเฉย ๆ เนี่ยนะ?" ผมอุทาน ก่อนจะทบทวนอีกทีว่าเรามีท่าทางเหมือนขอทานหรืออย่างไร? เมื่อสำรวจดูแล้วก็พบว่าตัวเองมีอวัยวะครบทุกส่วน ไม่สมควรจะไปนั่งงอมืองอเท้าอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร "ให้ผมทำอะไรก็ได้น่าคุณก๋ง อย่าให้ไปนั่งเฉย ๆ เลย มันน่าเกลียด"
"อากาย ลื้อจาให้อาเลียวอีทำอาราย?" คราวนี้คุณก๋งหันไปทางหลานชายที่นับตั้งแต่เดินเข้ามาในบ้านก็ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ
"จะไปรู้หรือก๋ง ผมไม่ได้เป็นคนรับเขาเข้าทำงานนี่นา ก๋งจัดการเองก็แล้วกัน ขอแค่อย่ามาเกะกะตอนผมทำงานก็แล้วกัน"
แหม หลานคุณก๋งนี่พูดจาน่าทำงานด้วยเสียจริง ๆ
++++++
แม้ผมจะบอกว่าไม่ต้องไปส่ง แต่ยอดชายนายสรวัฒน์ก็ยังยืนกรานคำเดิม "ไปเหอะน่า เดี๋ยวคุณก๋งรู้จะโกรธพี่ ไม่ค่อยมีคนเข้าหน้าคุณก๋งติดเท่าไรนัก เพิ่งมีน้องนี่แหละที่คุยกับคุณก๋งถูกคอ"
"แต่หลานคุณก๋งไม่ค่อยชอบผมเท่าไร"
"เฮียกายน่ะรึ? อย่าไปสนใจเลย คิดมากเยี่ยวเหลืองเสียเปล่า ๆ ถ้าเฮียกายพูดอะไรไม่ถูกหูก็ถือว่าลมพัดผ่านชายเขาเท่านั้นพอ"
"พี่หน่องรู้จักคุณกายนานแล้วหรือครับ?"
"ฮื่อ" พี่หน่องพยักหน้า "อันที่จริงเป็นญาติกัน"
"จริงง่ะ อำหรือเปล่า?" ผมหรี่ตาเป็นเชิงถาม ก็หน้าของทั้งคู่นี่มันคนละโซนเลยนะสิ คนหนึ่งออกยุโรป แต่อีกคนนี่เอเชียชัด
"ไม่ได้โกหกหรอก แม่พี่เป็นฝรั่งเศส แต่พ่อน่ะแซ่เดียวกับเฮียกาย โชคดีที่พ่อแยกบ้านออกมาก่อน ไม่งั้นวุ่นวาย อย่างเฮียกายเนี่ยเป็นหลานกำพร้าพ่อกำพร้าแม่ มีแต่คุณก๋งที่เป็นปู่อยู่คนเดียว คงเพราะเห็นว่าหลานเป็นกำพร้ามั้ง คุณก๋งเลยรักมากกว่าหลานคนอื่น ทำให้ญาติคนอื่นในบ้านไม่ค่อยชอบหน้าเฮียกาย เฮียแกไปเรียนอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก เพิ่งกลับมาได้ไม่ถึงปี ทำละครโทรทัศน์ในสังกัดของบริษัทที่บ้านเรื่องแรกก็เจ๊งไม่เป็นท่า จนป้าจินต้องบังคับให้เฮียแกทำละครน้ำเน่าเป็นเรื่องที่สอง ไม่งั้นแกไม่สนับสนุน"
"ไหนว่าคุณก๋งเป็นคนออกทุนสร้าง?"
"คุณก๋งออกเงินก็จริง แต่ถ้าจะได้ฉายออนแอร์นี่ต้องอาศัยอิทธิพลของที่บ้านเขา ป้าจินเขาเป็นผู้จัดละครมานานแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เฮียกายเลยกล้ำกลืนฝืนทนทำ ป้าจินแกเป็นคนคัดตัวนักแสดงให้ด้วยนะเนี่ย กะว่างานนี้ยังไงก็ต้องมีคนดูแน่ ๆ พระเอกก็เลยคัดเอาคนที่กำลังดังที่สุดในตอนนี้ ชื่ออะไรนะ ที่เป็นนักร้องด้วยน่ะ พล พลอะไรวะ?"
"พลชาติใช่ไหมครับ?"
"เออใช่! พลชาติ เห็นเขาบอกว่าดังนัก พี่ไม่เคยเล่นด้วยหรอก นี่ก็ยังไม่ถึงคิวที่ต้องเจอกัน เพราะเพิ่งเปิดกล้องเมื่อสองวันที่ผ่านมาเอง ส่วนนางเอกก็เป็นดาราวัยรุ่น คนที่ดังมาจากโฆษณายาทาขี้เต่าน่ะ น้องเมย์ หรือน้องมายอะไรเนี่ยแหละ"
ผมพยักหน้ารับรู้ เพราะน้องมายกำลังดังอยู่มากในช่วงนี้ เริ่มมีผลงานแสดงละครโทรทัศน์หลายเรื่อง แถมมีข่าวว่าจะไปออกเทปกับค่ายดังเสียด้วย
"แบบนี้ละครท่าทางจะไปได้สวยนะครับ เพราะแค่ชื่อของพระเอกกับนางเอกนี่ก็ดึงคนดูได้เยอะแล้ว"
คุณพี่หน่องถอนใจเฮือกใหญ่ "แต่ปัญหาในกองถ่ายตั้งแต่เปิดกล้องมีไม่ได้หยุดหย่อน คุณก๋งท่านเป็นห่วงหลานชาย กลัวจะทำหนังเจ๊งอีก เลยอาศัยไสยศาสตร์เข้าช่วย ตั้งแต่เอาฮู้ เอายันต์ไปแปะในกอง ทำพิธีปัดรังควานสารพัด น้องนี่ก็เป็นอุปกรณ์เสริมความเชื่อมั่นของคุณก๋งอย่างหนึ่งด้วยนะเนี่ย" ตอนท้ายแกหันมาทางผม
"แต่คุณกายเขาไม่คิดเหมือนคุณก๋งนี่"
"เฮียกายแกไม่เชื่อเรื่องงมงายพวกนี้หรอก แต่เพราะเห็นแก่คุณก๋งก็เลยไม่กล้าขัดใจ เดียวก็เหมือนกัน ให้ทน ๆ เอาหน่อยนะ นึกว่าเห็นใจคนแก่เหอะ ช่วยให้ท่านสบายใจบ้าง ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกพี่หน่องได้นะน้อง งานนี้นอกจากพี่จะร่วมแสดงแล้ว ยังเป็นมือขวาเฮียกายเขาด้วย"
"พี่ว่าผมจะไปทำอะไรในกองถ่ายได้บ้างล่ะ?"
"ถ้าเดียวไม่ว่าอะไร จะเริ่มด้วยตำแหน่งตัวประกอบก่อนดีไหม? ไว้เล่นดีเดี๋ยวจะเลื่อนให้เป็นพระเอก"
ผมหัวเราะ "ผมไม่ว่าอะไรหรอก งานอะไรก็ได้ แต่อย่าให้เป็นพระเอก
เลย พอดีพอร้ายละครเขาเจ๊งจะมาด่าหาว่าผมเป็นตัวซวย"
"ไม่หรอก คุณก๋งก็บอกแล้วไงว่าเดียวเป็นตัวนำโชคของเฮียกายเขา"
มีเรื่องแบบนี้ด้วยแฮะ ผมได้งานเพราะโชคชะตาจริง ๆ
+++++++
ในที่สุดผมก็ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของกองถ่ายทำละครโทรทัศน์เรื่อง "กามเทพไร้รัก" ฟังชื่อก็รู้แล้วว่าต้องเป็นละครชนิดน้ำเน่าสุด ๆ
สถานที่ถ่ายทำในวันนี้เป็นโรงถ่ายของทางบริษัทซึ่งอยู่แถวชานเมือง สถานที่กว้างขวางทำให้จัดฉากจำลองได้หลายอย่าง
เพียงแค่วันแรกของการทำงาน ผมล่ะซึ้งเลยครับกับไอ้คำว่าตัวประกอบอดทน เพราะที่กองถ่ายเขาจะนัดพวกตัวประกอบมากองรวมกันตั้งแต่หกโมงเช้าทุกวัน ถึงจะมีคิวเข้าฉากตอนสี่ทุ่มหรือตีสองก็ตาม
ที่เรียกว่า 'กอง' ก็เพราะพวกเราชาวตัวประกอบต้องหาที่นั่งกันตามพื้น หรือหลบแดดกันตามเงาเสาตามอัตภาพ
"ถ้าถ่ายที่ต่างจังหวัด ก็สบาย ไปนั่งใต้ถุนบ้าน แต่ถ้าอยู่กลางทุ่งนาก็ลำบากหน่อย ต้องไปหาร่มไม้ใหญ่บังแดด แดดประเทศไทยก็ร้อนชิบ อยู่ตรงไหนก็ตามไปส่อง" น้าแสวงตัวประกอบอดทนคนหนึ่งในกองอธิบาย
อ้อ อันที่จริงที่ผมเรียกว่าตัวประกอบนี่ ความจริงเขามีคำเรียกขานใหม่แล้วครับ เขาเรียกว่า 'นักแสดงร่วม' ขืนไปเรียกพวกนักแสดงร่วมว่าตัวประกอบนี่ถือว่าเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามศักดิ์ศรีของคนนั้น ถึงขนาดที่อาจมีเหตุการณ์กระโดดต่อยหน้าตามมาทันทีที่พูดจบ
ตอนแรก ผมก็ยังสับสนกับตำแหน่งที่ได้รับอยู่เหมือนกัน จนได้รับคำแนะนำให้รู้จักกับผู้จัดการกองถ่าย คือพี่อ้อย
พี่อ้อยเป็นผู้หญิงที่มีขนาดตัวอวบอ้วน จนผมไม่คิดว่าคนตัวอ้วนจะวิ่งไปมาได้รวดเร็วถึงขนาดนี้ พูดง่าย ๆ ว่า ถ้ามีใครเรียกหา พี่อ้อยก็ไปถึงทันที ขนาดพวกส่งตามบ้านยังให้คอยตั้งสามสิบนาที แพ้หลุดลุ่ย
"แล้วตัวประกอบทำยังไงมั่งอ่ะพี่?"
"เขาเรียกว่านักแสดงร่วม" พี่อ้อยแก้คำผิดให้ผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พี่อ้อยเป็นคนหนึ่งที่รู้ว่าผมต้องมาร่วมในกองถ่ายเพราะถือเป็นตัวนำโชคของผู้กำกับ พี่อ้อยจึงให้ความสนิทสนมกับผมมากกว่าตัวประกอบคนอื่น เรื่องนี้พี่หน่องบอกว่าถือเป็นความลับ รู้กันแค่ไม่กี่คนเท่านั้น แต่ก็ทำให้ผมพลอยเป็นที่เขม่นของคนอื่น ๆ โทษฐานเป็นที่โปรดปรานนัก
"อื่อ นั่นแหละ ทำไงมั่งครับ?"
"อย่างเดียวนี่เพิ่งเข้าวงการ อยู่เกรดหนึ่งก็แล้วกัน"
"มันเป็นไงล่ะพี่?"
"ไม่มีบทพูด แค่เดินเป็นก็เล่นได้" พี่อ้อยพูดพร้อมกับมองหน้าเหมือนจะถามว่า เดินได้หรือเปล่าล่ะ?
"วิ่งยังได้เลยพี่"
"ไม่ต้อง แค่เดินให้เห็นผ่านกล้องก็พอ อ้อ! หนนี่ไม่ต้องเดิน นั่งเฉย ๆ นี่จะเข้าฉากในออฟฟิศ เดียวก็ไปนั่งตามโต๊ะที่พี่จัดไว้ให้ ก้มหน้าก้มตาเหมือนกำลังทำงานนะ"
"แล้วเสื้อผ้าล่ะพี่?"
พี่อ้อยเหล่มองเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวเก่งของผม แล้วหันไปแผนกเสื้อผ้า "แหวว เอาเน็คไทมาเส้นหนึ่ง"
นั่นแหละคือการเข้าวงการบันเทิงครั้งแรกของผม และก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอกับดาราที่ผมเคยเห็นแต่ในจอโทรทัศน์ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้มาเจอตัวจริงแบบนี้
ฉากนี้เป็นฉากในที่ทำงานของเพื่อนพระเอก ที่นางเอกจะต้องมาปะทะคารมกับพระเอก ตามประสาละครที่ต้องมีฉากกุ๊กกิ๊กทำนองเจอกันครั้งแรกต้องให้ทั้งสองฝ่ายไม่ถูกชะตากัน ผมยังไม่เคยเห็นละครประเภทนี้ที่พระเอกกับนางเอกเจอกันครั้งแรกแล้วถูกชะตากระโดดจูบปากกันสักที สงสัยจะเป็นกฎเหล็กของละครน้ำเน่ากระมังว่าเป็นตายร้ายดียังไง พระเอกกับนางเอกต้องเขม่นกันก่อน ชนิดที่เรียกว่าแกล้งชงกาแฟใส่เกลือให้กิน หรือด่ากันไฟแลบ แต่ตอนจบ
ต้องรักกันปานจะกลืนกิน
นายพลชาติ หรือพี่พลของบรรดาสาว ๆ ที่กรี๊ดกร๊าดกันอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้นหน้าตาหล่อเข้ม สมแล้วที่ได้รับบทพระเอก เว้นอยู่อย่างเดียวที่ตัวเตี้ยไปหน่อย อย่าหาว่าผมช่างค่อนเลยครับเพราะเมื่อพระเอกของเรายืนเทียบกับคุณผู้กำกับกับตัวโกงคือยักษ์จีนกับยักษ์ฝรั่งแล้ว ต้องแหงนหน้าคุยกันเลยด้วยซ้ำ สงสัยว่าพอถึงฉากที่พระเอกต้องเจอกับผู้ร้ายหน้าฝรั่ง คงจะต้องยืนบนลังไม้เพื่อต่อขาเสียละมั้ง ความสูงจะได้สูสีกันหน่อย
ตอนนั้นทีมงานทุกคนกำลังเซตฉากและคนให้เข้าที่กันอย่างวุ่นวาย
"เดียว ไปเอาแฟ้มเอกสารกับอุปกรณ์เครื่องเขียนในกล่องตรงนั้นมาวางบนโต๊ะทำงานทุกคนนะ" พี่หน่องซึ่งตอนนี้มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้กำกับสั่งการเสร็จก็เดินตะโกนโหวกเหวกซ้าย ๆ ขวา ๆ ด้วยท่าทีเอางานเอาการ
ผมหันไปมองตามที่พี่หน่องชี้ ก็เห็นกล่องกระดาษใบใหญ่วางอยู่ห่างออกไป ที่บริเวณนั้นผมเห็นผู้กำกับก็ยืนคุยกับพระเอกของเรื่องด้วยสีหน้ากึ่งรำคาญพิกล แต่ผมไม่เห็นหน้าพระเอกคนดังหรอกครับ เขายืนหันหลังให้ พอเดินไปถึงกล่องใบใหญ่ก็กะว่าจะยก แต่ดันยกไม่ขึ้น คนอัตคัตกล้ามก็แบบนี้แหละครับ เลยต้องเปิดฝากล่องแล้วลำเลียงข้าวของออกมากองไว้ กะว่าจะทยอยลำเลียงไปทีละน้อย
"แล้วเมื่อไรพี่กายจะว่างล่ะฮะ?" เสียงนั้นทำให้ผมต้องเงี่ยหูฟัง เพราะเหมือนคนบีบเสียงให้เล็กยังไงก็ไม่รู้แฮะ
"ไม่รู้" อันนี้เสียงผู้กำกับของเราเอง แสดงว่าเสียงก่อนหน้านั้นก็ต้องเป็นพี่พลซึ่งเป็นขวัญใจของสาว ๆ ทั้งประเทศน่ะสิ ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเป็นไปได้ ก็ในจอโทรทัศน์นั่นน่ะ เสียงพี่แกทุ้มนุ่มลึกพระเอ๊กพระเอกจะตายไป
ผมก้มหน้าก้มตากับกองแฟ้มกระดาษตรงหน้าที่เขาจัดไว้ประกอบฉากหรือที่เรียกว่าพร้อบ ทำเป็นว่าง่วนเสียเต็มประดา ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมอง แต่หูก็ยังเปิดกว้างเพื่อเก็บข้อมูลอยู่ แหมก็ดันมาคุยกันอยู่ใกล้ ๆ จะไม่ฟังก็คงต้องอุดหูนั่นแหละ
"อุตส่าห์รับแสดงเพราะรู้ว่าต้องมาทำงานกับพี่นะนี่ ไม่งั้นพลไม่เทคิวให้อย่างนี้หรอก"
"เออ ขอบใจ"
"แหม พี่กายพูดสั้นจัง เอางี้ไหมคะ เย็นนี้เลิกกองแล้วไปหาอะไรกินกันหน่อย เพื่อนของพลมีร้านอาหารเปิดใหม่แถวรามอินทราค่ะ ไปนะคะ"
โห โป๊ะเสียแล้วพระเอกเรา สาวแตกแหลกราญ ถ้าแฟนละครมาได้ยินจะทำหน้ายังไงวะเนี่ย? พระเอกในฝันที่หล่อแมนขนาดนั้น ที่จริงแล้วกลับมีธาตุหญิงในตัวจนล้นเหลือ
"ไม่ว่าง"
"แหม พี่กายเป็นอย่างนี้อีกแล้ว ไม่ยอมนะคราวนี้ "
เผอิญแฟ้มที่ผมยกออกมาจากกล่องแล้วกองไว้ ดันตั้งไว้สูงเกินไป มันเลยล้มแผละลงมา เสียงไม่ดังเท่าไรหรอกครับ แต่เผอิญแถวนี้มันไม่ได้วุ่นวายเอะอะเหมือนตรงที่เขาเซตฉากกัน ทำให้เกิดความเงียบขึ้นทันที
เสียงของพระเอกละครหายเข้าไปในลำคอ ผมค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นมองอย่างลุ้นระทึก แล้วก็เห็นสายตาของคนทั้งคู่มองหน้าผมเป็นตาเดียว พระเอกละครของเราดูจะตกใจอยู่ไม่น้อย คงไม่นึกว่าจะมีมนุษย์แปลกหน้ามานั่งยอง ๆ อยู่แถวนั้น ส่วนสายตาของผู้กำกับนั้นดูโล่งอกยังไงพิกล
"เป็นอะไรครับน้อง?" เสียงพระเอกครับ เวอร์ชั่นเดียวกับที่เคยได้ยินในละครเด๊ะ ทุ้มนุ่มมาเชียว ถ้าไม่บอกก่อนผมคงนึกว่าเป็นคนละคนกับที่ทำเสียงออดอ้อนจ๊ะจ๋าเมื่อครู่
ผมจะทำยังไงได้ล่ะครับ นอกจากฉีกยิ้มให้อย่างมีมิตรจิตมิตรใจ "ไม่มีอะไรครับ"
ผู้กำกับของเราอมยิ้ม ก่อนจะทำท่ากระแอมเรียกเสียง แล้วแหกปากเสียงดัง "เสร็จหรือยังวะ!? ถ่ายวันนี้นะโว้ย ทำอะไรชักช้า เซตฉากแค่นี้จะทำ
กันสักกี่ชั่วโมงวะ! ถ้าพร้อมแล้วทุกคนก็ประจำที่ได้"
พระเอกของเราทำหน้าคล้ายจะผิดหวังก่อนจะเดินไปยังตำแหน่งที่จัดไว้
น้องมายนางเอกละครที่แต่งหน้าเสร็จเรียบร้อยก็ประจำที่เช่นกัน
ผมและตัวประกอบ เอ้ย! ไม่ใช่สิ นักแสดงร่วมอื่น ๆ ก็พร้อมที่จะเข้ากล้องแล้วครับ
+++++++
การถ่ายทำฉากแรกผ่านไปอย่างไม่ยากเย็นนัก แม้ว่านางเอกของเราจะพูดเหมือนคนลิ้นไก่สั้นก็เหอะ เล่นเอาผู้กำกับขมวดคิ้วไม่เลิก
"แม่งสวยเสียเปล่า ดันลิ้นพิการ" อันนี้ผู้กำกับเราแอบบ่นหลังจบฉาก "ละครกูต้องมีตัวบรรยายไทยวิ่งข้างล่างจอให้คนดูอ่านหรือเปล่าวะเนี่ย?"
ผมที่นั่งร่วมหัวฟังอยู่ เพราะพี่หน่องลากเข้าไป ถึงกับสะดุ้ง เพิ่งรู้ฤทธิ์ปากของหลานคุณก๋งเดี๋ยวนี้เอง มิน่าล่ะพวกพี่อ้อยและทีมงานถึงได้กลัวผู้กำกับจนลนลาน
"เฮียกายก็พูดเกินไป น้องมายเขาจะไปเป็นนักร้องแล้วนะ" พี่หน่องกระซิบบอก กลัวนางเอกเขาได้ยินแล้วจะเสียใจมั้ง
"ถ้าออกเทป มึงซื้อให้กูม้วนหนึ่ง กูจะเอาไปเปิดผิดสปีดเผื่อจะเพราะขึ้นมามั่ง ขนาดพูดยังไม่เป็นคำ แล้วดันจะออกเทป เจ้าของค่ายเทปเนี่ยถ้าไม่หูหนวกก็ปัญญาอ่อนละวะ! ไม่รู้แม่งเอาหัวเข่าหรือหัวแม่ตีนคิดหรือเปล่าวะนี่ที่จะให้คนฟังเทปเขาดูแต่หน้ากับนมนักร้อง นี่ถ้าป้าจินไม่เสนอชื่อแกมบังคับมาให้ กูถีบทิ้งไม่เอาจริง ๆ ด้วย"
โห เฮียแกด่ามันส์ปากจริง ๆ ผมชักสงสัยว่าแกมีปัญหาเฉพาะกับดาราผู้หญิงหรือเปล่า เพราะอันที่จริงคนสวย ๆ นี่ทำอะไรคนเขามักจะยอม ๆ กันทั้งนั้น
เพราะคิดอย่างนี้ผมเลยเผลอหลุดปากออกไป "นางเอกไม่เอา ก็เอาแต่พระเอกสิ"
เท่านั้นแหละความเงียบเกิดขึ้นในฉับพลัน ผมกำลังลุ้นรอปากหมาพาเพลินชุดต่อไป ก็ได้ยินเสียงผู้กำกับถอนใจเฮือกใหญ่
"ได้ยินล่ะสิ?"
"อะไรหรือเฮีย?" พี่หน่องทำหน้าเหรอหรา
"อาเลียวของคุณก๋งดันมาได้ยินไอ้พลมันคุยกับฉัน แล้วไปคิดเองเป็นตุเป็นตะ"
"ใครว่าผมคิดไปเอง ผมไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย" ผมแย้งทันควัน
พี่หน่องหัวเราะเห็นฟันขาว "นึกว่าเรื่องอะไร"
"ไม่ใช่เรื่องเล็กนะว้อย เขาไม่ได้ไปยุ่งกับแกน่ะสิ แกถึงไม่เดือดร้อน วันนี้กูง้างตีนหลายรอบแล้ว แม่ง กูกะว่าถ้ามันพูดนะคะ นะคะ อีกคำเดียว ก้านคอแน่"
"กล้าทำเร้อ เดี๋ยวป้าจินได้โวยลั่นแน่ ไปทำร้ายพระเอกยอดนิยมของแก"
"ก็เพราะเกรงใจนี่แหละ ถึงได้ต้องยอมทนอยู่อย่างนี้ ไม่งั้นสะบัดตีนตบไปนานแล้ว"
ผมนึกสยองแทนนายพลชาติพระเอกละครอยู่ครามครัน
++++++